https://ufanance.com ufafat Lockdown168 hydra888 lotto432 KINGDOM66 panama888 sexygame1688 1688sagame Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ lotto77 SAGAME1688 SEXYGAME1688 Casino ออนไลน์ Casino ออนไลน์ สล็อต เกมสล็อต slot game

ตอนที่ 316.2 คนอื่นช่วงชิงการข้ามผ่าน ข้าฝ่าทะลุขอบเขต

ufac4

เมื่อเผชิญกับสายตาของลู่ฝ่าง เซวียยวนก็แค่ส่ายหน้า เมื่อเทพแปดกรผู้นี้ขยับกระดูกสันหลังก็คล้ายเจียวหลงเงยหัว พลังอำนาจของเซวียยวนพลันแปรเปลี่ยน นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดที่ปรมาจารย์ซึ่งเคยเป็นสิบคนในใต้หล้าสมควรมี สีหน้าของเซวียยวนเปลี่ยนมาเป็นมืดทะมึนน่าสะพรึงกลัว เขาคำรามกร้าวอย่างคั่งแค้น คำพูดเต็มไปด้วยความอาฆาตและชิงชังที่สั่งสมมาเนิ่นนาน “เจ๋อเซียนที่สูงส่งอย่างพวกเจ้าสมควรตายกันไปให้หมด! ใช่ สายตาอย่างเจ้าลู่ฝ่างในตอนนี้นี่แหละ ทั้งๆ ที่เป็นหงส์ปีกหักเทียบกับไก่สักตัวไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังทำแบบนี้กับทุกคนบนโลก มองทุกคนเหมือนเป็นมดตัวหนึ่ง!”

ลู่ฝ่างไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

แต่เขารู้ดีว่าศึกสุดท้ายในชีวิตก็คือวันนี้แล้ว จึงไม่มีความสนใจมากนัก ตอนที่ประมือกับคนหนุ่มก่อนหน้านั้นก็เป็นเช่นนี้ การเข่นฆ่ากับเซวียยวนที่ฉวยโอกาสยามที่ผู้อื่นอ่อนแอนี้ก็ยิ่งมีแต่ความรำคาญใจ

และเวลานี้เองเซวียยวนที่เพิ่งจะถอนการอำพรางตัวออก กลายมาเป็นดั่งองค์เทพที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์กลับตัวแข็งค้างในเสี้ยววินาที เพราะเขาถูกคนบีบคอมาจากด้านหลังแล้วยกร่างจนลอยขึ้นทีละนิด

เซวียยวนเหมือนงูตัวหนึ่งที่ถูกตีเข้าจุดตาย แม้แต่จะดิ้นรนก็ยังทำไม่ได้ สองเท้าลอยพ้นจากพื้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่ลอบโจมตีผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มองพวกเจ้าเป็นดั่งมดแล้วอย่างไร ก็ไม่ผิดสักหน่อย เพราะเดิมทีพวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

เสียงกร๊อบดังขึ้น เซวียยวนถูกคนผู้นั้นหักคอแล้วโยนไปไว้ข้างทาง

สตรีแต่งงานแล้วเจ้าของร้านเหล้ากรีดร้องเสียงดัง ลูกค้าในร้านก็ตะโกนโหวกเหวกว่าฆ่าคนแล้วๆ พลางแตกฮือกันไปคนละทิศคนละทาง

ไม่มีเซวียยวนบดบังสายตา จึงเห็นว่าคนผู้นั้นคือคุณชายเจ้าสำอางคนหนึ่ง เขาก็คือโจวเฝยที่เพิ่งเดินทางมาจากวัดจินกัง

ในมือของโจวเฝยยังหิ้วศีรษะที่ตายตาไม่หลับของคนผู้หนึ่งเอาไว้ เขาโยนมาข้างหน้า ศีรษะกลิ้งหลุนๆ เลือดไหลนองอยู่เบื้องหน้าลู่ฝ่าง

นั่นคือศีรษะของใบหน้ายิ้มเฉียนถัง

จากนั้นโจวเฝยก็โยนขลุ่ยอันเล็กตามมา

ลู่ฝ่างทรุดตัวลงช้าๆ ลูบไปบนใบหน้าของศีรษะนั้นเบาๆ เพื่อให้สหายรักได้ตายตาหลับ เขามองใบหน้ายิ้มอย่างเหม่อลอย ไม่ได้มองโจวเฝย แล้วก็ไม่ได้เก็บขลุ่ยเล็กอันนั้นกลับมา เพียงแค่ถามเสียงสั่นว่า “ทำไม?”

โจวเฝยเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลู่ฝ่างกลายเป็นเศษสวะเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้? เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อผ่านด่านความรัก ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดไม่อาจผ่านด่านไปได้ นี่ก็ยังพอทำเนา เพราะอย่างมากก็แค่กลับไปโดยไร้คุณความชอบ แต่นี่สุดท้ายขนาดหัวคนตายคนหนึ่งที่ไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าก็ยังหยิบไม่ขึ้น วางไม่ลง ลู่ฝ่าง ต่อให้เจ้ากลับไปใบถงทวีป อย่าว่าแต่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเลย ข้าเชื่อว่าแม้แต่ก่อกำเนิดเจ้าก็ไม่มีทางได้แตะ!”

โจวเฝยย่อตัวลงนั่งยอง “ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร? ข้าผู้อาวุโสที่เป็นถึงเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยกอุตส่าห์เดินทางมาพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นเพื่อนเจ้า เสียเวลาไปนานหลายปีขนาดนี้ล่ะเพื่ออะไร?”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระบี่ต้าชุนวางนอนอยู่ข้างเท้าลู่ฝ่างเงียบๆ บวกกับขลุ่ยเล็กหนึ่งอันและศีรษะคนหนึ่งหัวที่ต่างก็นอนอยู่บนถนนเส้นนี้

ห่างไปไกลด้านหลังโจวเฝยคือโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมืองกลุ่มนั้น บางคนเรือนกายอรชนอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิ่ว บางคนอวบอิ่มเหมือนเมล็ดข้าวฟ่างที่เติบโตเต็มที่ในฤดูใบไม้ร่วง

ลู่ฝ่างเงยหน้าขึ้น “ทำไมไม่ไปหาโจวซื่อก่อน?”

โจวเฝยพูดยิ้มๆ อย่างโมโห “ลูกชายตายไปก็มีใหม่ได้ แต่หากเจ้าลู่ฝ่างมาตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็จะต้องเสียเวลาไปอีกหกสิบปีงั้นรึ?”

โจวเฝยลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ยังคงความงดงามมีเอกลักษณ์มาข้างกาย “ไป ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนศิษย์พี่ลู่ที่ปีนั้นเจ้าให้ความเคารพนับถือมากที่สุดสักหน่อย ไม่ได้เจอกันมานานขนาดนี้ พวกเจ้าต้องมีเรื่องคุยกันเยอะแน่”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าซีดขาว

โจวเฝยตบหน้านางเบาๆ “เด็กดี ฟังข้า”

แผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของโจวเฝยพลันหายวับไป

หญิงสาวเหล่านั้นเหมือนนกที่สยายปีกบิน พากันพุ่งทะยานจากไป อาภรณ์โบกสะบัด เข็ดขัดหลากสีลอยอยู่กลางอากาศ ภาพที่งดงามอ่อนหวานนี้ทำให้คนเดินถนนบริเวณใกล้เคียงมองอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

ลู่ฝ่างลุกขึ้นยืน พูดกับหญิงสาวที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยผู้นั้นว่า “นั่งลงคุยกัน?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับอย่างระมัดระวัง

คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เถ้าแก่เนี๊ยะร้านเหล้านั่งยองหลบอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ลู่ฝ่างจึงไปหยิบเหล้าสองกามาด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ลู่ฝ่างรินเหล้า สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ตำหนักคลื่นวสันต์มานานหลายปี เคยชินกับการปรนนิบัติคนมานานแล้วรีบลุกขึ้นยืน รินเหล้าให้ลู่ฝ่าง จากนั้นถึงรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

ลู่ฝ่างไม่ได้มองใบหน้าที่เคยทำให้คนใจสลายได้ แค่เหลือบมองนิ้วเรียวยาวดุจต้นหอมที่บำรุงรักษาอย่างดีจนเหมือนนิ้วของสาวแรกแย้มคู่นั้นของนาง เขายกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม

สตรีแต่งงานแล้วโล่งอก พอคิดแล้วก็ลุกขึ้นไปเก็บขลุ่ยเล็กและกระบี่ต้าชุนที่อยู่บนถนนนอกร้านเหล้ากลับมาให้ลู่ฝ่าง แม้แต่ศีรษะของใบหน้ายิ้มนางก็เก็บมาด้วย เพียงแต่เอาวางไว้บนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง พอนั่งลงแล้วนางก็คลี่ยิ้มหวานล้ำ

ลู่ฝ่างถือถ้วยเหล้าไว้มือหนึ่ง หันหน้าไปมองยังถนนที่ว่างเปล่า

เขาเหมือนเห็นภาพเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เหมาะสมกันดุจคู่ฟ้าประทานกำลังวิ่งไล่ตีกันอย่างสนุกสนาน

……

ในสายตาของจ้งชิวมีเพียงคนหนุ่มชุดขาวเท่านั้น เขาเปิดปากพูดว่า “ระหว่างที่เจ้ากับข้าประมือกัน จะไม่มีใครยื่นมือเข้าแทรก ดังนั้นเจ้าจงปล่อยหมัดได้อย่างสบายใจ”

จ้งชิวเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “หากมีคนยังแอบลงมือต่อเจ้าอย่างลับๆ ข้าจ้งชิวจะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นติงอิงหรืออวี๋เจินอี้ก็ตาม”

เฉินผิงอันยกหลังมือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เผยให้เห็นบาดแผลเส้นหนึ่งบนแขนที่ลึกจนเห็นกระดูกขาว เพื่อสกัดกั้นกระบี่นั้นของลู่ฝ่าง ชายแขนเสื้อของชุดคลุมยาวสีขาวหิมะถูกฉีกเป็นรูใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุดคลุมอาคมจินหลี่เกิดความเสียหาย แม้จะบอกว่าเมื่ออยู่ที่นี่สมบัติอาคมต่างๆ ถูกพันธนาการไม่ให้เกิดประสิทธิผล แต่ระดับความยืดหยุ่นของมันยังคงอยู่ นี่จึงแสดงให้เห็นถึงพลังการสังหารอันเลิศล้ำของเวทกระบี่ลู่ฝ่าง

จ้งชิวพูดจบแล้วก็เริ่มเดินมาด้านหน้า

ฝีเท้ามองดูเหมือนเนิบช้า แต่อันที่จริงหนึ่งก้าวกลับยาวสองสามจั้ง อีกทั้งไม่มีริ้วคลื่นลมปราณให้เห็นแม้แต่น้อย

จ้งชิวคือราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน และก็ยังเป็นปัญญาชนที่มีความสามารถเพียบพร้อมทั้งการเขียนพู่กันและภาพวาด

แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนจำเป็นต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ หนึ่งหมัดหนึ่งเท้าล้วนสอดคล้องกับกฎระเบียบ

ปีนขึ้นไปบนยอดสูงสุดของภูเขาก็เพื่อกลายมาเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์และปราชญ์ด้านคุณธรรม

จ้งชิวเป็นทั้งสองอย่าง

ติงอิงดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้า แต่กลับชื่นชมจ้งชิว แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง

เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

การ ‘เดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย’ ของจ้งชิวทำให้เขาไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ติงอิงเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอ

มาดของคนที่ไร้ผู้ต่อกรของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันแค่พอจะเข้าใจไม่กี่ส่วน นั่นเป็นเพราะตบะแตกต่างกันมากเกินไป ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างไกลกันเกิน เฉินผิงอันจึงไม่อาจเข้าใจถึงจุดประสงค์สำคัญที่ซ่อนอยู่

วรยุทธ์ของผู้เฒ่าแซ่ชุยสูงส่งเกินไป แม้ว่าจะไม่ได้ใช้วิธีช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโต (ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา) กับเฉินผิงอัน แต่ทุกการไต่ทะยาน การก้าวเดินแต่ละย่างก้าวหลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตที่สี่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อเขามากนัก

ทว่ากลิ่นอายเฉพาะจากการที่ฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่งในตัวของติงอิงและจ้งชิวผู้นี้ ครั้งแรกที่เห็นเฉินผิงอันสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก แต่พอเห็นครั้งที่สองก็เริ่มเกิดการขบคิด จนพอจะเข้าใจได้บางส่วน

จ้งชิวเดินเข้ามาหาเขาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่ได้มีพลังอำนาจกร้าวแกร่งดุดันอย่างหม่าเซวียนจินกังชมพู ไม่ได้มีความอันตรายที่แฝงอยู่ในความแปลกประหลาดอย่างใบหน้ายิ้ม ยิ่งไม่มีการฉายประกายคมกล้าและการบุกรุดหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงของเฝิงชิงป๋ายที่จ้วงแทงกระบี่หมายฆ่าคนด้วยกระบี่เดียว

ไหล่ทั้งสองข้างของจ้งชิวส่ายเบาๆ อย่างยากจะสังเกตเห็น เกิดความมหัศจรรย์บนไหล่ที่สวมชุดยาวสีเขียวของเขา เหมือนกับว่ามีต้นสนโบราณทะยานเมฆพุ่งผ่านไป

หมัดหนึ่งของจ้งชิวพุ่งมาถึงด้านหน้าเฉินผิงอัน ไม่มีพายุหมัดแผ่ออกมาขนาดนอกแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่คลอเคล้าเสียงลมเสียงฟ้าผ่า

เนื่องจากการออกหมัดของจ้งชิวแปลกประหลาดเกินไป เฉินผิงอันจึงใจลอยไปครู่หนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากำลังลังเลว่าควรจะใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ารับมือศัตรูเพื่อพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกระทำ หรือควรจะใช้หมัดป้องกันที่พลิกแพลงมาจากท่าสยบเสินโถวใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ยังดีที่เฉินผิงอันละทิ้งตัวเลือกทั้งสองอย่างนี้ไปทันที เขาถอยกรูดไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็อาศัยสัญชาตญาณยกแขนข้างหนึ่งขึ้นบังใบหน้าของตัวเอง

หมัดของจ้งชิวต่อยลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน

แค่สัมผัสเบาๆ แล้วก็หยุด

ทว่าเฉินผิงอันกลับถูกหลังมือของตัวเองกระแทกหน้าอย่างแรง

ร่างกระเด็นปังออกไป

แต่แล้วเขาก็พลิกตัว ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่สองข้างพลิกตลบอยู่กลางอากาศ กลับมายืนนิ่งห่างออกไปสามจั้ง

จ้งชิวยังคงเอามือหนึ่งไพล่หลัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “วอกแวกไม่ใช่เรื่องดี”

มือซ้ายของเฉินผิงอันกำแน่นแล้วก็คล้าย ความรู้สึกชาวาบเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางฝ่ามือถึงได้หายไป

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคนนี้ช่างฉลาดนัก หากไม่มีการหยั่งเชิงครั้งนี้ ข้าก็ไม่กล้าแน่ใจว่าเจ้าใช่คนถนัดซ้ายหรือไม่ สิบหมัดที่ต่อยลู่ฝ่างนั้น เจ้าคงจะมั่นใจว่าลู่ฝ่างต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นระหว่างที่ต่อยจึงจงใจสลับหมัดซ้ายขวา ซ้ายหกขวาสี่ แสดงว่าเจ้าเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยสินะ?”

เฉินผิงอันไม่ตอบ

จ้งชิวก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ “การที่ข้าพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้กับเจ้าอย่างผิดวิสัยของตัวเองนั้น เป็นเพราะก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเหลือลู่ฝ่าง หมัดนั้นของข้าไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เจ้าใจลอย ข้าถึงได้ออมมือให้ ไม่ได้หวังสังหารในทันที แต่หลังจากนี้จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”

จ้งชิวหันไปพูดกับพวกเฝิงชิงป๋าย “ใครก็ห้ามแตะต้องนังหนูน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ…”

เฉินผิงอันพุ่งมาอยู่ข้างหลังจ้งชิวในเสี้ยววินาที เขาควงแขวนเป็นวงกว้าง แล้วพลันงอแขนปล่อยหมัดเต็มกำลังเหมือนลูกธนูพุ่งออกจากแล่ง กระแทกลงบนท้ายทอยของจ้งชิว

จ้งชิวค้อมตัว กระดูกสันหลังจึงเหมือนขุนเขาที่โก่งนูนขึ้นมา ซี่โครงซ้ายขวาเหมือนเจียวหลงว่ายวน ไม่ขยับหนีไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ฝืนรับหมัดดุดันที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังหนักอึ้งนี้ของเฉินผิงอันเอาไว้

เฉินผิงอันไม่ได้ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ทว่าปล่อยหมัดใหญ่แค่นั้น พลังอำนาจก็ใหญ่เท่านั้น แต่เมื่อมาเจอกับจ้งชิวที่เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำผู้นี้ เกรงว่าหมัดนี้คงต่อยลงความว่างเปล่า

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งที่ฝึกวรยุทธ์ได้อย่างลึกล้ำจะน่าหวาดกลัวจนถึงขั้นที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยินก็หลบภัยอันตรายได้โดยอาศัยความรู้สึก หรือถึงขั้นที่ว่าขณะกำลังหลับฝันก็สามารถฆ่าคนที่ขยับเข้ามาใกล้เตียงแล้วนอนหลับฝันหวานได้ต่อ

เฉินผิงอันแค่ใช้หมัดธรรมดาที่ออกแรงเต็มกำลังหมัดหนึ่ง บวกกับที่จ้งชิวยืนนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาซึ่งอยู่เหนือการคาดการณ์ของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้คิดจะสมใจปรารถนาด้วยหมัดเดียวหรือหยุดเมื่อพอสมควรจึงเป็นเรื่องยาก จ้งชิวปล่อยหมัดมาด้านหลัง กระแทกเข้าที่ซี่โครงของเฉินผิงอัน จนร่างของเฉินผิงอันลอยหวือออกไป เพียงแต่ว่าหมัดที่สองของจ้งชิวถูกเฉินผิงอันเตะปัดออก เขาจึงไม่มีโอกาสตามมาซ้ำ

คนทั้งสองยืนนิ่งอยู่ห่างกันอีกครั้ง

จ้งชิวกระตุกมุมปาก ที่แท้ราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนก็จงใจทำเช่นนี้เพื่อชดเชยหมัดที่ตัวเองลอบโจมตีอีกฝ่าย แน่นอนว่าก็เพื่อล่อเหยื่อด้วย

คนทั้งสองกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายแทบจะเวลาเดียวกัน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset