บทที่ 334 ความลำบากใจของฉูจงฉวน
บทที่ 334
ความลำบากใจของฉูจงฉวน
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฉูจงฉวน เขาถูกคนคนอื่นเห็นในตอนที่เขาถูกเฆี่ยนอย่างนั้นเหรอ?
ภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบของเขากำลังจะพังทลายลงแล้ว เขาควรจะทำอย่างไรดี
แต่ในวินาทีต่อมาฉูจงฉวนก็เห็นได้ถึงการแสดงออกเชิงล้อเลียนบนใบหน้าของลั่วอู๋ และหัวใจของเขาก็เต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเขาถูกโกง
“มันเป็นเรื่องจริงสินะ! ฉูจงฉวน มันเป็นฝีมือของผู้หญิงบ้าคลั่งที่ตีเจ้าในครั้งที่แล้วใช่ไหมล่ะ” ลั่วอู๋ถามด้วยความประหลาดใจ
ฉูจงฉวน รู้สึกอายและไม่ได้พูดตอบกลับไป เห็นได้ชัดว่าที่ลั่วอู๋พูดนั้นต้องถูกต้องไม่ผิดแน่
ถึงอย่างนั้นลั่วอู๋ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เจ้าจะไปพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนเดิมได้อย่างไร ?” ลั่วอู๋ถามอย่างสงสัย “เจ้าสงสารนางและออมมือให้รึเปล่า?”
ฉูจงฉวนพูดด้วยความโกรธ “ไม่มีทางที่ข้าจะเมตตายัยผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นแน่ ถ้าข้าเอาชนะนางได้ข้าจะหักขาของนางทิ้ง”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ได้ยินฉูจงฉวนพูดถึงผู้หญิงอย่าง “โหดร้าย” เช่นนี้
“ เจ้าเอาชนะนางไม่ได้งั้นเหรอ?” ใบหน้าของลั่วอู๋ตกอยู่ในความสับสน ความแข็งแกร่งของฉูจงฉวนนั้นถือว่าอยู่ในอันดับต้น ๆในสำนักเฉียนหลงเลยก็ว่าได้ “เป็นเพราะว่านางแก่และมีประสบการณ์มากกว่าเจ้าใช่รึเปล่า ?”
ใบหน้าของ ฉูจงฉวน แสดงให้เห็นถึงความขมขื่น “ไม่ ๆ ดูเหมือนว่านางจะเพิ่งฉลองวันเกิดปีที่ 19 ของนางไปไม่นาน”
ลั่วอู๋มองไปที่ฉูจงฉวน
ไม่ใช่อัจฉริยะทุกคนที่ต้องการจะเข้าร่วมสำนักเฉียนหลง บางทีก็มีผู้ที่ไม่ต้องการจะเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงอยู่ด้วยหรือบางทีก็อาจจะเพราะมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้ไม่สะดวกต่อการเข้าร่วมสำนักเฉียนหลง
แต่มันก็เป็นอะไรที่หาได้ยากจริงๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้วสำนักเฉียนหลงนั้นมีทั้งโอกาสในการเรียนรู้ฝึกฝนและทรัพยากรที่ดีกว่า
“หรือก็คือมีเด็กสาว ซึ่งมีพรสวรรค์เก่งกาจกว่าเจ้าและสามารถเอาชนะเจ้าได้ถึงสองครั้งติดต่อกันอยู่งั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม
ดวงตาของฉูจงฉวนเต็มไปด้วยความขมขื่น “เจ้าจำเป็นต้องพูดย้ำมันอีกรอบด้วยรึไง”
ลั่วอู๋กลอกตาแล้วพูดว่า “ฉูจงฉวน มันเป็นเพราะว่าเจ้าถูกหญิงสาวคนนั้นทิ้ง แต่ยังไปตามตอแยอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ ? นั่นคงเป็นเหตุที่ว่าทำไมนางถึงไล่ทุบตีเจ้า”
“ไม่มีทาง” ฉูจงฉวนดูเหมือนจะหงุดหงิด “ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ข้า ฉูจงฉวน ไม่ใช่คนแบบนั้น!”
ลั่วอู๋ครุ่นคิดสักพัก
เขาเองก็คิดอย่างนั้น
แม้ว่าฉูจงฉวนจะชอบอู้งานเพื่อออกไปในสถานที่ที่มีดอกไม้ไฟ และตรอกซอกซอยสถานบันเทิงต่าง ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยได้ยินคำว่า “ข้าถูกทิ้ง” ออกมาจากปากของฉูจงฉวน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วเจ้ามัวไปโอ้เอ้อยู่ที่ไหนมาล่ะ?”
“มาเข้าเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะ” ฉูจงฉวนพูดอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าฉูจงฉวนจะไม่ได้พูดออกมา แต่ลั่วอู๋ก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของกุหลาบมาจากร่างกายของเขา จากนั้นลั่วอู๋ก็เหลือบมองไปที่เขา “กลิ่นกุหลาบนี้มัน น่าจะมาจากห้องโถงของห้องโถงเสี่ยวเฉียง”
“ ไม่ก็ศาลาเสี่ยวเฉียง … ”
ทั้งสองแห่งเป็นร้านขายบริการที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ลั่วอู๋ถามอย่างเป็นกันเอง เพราะฉูจงฉวนนั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับคุณภาพ
ลั่วอู๋มองไปที่ฉูจงฉวนอย่างช่วยไม่ได้ “แต่เจ้าออกไปก่อนที่จะได้ทำอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นสินะ?”
“ก็เกือบใช่” ฉูจงฉวนหันริมฝีปากของเขา
ลั่วอู๋ ไม่เข้าใจ “แล้วทำไมเจ้าไม่กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉูล่ะ เหล่าผู้อาวุโสของเจ้า ขอให้ข้ามาตามตัวเจ้ากลับ หรือเจ้ากลัวว่าเมื่อเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉูแล้ว ผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นอาจจะบุกเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉูและเอาชนะเจ้าต่อหน้าคนอื่น ๆ ?”
“ไม่ ๆ ข้ากลับไปไม่ได้” ฉูจงฉวน กล่าวอย่างอ่อนแรง
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะ…”
ฉูจงฉวน รู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นเล็กน้อย
ลั่วอู๋สนใจและกระตุ้นเขา “เจ้าพูดออกมาได้น่า”
“ เพราะผู้หญิงบ้าคลั่งนั่นดักรออยู่ที่บ้านข้า” ฉูจงฉวน ลังเลที่จะพูด
ลั่วอู๋ดูสับสน
สถานการณ์นี้หมายความว่ายังไงกันแน่ ?
ผู้หญิงบ้าคลั่งที่เอาชนะฉูจงฉวนสองครั้ง กำลังรอให้เขากลับไปที่คฤหาสน์อย่างนั้นเหรอ?
ไม่น่าแปลกใจที่ฉูจงฉวน ไม่ต้องการที่จะกลับบ้านในตอนที่เขาอยู่ในเขตหวงชา เขาโกหกเพื่อมาซ่อนตัวอยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์แทน ตอนนี้เขาคิดว่าเรื่องน่าจะเป็นเช่นนั้น
“ใครคือผู้หญิงคนนั้นกันแน่เนี่ย?” ลั่วอู๋ถาม
“ อย่าถามข้า อย่าถามข้า” ฉูจงฉวนดูหดหู่
ลั่วอู๋ หน้าบึ้ง “อธิบายมาซะ”
“ข้าไม่บอก และอย่ามาถามข้าอีก”
“ตกลง ตกลง ข้าไม่ถามแล้วก็ได้” ลั่วอู๋ไม่ได้ถามเขาต่อ แต่เขาก็ได้รับรู้ว่ามันน่าจะมีเรื่องใหญ่ระหว่างผู้ชายใจร้ายและหญิงสาวที่กำลังหลงใหลในตัวเขา
หัวข้อสนทนาหยุดได้เพียงเท่านี้
ฉูจงฉวน ปรับสภาพจิตใจของเขาอย่างรวดเร็วแล้วจึงชี้ไปที่รองเท้าเหินฟ้า “เจ้าเห็นนี่ไหม มันคือรองเท้าเหินฟ้าที่ได้รับความนิยมมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ”
“ดูสิ ดูสิ”
ฉูจงฉวนรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างเห็นได้ชัด การที่เขาไม่สามารถบินขึ้นไปบนฟ้าได้เป็นปัญหาสำหรับเขาอย่างมาก แต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็สามารถชดเชยข้อบกพร่องนี้ได้ด้วยสิ่งนี้
“ข้าต้องเสียค่าใช้จ่าย 50000 หินวิญญาณเลยนะ ข้าเกือบจะไม่ได้มันแล้วด้วยซ้ำ” ฉูจงฉวนส่ายหัว “มันใช้งานง่ายมาก ใช้งานง่ายมาก ๆ แต่คุณภาพมันทั่ว ๆ ไป จนข้ากลัวว่ามันจะไม่ใช่ของดีเลยจริงๆ”
ลั่วอู๋ถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วทำไมเจ้าไม่ซื้อรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงสักคู่แทนล่ะ มันคุณภาพดีกว่ากันเยอะเลยนะ”
“มันแพงเกินไป” ฉูจงฉวน โค้งริมฝีปากของเขา “เจ้าไม่รู้เหรอว่าราคาของรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงมันมีราคาสูงถึง 600000 หินวิญญาณ และข้าก็ได้วิ่งวุ่นไปยังร้านค้าหลายแห่งเพื่อหาซื้อมันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแต่ละร้านค้าจะมีมันขายเพียงแค่หนึ่งหรือสองคู่เท่านั้น ”
“ข้าคิดว่าร้านค้าเหล่านี้ผิดศีลธรรมมาก มันเป็นการตลาดที่น่ากลัวจริงๆ ที่นำสินค้าออกมาในจำนวนน้อยเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าไอ้เวรที่ไหนเป็นคนคิดไอเดียนี้ขึ้นมา” ฉูจงฉวนบ่น
สีหน้าของลั่วอู๋มืดมนเล็กน้อย
ส่วนหลี่หยินที่รู้เรื่องราวภายในก็แอบหัวเราะออกมา
“ มีอะไรเหรอ? ทำไมเจ้าดูอารมณ์ไม่ดี ?” ฉูจงฉวนกล่าวอย่างสงสัย
ลั่วอู๋โยนรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงใส่ฉูจงฉวน “มันเป็นของเจ้าแล้ว ถ้ามันพังล่ะก็เอามาขอข้าไปอีกคู่ก็ได้”
ฉูจงฉวน รับรองเท้าเหินฟ้านั้นจากลั่วอู๋มา จากนั้นดวงตาของเขาสว่างขึ้นด้วยที่เขาได้ครอบครองรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงเป็นของเขาเองแล้ว!
“ข้าไม่อยากรับมันไว้เลยให้ตายสิ” ฉูจงฉวนกล่าวว่าไม่ แต่ร่างกายของเขาซื่อสัตย์มาก เขาเปลี่ยนเป็นรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงอย่างรวดเร็วอย่างมีความสุข “แล้วเจ้าไปได้มันมาจากไหนกันล่ะเนี่ย?”
ลั่วอู๋ตะคอก“ข้าเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง”
ฉูจงฉวน ตกตะลึง
“ รองเท้าเหินฟ้าขั้นเทพสุดอลังการนี้อ่ะนะ … ”
“ข้าเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง มีรอยตราของข้าอยู่ใต้รองเท้าเหินฟ้า เจ้ามีคำถามอะไรอีกไหม?”
ฉูจงฉวน มองดูใต้รองเท้าเหินฟ้ามันมีเครื่องหมาย “ความมืด” เล็ก ๆ อยู่ที่ด้านล่างของรองเท้าจริง ๆ
ไอ้นั่นมัน!
มันมาจากสำนักโล่พิทักษ์
“ ถ้าข้ารู้แต่แรกข้าก็คงจะไม่ต้องเสียหินวิญญาณไป 50000แบบนี้” ฉูจงฉวนรู้สึกรำคาญอยู่พักหนึ่งจากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นและมองไปที่ ลั่วอู๋ “เนื่องจากเจ้าเป็นคนผลิตรองเท้าเหินฟ้า เจ้ามีรองเท้าเหินฟ้าที่ดีที่สุดอยู่กับตัวด้วยใช่ไหม ขอให้ข้าคู่นึงสิ”
“หึ ไม่ ไปซะ”
“ท่านลั่ว ข้ารู้ว่าท่านให้ข้าได้!”
“กลิ้งออกไปไกล ๆเลย”
ทั้งสองเถียงกันเสียงดังและแล้วเวลาก็ผ่านไป
ฝูงชนต่างทยอยกันเข้ามา
เหวินเสี่ยวเองก็มาที่นี่เช่นกัน เขาดูจะเป็นมิตรกับลั่วอู๋และฉูจงฉวนเป็นพิเศษ พร้อมเข้ามาทักทาย
ซึ่งลั่วอู๋ก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
เหวินเสี่ยวหยิบเปลือกหอยที่เสียหายออกมาสามชิ้น พวกมันมีสีขาวบริสุทธิ์“ นี่คือเปลือกของสัตว์วิญญาณระดับเพชรราชินีหอยปีศาจ มันเป็นเศษเปลือกที่เหลือไว้โดยราชินีหอยปีศาจที่โตเต็มวัย หลังจากที่มันตายไปแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงชิ้น เล็ก ๆ แต่มันก็สามารถต้านทานทักษะที่มีผลต่อจิตใจได้ แต่จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งข้าอยากจะมอบให้พวกเจ้า ”
ราชินีหอยปีศาจเป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชรที่น่ากลัวและทรงพลัง
ขนาดเศษเปลือกหอยที่เหลืออยู่ของมันก็ยังมีถือว่าเป็นของที่ค่ามาก
เปลือกหอยขนาดใหญ่ถูกแปรรูปให้กลายเป็นเปลือกหลายร้อยชิ้น และเหวินเสี่ยวก็มีเปลือกนั้นอยู่ไม่กี่ชิ้นในมือของเขา
“มันเป็นของดีมากเลยไม่ใช่รึไงนั่น” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
เหตุใดเหวินเสี่ยว จึงได้คิดริเริ่มที่จะผูกมิตรกับตัวเอง? นี่มันแปลก ๆ
เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรน่า เจ้ารับมันไปเถอะ ข้าไม่มีเพื่อนมากนักในสำนักเฉียนหลง มีเพียงแค่พวกเจ้าเพียงไม่กี่คนและตัวข้าเอง”
ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็รับมันไป เมื่อเห็นว่าลั่วอู๋รับมันไปแล้วหลี่หยินเองก็รับมันไปด้วยเช่นกัน
ฉูจงฉวนที่มักจะทำตัวไม่สุภาพตลอดเวลา เขาเองก็รับมันมาแล้วจึงกล่าวขอบคุณ
เหวินเสี่ยวยิ้มอย่างมีสุขโดยมีภูตปีกแสงร่างบินลอยไปรอบ ๆ เขาพร้อมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างงดงาม
ไม่นานนักทุกคนก็มารวมกันที่จุดนัดพบจนครบ
จากนั้นในที่สุดทูตเฉียนหลงที่สวมหน้ากากมังกรทองก็ปรากฏตัวขึ้น เขานับจำนวนคนแล้วจึงเปิดประตูเข้าสู่สำนักเฉียนหลงขึ้น