https://ufanance.com ufafat Lockdown168 hydra888 lotto432 KINGDOM66 panama888 sexygame1688 1688sagame Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ lotto77 SAGAME1688 SEXYGAME1688 Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ สล็อต เกมสล็อต slot game

ตอนที่ 283.1 จิตบริสุทธิ์

ufac4

เฉินผิงอันรอคอยอยู่ที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยอย่างสงบ ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไร้กฎหมาย การฝึกหมัดจึงเปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็ฝึกหมัดอีกแปดพันครั้งสุดท้ายสำเร็จแล้ว

วันนี้เมื่อเฉินผิงอันฝึกท่าหมัดสุดท้ายเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างโต๊ะเงียบๆ หยิบไม้ไผ่แผ่นเล็กสีเขียวสดปลั่งน่ารักชิ้นหนึ่งออกมา มันไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่อื่นๆ เพราะไม่ได้สลักถ้อยคำที่สละสลวยงดงามเอาไว้ แต่เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่เฉินผิงอันเอาไว้ใช้คิดคำนวณว่าตอนไหนฝึกได้หนึ่งแสนหมัด สองแสนหมัด ห้าแสนหมัด ขั้นตอนคร่าวๆ ล้วนถูกสลักไว้บนนั้น

เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือไปลูบคลำร่องรอยแต่ละขีดที่อยู่บนนั้นอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะมีร่องรอยที่ขีดไว้หลังต่อยได้หนึ่งพันหมัดหรือหลายร้อยหมัด ในช่วงเวลานั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันหงุดหงิดมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่จากลากับอาจารย์ฉีที่วัดร้าง หรือช่วงแรกๆ หลังจากที่เกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นหายนะมา และยังมีช่วงเวลาอีกมากมายที่ไม่มีใครรับรู้ สรุปก็คือการฝึกหมัดตอนที่จิตใจไม่สงบ ต่อให้จะออกหมัดหรือฝึกเดินนิ่งได้มากแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางนับรวมเข้าไปในเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง

และหมัดหนึ่งล้านครั้งก็สำเร็จลงเช่นนี้

สงบเรียบง่าย ขอบเขตสี่ยังคงเป็นขอบเขตสี่ เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้น เพื่อนยากชิ้นนี้ถือว่าได้ปลดเสื้อเกราะกลับคืนภูมิลำเนาแล้ว เขาเลือกแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินใหม่เอี่ยมมาอีกแผ่นหนึ่ง กะว่าหนึ่งล้านหมัดหลังจากนี้จะสลักลงไปบนมัน

แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องคล้ายเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพูด พอเหนื่อยแล้วพวกมันก็นอนฟุบลงบนโต๊ะ บนพื้นและบนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน

เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น หรือบางทีการคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องจดจำก็ดีเหมือนกัน

เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นระลอกหนึ่ง เฉินผิงอันรีบดึงสติกลับมา ครั้งนี้ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร ทุกอย่างของเซียนกระบี่คนเฝ้าประตูท่านนี้ เฉินผิงอันล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงเวลาพูด สีหน้า ท่วงท่า ปณิธานกระบี่ ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาจนตรึงลึกอยู่ในความทรงจำ ต่อให้จังหวะเคาะประตูที่ไม่เร่งร้อนนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ปล่อยให้พลาดไป เวลาออกมาอยู่นอกบ้าน ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี ความสำคัญในการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาหมัดเลย

คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ถามว่าใคร เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูโดยตรง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบงีบหลับผู้นั้นจริงดังคาด เขาเดินเข้ามาในห้อง วางเชือกสีทองเส้นเล็กบางอ่อนนุ่มเส้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ พูดยิ้มๆ ว่า “เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่ากลายเป็นสมบัติอาคมสมชื่อแล้ว ข้าไปหายอดฝีมือพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวมา เขาตัดหนวดเจียวยาวประมาณสองช่วงนิ้วหัวแม่มือเป็นค่าตอบแทนพอเป็นพิธี เพราะอันที่จริงวัตถุดิบวิเศษที่เขาเผาผลาญไปในการสร้างเชือกเส้นนี้ต้องมากกว่าความเสียหายเล็กน้อยนี้ของเจ้าแน่นอน ลำพังเพียงแค่ลายเมฆสามดอกซึ่งต้องลอกออกมาจากบทคำเขียวอย่างระมัดระวังก็ไม่ด้อยกว่าหนวดเจียวสองท่อนแล้ว การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ หาใช่เพื่อทวงความดีความชอบไม่ แค่เล่าให้ฟังตามตรงเท่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องกันแล้วที่อีกฝ่ายยอมช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าของแม่หนูหนิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เทียบไม่ติดอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยืนอยู่ตลอดเวลา พออีกฝ่ายพูดจบก็กุมหมัดขอบคุณ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาก”

บุรุษที่ยังคงเอากระบี่วางไว้บนเสาผูกม้าโบกมือ ชี้ไปที่เชือกพันธนาการปีศาจสีทอง “หลังจากชุบหลอมอย่างคร่าวๆ แล้วจิตใจจะสื่อถึงกัน เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็ยากจะหนีพ้นพันธนาการไปได้ เพียงแต่ว่าหากเผชิญกับขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดกลับประคับประคองตัวอยู่ได้ไม่นานนัก หากต่ำกว่าโอสถทองลงไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสลัดได้หลุด การที่เชือกพันธนาการปีศาจเป็นที่นิยมไปทั่วหล้า โดยเฉพาะเชือกพันธนาการปีศาจที่มีระดับสูงๆ ที่ผู้ฝึกลมปราณซึ่งเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศชื่นชอบมากที่สุด เป็นรองข้องราชามังกรไม่มากนัก พิชิตศัตรูได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่ ‘แค่กระบวนท่าเดียว ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง’”

บุรุษพลันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอันจึงถามว่า “มีอะไรรึ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าควรจะชุบหลอมสมบัติอาคมอย่างไร”

บุรุษกล่าวกลั้วยิ้มอย่างฉุนๆ “เฉินผิงอัน เจ้ากำลังพูดเรื่องตลก หรือเจ้าคิดว่าข้าปั่นหัวได้ง่ายกันแน่? กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากไม่เป็นเพราะชุบหลอมได้สำเร็จ…”

ไม่เสียแรงที่บุรุษคือเซียนกระบี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สีหน้าเขาเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันอยู่หลายครั้งแล้วพยักหน้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก ยิ่งไม่ซักไซ้ไล่เรียง เพียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนบทท่องพื้นๆ ในการชุบหลอมสมบัติอาคมให้แก่เจ้าหนึ่งบท วางใจเถอะ ไม่ต้องคิดว่าติดค้างอะไรข้า บทท่องนี้เป็นบทที่คนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้กันให้เกร่อ เจ้าก็คิดซะว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน อีกอย่างใช้บทนี้หล่อหลอมวัตถุ ข้อดีคือเอามาใช้ได้ง่าย ข้อเสียก็คือหากใช้บทท่องนี้มาชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจให้จำแลงเป็นภาพมายา แล้วถูกเซียนพสุธาบังคับช่วงชิงเอาไป ก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะทำลายตราผนึกของเจ้า และเพียงไม่นานมันก็จะกลายไปเป็นของในกระเป๋าผู้อื่น”

บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นวันหน้าถ้าพบเจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งในใต้หล้าไพศาล หากไม่จำเป็นจริงๆ หนีได้ก็หนีไป แล้วก็ไม่ต้องเอาของสิ่งนี้ออกมาด้วย อย่าคิดหวังว่าจะใช้มันทำให้ศัตรูล่าถอย จะได้ไม่ต้องกลายเป็นกุมารแจกสมบัติไปซะ เอาล่ะ ข้าอยู่นานไม่ได้ ข้าจะใช้เสียงทางใจถ่ายทอดบทท่องและเรื่องที่ควรระวังบางเรื่องให้กับเจ้า หากรอบเดียวจำไม่ได้ ข้าจะพูดให้ฟังสองรอบ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ทะเลสาบในหัวใจกระเพื่อมเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของเซียนกระบี่ดังขึ้นในหัวใจอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันตั้งใจจดจำเอาไว้

ผู้ฝึกกระบี่ถาม “จำได้กี่ส่วน?”

เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “จำได้ทั้งหมด แต่ท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดพูดอีกรอบด้วยเถอะ”

เซียนกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้านี่ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ นะ”

เซียนกระบี่ไม่ได้รู้สึกยุ่งยากใจอะไร กลับกันยังรู้สึกชื่นชมความตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเฉินผิงอันด้วย เขาจึงถ่ายทอดบทท่องซ้ำอีกรอบ เมื่อเทียบกับครั้งแรก คราวนี้เขาเสริมความเข้าใจที่บรรลุมาจากการยืนอยู่บนที่สูงของตนเข้าไปด้วย เฉินผิงอันในเวลานี้ย่อมสัมผัสไม่ถึง เขาได้แต่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น

บุรุษไม่ใช่คนนิสัยยืดยาดอืดอาด ท่องคาถาจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป เพียงแต่ก่อนจะเดินออกจากห้องยังหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “คนรุ่นหนิงเหยามีพรสวรรค์ดีเยี่ยมยิ่งนัก ดีจนถึงขั้นที่ทำให้ตาแก่ทุกคนยิ้มหวานได้แม้แต่ในความฝัน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ห้าคนสิบคน แต่มากถึงสามสิบกว่าคน ดังนั้นใต้หล้าแห่งนั้นย่อมไม่อยู่เฉยรอความตายแน่นอน อีกอย่างปีศาจใหญ่อายุน้อยที่เอาชนะข้าได้ตนนั้นก็มีชื่อเสียงมาก ไม่แน่เสมอไปว่ามันจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจอกับช่วงปียิ่งใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง หลายร้อยปีมานี้หลังจากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเผ่าปีศาจ ทำให้ข้าค้นพบว่ามีเรื่องที่ประหลาดมากอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ฝีมือเป็นรองแม่หนูหนิงแค่ครึ่งขั้นหรือหนึ่งขั้นของทางฝั่งนั้นกลับพากันหลบเลี่ยงซ่อนตัว นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ดังนั้นข้าเลยเป็นกังวล รู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกำลังวางแผนการที่ยิ่งใหญ่อะไรบางอย่าง ศึกสิบสามก็เป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้น”

เห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟัง บุรุษก็เอ่ยเยาะตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”

เฉินผิงอันยืนกรานจะไปส่งผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ พอไปถึงตรอกนอกโรงเตี๊ยม เซียนกระบี่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าไม่เกรงใจ ตอนนี้กลับเกรงใจกันขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”

เซียนกระบี่กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากผืนดิน มุ่งหน้าไปยังตีนเขาเดียวดาย พริบตาเดียวปราณกระบี่ที่แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ไพศาลก็จากไปไกลในเสี้ยววินาที

เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แล้วก็จริงดังคาด คนหลายคนที่อยู่ตรงโรงเตี๊ยมหันมามองหน้ากันเอง ส่วนเถ้าแก่หนุ่มที่ยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเสียงดังต๊อกแต๊ก มองดูเหมือนไม่ได้สนใจใยดี แต่อันที่จริงมุมปากกลับยกยิ้ม

ลูกค้าที่มาพักในโรงเตี๊ยมของตนมีที่มาไม่ธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นการเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับทางโรงเตี๊ยม

ตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับโรงเตี๊ยม ต่อให้ห้องโถงจะกว้างขวางมากพอ แต่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในภูเขาห้อยหัวเพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาพักโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้กลับพากันเปิดทางให้เขาตามจิตใต้สำนึก เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเริ่มใช้คาถาที่เซียนกระบี่ถ่ายทอดให้ชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจ นี่ก็เหมือนการวาดยันต์ เขายังคงไม่สามารถบังคับสมบัติอาคมชั้นสูงชิ้นนั้นได้เป็นเวลานาน ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ปราณแท้จริงซึ่งต้องทำให้สำเร็จใน ‘รวดเดียว’ เฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว

ปราณยาวพละกำลังก็มาก

แต่นี่ต่างจากกการวาดยันต์แผ่นหนึ่งตรงที่ว่า สำหรับเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดแล้ว การใช้เชือกพันธนาการปีศาจถือว่าลำบากกว่ามาก ยังดีที่หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ การผลัดเปลี่ยนลมปราณของเขาว่องไวและอำพรางตัวได้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม ใหม่เก่าสับเปลี่ยนกันได้เร็วกว่าตอนอยู่ขอบเขตสามมาก ดังนั้นการนำเชือกพันธนาการปีศาจมาใช้จึงพุ่งเป้าไปที่เผ่าปีศาจสามขอบเขตของห้าขอบเขตกลางอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกร ถือเป็นท่าไม้ตายก้นกรุ ใช้จู่โจมกะทันหันขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว หลังจากพันธนาการศัตรูได้แล้วก็ค่อยใช้วิชาหมัดที่รุนแรงที่สุดโจมตีศัตรูในเวลาที่สั้นที่สุด

แน่นอนว่าเชือกพันธนาการปีศาจก็ใช้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าหากใช้รับมือกับเผ่าปีศาจจะยิ่งได้ผลดีมากขึ้นก็เท่านั้น

หากนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้มาใช้ร่วมกับยันต์ที่วาดขึ้นโดยอิงตามสภาพท้องถิ่น หรือความแตกต่างของบุคคล บวกกับวิชาหมัดสังหารศัตรู เฉินผิงอันก็รู้สึกมั่นใจขึ้นอีกไม่น้อย

เฉินผิงอันใช้เวลาสามชั่วยามเต็มถึงจะค่อยๆ หล่อหลอมเชือกพันธนาการปีศาจได้สำเร็จ ก่อนจะทำสำเร็จ เหงื่อก็แตกท่วมไปทั่วตัวเขาอยู่นานแล้ว ยังดีที่ในห้องมียันต์ชำระสิ่งสกปรกที่ใช้กี่ครั้งก็ได้ผลทุกครั้งอยู่ จึงลดความยุ่งยากไปได้มากมาย

ภายหลังเฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงจากเอว เอามันวางไว้ข้างๆ แล้วนั่งเหม่อมองมัน

เกี่ยวกับศึกสิบสามครั้งนั้น หนิงเหยาเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องอย่างไม่มีปิดบัง

และหนิงเหยาก็เต็มใจจะเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีท่าทางที่สบายๆ

เฉินผิงอันจึงตั้งใจฟังนางโดยที่ไม่กล้าถามอะไรแม้แต่น้อย ได้แต่แสร้งทำเป็นว่ากำลังฟังเรื่องเล่าที่ชวนให้จิตใจคนฮึกเหิมเท่านั้น

หนิงเหยายังถึงขั้นพูดต่อหน้าเขาว่า “ท่านพ่อท่านแม่จากไปแล้ว ข้าเสียใจมาก แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ข้าต้องสังหารศัตรูด้วยมือของตัวเองเพื่อแก้แค้นก็เท่านั้น ข้าไม่ได้คิดมากไปกว่านี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก”

ตอนที่กล่าวประโยคนี้จบ หนิงเหยาก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่ม ส่วนมือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหน้าอกเบาๆ

ในใจของเฉินผิงอัน นาทีนั้นประกายเฉียบคมของหนิงเหยาเจิดจ้าพร่าตายิ่งกว่าตอนที่เขาได้เห็นนางขี่กระบี่เป็นครั้งแรกเสียอีก

มีเพียงครั้งเดียวที่พอจะทัดเทียมได้ก็คือตอนที่อยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิด หนิงเหยาประกบสองนิ้วยันไปที่หว่างคิ้วตัวเองเหมือนจะเบิกเนตรสวรรค์ ป่าวประกาศให้รู้ว่าจะฟาดฟันฟ้าดินอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ให้เปิดอ้า แสงสีทองเส้นหนึ่งแทรกซึมออกมา อีกนิดเดียวกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางก็จะเผยกายขึ้นในโลก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่

จะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่

และสักวันหนึ่งเขาจะสลักตัวอักษรลงไปบนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอว อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว

ในเมื่อตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่ อีกทั้งยังมี ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นอยู่ ด้านหลังยังแบก ‘ปราณยาว’ ที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าให้เขายืมใช้ เฉินผิงอันจึงใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าตอนตัดสินใจจะฝึกเดินนิ่งของ ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ให้ได้หนึ่งล้านหมัดเสียอีก

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หลับตาลง เดินวนไปรอบโต๊ะช้าๆ

เซียนกระบี่ใช้กระบี่ มือกระบี่ในยุทธภพก็ใช้กระบี่ แต่ระดับความสูงต่ำของทั้งสองฝ่ายกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว

ตอนนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแห่งศาลลมหิมะจูงลาเดินจากไปก็จริง แต่ภาพท่วงท่าของเขายามที่ฟาดฟันหนึ่งกระบี่กลับติดตาเฉินผิงอันมาจนถึงทุกวันนี้

ผู้อาวุโสซ่งอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพของหนึ่งแคว้นก็ดี หรือจะเป็นเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ตายด้วยน้ำมือหม่าขู่เสวียนก็ช่าง ต่อให้ชื่อเสียงของพวกเขาจะเลื่องลือแค่ไหน เวทกระบี่สูงส่งเท่าไหร่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ก็ล้วนยากที่จะต้านทานได้

ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันคิดอยากไปฝึกประสบการณ์ที่กุรุทวีปก็เพราะได้ยินมาว่าวิชากระบี่ของมือกระบี่ในยุทธภพกุรุทวีปสูงกว่าของแจกันสมบัติทวีปมากนัก ที่นั่นมีมือกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ยังสามารถงัดข้อกับผู้ฝึกลมปราณได้

คิดอยากจะเป็นเซียนกระบี่ก็ต้องมีสะพานอมตะเสียก่อน สะพานแห่งเก่าซ่อมแซมไม่ได้ ต่อให้ซ่อมได้ การประสบความสำเร็จก็มีขีดจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็สร้างสะพานแห่งใหม่ แล้วจะทำได้อย่างไร? ไปที่อารามกวานเต๋าทะเลบูรพาของใบถงทวีป ตามหานักพรตเฒ่าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อแซ่ผู้นั้น ในเมื่อขนาดเซียนกระบี่เฒ่ายังนึกถึงนักพรตเฒ่าผู้นี้ คิดดูแล้วเขาก็น่าจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร้ายกาจคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายจะยอมพบตนหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset