https://ufanance.com ufafat Lockdown168 hydra888 lotto432 KINGDOM66 panama888 sexygame1688 1688sagame Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ lotto77 SAGAME1688 SEXYGAME1688 Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ สล็อต เกมสล็อต slot game

ตอนที่ 297.1 อำลา[ภาค 5 เต๋ามองเต๋า]

ufac4

ตอนนั้นลู่ไถชี้ไปที่ประตู บอกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้น นอกวงการคือวรยุทธ์ แต่ในวงการกลับเป็นบนภูเขาแล้ว

เขาพูดซะจนเฉินผิงอันนึกอยากจะดื่มเหล้า

หลังจากนั้นป้อมอินทรีบินก็ครึกครื้นขึ้นมา ความครึกครื้นทำให้มีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบที่ใกล้เคียงคำว่าเงียบเป็นป่าช้าก่อนหน้านี้ ป้อมอินทรีบินในเวลานี้ทำให้คนสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพราะมียอดฝีมือต่างถิ่นสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ หรือปรมาจารย์สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างที่ป้อมอินทรีบินคุ้นเคย แต่เป็นคนประเภทที่ท่าทางลึกลับ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่เหอที่แปลกประหลาดมากพอแล้ว สองคนนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้ยิ่งกว่า

ชายวัยกลางคนที่เจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินเชื้อเชิญมา กำลังเดินจูงม้าสีขาวไปตามตรอกเล็กใหญ่ สองข้างของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ไว้สองมัดใหญ่ ทุกครั้งที่คนและม้าหยุดเดิน บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือจะต้องเผากิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะใช้หินจุดไฟ เพียงแค่ใช้สองนิ้วถู กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ก็ติดไฟลุกไหม้ด้วยตัวเอง แผ่กลิ่นหอมสดชื่นเป็นระลอกให้ลอยอวลไปในอากาศ

คนของป้อมอินทรีบินที่มามองดูอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวที่เชี่ยวชาญด้านปฏิทินเหลือง พอเห็นภาพนี้ก็เริ่มโอ้อวดความรู้ บอกว่านี่เรียกว่าเปลวไฟในศาล คือวิชาตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากวิชาหนึ่ง สามารถขับไล่ความชั่วร้ายและสิ่งสกปรก เพราะต้นสนคือต้นไม้แห่งความอายุยืน ถูกขนานนามว่าสือปากง ตำแหน่งเทียบเท่ากับท่านกั๋วกงในราชสำนัก ส่วนต้นไป่นั้นก็คือท่านโหวที่ตำแหน่งรองลงมาจากต้นสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นต้นสนและต้นไป่จากขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางแห่งก็จะยิ่งสูงศักดิ์ ดังนั้นเมื่อเผากิ่งสนกิ่งไป่ รวมกับการท่องคาถาของตระกูลเซียนจึงสามารถช่วยให้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อเทียบกับแส้ปัดฝุ่นและม้าขาวของบุรุษร่างสูงใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าอีกคนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจึงดูบ้านๆ กว่ามาก รูปร่างหน้าตาสู้คนในวงการเดียวกันอีกคนไม่ได้ วิธีการที่ใช้ก็ดูเหมือนวิธีการของคนบ้านนอก ดังนั้นคนของป้อมอินทรีบินที่มามุงดูจึงมีไม่มากนัก กล่าวกันว่าตัวตนของผู้เฒ่าคืออาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง คือนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านหนึ่ง เป็นสหายที่รู้จักกันบนยุทธภพของอดีตเจ้าประมุข คราวนี้ผู้เฒ่าที่อยู่บนภูเขานับนิ้วทำนาย ผลคำทำนายบอกว่าป้อมอินทรีบินประสบเคราะห์กรรม ถึงได้ลงจากภูเขามาช่วยขจัดภัยให้กับที่นี่

ผู้เฒ่ามอซอไม่ได้สวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า ทั้งไม่ได้วาดยันต์เดินเหยียบพายุลมกรด แค่บอกให้คนไปจับไก่ตัวผู้มาเจ็ดแปดตัว แล้วเอาไปแขวนไว้ตามสถานที่ต่างๆ อย่างประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน หน้าประตูศาลบรรพชน บ่อน้ำ สนามฝึกวรยุทธ์ เป็นต้น จากนั้นก็คอยจับตามองไก่ตัวผู้เหล่านั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตรงเอวห้อยถุงเล็กๆ ใบหนึ่งที่บรรจุข้าวเหนียวไว้เต็มถุง แล้วยังมีน้ำสะอาดอีกหนึ่งกา เอาไว้คอยป้อนให้กับไก่ตัวผู้ทั้งหลาย แต่น้ำในกากลับไม่ได้เอามาจากในบ่อน้ำที่ป้อมอินทรีบินใช้กินดื่มกันทุกวัน แต่เป็นน้ำพุที่ให้หวงซ่างลูกศิษย์ไปเอามาจากภูเขาลึกที่ห่างออกไป

เฉินผิงอันกับลู่ไถแยกย้ายกัน ลู่ไถชอบดูเซียนซือจากไท่ผิงซานผู้นั้นแสร้งแกล้งผีหลอกเจ้า ส่วนเฉินผิงอันกลับไปสังเกตดูวิธีการของผู้เฒ่า คนวงนอกมองเห็นเป็นเรื่องสนุก คนวงในมองเห็นเคล็ดลับวิธีการ เฉินผิงอันอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ แม้จะมองที่มาของวิธีการที่ผู้เฒ่าใช้ไม่ออก แต่ก็แน่ใจได้ว่าทุกสถานที่ที่แขวนไก่ตัวผู้เอาไว้ ลมหยินเยียบเย็นและปราณชั่วร้ายเจือจางลงไปหลายส่วน เหมือนสองกองทัพที่คุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของอีกฝ่าย แต่การถอยหนีเช่นนี้กลับไม่มีใครบาดเจ็บและล้มตาย เป็นการหลบไปซ่อนในที่มืดเพื่อรอจังหวะให้ลงมือเท่านั้น

ตอนที่ผู้เฒ่าป้อนข้าวเหนียวและน้ำสะอาดให้กับไก่ตัวผู้ จากสีหน้าเป็นกังวลของเขาพอจะมองออกได้ว่านักพรตเฒ่าเองก็มองเบาะแสออก อารมณ์จึงไม่ผ่อนคลายเท่าใดนัก

ส่วนบุรุษถือแส้ที่เดินอาดๆ โอ้อวดตนไปทั่วตรอกซอกซอยนั้นกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับว่าแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เสนียดจัญไรและผีร้ายทั้งหลายก็จะแหลกลาญสิ้นซาก

สองพี่น้องหลวนฉางและหลวนซูรับผิดชอบคอยเปิดทางให้คนผู้นี้

เถาเสียหยางที่สีหน้าซีดขาว ไออยู่บ่อยๆ ได้แต่เดินตามหลังนักพรตเฒ่าไปพร้อมกับหวงซ่าง

ลู่ไถไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ใครมีตบะสูงต่ำ บอกแค่ว่าบุรุษคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจากไท่ผิงซานของใบถงทวีปอะไรนั่นแน่นอน ส่วนผู้เฒ่ามอซอคือนักพรตบนภูเขาจริงสมชื่อ ชื่นชอบความสันโดษ มีจิตใจเมตตารักสงบ เห็นภูเขาและแม่น้ำเป็นดั่งเพื่อนบ้าน

ไท่ผิงซานคือสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีป เมื่อเทียบกับสำนักฝูจีแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าเก็บตัวจากโลกภายนอกจนแทบจะเรียกได้ว่ารังเกียจโลกภายนอก น้อยครั้งนักที่จะมีผู้ฝึกตนลงมาจากภูเขา เป็นสถานที่รวมตัวกันของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านวิชาโอสถในและโอสถนอก ขนาดลู่ไถที่อยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่ว่าชื่อเสียงในโลกเทียบกับสองสำนักอย่างใบถงและกุยหยกไม่ติด

วันเวลาที่เงียบสงบและสันติสุขผ่านไปอีกสองวัน

ต่อให้เป็นชาวบ้านของป้อมอินทรีบินที่อาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอยก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสีท้องฟ้า

รุ่งอรุณที่เดิมทีดวงอาทิตย์ควรจะลอยขึ้นฟ้า อากาศเหนือป้อมอินทรีบินกลับเต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดทะมึนซ้อนเรียงกันหนาชั้น ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ป้อมอินทรีบิน ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับจิตใจของทุกคน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือประกาศแล้วว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ให้พวกนักเรียนรีบกลับบ้าน นี่ทำให้เด็กๆ ชอบใจกันยกใหญ่ ระหว่างทางที่กลับบ้านจึงจับกลุ่มกัน ชี้ไม้ชี้มือใส่เมฆดำเหล่านั้น บอกว่านั่นคือตะขาบตัวหนึ่ง บางคนก็บอกว่าคือควายตัวหนึ่ง สุดท้ายเห็นก้อนเมฆสีดำเป็นเหมือนใบหน้าของหญิงสาวที่แสยะยิ้มอย่างดุดัน ทำเอาพวกเด็กๆ ตกใจวงแตก รีบวิ่งกลับบ้านใครบ้านมันทันที

เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดในลานบ้านสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้มานานแล้ว ลู่ไถนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินขยับนิ้วทำมุทราพยากรณ์ สีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ

เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ควรส่องแสง ท้องฟ้ากลับมืดดำราวกับยามค่ำคืน แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดมาถึงป้อมอินทรีบินได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

เฉินผิงอันได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนลุกลอยแว่วผ่านไปในซอยด้านนอกอีกครั้ง

เขาจึงหยุดการฝึกหมัด วิ่งไปเปิดประตู หมุนตัวเงยหน้าขึ้นมอง ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนลงบนกระดาษยันต์ธรรมดาแผ่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็ไหลหายไปอย่างต่อเนื่อง จึงกลายมาเป็นหม่นมัวไร้ประกายแสง กระดาษยันต์สีเหลืองที่เดิมทีใหม่เอี่ยมอ่องกลับเหมือนกลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูมานานเกินครึ่งปี สีสันซีดเซียว รอยยับย่นเต็มไปหมด และยังมีหลายจุดที่มีก้อนหมึกสีดำแทรกซึมเข้ามา มิน่าเล่าผีร้ายพวกนั้นจึงกล้าปรากฎตัวมาท้าทายอีกครั้ง

ลู่ไถที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเดินออกจากประตูบ้านมายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน มองอักษรมหัศจรรย์สีชาดที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมสภาพแผ่นนั้นแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในยุคสมัยที่ห่างไกลจากปัจจุบันนี้ไปนานมาก ยันต์ที่คนที่มีตบะเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดวาดออกมาก็แค่ถือว่ามีความรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น ยันต์ที่คนซึ่งมีศักยภาพเท่ากับขอบเขตเก้าเป็นผู้วาดถึงจะเรียกได้ว่ามีความชำนาญอย่างแท้จริง ดังนั้นยันต์ในยุคสมัยนั้นจะมีอานุภาพมากเท่าไหร่ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ และหนึ่งในนั้นยังมี ‘อาจารย์ซานซานจิ่วโหว’ ที่คลุมเครือยากจะเข้าใจ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักยันต์ดั้งเดิม’ น่าเสียดายก็แต่พอมาถึงคนรุ่นหลังอย่างพวกเรากลับไม่รู้เลยว่าคำกล่าวนี้หมายถึงคนคนหนึ่ง หรือเป็นแค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งกันแน่”

เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าปลดยันต์ชิ้นนั้นลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

รอบด้านพลันมีเสียงตีกลองดังอึกทึกขึ้นมาทันที ไอน้ำผุดขึ้นมาจากถนนดินของตรอกเล็กแล้วแผ่อบอวลไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกไอน้ำสูงเท้าตาตุ่ม จากนั้นก็สูงเท่าหัวเข่า แล้วเลยมาถึงเอวอย่างรวดเร็ว

ราวกับว่าเฉินผิงอันเปิดฝาหม้อออกแล้วไอน้ำลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าไอน้ำที่ลอยจากเตาไฟมักจะเป็นกลิ่นหอมของข้าวและอาหารร้อนกรุ่น แต่ไอน้ำในตรอกแห่งนี้กลับชื้นแฉะเหนียวเหนอะ แผ่กลิ่นคาวจางๆ

เฉินผิงอันหันหน้ามองไป ยังดีที่ไอน้ำนี้ไม่ได้กรูไปตามบ้านเรือนของชาวบ้านในรวดเดียว เพียงแต่ว่าภาพเทพทวารบาลรูปแบบต่างๆ ที่แปะไว้บนประตูบ้านแต่ละหลัง ไม่ว่าจะเป็นอริยะฝ่ายบู๊หรือเทพโชคลาภบุ๋นบู๊อะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนส่งเสียงซี่ๆ ดังแผ่วเบา ปราณวิญญาณน้อยนิดที่เดิมทีก็สลายไปจนเหลือเพียงบางเบา เวลานี้ก็ยิ่งลอยหาย ไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้อีก

ท่ามกลางการมองเห็นของเฉินผิงอัน คนโตและเด็กที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวคู่นั้นปรากฎตัวที่สุดปลายของตรอกเล็กอีกครั้ง เด็กน้อยยังคงหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน ดวงตาสีแดงสดมีเลือดซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง ไหลรินเป็นสายบนใบหน้าขาวซีด เพียงแต่ว่าเลือดพวกนั้นกลับไม่หยดหายไปจากใบหน้า แต่เหมือนไส้เดือนที่เลื้อยกลับขึ้นไปผลุบเข้าผลุบออกอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ราวกับเห็นว่าดวงตาของเด็กน้อยเป็นรังของพวกมัน

บนใบหน้าผู้ใหญ่ที่จูงเด็กน้อยกลับไม่มีเครื่องหน้า ราวกับสวมผ้าขาวผืนหนาทับลงไป ทำให้คนมองไม่เห็นหูคิ้วตาจมูกปาก

มีวัตถุหยินสกปรกน่าสะพรึงกลัวมากมายพากันเดินเข้ามาหาบ้านที่ตั้งอยู่สุดตรอกหลังนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งที่ดวงตาเหมือนดวงตาปลาตาย มือและเท้าสัมผัสพื้นไต่อยู่บนกำแพงอย่างว่องไว ปากก็พร่ำพูดใส่เฉินผิงอันว่าจะกินเนื้อ

และยังมีเด็กหลายคนที่นั่งยองพิงกำแพง สองแขนกอดเข่า ศีรษะซบลงบนหัวเข่า ส่งเสียงสะอื้นลอดไรฟันอย่างน่าขนลุก เดี๋ยวดังเดี๋ยวหาย ล่องลอยไปตามสายลม คล้ายต้องการฟ้องถึงความทุกข์ในใจ เพียงแต่ว่าอายุน้อยเกินไปจึงพูดจาไม่เป็นคำ คนฟังจึงได้ยินไม่ชัดเจน

แม้ว่าเฉินผิงอันจะเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่เคยกลัว

ลองจินตนาการดู เด็กชายคนหนึ่งอายุแค่สี่ห้าขวบก็กล้าวิ่งไปที่สุสานเทพเซียนเพียงลำพัง จะลมหรือฝนก็ไม่อาจขัดขวางเขาได้ และหลังจากฝึกวิชาหมัดมา หากนับรวบใบถงทวีปนี้ นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ออกเดินทางไกล ความแปลกประหลาดแห่งภูเขาและแม่น้ำที่พบเจอมาตลอดทางมีให้เห็นนับไม่ถ้วน มีหรือจะมาตกใจกลัวการข่มขู่แบบนี้

เด็กที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดเหมือนใยแมงมุมจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ตอนที่มันเบี่ยงหน้าจ้องตากับเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดว่า “เนื้อของเจ้าหอมมาก ขอให้ข้ากินสักสองสามคำได้หรือไม่? ข้าแค่ต้องการหัวใจของเจ้าครึ่งดวง ได้ไหม?”

เด็กคนนี้พูดช้ามาก อีกทั้งเท้ายังก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด รอจนสองคำว่า ‘หัวใจ’ หลุดออกมาจากปากก็หันหลังให้เฉินผิงอันแล้ว แต่หัวของมันกลับไม่ได้หมุนตาม ยังคง ‘จ้องตา’ อยู่กับเฉินผิงอัน มันยังแลบลิ้นสีดำสนิทมาเลียคราบเลือดตรงมุมปากด้วย

หญิงชราที่ไต่อยู่บนกำแพงลงมือโจมตีเป็นคนแรก มันกระโดดขึ้นสูงแล้วกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะมอง เดินออกไปก้าวหนึ่ง ลงจากบันได ไม่รอให้รองเท้าหุ้มแข้งสัมผัสพื้นของตรอกก็ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปอย่างง่ายๆ โจมตีเข้าที่ศีรษะของหญิงชราคนนั้น หญิงชราวัตถุหยินถูกต่อยจนกระเด็นไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างหลัง แล้วร่างก็ระเบิดแตกดังปัง มันไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนเลยด้วยซ้ำ

พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ วัตถุหยินที่อยู่ในตรอกก็ระเบิดความดุร้าย ควันดำพากันกรูเข้ามา วัตถุหยินที่เกิดจากการรวมตัวกันของความอาฆาตแค้นหลังจากตายไปพุ่งเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่ง

มือข้างหนึ่งที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ใช้มือขวารับมือศัตรูแค่มือเดียว

ปณิธานหมัดยังคงถูกกะประมาณได้อย่างพอดี ไหลรินผ่านแขนขวาเท่านั้น พายุลมปราณที่รวมตัวกันก็ไม่กระจายออกไปข้างนอก ทว่าทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกไปล้วนต่อยให้วัตถุหยินที่พุ่งมาอย่างดุร้ายร่างแหลกสลาย

ปณิธานหมัดเพียงเท่านี้ สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้วก็เหมือนการดึงเอาน้ำหนึ่งถังออกมาจากในบ่อลึกหนึ่งบ่อเท่านั้น

ในสายตาของวัตถุหยินกลุ่มนั้น แขนข้างนั้นของเด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนกับ ‘แสงแดด’ เล็กๆ ร้อนแรงแสบตาที่แหวกม่านรัตติกาลเข้ามา

เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตา วัตถุหยินในตรอกเล็กที่บุกโจมตีอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็หายไปแล้วถึงเจ็ดแปดในสิบส่วน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลู่ไถไปนั่งอยู่บนธรณีประตู ยิ้มตาหยีมองดูเฉยๆ โดยไม่ให้ความช่วยเหลือ

เด็กที่บอกว่าจะกินหัวใจของเฉินผิงอันสลัดมือจากผู้ใหญ่ที่จับอยู่ พุ่งตัวหายวับไป ก่อนจะมาปรากฏอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ทำฝ่ามือเป็นดาบแทงเข้าหาหัวใจด้านหลังของเขา พยายามจะให้มือดาบคว้านจากแผ่นหลังทะลุไปถึงหัวใจ

มือดาบพุ่งมาว่องไว เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่เด็กน้อยคิดว่าตัวเองจะทำสำเร็จนั้นเอง มันพลันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ที่แท้เมื่อนิ้วทั้งห้าของมันสัมผัสเข้ากับชุดคลุมสีขาวก็รู้สึกเหมือนหิมะพุ่งชนใส่เตาไฟแล้วหลอมละลาย ไม่ทันได้หดมือกลับมา มือเกินครึ่งก็หายไปทั้งอย่างนี้

มือซ้ายที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว หางตาคอยจับจ้องวัตถุหยินที่ไม่มีเครื่องหน้าทั้งห้านั้นอยู่ตลอดเวลา เขาแค่ขยับมาด้านหลัง ชนเข้ากับเด็กวัตถุหยิน พอชุดคลุมอาคมจินหลี่สัมผัสโดนฝ่ายหลัง ร่างของเด็กน้อยก็เหมือนเปลวเทียนที่หลอมละลาย กลายเป็นควันดำที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งกลุ่มหนึ่ง เตรียมจะเผ่นหนีไปไกล แต่เฉินผิงอันกลับหันตัวกลับมา บิดหมุนข้อมือ เหวี่ยงหมัดต่อยเป็นวงโค้งแนวขวาง ต่อยจนควันดำกลุ่มนั้นไม่เหลือร่องรอย

ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “แบบนี้เรียกว่ารังแกคนอื่นแล้วนะ”

เฉินผิงอันเบ้ปาก “ใช่คนเสียที่ไหน”

เฉินผิงอันพลันหันตัวกลับ มองไปยังสุดปลายอีกฝั่งของตรอกเล็ก

ที่แท้บ่อน้ำที่อยู่ติดกับถนนบ่อนั้นมีน้ำในบ่อไต่ขึ้นมา อาศัยไอน้ำที่ปกคลุมอยู่บนถนนไหลออกจากบ่ออย่างว่องไว แล้วพุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ตอนที่ไหลผ่านปากตรอกเข้ามา ‘เห็น’ ภาพที่เฉินผิงอันกำราบวัตถุหยินเด็กตนนั้นพอดี หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย น้ำในบ่อก็ถอยกรูดกลับไปด้านหลัง

เฉินผิงอันยื่นมือขวาออกมาจากชายแขนเสื้อ เห็นเพียงว่าปลายนิ้วคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจใหม่เอี่ยมออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ในใจเรียกหาสืออู่ กระบี่บินเล็กจิ๋วสีเขียวมรกตพุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ วาดผ่านด้านหลังของเฉินผิงอันมาแล้ว ปลายกระบี่ของสืออู่ก็ปักตรึงยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ลากพายันต์สีเหลืองที่ส่องแสงสีทองพุ่งไปไกลด้วยกัน

ยันต์แผ่นนี้เดิมทีควรใช้รับมือกับวัตถุหยินที่จูงมือเด็กคนนั้น แต่พอประมือกันมาได้ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็แน่ใจแล้วว่าแค่หมัดก็เพียงพอ

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset