https://ufanance.com ufafat Lockdown168 hydra888 lotto432 KINGDOM66 panama888 sexygame1688 1688sagame Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ lotto77 SAGAME1688 SEXYGAME1688 Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ สล็อต เกมสล็อต slot game

ตอนที่ 295 บังคับกระบี่

ufac4

หลวนซูคุณหนูของป้อมอินทรีบินมีใจให้กับลู่ไถ เฉินผิงอันไม่ใช่คนตาบอด ย่อมมองออกอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่านอกเหนือจากความกระตือรือร้นมีมารยาทของสองพี่น้องแล้ว ตรงหว่างคิ้วของพวกเขายังมีพยับเมฆลอยอวลอยู่ เฉินผิงอันก็มองเห็นเช่นกัน

ดูท่าผีร้ายที่ก่อกวนโจมตีชาวบ้านอย่างกำเริบเสิบสานคงจะสร้างความกลัดกลุ้มและเป็นกังวลอย่างใหญ่หลวงให้กับป้อมอินทรีบิน

ยุทธภพด้านล่างภูเขา ไม่ว่าเจ้าจะมาจากพรรคใหญ่หรือตระกูลสูงศักดิ์แค่ไหน แต่การรับมือกับเรื่องแบบนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอยู่ดี

คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน ตัวหอสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่และทรงพลัง กรอบป้ายลายมือของคนมีชื่อเสียง กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลหลากสีสันที่สูงเท่าตัวคน สิงโตหมอบหยกขาวสองฝั่งซ้ายขวา สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมีเกียรติและรากฐานของสกุลหลวนแห่งป้อมอินทรีบินในอดีต

แสงไฟในห้องโถงใหญ่ที่เลี้ยงรับรองแขกถูกจุดสว่างไสว มีเทียนสีแดงเล่มหนาเท่าแขนเด็กทารกส่องแสงอยู่หลายเล่ม และยังมีของเก่าวางประดับไว้หลายชิ้น ภาพอักษรแม่น้ำและภูเขาขนาดใหญ่ ฉากบังลมที่วาดเป็นภาพทิวทัศน์ของตระกูลเซียน เจ้าประมุขหลวนหยางและฮูหยิน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยา รวมไปถึงผู้อาวุโสแซ่หลวนหลายคนต่างก็มายืนรอต้อนรับเด็กหนุ่มสองคนที่มาเยือนป้อมอินทรีบินเป็นครั้งแรกอย่างนอบน้อม

ด้านหลังคือลูกหลานสายหลักและสายรองที่หน้าตาและความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก คนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันและลู่ไถ เพราะถึงอย่างไรการที่ทุกคนออกมาให้การต้อนรับอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ก็หาได้ยากมาก

ลู่ไถใช้เสียงในใจสื่อสารกับเฉินผิงอัน “ไม่ยื่นมือตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินฉลาดพอ หลังจากที่ดื่มคารวะครบสามรอบแล้วจะต้องเป็นฝ่ายขออภัยพวกเราด้วยตัวเอง”

ลู่ไถมีสาระได้ไม่นาน เขากวาดตามองไปรอบด้าน เสียงพูดดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “มีของโบราณไม่น้อยเลยทีเดียว บรรพบุรุษตระกูลหลวนของป้อมอินทรีบินอู้ฟู่ร่ำรวยมากเลยนะเนี่ย อยู่ล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากไม่เพราะเจอกับเหตุไม่คาดฝัน ก็คงไม่ต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ เกรงว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเผยโฉมก็คงไปเชิญเซียนซือของแคว้นเฉินเซียงหรือไม่ก็แคว้นใกล้เคียงมาปราบปรามวัตถุหยินเหล่านั้นได้นานแล้ว”

ก่อนหน้านั้นลู่ไถเคยเล่าให้ฟังว่าลูกศิษย์ของสำนักการค้าของใต้หล้าไพศาลได้เสนอคำเรียกว่า ‘เงินเก่า’ และ ‘เงินใหม่’

โรงฝากเงินมีการแบ่งเก่าและใหม่ มีทั้งร้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาหลายร้อยปีหรือถึงขั้นพันปีโดยที่ไม่เคยล้มลง แล้วก็มีร้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพราะสถานการณ์บางอย่าง ตั๋วเงินที่ทั้งสองฝ่ายปล่อยไปและใช้หมุนเวียนย่อมมีความใหม่เก่าต่างกันไปตามปี

ก่อนจะนั่งลง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฮูหยินเจ้าประมุขท่านนั้นอย่างเฉียบไว ลมปราณตลอดทั้งร่างของนางถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ อีกทั้งยังเป็นเมฆหมอกประเภทที่มืดดำอึมครึมด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกปราณสกปรกรุกราน ภายนอกแม้หน้าตาของฮูหยินท่านนี้จะงดงาม บำรุงตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังต้นกำเนิดกลับเสื่อมถอย ใกล้จะเป็นดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด

ลู่ไถไม่ได้มองนางแม้แต่ครั้งเดียว

อาหารในงานเลี้ยงไม่ถึงขั้นเป็นอาหารเลิศรสหายาก แต่เป็นอาหารป่าและสัตว์จากในแม่น้ำ บวกกับผลไม้ตามฤดูกาล ตั้งแต่ต้นจนจบหลวนหยางไม่ได้วางท่าใหญ่โต เขาสำรวมเจียมตนอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นตัวของตัวเองจากลูกหลานสกุลหลวนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะยกจอกเหล้าหรือจับตะเกียบคีบอาหารก็ล้วนทำอย่างขอไปที ส่วนใหญ่มักจะรอให้เจ้าประมุขเสนอให้ดื่มคารวะก่อน พวกเขาค่อยทำตาม

เพียงแต่ลู่ไถเดาผิดไป ต่อให้งานเลี้ยงใกล้จะเลิก หลวนหยางเจ้าประมุขก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในตรอกที่คนทั้งสองไปพักแรม พูดแค่ว่าป้อมอินทรีบินมีสภาพแวดล้อมกันดาร รับรองได้ไม่ทั่วถึง หวังว่าคุณชายทั้งสองท่านจะให้อภัย แต่รอจนดื่มเหล้าจอกสุดท้ายหมด ทุกคนพากันลุกขึ้นลาจากไป หลวนหยางและฮูหยินกลับพาเฉินผิงอันและลู่ไถขึ้นไปบนดาดฟ้าชมทิวทัศน์ด้วยตัวเอง พอขึ้นไปถึงด้านบน ขณะที่ทุกคนทอดสายตามองไปยังทิศไกล หลวนฉางและหลวนซูก็นำของขวัญมามอบให้คนละหนึ่งชิ้น ล้วนบรรจุไว้ในกล่องไม้ หลวนหยางบอกว่าเป็นของโบราณสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของป้อมอินทรีบิน ไม่มีค่า แต่ก็ถือว่าหาได้ยาก ให้เป็นของขวัญพบหน้าเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าวันหน้าคุณชายทั้งสองท่านจะมาเป็นแขกที่ป้อมอินทรีบินบ่อยๆ ทางป้อมจะต้องปัดกวาดเตียงรอต้อนรับอย่างดี

ลู่ไถตอบกลับได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ

เขาลูบคลำราวระเบียงพลางพึมพำว่า “สถานที่ดี”

ดังนั้นทั้งเจ้าบ้านและแขกจึงแยกย้ายกันไปด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย หลวนซูอยากจะไปส่งคนทั้งสองถึงตรอกที่พัก แต่กลับถูกหลวนฉางหาข้ออ้างรั้งตัวเอาไว้ แม้ว่าในใจหลวนซูจะไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงดันจะไปจากหอหลัก นางมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เดินเคียงบ่ากันไปบนถนนกว้างใหญ่ หลวนฉางเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสียหยางบาดเจ็บหนักขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ไปดูเขาสักหน่อย?”

หลวนซูขมวดคิ้วพูด “ท่านพ่อและท่านลุงเหอต่างก็บอกเขาแล้วว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาก็ยังมุทะลุอยู่อย่างนั้น หากไม่เป็นเพราะคืนนี้จะมีเซียนซือมาเยือนป้อมอินทรีบิน เราจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ได้ยังไง? เถาเสียหยางโตขนาดนี้แล้ว แถมยังมีหน้าที่จัดการกิจธุระครึ่งหนึ่งของป้อมอินทรีบิน แต่ทำไมถึงยังทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเองแบบนี้? แค่ไปอยู่ในยุทธภพด้านนอกมาไม่กี่วันก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว…”

หลวนฉางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไม่ว่าอย่างไรเถาเสียหยางบาดเจ็บสาหัสก็เพื่อป้อมอินทรีบินของพวกเรา เจ้าเลิกพูดจาถากถางเขาซะที! หากเสียหยางมาได้ยินเข้าแล้วหมดกำลังใจไปจากป้อมอินทรีบิน ไม่ว่าใครก็รั้งเขาไว้ไม่อยู่! เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีมานี้มีพรรคมีชื่อมากน้อยเท่าไหร่ที่ถูกใจพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์และความสามารถในการจัดการกิจธุระของเสียหยาง?”

หลวนซูเบ้ปาก “ถ้าอย่างนั้นวัดก็เล็กเกินกว่าจะวางพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่น่ะสิ ป้อมอินทรีบินจะยังทำอย่างไรได้อีก? ต้องให้ร้องไห้วิงวอนขอร้องให้เสียหยางอยู่ต่องั้นรึ?”

หลวนฉางหันหน้ากลับมาเอ่ยสั่งสอนเสียงเฉียบ “หลวนซู ทำไมเจ้ายิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไง?! เสียหยางคือคนกันเองที่เติบโตมาพร้อมเจ้าตั้งแต่เด็ก กับข้าก็ยิ่งเป็นเหมือนพี่น้องที่รักใคร่กัน…”

หลวนซูขอบตาแดงก่ำด้วยรู้สึกน้อยใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่ชายโมโหขนาดนี้ นางพูดเสียงสั่น “แต่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขานี่นา เขาชอบข้า แต่ข้าไม่ชอบเขา จะให้ข้าทำยังไงเล่า?”

หลวนฉางถอนหายใจ ทุกบ้านต่างก็มีคัมภีร์ที่อ่านยาก เรื่องนี้ยากที่จะคลายปมในใจได้

ก็เหมือนที่หลวนฉางไม่เข้าใจว่า เทพธิดาในยุทธภพที่โดดเด่นถึงเพียงนั้นหลงรักเถาเสียหยางตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำไมเถาเสียหยางกลับไม่ชอบนาง

เหตุใดเถาเสียหยางชื่นชอบน้องสาวตนมาตั้งหลายปี แต่น้องสาวที่เดิมทีควรได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีกลับชื่นชอบเขาไม่ลง

ส่วนเรื่องที่ว่าหากเถาเสียหยางได้แต่งงานกับน้องสาวของตน อีกทั้งยังมีผู้ดูแลเฒ่าเหอช่วยสนับสนุนอย่างลับๆ ตลอดหลายปีมานี้เถาเสียหยางขึ้นเหนือล่องใต้ คนทั้งนอกและในป้อมอินทรีบินต่างก็เคารพนับถือเขา ถ้าเช่นนั้นวันหนึ่งในอนาคตป้อมอินทรีบินจะเปลี่ยนแซ่หรือไม่ หลวนฉางกลับไม่คิดมาก หรือควรจะพูดว่าไม่อยากคิดให้ลึกซึ้งเสียมากกว่า

ค่ำคืนในฤดูใบร่วงอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ดวงดาวบนทางช้างเผือกที่ทอแสงระยิบระยับราวกับเป็นอารมณ์ทุกข์โศกของคนบนโลก

ค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันกับลู่ไถยังไม่ทันเดินไปถึงตรอกเส้นนั้น บนเส้นทางนอกประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็มีคนนอกผู้หนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนมาเยือน

มีเพียงเจ้าประมุขหลวนหยางและผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาสองคนเท่านั้นที่ออกไปต้อนรับนอกประตู พวกเขายืนเก็บมืออย่างนอบน้อม บรรยากาศไม่ครึกครื้นนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงรับรองเด็กหนุ่มสองคนแล้วกลับเป็นจริงเป็นจังกว่ามาก

คนที่เดินตรงมาคือบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ดวงตาทั้งคู่ฉายประกายเฉียบคม เขาจูงม้าสีขาวปลอดมาด้วยตัวหนึ่ง มองดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี ในมือถือแส้ปัดฝุ่น ตรงเอวห้อยป้ายยันต์ไม้ท้อ เดินมาราวกับล่องลอย

สองข้างฝั่งของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและต้นไป่ไว้สองมัด แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

บนด้ามแส้ปัดฝุ่นสลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’

เจ้าปราสาทหลวนหยางและผู้เฒ่าเหอหยารีบยกมือคารวะ “ขอต้อนรับไท่ผิงซานเซียนซือ”

บุรุษวัยกลางคนยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับ “ไม่ต้องเกรงใจ ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารเป็นหน้าที่ของคนบนภูเขาอย่างข้าอยู่แล้ว”

ไม่รอให้หลวนหยางเปิดปาก บุรุษจูงม้าก็เงยหน้ามองไปยังเบื้องบนของปราสาท “ปราณหยินดุร้ายเข้มข้นมากจริงๆ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ป้อมอินทรีบินเพิ่งจะมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา พวกเจ้าต้องรู้ว่านั่นไม่ใช่ฝนฤดูใบไม้ตามร่วงปกติ แต่เป็นภูตผีชั่วร้ายที่ยึดครองที่แห่งนี้ร่ายค่ายกล ต้องการให้ป้อมอินทรีบินของพวกเจ้าไร้ผู้สืบสกุล”

หลวนหยางและผู้ดูแลเฒ่าประสานสายตากัน ก่อนที่หลวนหยางจะกุมหมัดคารวะ “ขอแค่เซียนซือสามารถช่วยชีวิตคนห้าร้อยกว่าคนในป้อมอินทรีบินของข้าได้ ป้อมอินทรีบินยินดีสร้างศาลกราบไหว้เซียนซือ มอบดาบวิเศษ ‘หยุดหิมะ’ ที่บรรพบุรุษได้รับมาโดยบังเอิญให้ท่าน ลูกหลานสกุลหลวนจะบูชาไท่ผิงซานและเซียนซืออย่างน้อยหนึ่งร้อยปี จะพยายามตอบแทนเซียนซืออย่างสุดความสามารถ!”

บุรุษยิ้มอย่างสง่างาม ส่ายสะบัดแส้ปัดฝุ่น “ช่วยได้แล้วค่อยว่ากัน หาไม่แล้วบุญสัมพันธ์ที่ดีครั้งหนึ่งจะกลายเป็นธุรกิจไปซะ แบบนั้นทั่วร่างคงเหม็นแต่กลิ่นเงิน”

หลวนหยางซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด สะอื้นจนพูดไม่เป็นเสียง “เซียนซือมีจิตใจงดงามสูงส่ง! เป็นหลวนหยางที่เสียมารยาท…”

บุรุษไม่สนใจ จูงม้าเดินต่อไปข้างหน้า บุคลิกท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียน

ค่ำคืนนี้มีผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอีกคนหนึ่งมาเยือนป้อมอินทรีบิน ประตูใหญ่เกือบจะไม่เปิดให้เข้า ภายหลังเป็นนักพรตหนุ่มหวงซ่างสหายของเถาเสียหยางที่ได้ข่าวจึงรีบรุดไปหา รับผู้เฒ่าเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แล้วพาเขาไปอาศัยอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง ใบหน้าของหวงซ่างเต็มไปด้วยความละอาย แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้ถือสา เขาเดินไปเดินมา มองโน่นมองนี่อยู่ท่ามกลางม่านราตรี ระหว่างนี้ยังนอนฟุบอยู่บนปากบ่อน้ำ ดมกลิ่นน้ำในบ่ออยู่หลายที

พอผู้เฒ่าเข้าไปยังที่พักแล้วก็ร้องเอ๊ะหนึ่งที ดีดปลายเท้าทะยานจากลานบ้านขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปยังจุดหนึ่ง ตั้งใจมองอยู่ครู่ใหญ่ พอกลับเข้ามาในเรือนก็เอ่ยถามว่า “ป้อมอินทรีบินมียอดฝีมือมานั่งพิทักษ์ให้แล้วหรือ?”

นักพรตหนุ่มอึ้งตะลึง “จะใช่ยอดฝีมือหรือไม่ ศิษย์ก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าเมื่อสองวันก่อนมีคุณชายอายุน้อยสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน คนหนึ่งท่วงท่าสง่างาม แล้วก็หน้าตาดีมากจริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่งแบกกระบี่เล่มยาว ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่”

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ที่เจ้ากับเถาเสียหยางสองคนพบเจออันตราย คนทั้งสองไม่ได้ลงมือช่วยเหลือหรือ?”

หวงซ่างยิ้มเจื่อน “เป็นผู้ดูแลเฒ่าเหอที่มาช่วยพวกเรา ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ปรากฏตัว”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เหอหยาพอจะรู้มรรคกถาแบบงูๆ ปลาๆ อยู่บ้างจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับยันต์ที่สองคนนั้นแปะบนประตูบ้านแล้วกลับฝีมือห่างชั้นกันมาก”

นักพรตหนุ่มอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น “ทั้งสองคนนั้นอายุพอๆ กับข้า หรือพวกเขาจะเป็นเซียนซือที่มีวิชาเลิศล้ำเหมือนอาจารย์แล้ว?”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “อายุน้อยแล้วทำไม อายุน้อยๆ ก็สามารถย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทรได้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเซียนซือที่แท้จริง คนไม่เอาไหนอย่างอาจารย์เจ้าเช่นข้า อายุมากแล้วกว่าจะสร้างตบะน้อยนิดขึ้นมาได้ ในสายตาของตระกูลเซียนบนภูเขาที่แท้จริงไม่ถูกมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันหรอกนะ”

หวงซ่างยังไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ มักรู้สึกว่าอาจารย์มีนิสัยสูงส่งสำรวมตน คือยอดฝีมือนอกโลกที่ไม่สนใจลาภยศและชื่อเสียงที่แท้จริง จึงไม่ชอบคุยโวโอ้อวดถึงตบะเทพเซียนของตัวเอง

ผู้เฒ่าไม่พูดอะไรให้มากความอีก เมื่อเทียบกับตระกูลเซียนที่ทะยานลมเดินทางไกลแล้ว ตนก็แค่คนแก่ที่อยู่มานานอย่างเสียเวลาเปล่าเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่สบายอะไร

อีกฝั่งหนึ่ง เฉินผิงอันนำยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะที่นอกประตูบ้านอีกครั้ง

คนทั้งสองต่างก็ไม่ง่วงนอน จึงนั่งคุยกันอยู่ในลานบ้าน

เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด ลู่ไถยังคงนั่งโบกพัดไม้ไผ่ยิ้มตาหยีอยู่บนเก้าอี้

เฉินผิงอันกำลังจะอ้าปากพูด ลู่ไถกลับยื่นมือมาห้ามเขา “พูดแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”

ลู่ไถเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เอ่ยสัพยอกแทนว่า “ชุดคลุมอาคมจินหลี่หนึ่งตัว ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีกระบี่บินสองเล่ม เชือกพันธนาการปีศาจที่อยู่ในระดับของสมบัติอาคมหนึ่งเส้น รอวันใดที่เจ้าเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดแล้วจะยังไม่ร้ายกาจไหวหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง กล่าวอย่างร่าเริง “ความยากลำบากที่ต้องเผชิญ คนนอกไม่อาจร่วมรับรู้”

ลู่ไถถอนหายใจ “เจ้าประหลาดใจมากใช่ไหมว่า ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง?”

เฉินผิงอันกล่าวเสียงขุ่น “มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน ก็เจ้ากลัวความสูงไม่ใช่หรือไง? จากนครมังกรเฒ่าไปภูเขาห้อยหัว เจ้าก็โดยสารเกาะกุ้ยฮวา จากภูเขาห้อยหัวมาใบถงทวีป ก็โดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เจ้าเคยนั่งเรือคุนไหม?”

ลู่ไถหน้าแดงก่ำ ขว้างพัดไม้ไผ่ในมือใส่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน หมุนเบาๆ หนึ่งรอบ พัดไม้ไผ่ก็เหมือนมีเส้นด้ายโยงใยจึงหมุนเป็นวงตามไปด้วย มันบินวนรอบเฉินผิงอันหนึ่งรอบแล้วค่อยกลับไปหาลู่ไถ ลู่ไถรับพัดไม้ไผ่ จุ๊ปากพูด “นำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้รวดเร็วจริงๆ”

เวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่อาจจะลึกลับมากในยุทธภพ แต่สำหรับเฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์เลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้ว

เข้าใจหนึ่งวิชา หมื่นวิชาก็ทะลุปรุโปร่ง

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset