ตอนที่ 1
ภายในห้องครูใหญ่ที่อยู่ชั้นสองของวิทยาลัยปี้คง ครูใหญ่ผู้มีดวงตาสีเทาอ่อนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูกลุ่มนักเรียนที่มีชีวิตชีวากำลังเดินหยอกล้อและหัวเราะด้วยความเบิกบานมาจากระยะไกล
“ผมเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวจากกาแล็กซีอันไกลโพ้นตอนที่ผมยังเด็ก” ครูใหญ่เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าครามใสแจ๋วอย่างกับแบกทั้งมหาสมุทรไว้ ใครเห็นก็ยากจะลืม”
มุมปากของครูใหญ่ยกยิ้มเล็กน้อยเพราะหวนนึกถึงอดีตอันแสนสุข “ผมเคยบอกเขาว่า เขาต้องมีดวงตาที่สวยที่สุดในดาวของพวกเขาแน่ ๆ คุณทายสิว่าเขาพูดว่าอะไร”
อีกคนที่อยู่ในห้องไม่ได้ตอบ ทว่าดูเหมือนครูใหญ่ก็ไม่ได้ต้องการให้เขาเสริมคำใด ๆ พูดต่อโดยไม่สนใจว่า “เขาบอกว่าที่บ้านเกิดของเขา แต่ละคนมีสีตาที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งสีเขียวดุจมรกต สีแดงดุจอำพัน สีทองดุจพลอยไพฑูรย์… แม้ไม่มีทางเห็นภาพเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง แต่แค่จินตนาการก็รู้สึกวิเศษมากแล้ว”
นักเรียนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม เห็นรูปโฉมชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขามีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ รูปร่างต่างกันไป มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นสีควันบุหรี่เหมือนกันหมด
สีสันสวยงามมากมายในโลกใบนี้ เมื่อมารวมตัวกันที่นี่กลับกลายเป็นรูปแบบที่สะดุดตาน้อยที่สุด แสงสเปกตรัมทั้งหมดถูกดูดซับอย่างละโมบไปส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือถูกผสมผสานกันจนกลายเป็นสีเทาขุ่นสะท้อนกลับออกมาย้อมทั่วทั้งรูม่านตา
“หากเทียบกันแล้ว สีสันบนดาวของพวกเราน่าเบื่อมากเลยนะ” ครูใหญ่กล่าวด้วยความอ่อนไหวเหลือเกิน
หัวหน้าฝ่ายอบรมที่ตัวสูงกว่าเขามากยืนอยู่ไม่ไกลทางด้านหลัง ดวงตาของเขาดำสนิทเหมือนหมึก ดูเหมือนแม้แต่แสงสว่างก็ไม่มีทางหนีรอดไปจากตรงนี้ได้ แต่ว่าสีของดวงตาที่ล้ำลึกเช่นนี้กลับเป็นหนึ่งในสีอันน่าเบื่อที่ครูใหญ่กล่าวเมื่อครู่
หัวหน้าฝ่ายละสายตาจากกลุ่มนักเรียนด้านล่างตึกมายังใบหน้าด้านข้างของครูใหญ่เงียบ ๆ แม้ว่าบุคคลผู้นี้จะพร่ำบ่นถึงช่วงเยาว์วัยและเรื่องในความทรงจำอยู่เป็นประจำก็ตาม ทว่ารูปร่างหน้าตาแทบไม่ต่างอะไรกับนักเรียนของวิทยาลัยแห่งนี้มากนัก หากไม่มองตาก็ยากที่จะบ่งบอกอายุที่แท้จริงของเขา
ที่นี่คือดาวเทียนซู่ ดวงตาของทุกคนมีเพียงสามสีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นคุณลักษณะเฉพาะในการระบุตัวตนที่สำคัญ นักเรียนของวิทยาลัยปี้คงไม่ว่าหญิงหรือชาย ดวงตาของคนส่วนใหญ่ล้วนมีสีควันบุหรี่แบบผู้เยาว์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สีรูม่านตาเริ่มเปลี่ยน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้ตื่นจากช่วงเยาว์วัยสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเร็วๆ นี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
ผู้คนบนดาวนี้ไม่มีวัยเด็กและไม่มีวัยชรา พวกเขาถือกำเนิดมายังโลกด้วยวิธีสุดพิเศษ หลังจากเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นเวลานาน เมื่อตื่นขึ้นมาก็อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กวัยรุ่น พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องหัดเดิน ไม่จำเป็นต้องหัดพูด แม้แต่ความทรงจำพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดก็ยังคงถูกเก็บรักษาอยู่ในวัฏจักรจากรุ่นสู่รุ่น
พวกเขาไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่น้อง ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันโดยไม่มีความแตกต่างของสถานะ ในระยะเยาว์วัยของพวกเขา ผู้ใหญ่ทุกคนจะมีส่วนรับผิดชอบในการเลี้ยงดูร่วมกัน เพื่อให้ผู้เยาว์ได้ผ่านขั้นตอนการรู้แจ้งแห่งชีวิตในโรงเรียนระดับต้นอย่างเช่นวิทยาลัยปี้คงแห่งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็จะเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่สองครั้ง จากนั้นก็จะคงรูปลักษณ์ของผู้ใหญ่ไว้ตลอดเวลาจนกระทั่งเข้าสู่ห้วงนิทราในครั้งต่อไป
นี่ก็คือชาวเทียนซู่ ไม่มีการเกิดและการตายที่แท้จริง ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้จากรุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว
“นักเรียนพวกนี้น่าจะอยู่ชั้นปีที่สิบแล้วสินะ” ครูใหญ่มองดูพวกเขาแต่ละคนที่เดินผ่านสายตาด้านล่าง เนื่องจากไม่สามารถตัดสินอายุได้จากส่วนสูงและรูปลักษณ์ เหล่าผู้ให้การศึกษาทั่วไปของที่นี่จึงถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการจดจำ
หัวหน้าฝ่ายกวาดตามองอย่างเฉยเมย ไม่ช้าก็ล็อกเป้าหมายอยู่ที่สองสามคน “ใช่ครับ พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระยะเยาว์วัยราว ๆ ชั้นปีที่เก้าถึงสิบเป็นระยะที่มีการตื่นตัวสูง”
“หากสามารถผ่านระยะตื่นตัวอย่างไร้ความกังวลไปได้ตลอดแบบนี้ก็คงดี” ครูใหญ่เคาะนิ้วบนกระจก “ผมไม่อยากให้โศกนาฏกรรมในอดีตต้องเกิดซ้ำรอยอีกรอบ สุขศึกษาปีนี้ เราควรจะส่งคนอ่อนโยนไปดีไหม…”
เหล่านักเรียนที่เพิ่งเดินผ่านตรงนี้ไปกำลังจับกลุ่มคุยกันถึงการทดสอบสมรรถภาพที่เพิ่งจบลง
“ได้ยินว่าการทดสอบสมรรถภาพเทอมนี้ มีสองคนในชั้นเราได้เกินสามร้อยคะแนน มีคนเก่งขนาดนี้จริงเหรอ”
“ยังจะมีใครได้ล่ะ ต้องเป็นหลิงเซียวกับอิ๋งเฟิงสองคนนั้นแน่ ฉันกล้าพนันได้เลย”
“พวกนายคิดว่าคะแนนของใครสูงกว่ากัน”
“ฉันเดาว่าหลิงเซียว”
“ต้องเป็นอิ๋งเฟิงแน่ ๆ ถึงหลิงเซียวจะแข็งแรงเหมือนกัน แต่ก็ยังด้อยกว่าอิ๋งเฟิงหน่อยหนึ่ง…”
เหล่านักเรียนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน โดยที่ไม่รู้ว่าหนึ่งในคนที่พวกเขาพูดถึงกำลังเดินอยู่ข้างหลังไม่ไกล
หลิงเซียวสีหน้าเยือกเย็น คะแนนการทดสอบสมรรถภาพของทุกคนจะถูกส่งมายังเครื่องแสดงผลส่วนตัวโดยตรงจากหน่วยประมวลผลกลาง คนอื่นจะไม่รู้ ทว่าครูผู้สอนบอกใบ้คะแนนของเขาหลังการทดสอบมาแล้ว แม้ว่าคะแนนของเขาจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ยังไม่ใช่คะแนนที่ดีที่สุดของรุ่นนี้
และคนในรุ่นนี้ที่สามารถแซงหน้าเขาได้มีเพียงคนเดียว ก็คืออิ๋งเฟิง
เวลาตื่นของอิ๋งเฟิงกับเขาต่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งสองถูกจัดสรรให้ไปเรียนที่วิทยาลัยปี้คงในเวลาเดียวกันและเป็นเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ปีหนึ่ง จนถึงตอนนี้ก็สิบปีแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะมีเงื่อนไขเบื้องต้นพร้อมสรรพสำหรับการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่เป็นเพราะนิสัยชอบเอาชนะของหลิงเซียวและความเย็นชาของอิ๋งเฟิง พวกเขาจึงยังคงเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันจนถึงทุกวันนี้
อิ๋งเฟิงสามารถเอาชนะหลิงเซียวได้อย่างเฉียดฉิวในเกือบทุกการแข่งขัน แต่ก็เพราะความเฉียดฉิวนี้เองที่ทำให้หลิงเซียวครองที่สองตลอดกาล สิ่งเดียวที่สามารถกู้หน้าเขากลับมาได้ก็คือความสูงของเขาที่สูงกว่าอิ๋งเฟิงสองถึงสามเซนติเมตร นี่ได้กลายเป็นชัยชนะเพียงอย่างเดียวของเขาที่มีเหนือคู่ต่อสู้ในรอบสิบปี
“ทำไมหน้าบึ้งแบบนั้นล่ะ” หลันเฉิง เพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของหลิงเซียวเข้ามากอดคอเขา “ให้ฉันเดานะ นายแพ้ให้ใครคนนั้นอีกแล้วใช่ไหม”
ผิงจงที่เดินอยู่อีกด้านหนึ่งเอาศอกกระทุ้งเขาเบา ๆ เป็นนัยว่าทำไมต้องพูดตรงขนาดนี้ด้วย
“จะกลัวอะไร หลิงเซียวน้อยของพวกเราเก่งเรื่องเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังที่สุด ความพ่ายแพ้เล็ก ๆ แค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก จริงไหม”
“มันแน่อยู่แล้ว” จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของหลิงเซียวถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเพื่อนอีกครั้ง “ครูบอกว่าคะแนนของฉันห่างกับเขาแค่สองคะแนน ถ้าขยันกว่านี้หน่อย ก็จะเอาชนะเขาได้”
หลันเฉิงเล็งหน้าอกของเขาแล้วต่อยไปทีหนึ่ง “เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ฉันรอดูนายอยู่นะ”
ทั้งสามคนเดินมาถึงห้องเรียนด้วยกัน หลิงเซียวยังคงเถียงกับหลันเฉิงจนกระทั่งเข้าห้องไป “แล้วก็ฉันแก่กว่านาย อย่ามาเรียกฉันว่าหลิงเซียวน้อยนะ”
“นายก็แค่ตื่นก่อนฉันครึ่งปี อีกอย่าง อายุในระยะเยาว์วัยไม่ได้มีความหมายอะไรซะหน่อย”
“นายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าฉันจะไม่บรรลุนิติภาวะก่อนนาย”
“ฮ่า ๆ ๆ แล้วแต่จะพูดเถอะ”
พวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานเด็กผู้ชายก็ทยอยกันเข้ามามากขึ้น ภายในห้องเรียนเสียงดังอึกทึก ตอนที่อิ๋งเฟิงปรากฏตัวที่หน้าประตูมีเพียงหลิงเซียวคนเดียวที่สังเกตเห็น
ที่นั่งของอิ๋งเฟิงอยู่แถวสุดท้ายของห้องเรียน จึงต้องเดินผ่านกลุ่มของหลิงเซียว ขณะที่เขาเดินผ่าน หลิงเซียวที่ยืนพิงโต๊ะเรียนจู่ ๆ ก็ยืดตัวขึ้นเชิดคาง แล้วกล่าวแสดงความยินดีกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่มีความชื่นชมเจือปนอยู่เลย
“ยินดีด้วยนะ”
อิ๋งเฟิงไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เขาเหลือบมองหลิงเซียวที่พยายามทำตัวให้ดูสูงส่งด้วยหางตาอย่างไม่แยแสแล้วเดินผ่านไปโดยไม่พูดจา เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบตัวรู้มานานแล้วว่าพวกเขาไม่ถูกกัน ในเวลานี้จึงปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตามปกติ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองข้ามเขาโดยสิ้นเชิง หัวใจของหลิงเซียวก็ระเบิดด้วยความโกรธ
“สักวันหนึ่ง ฉันจะ ฉันจะ…” หลิงเซียวคิดคำพูดที่หยาบคายที่สุดเท่าที่ชาวดาวเทียนซู่ในระยะเยาว์วัยจะสามารถคิดได้ “ฉันจะเอาเลือดหัวใจนายออกมา ทำให้นายเป็นทาสพันธะของฉัน เชื่อฟังฉันตลอดชีวิต!”
คำพูดอันฮึกเหิมที่หลิงเซียวสบถออกมานั้นก็เหมือนกับการทิ้งระเบิดปรมาณูในห้องเรียน สร้างความตื่นตกใจให้กับนักเรียนทั้งห้อง พิธีบรรลุนิติภาวะเป็นเรื่องที่คลุมเครืออย่างมากในสายตาของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ แม้ว่าหลายคนกำลังเผชิญหน้ากับการตื่น ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ยังคงเป็นปริศนาอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกเขา
ความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ใหญ่ที่พวกเขามีล้วนมาจากการแอบอ่านหนังสือรสนิยมต่ำ ในคำบรรยายไร้ระดับเหล่านั้นกล่าวไว้ว่าทาสพันธะเป็นเพียงทาสรับใช้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายพันธะและไร้พลังต้านทาน เห็นได้ว่าคำพูดของหลิงเซียวนั้นดูกล้าหาญและบ้าบิ่นเป็นอย่างมากในความคิดของกลุ่มคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“ฮ่า ๆ” หลังจากที่ผ่านบรรยากาศนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ก็มีคนหัวเราะขึ้นมาอย่างอึดอัด “หลิงเซียว นายนี่กล้าคิดกล้าพูดจริง ๆ เลยนะ”
ทันทีที่บรรยากาศกระอักกระอ่วนถูกทำลาย กลุ่มคนก็หัวเราะและเออออตามทันที ราวกับเด็กวัยรุ่นที่เอ่ยเรื่องลามกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกเขินอายแต่ในขณะเดียวกันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นมากกว่านี้
“นี่ เมื่อวานฉันได้ยินครูฝ่ายอุปกรณ์บอกว่า…” จู่ ๆ หลันเฉิงก็กดเสียงต่ำอย่างลึกลับ คนอื่น ๆ รวมกลุ่มกันทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร “บอกว่าเขาถูกทำไปสี่ครั้งในหนึ่งคืน ตอนมาทำงานขาอ่อนปวกเปียกไปหมด”
“ไม่จริงมั้ง” บ้างร้องอุทาน บ้างหัวเราะแปลก ๆ “ทำไมเขาต้องพูดเรื่องนี้ด้วย”
“จริงล้านเปอร์เซ็นต์ ฉันได้ยินเขาใช้เครื่องสื่อสารบ่นกับนายพันธะ ตอนนั้นในห้องทำงานไม่มีคน ส่วนฉันก็แอบฟังอยู่ที่หน้าประตู”
ทันทีที่ประตูต้องห้ามถูกเปิดออกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปิดลง “แล้วเขาพูดอะไรอีก”
“ไม่รู้สิ ฉันได้ยินแค่นี้ กลัวว่าเขาจะจับได้ก็เลยรีบเผ่น”
“ชิ” ทุกคนต่างพากันดูหมิ่น โอกาสที่ดีในการสอดแนมโลกของผู้ใหญ่ก็ถูกทำลายลงแบบนี้
หลิงเซียวส่งเสียงหึอย่างดูแคลน “สี่ครั้งต่อคืนจะไปมีอะไร รอให้ฉันได้กลายเป็นนายพันธะของใครบางคนก่อนเถอะ จะจัดคืนละเจ็ดครั้ง ทำให้เขาลงจากเตียงไม่ได้ไปสามวันเลย” พูดจบ เขายังเหลือบมองไปยังที่นั่งของใครบางคนอย่างมีนัย ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมาซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ทั้งคู่สบตากันชั่วขณะหนึ่ง
เสียงร้องเย้ว ๆ ๆ พิลึกพิลั่นดังระเบิดขึ้นในกลุ่มนักเรียนชาย ประหนึ่งยกย่องและเชียร์หลิงเซียวต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก ส่วนเหล่านักเรียนหญิงพากันหลบไปอยู่ห่าง ๆ อยากจะอยู่คนละฟากกับคนไร้ยางอายเหล่านี้
เหยาไถกำลังเดินเข้าห้องเรียน ทันได้ยินวาจาหยิ่งผยองของหลิงเซียวเข้าพอดี ก็ลอบด่าอยู่ในใจ
เจ้าเด็กพวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขนส่วนล่างยังไม่ขึ้นเลยยังกล้าพูดจาบ้าบิ่นแบบนี้ ถ้าจะส่งไปอบรมด้านสุขภาพจิต หัวหน้าแก๊งระยะเยาว์วัยคนนั้นเหมาะจะถูกจับมัดแล้วโบยสักชุดมากกว่า แบบนั้นจะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง
เธอย่ำรองเท้าส้นสูงไปบนเวทีบรรยาย เมื่อเหล่านักเรียนเห็นว่าครูมาแล้วก็สลายตัว กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
เหยาไถมีรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจซึ่งหาได้ยากในวิทยาลัยแห่งนี้ ดวงตาก็เป็นสีดำล้ำลึก นักเรียนหลายคนเรียกเธอลับหลังว่าเจ้าจอมเหยา ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นครูของวิทยาลัยแห่งนี้
ทันทีที่เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะบรรยาย ก็มีนักเรียนบางคนยกมือขึ้นถาม
“คุณหมอเหยา วันนี้คุณมาสอนแทนเหรอครับ”
เหยาไถ หมออนามัยประจำวิทยาลัยสอดมือทั้งสองข้างในกระเป๋า “นับจากวันนี้ไป นักเรียนชั้นปีที่สิบจะต้องเรียนวิชาสุขศึกษาเพิ่มเติม ฉันจะเป็นครูสอนพิเศษสำหรับหลักสูตรนี้ ถ้านักเรียนมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็มาถามฉันได้”
วิชาสุขศึกษา? ดวงตาของนักเรียนต่างเป็นประกาย ทว่ากลับไม่มีใครกล้ายกมือขึ้นถาม
“ว่าไง ไม่มีคำถาม? เมื่อกี้ยังคุยกันออกรสอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้คาหนังคาเขา เด็กผู้ชายสองสามคนที่ส่งเสียงเอะอะเมื่อครู่ก็เกาท้ายทอยด้วยความเขินอาย
เหยาไถไม่ได้ไปสืบสาวเอาความกับพวกเขาอีก หันตัวไปวาดโครงสร้างร่างกายมนุษย์สองภาพบนแผ่นวาดภาพดิจิทัล จากเส้นเว้าเส้นโค้งเห็นได้ชัดว่ามันคือร่างของผู้ชายและผู้หญิง
“ทุกคนต้องเข้าใจว่าพวกเราชาวเทียนซู่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากมายในจักรวาล มีวิธีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศซึ่งหาได้ยากมาก ชั่วชีวิตของพวกเรามีเพียงสองช่วงเท่านั้นคือช่วงระยะเยาว์วัยกับระยะผู้ใหญ่ และนี่ก็คือเหตุผลที่พวกเรามีวิธีการคำนวณอายุที่ไม่เหมือนใคร
“เธอ” เหยาไถสุ่มชี้นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด “ปีนี้อายุเท่าไร”
“ระยะเยาว์วัยปีที่เก้าครับ” อีกฝ่ายตอบอย่างคล่องแคล่ว
“ดีมาก ปีนี้ฉันอยู่ระยะผู้ใหญ่ปีที่แปดสิบเจ็ด ขอถามหน่อยว่าฉันแก่กว่าเธอกี่ปี”
“เอ่อ…” เด็กนักเรียนที่ถูกถามตอบไม่ได้
“เธอควรจะตอบว่าไม่รู้” เหยาไถบรรยายต่อ “เพราะระยะเยาว์วัยในแต่ละคนล้วนสั้นยาวไม่เท่ากัน อย่างเร็วที่สุดมีคนเสร็จสิ้นพิธีบรรลุนิติภาวะในระยะเยาว์วัยปีที่สี่ และมีบางคนโตมาถึงปีที่สิบแปดก็ยังไม่ตื่นตัว แต่ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ
“มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของชาวเทียนซู่จะมีวุฒิภาวะทางเพศในประมาณปีที่สิบหลังจากตื่นแล้ว ซึ่งหมายความว่า…” เธอจงใจลากเสียงสุดท้ายยาว กวาดตาไล่ไปยังใบหน้าของนักเรียนทีละคน “เกรงว่าหลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้กำลังจะเข้าสู่ระยะตื่นตัวทางเพศในไม่ช้า”
เมื่อนักเรียนหญิงหน้าบางได้ยินถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เริ่มแดง แต่ว่าเหยาไถยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “แม้ว่าพวกเราจะสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ ไม่จำเป็นต้องผสมพันธุ์เพื่อสืบพันธุ์เหมือนเผ่าพันธุ์อื่น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีความปรารถนาทางเพศ จุดประสงค์หลักของการผสมพันธุ์ของพวกเราก็เพื่อทำให้การเติบโตนั้นสมบูรณ์อีกครั้งและพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง”
สิ่งที่เหยาไถพูดถึงเป็นสิ่งที่เหล่านักเรียนทั่วไปอยากรู้มากที่สุดแต่กลับมีความรู้น้อยที่สุด ในเวลานี้ใบหูทุกคนต่างตั้งตรงและรับฟังอย่างตั้งใจ
อย่างไรก็ดี เหยาไถกลับเปลี่ยนหัวข้อ ราวกับต้องการคงระดับความอยากรู้อยากเห็นของเหล่านักเรียนเอาไว้ จากนั้นก็แนะนำคติชนของดาวเคราะห์ดวงอื่น
“โครงสร้างทางสังคมของดาวเพื่อนบ้านพวกเราหลายดวง หรือแม้แต่กาแล็กซีอันไกลโพ้นเหล่านั้น ล้วนแตกต่างจากของเรามาก ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พวกเขามีครอบครัว ทุกคนอาจเกิดในครอบครัวที่แตกต่างกัน… บางคนเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยมีความสุข เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และมั่งคั่ง แต่ก็มีบางคนที่เกิดในสลัม ยากจนและลำบากมาตลอดชีวิต พวกเขาเกิดมาพร้อมกับช่องว่างทางสถานะและความมั่งคั่ง ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง
“ชีวิตของพวกเขาไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่เริ่ม มีการยกย่องเมียหลวงดูถูกเมียน้อย มีการแบ่งแยกชนชั้น แม้ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนสภาวะของตัวเองได้ด้วยการทำงานหนักในภายหลัง แต่จุดเริ่มต้นของความพยายามในหมู่ผู้คนและระดับความพยายามที่ต้องการก็ต่างกันคนละขั้ว สิ่งที่เท่าเทียมกันที่สุดในหมู่พวกเขา ก็น่าจะเป็นการที่ไม่มีใครสามารถเลือกชาติกำเนิดของตัวเองได้นี่แหละ”
คำพูดของเหยาไถเปิดประตูบานใหญ่สู่โลกแห่งความรู้ใหม่ เหล่านักเรียนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่ามีคนถูกแบ่งออกเป็นระดับชั้นต่าง ๆ หลังจากที่ตื่นขึ้นมา… ที่จริงต้องบอกว่าหลังจากเกิดมาแล้วต่างหาก ทว่าพวกเขาไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดเลย… ในขณะที่ได้เปิดโลกทัศน์นี้ก็รู้สึกโชคดีขึ้นมาพร้อมกัน
เหยาไถเดาออกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“หากเปรียบเทียบกันแล้ว พวกเราชาวเทียนซู่ล้วนเท่าเทียมกัน หลังจากตื่นขึ้นมาก็สามารถใช้ข้าวของและสถานะเดียวกันได้ ได้รับการรักษาพยาบาลและการศึกษาร่วมกัน มีสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกัน นี่คือการดำรงอยู่ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีกาแล็กซีใด ๆ เทียบได้”
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ นักเรียนบางคนก็ยืดหลังของพวกเขาอย่างภาคภูมิใจ
“แต่ว่า” เหยาไถทำลายความภาคภูมิใจที่พวกเขาเพิ่งก่อขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง “ถ้าพวกเธอคิดว่า พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันมากและใฝ่หาสิทธิมนุษยชนแล้วละก็ พวกเธอคิดผิดอย่างมหันต์
“นั่นเป็นเพราะว่าความเท่าเทียมแต่กำเนิดจะทำให้เกิดความเฉื่อยชาได้ง่าย ข้อกำหนดสำหรับความพยายามในภายหลังของเราจึงเข้มงวดมากขึ้น สำหรับชาวเทียนซู่นั้น เรามีระบบการแบ่งลำดับชั้นที่โหดร้ายที่สุดในจักรวาล ซึ่งก็คือ…”
เธอตบไปที่กระดานไวต์บอร์ด “ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับทาสของคู่สมรส!”
ฝ่ามือของเหยาไถที่ตบไปบนแผ่นวาดภาพดิจิทัลราวกับกระทบไปถึงจิตใจของหนุ่มสาวชาวเทียนซู่อย่างหนัก ความภูมิใจที่เพิ่งสร้างขึ้นถูกทำลายลง ใบหน้าเขียวคล้ำของแต่ละคนเผยให้เห็นความสับสน
หลังจากทิ้งช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้นักเรียนได้ซึมซับแล้ว เหยาไถก็พูดต่อไป “โดยเฉลี่ยแล้วชาวเทียนซู่ในระยะเยาว์วัยคนหนึ่งจะเข้าสู่ระยะตื่นตัวประมาณสิบปีหลังจากที่ตื่นขึ้น โดยมีสองเงื่อนไขหลักที่กระตุ้นให้ตื่นตัว ข้อหนึ่ง คือการเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามอายุ ข้อสอง คือถ้ามีคนบรรลุนิติภาวะทางเพศแล้ว คนข้าง ๆ ที่อยู่ในระยะเยาว์วัยก็จะได้รับผลกระทบและเข้าสู่ระยะตื่นตัวได้ง่าย ดังนั้นระยะการตื่นตัวของนักเรียนจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง
“หลังจากที่พวกเธอเข้าสู่วุฒิภาวะทางเพศอย่างเป็นทางการแล้ว ก็จะเกิดความปรารถนาที่จะผสมพันธุ์และตามหาอีกครึ่งของชีวิต ความปรารถนานี้ถูกควบคุมโดยหลักเหตุผล ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่ต้องตกใจไป ถ้าหาคู่สมรสที่เหมาะสมไม่ได้ก็สามารถรักษาระยะเยาว์วัยต่อไปได้ รอจนกว่าจะเจอคู่ในอุดมคติ แล้วค่อยสำเร็จพิธีบรรลุนิติภาวะเพื่อเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ”
“ขอโทษครับ” นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้น “ตกลงว่าพิธีบรรลุนิติภาวะคืออะไร”
“ไอ้โง่ ก็การผสมพันธุ์ไงเล่า” เพื่อนนักเรียนที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเยาะเย้ยเขาเบา ๆ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะโดยรอบ
ความปั่นป่วนด้านล่างไม่รอดพ้นหูของเหยาไถ เธอรอจนทุกคนหัวเราะจบแล้วจึงพูดว่า “ผิดแล้ว การผสมพันธุ์ไม่ใช่พิธีบรรลุนิติภาวะ หรือแม้แต่เศษเสี้ยวของมันก็ไม่นับ พิธีบรรลุนิติภาวะที่แท้จริงก็คือการได้รับเลือดหัวใจหยดแรกต่างหาก
“ในทุกคู่สมรส จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับเลือดหัวใจของอีกฝ่ายได้ พวกเราเรียกคนคนนี้ว่านายพันธะ ส่วนคนที่เสียเลือดก็จะกลายเป็นทาสพันธะของเขานับตั้งแต่ตอนนั้น
“ไม่ว่าเพศชายหรือหญิงก็สามารถเป็นนายพันธะได้ ในทำนองเดียวกันก็เป็นทาสพันธะได้ บางคนอาจจะคิดว่าในระหว่างการสมรสของเพศเดียวกัน ฝ่ายรุกจะต้องเป็นนายพันธะ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยมาก ความแตกต่างในสถานะของนายพันธะกับทาสพันธะทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับผลของพิธีบรรลุนิติภาวะ ไม่เกี่ยวข้องกับเพศหรือบทบาทในความสัมพันธ์เลย”
“ระหว่างคู่รักสองคน ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ตื่นแล้ว แต่อีกคนยังไม่ตื่นล่ะครับ แบบนั้นจะทำยังไง” นักเรียนคนหนึ่งยกมือถาม
“ทำได้แค่รอ ระยะเยาว์วัยที่ยังไม่ตื่นตัวจะเอาเลือดหรือถูกเอาเลือดไม่ได้ ก็เหมือนที่ฉันพูดเมื่อกี้ว่าผู้ที่ตื่นแล้วจะชักนำคนอื่นได้ง่าย ถ้าเป็นคู่รักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ก็จะเข้าสู่ระยะตื่นตัวพร้อมกันได้ง่าย”
“แล้วตกลงต้องทำยังไงถึงจะเอาเลือดหัวใจมาได้ล่ะครับ”
“นี่เป็นสัญชาตญาณของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องให้ใครสอน ระหว่างพิธีบรรลุนิติภาวะ พวกเธอก็จะเข้าใจได้เอง”
เหยาไถรอสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีคำถามอื่นก็บรรยายต่อ
“ความสัมพันธ์ระหว่างนายพันธะกับทาสพันธะก็คือคู่สมรส แต่ว่าพวกเขาไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน แน่นอนว่านายพันธะเป็นผู้คุมเกมแบบมีสิทธิ์ขาด ส่วนทาสพันธะทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งของนายพันธะ ซึ่งก็หมายความว่าผลของพิธีบรรลุนิติภาวะจะกำหนดสถานะชีวิตของคนคนหนึ่ง
“นี่ก็คือลำดับชั้นที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้ มันเป็นความสัมพันธ์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เท่าเทียมกันบนดาวเทียนซู่ แล้วยังเป็นความสัมพันธ์ทางชนชั้นที่รุนแรงที่สุดและไม่อาจต่อต้านได้มากที่สุดด้วย ไม่ว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอมทำตาม ยังไงก็ต้องยอมรับอยู่ดี
“ความสัมพันธ์แบบนี้จะเป็นไปตลอดชีวิตและไม่สามารถหลุดพ้นได้ แม้ว่าคนหนึ่งจะตายไป อีกคนก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้เป็นครั้งที่สองและเลือกคู่สมรสใหม่ ในจุดนี้นายพันธะและทาสพันธะจะได้รับการปฏิบัติเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น”
เหยาไถดีดนิ้ว โครงร่างของร่างกายมนุษย์บนแผ่นวาดภาพดิจิทัลก็เริ่มเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ “หลังจากสรุปความสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะเข้าสู่การเติบโตทางเพศเป็นครั้งที่สอง ซึ่งในระหว่างพวกเขา การพัฒนาของนายพันธะจะมีความชัดเจนมากกว่า ยกตัวอย่างเพศชายก็แล้วกัน นายพันธะที่เป็นเพศชายจะตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อก็จะพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าในแง่พลังหรือสมรรถภาพทางร่างกายก็จะเหนือกว่าทาสพันธะที่เป็นเพศชาย
“ในขณะเดียวกัน ลักษณะรองของนายพันธะเพศชายก็จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเหมือนกัน ลูกกระเดือกจะเด่นชัด เสียงก็จะแตก อวัยวะสืบพันธุ์เจริญเติบโตเต็มที่และมีขนงอกออกมาด้วย
“นายพันธะเพศหญิงก็ในทำนองเดียวกัน ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ สถิติแสดงให้เห็นว่านายพันธะที่เป็นเพศหญิงจะสูงกว่าทาสพันธะเพศหญิงอย่างน้อยสิบห้าเซนติเมตรโดยเฉลี่ย คุณลักษณะทางร่างกายก็จะโดดเด่นกว่า”
“คุณหมอเหยา แล้วทาสพันธะจะหยุดเติบโตทางเพศจากช่วงนี้ไปหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีการเติบโตทางเพศ แต่ถ้าเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของนายพันธะ การเติบโตของทาสพันธะค่อนข้างจำกัด และได้รับผลกระทบจากจิตวิญญาณของนายพันธะได้ง่ายกว่า”
“ได้รับผลกระทบยังไงครับ”
“ตัวอย่างเช่น ถ้านายพันธะชอบคนอ้วนที่มีน้ำหนักร้อยกิโล อย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทาสพันธะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางนั้น ถึงจะไม่ตรงตามมาตรฐานแต่ก็มีความใกล้เคียงมากที่สุด ฉะนั้น อย่าคิดว่าทาสพันธะเพศชายจะตัวเล็กแล้วทาสพันธะเพศหญิงจะมีอกไข่ดาว เรื่องพวกนี้เป็นการเข้าใจผิดทั้งนั้น รูปร่างโดยกำเนิดของทาสพันธะถือเป็นส่วนหนึ่ง ผลกระทบของสภาพแวดล้อมหลังกำเนิดถือเป็นส่วนหนึ่ง จิตใต้สำนึกของนายพันธะก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง ปัจจัยสามอย่างข้างต้นรวมกันจะเป็นตัวกำหนดระดับการพัฒนาของทาสพันธะ”
คำพูดของเธอกระตุ้นให้เกิดเสียงกระซิบระลอกใหม่ในหมู่นักเรียน
“แล้วในแง่ของความสามารถ อะไรคือความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายล่ะครับ”
“จุดที่สำคัญที่สุดในพิธีบรรลุนิติภาวะ ก็คือนายพันธะจะได้รับความสามารถของทาสพันธะทับซ้อนกัน พูดสั้น ๆ ก็คือยิ่งทาสพันธะแข็งแกร่งมากเท่าไร นายพันธะก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมชาวเทียนซู่ถึงถูกผู้แข็งแกร่งดึงดูดเวลาที่มองหาคู่ครอง
“ก็เหมือนกับนกบางพันธุ์ที่ชอบเพศตรงข้ามที่มีขนสีสดใส และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจำนวนมากก็อาศัยพละกำลังในการแย่งสิทธิ์ผสมพันธุ์ สัญชาตญาณทางชีวภาพพวกนั้นก็เพื่อให้รุ่นหลังได้รับยีนที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ส่วนสัญชาตญาณของพวกเราก็คือต้องการที่จะเข้มแข็งขึ้น ถ้าอยากได้รับความสามารถที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้ก็ต้องพิชิตผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือต้องมีความสามารถในการพิชิตความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายด้วย
“จิตวิญญาณที่เก่าแก่ที่สุดของเราค่อย ๆ กลายมาเป็นความสัมพันธ์ของคู่สมรสที่มีผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ ก็เพื่อต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและศัตรูที่ดุร้ายท่ามกลางการสืบทอดและวิวัฒนาการรุ่นแล้วรุ่นเล่า ให้ผู้ชนะแข็งแกร่งขึ้น และแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด
“แม้ว่ายุคสมัยที่เราอาศัยอยู่จะสงบสุขและมั่งคั่ง ไม่มีความกดดันในการเอาตัวรอด ไม่มีสงครามและการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะหย่อนยานด้วยเหตุผลนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับทาสเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่สุดที่บรรพบุรุษของเรามอบให้ เพื่อให้ลูกหลานของเทียนซู่พยายามฝึกฝนตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นฝ่ายถูกครอบงำแม้ในช่วงเวลาสงบสุขก็ตาม
“เก้าปีที่ผ่านมา วิทยาลัยมีความมุ่งมั่นที่จะเลี้ยงดูให้พวกเธอเป็นผู้แข็งแกร่งมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ชัยชนะที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับช่วงพิธีบรรลุนิติภาวะที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น และก็เป็นสิ่งที่ชาวเทียนซู่แสวงหามาทั้งชีวิต… จงแข็งแกร่ง พิชิตผู้แข็งแกร่ง แล้วแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
คำว่าพิชิตผู้แข็งแกร่งกระตุ้นหัวใจของหลิงเซียวอย่างจัง แม้แต่คำพูดต่อไปของเหยาไถ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังแล้ว
“นอกเหนือจากนี้ ในปีก่อน ๆ ทางวิทยาลัยก็ยังเตรียมระดมพลสำหรับนักเรียนในระยะเยาว์วัยที่กำลังจะเข้าสู่ระยะตื่นตัวด้วย
“ทุกปีเราจะเน้นย้ำกับนักเรียนของเราซ้ำ ๆ ว่าต้องชนะ ต้องเป็นฝ่ายคุมเกม ต้องกลายเป็นนายพันธะ นี่คือกฎแห่งการอยู่รอดของเรา ถึงอย่างนั้นตอนจบก็มักจะไม่สวยงามแบบที่พวกเราคิด
“ในฐานะที่เป็นหมออนามัย ทุก ๆ ปีฉันต้องรับมือกับหลายเคสที่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองกลายเป็นทาสพันธะ รวมถึงกรณีของภาวะซึมเศร้าเพราะความล้มเหลวในพิธีบรรลุนิติภาวะ และผลร้ายแรงที่สุดก็คือความตายด้วยซ้ำ”
เมื่อน้ำเสียงของเธอเปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็นความหดหู่ หัวใจของทุกคนก็จมดิ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“โอกาสที่คนคนหนึ่งจะได้เป็นนายพันธะมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนโอกาสที่จะได้กลายเป็นทาสพันธะก็มีห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน นักเรียนทุก ๆ สองคนที่นั่งอยู่ที่นี่จะมีหนึ่งคนที่ล้มเหลวในพิธีบรรลุนิติภาวะ ถ้าคนนั้นคือเธอ เธอจะรับได้ไหม”
ในขณะที่เหยาไถยิงคำถาม หลายคนก็กำลังแอบถามตัวเอง แววตาของพวกเขามีความอึดอัด
“ถ้าเธอแพ้ ชั่วชีวิตของเธอจะถูกอีกคนควบคุม เขามีสิทธิ์ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ… มีใครคิดว่าระบบนี้ไม่สมเหตุสมผลบ้าง”
หลังจากรอมานาน ในที่สุดเด็กชายคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา
เหยาไถที่อยู่บนเวทีบรรยายยิ้มนิ่ง ๆ และหายตัวไปต่อหน้าผู้คนในพริบตา ในขณะที่ทุกคนรู้ตัวว่าเธอหายวับไปในอากาศและกำลังมองหารอบ ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงร้องแหบแห้งดังขึ้นในห้องเรียน เหยาไถปรากฏตัวขึ้นอีกทีด้านหลังของเด็กนักเรียนชายคนนั้น พร้อมจี้กริชในมือไปที่คอหอยของเขา
อิ๋งเฟิงที่อยู่แถวหลังตกตะลึงสุดขีด การเคลื่อนไหวของเหยาไถรวดเร็วจนกระทั่งเขาที่มีทักษะสังเกตฉับไวมาโดยตลอดยังจับได้แค่เงาเท่านั้น
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทั่วทั้งชั้นเรียนตกอกตกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าหมออนามัยธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะมีทักษะที่แข็งแกร่งแบบนี้ ทั้งยังไม่มีใครเดาได้ว่าเธอกำลังสื่อถึงอะไร
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงและหวาดกลัวของทุกคน เหยาไถเอ่ยปากพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “ด้วยความสามารถของฉัน ฉันสามารถฆ่าเธอได้ในไม่ถึงนาที ไม่ใช่แค่เขา ไม่มีใครในห้องเรียนนี้ที่เป็นข้อยกเว้น”
เธอพูดกับเด็กชายคนนั้นในตอนแรก จากนั้นก็พูดกับนักเรียนทุกคนในห้องเรียน หลังจากพูดจบเธอก็มองไปรอบ ๆ “แต่ว่าตอนนี้ที่ฉันอยู่ที่นี่ พวกเธอรู้สึกว่าชีวิตกำลังถูกคุกคามอยู่หรือเปล่า”
ทุกคนมองหน้ากันและส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย รวมถึงคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันด้วย
เหยาไถถอนมือออก “ถูกต้อง ถึงฉันจะมีความสามารถแบบนี้ แต่ไม่ได้มีเจตนาแบบนี้ ฉะนั้นพวกเธอก็เลยไม่กลัว แถมไม่คิดว่านี่เป็นการคุมคามอย่างหนึ่ง แต่กลับรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ความสัมพันธ์ระหว่างนายพันธะกับทาสพันธะก็เหมือนกัน แม้ว่านายพันธะจะมีอำนาจควบคุมที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเป็นคู่แท้แล้วละก็ พลังแบบนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อจิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ในระดับที่เท่ากัน ตำแหน่งของพวกเขาก็เท่ากัน”
เธอเดินไปยังเวทีบรรยายทีละก้าว ๆ “สิ่งที่พวกเธอได้ยินในวันนี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดเผยให้นักเรียนฟัง ฉันไม่ได้สอนให้พวกเธอยอมแพ้ แต่ก็อยากให้พวกเธอรู้ว่าทุกคนล้วนอยากเป็นผู้ชนะ นี่ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ว่าผู้แพ้ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่พวกเธอคิด การกลายเป็นทาสพันธะไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะหมดหวังกับชีวิตในอนาคต
“ในรักแท้ ไม่มีความสูงส่งหรือต่ำต้อย ไม่มีแพ้ชนะ กฎมันโหดร้ายก็จริง แต่คนที่บังคับใช้ก็คือคนที่เธอเลือก สุดท้ายแล้วเขาจะทำร้ายเธอหรือเปล่า ตัวเธอเองรู้ดีกว่าใครที่สุด”
เหยาไถเดินผ่านที่นั่งของหลิงเซียว ตบเขาเบา ๆ ให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย
“นักเรียนคนนี้ช่วยตอบฉันทีว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไรไปบ้าง”
“ผม…” หลิงเซียวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตอบไม่ได้
“ถ้าเธอไม่ได้ยิน ฉันจะพูดทวนให้ฟังอีกครั้ง ถูกต้อง นายพันธะมีอำนาจการครอบงำสูงสุดระหว่างสองฝ่าย แต่ถ้าคิดที่จะใช้อำนาจประเภทนี้เล่นงานศัตรูของเธอละก็ ต้องพิจารณาให้ดี ๆ ว่าเธออยากใช้ทั้งชีวิตที่เหลือกับคนที่เธอเกลียดหรือเปล่า”
แววตาของหลิงเซียวเป็นประกายเพราะคำพูดนี้ เหยาไถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
“พวกเราชาวเทียนซู่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครองมากที่สุด มีคู่เพียงคนเดียวตลอดชีวิต ไม่มีวันหักหลัง ไม่มีวันทรยศ ฉะนั้นฉันขอเตือนนักเรียนทุกคนที่อยู่ที่นี่” เธอไล่มองใบหน้าไร้เดียงสาของแต่ละคนช้า ๆ ทั้งกำลังพูดกับหลิงเซียวและกำลังพูดกับเด็กที่นั่งอยู่ทุกคน “อย่าเลือกคู่ครองของเธอส่ง ๆ เพราะอารมณ์ชั่ววูบในช่วงเยาว์วัย คนที่ยืนข้างเธอและอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่คู่แค้น…”
ในที่สุดสายตาของเธอก็หยุดอยู่บนใบหน้าของหลิงเซียว แต่ละคำพูดหนักแน่นและเชื่องช้า
“แต่จะเป็นเพียงแค่คนรักของเธอตลอดไป”