“หุบปาก”
ฐานะที่สูงส่งของหนานกงเย่ไม่อนุญาตให้เขาปกป้องผู้หญิงคนหนึ่ง เขาลูบหมอนหยกที่อยู่ข้าง ๆ และด้านหน้าเป็นลูกปัดหยก เขาใช้นิ้วมือตัดเส้นไหมแล้วกำลูกปัดหยกไว้ในมือ
มีคนเข้ามาที่ประตูสี่ห้าคน ทุกคนสวมชุดอำพรางสีดำและปิดหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินสองสามเล่มออกจากตัว:“สวรรค์มีทางให้แต่ท่านไม่เดิน นรกไม่มีทางที่จะบุกเข้ามาได้ ไปด้วยกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง คนสี่ห้าคนยังพอจะรับมือได้ นางเพียงแค่กลัวว่าจะมีคนลงมาจากข้างบน
คนที่เดินเข้ามาล้วนแต่เปื้อนเลือดและถือดาบไว้ในมือ บนดาบยังคงมีคราบเลือดติดอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นหายใจอย่างสงบ และเดินเข้าไปให้ฝ่ายตรงข้ามอีกสองก้าว ขอเพียงแค่ไม่เป็นวิชาตัวเบา ฝ่ายตรงข้ามก็น่าจะไม่เป็นปัญหา คนสมัยโบราณจะเรียนรู้การต่อสู้ต่าง ๆ แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่ในรายการทีวีนั้นน่าทึ่งมาก ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าผู้ที่สามารถต่อสู้ได้ดี ร่างกายจะกำยำแข็งแรง ในขณะที่การกระโดดข้ามกำแพงนั้นน่าจะเป็นเรื่องไม่จริง
ทั้งห้าคนชำเลืองมองกันและกัน หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นแล้วโบกไปข้างหน้า ทั้งห้าคนแยกจากกันในทันที และโอบล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นฉีดยาสองเข็มเข้าไปที่หนึ่งในนั้นก่อน เธอหันไปเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งแล้วอีกคนก็หลบ แต่คนข้างหลังเธอหยุดและล้มลงที่พื้น อีกสามคนที่ยืนนิ่งอยู่รีบโผเข้ามาหาฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นรีบหันหลังไปสกัดอีกคนหนึ่งไว้ แต่ในที่สุดนางก็ก้าวช้าไปหนึ่งก้าว หนึ่งในคนที่เข้ามาใกล้บีบคอของนาง ฉีเฟยอวิ๋นหยุด แววตาของชายชุดดำเปล่งประกายแห่งความเกลียดชัง และโบกมือให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคนรีบไปตามหาหนานกงเย่
แต่ในเวลานี้ ชายชุดดำที่เป็นผู้สั่งการได้ก้าวถอยหลังและมองไปที่มือด้วยความประหลาดใจ
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมาและขว้างเข็มเงินออกไปสองเข็ม จากนั้นคนสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอก็ล้มลงที่พื้นในทันที
นางไม่มีเวลาจะไปดูคนที่ถูกวางยาพิษ และรีบขวางอีกคนหนึ่งไว้ เมื่อเธอย้ายไปข้างหน้า อีกฝ่ายก็ฟันดาบลงมา หนานกงเย่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาและร่างของเขาก็ยังไม่ฟื้นตัว ตอนที่ฟื้นขึ้นมาเขาใช้พละกำลังมาก และในตอนนี้ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ เนื่องจากลมปราณและเลือดไหลเวียนอย่างรุนแรง เลือดจึงไหลออกมาไม่น้อยเลย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีเวลาคิด นางคว้าข้อมือของคู่ต่อสู้ แล้วหันหลังกลับไปดันดาบลงมา และเมื่อเห็นว่าดาบกำลังจะฟันมาที่ตัวเอง ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบหลบออกไป แต่ดาบก็พุ่งเข้ามาที่แขนของนาง และนางก็ถอยกลับไปสองสามก้าว นางมองไปที่แขนและเห็นว่ามีเลือดสีดำไหลออกมาจากแขน
“มีพิษ?”
มีเหงื่อออกที่หน้าผากและฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่ายืนไม่อยู่
“ตายซะ!”
หนานกงเย่ลุกขึ้นจากเตียงในทันที และลูกปัดหยกในมือก็พุ่งออกไปอย่างสุดกำลัง ชายชุดดำถูกลูกปัดหยกกระแทกหลังอย่างแรงจนล้มลงกับพื้นในทันที
หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน สายตาของเขาจ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“โง่เขลา!”
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วและกะพริบตา:“ฉันถูกพิษ!”
หาได้ยากจริง ๆ!
นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขับพิษ!
“ทหาร!” หนานกงเย่ตะโกนเสียงดังกึกก้อง
ด้านนอกมีเพียงเสียงลม และไม่มีใครตอบกลับมา
ฉีเฟยอวิ๋นหายใจลำบาก และเปลือกตาก็หนักอึ้ง ร่างกายของนางร้อนรุ่ม นี่คือปฏิกิริยาของพิษ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีกว่าใคร
หลังจากก้าวเดินอย่างยากลำบาก ฉีเฟยอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าร่างกายเอาพละกำลังมาจากไหน นางรีบวิ่งไปที่หนานกงเย่ หนานกงเย่ตกตะลึง และเขาก็พบว่าไม่ทันการณ์แล้ว เมื่อกี้ตอนที่ชายชุดดำฟันดาบลงมา ฉีเฟยอวิ๋นเอาตัวเองเข้ามาขวางไว้ เพื่อหยุดคู่ต่อสู้
ทันทีที่ร่างกายทรุดลง ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าคนทั้งคนกำลังจะถูกดึงออกไป ราวกับว่าวิญญาณของนางกำลังจะหลุดออกจากร่าง
“ฉีเฟยอวิ๋น!”
หนานกงเย่ตะโกนอย่างโกรธเคือง ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ตามด้วยเปลือกตาที่ค่อย
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน และบีบหยกในมือจนกลายเป็นผง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายชุดดำ เขายกมือขึ้นและเงยหน้าขึ้นมอง ความเย็นยะเยือกพุ่งออกมาจากตัวของเขา
ชายชุดดำกำลังจะโจมตีครั้งสุดท้าย และมีเสียงดังมาจากประตู เขาหันไปมองและไม่ทันจะได้คิดเรื่องนี้ก็หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงเย่พยายามที่จะอุ้มฉีเฟยอวิ๋น แต่เขาไ่มีแรงเลย
เขาล้มลงที่พื้น โดยอุ้มฉีเฟยอวิ๋นที่หมดสติไว้ในอ้อมแขน
เขาหลับตาลงและค่อย ๆ ผ่อนคลาย
เสียงดังปัง
ฉีเฟยอวิ๋นถูกพิษจนหมดสติไป หนานกงเย่ก็หมดสติเช่นกัน แม่ทัพฉีเห็นทั้งสองสมัครสมาน และเดินเข้าไปช่วยฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว:“อวิ๋นอวิ๋น อวิ๋นอวิ๋น……”
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูถูกยาพิษ ท่านดูที่แขนของนางสิ” รองแม่ทัพเฉารีบเตือนฉีจือซานมองดูและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา:“หมอหลวง หมอหลวง……”
รองแม่ทัพเฉารีบออกไปตามหมอหลวง
ฉีจือซานวางฉีเฟยอวิ๋นลงบนเตียง โดยไม่คำนึงถึงว่าหนานกงเย่ที่อยู่บนพื้นจะเป็นหรือตาย เขาร้องไห้เหมือนคนเจ้าน้ำตา ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้กล้าหาญและไร้เทียมทานในสนามรบ ในเวลานี้ร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ
เหล่าทหารที่ติดตามเขามานานหลายปีก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจ
ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะเป็นอย่างไร นางก็คือบุตรสาวของท่านแม่ทัพ หากไม่มีท่านแม่ทัพก็คงจะไม่มีพวกเขา
“อวิ๋นอวิ๋น ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้ว พ่อก็จะไม่อยู่แล้วเช่นกัน!”
ท่านแม่ทัพร้องไห้ด้วยความเสียใจมาก และหมอหลวงก็รีบเข้ามา รองแม่ทัพเฉาหมั่งถือหอกตามมาข้างหลัง
“ท่านแม่ทัพฉี ให้ข้าดูหน่อย”
หลังจากที่พูดจบ หมอหลวงเดินเข้าไป ท่านแม่ทัพฉีร้องไห้และพูดว่า:“เร็วเข้า ตรวจดูอวิ๋นอวิ๋นหน่อย”
หมอหลวงรีบเข้าไปจับชีพจร และใช้เวลานานกว่าจะกล้ามองไปที่ท่านแม่ทัพ เห็นได้ชัดว่านางตายแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หมอหลวงจึงไม่กล้าบอกความจริง
พระชายาถูกพิษร้ายแรง ต้องได้รับการขับพิษ ท่านแม่ทัพฉีหลบไปก่อน ข้าจะตรวจดูให้ละเอียด”
หมอหลวงปาดเหงื่อ เพื่อที่จะรักษาชีวิต เขาจึงทำได้เพียงพูดโกหก
แม่ทัพฉีเชื่อว่าเขาอุ้มบุตรสาวมาวางบนเตียงแล้ว ในเวลานี้เขาเพิ่งนึกถึงหนานกงเย่ และคิดว่ายังมีเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องบุตรสาวของเขา จึงกล่าวว่า:“ท่านรองแม่ทัพเฉา นำคนขึ้นมา”
เฉาหมั่งเดินไปที่ด้านหน้าของหนานกงเย่ และโน้มตัวลงไปนำคนขึ้นมาวางไว้บนเตียง ทั้งสองอยู่คนละข้างกัน และหมอหลวงก็แสร้งทำเป็นช่วยชีวิต
และหยิบยาขับพิษใส่เข้าไปในปากของฉีเฟยอวิ๋น แล้วไปตรวจดูอาการของหนานกงเย่ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังไม่ตาย
“รายงานท่านแม่ทัพฉี พระชายาเย่จำเป็นต้องรักษาแผล ข้าจะรักษาบาดแผลให้ท่านอ๋องเย่ก่อน ส่วนพระชายานั้น ชายหญิงไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวกันได้ จึงต้องขอให้ท่านแม่ทัพไปตามนางกำนัลมา”
“เฉาหมั่ง ไปตามแม่นมในวังมา”
“ขอรับ”
เฉาหมั่งหันหลังเดินออกไป ในขณะที่หมอหลวงกำลังรักษาบาดแผลให้หนานกงเย่ เขาก็กำลังคิดว่าจะหนีไปได้อย่างไร
เมื่อเทียบกับชีวิตของตัวเองแล้ว ชีวิตของท่านอ๋องเย่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร
ฉีจือซานรักบุตรสาวของตัวเองดั่งชีวิตของเขา บุตรสาวตายแล้ว เกรงว่าใครก็ไปอาจอยู่เป็นสุขได้ เขาไม่สามารถรักษาได้ จึงจำเป็นต้องหนี
ฉีจือซานเหลือบมองไปที่หมอหลวง:“เจ้ารีบจัดการ แล้วก็ไปรักษาให้อวิ๋นอวิ๋น”
“ขอรับ”
หมอหลวงรีบรักษาต่อ ในขณะที่ฉีจือซานกำลังรอให้แม่นมเข้ามา ในเวลานี้หนานกงเย่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“ฉีเฟยอวิ๋น”
เสียงต่ำและแหบแห้ง และหมอหลวงก็ตัวสั่น
“ท่านอ๋องเย่”
หนานกงเย่ค่อย ๆ มอง และความหนาวเย็นภายใต้ดวงตาสีดำของเขาก็ทำให้หมอหลงหวาดกลัว
หมอหลวงรีบถอยหลังไปแล้วคุกเข่าลง:“ท่านอ๋องเย่ ได้โปรดระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉีเฟยอวิ๋นล่ะ?” หนานกงเย่รู้สึกว่าอวัยวะภายในกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ อาจจะเป็นเพราะเลือดและลมปราณไหลย้อนกลับ
ฉีจือซานทำเสียงฮึอย่างดูถูกเหยียดหยาม:“ไม่ต้องกังวล พระองค์ยังไม่ตาย อวิ๋นอวิ๋นก็ยังอยู่ดี”
หลังจากที่พูดจบ ฉีจือซานก็ไปจับมือของบุตรสาว แต่มือของเขาสั่น ทำไมมือเย็น!