ตอนที่ 2
วิชาสุขศึกษาคาบแรกของชั้นปีที่สิบจบลงอย่างนี้ เหล่านักเรียนได้รับความรู้ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็รวมตัวกันพูดคุยอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น แต่ในเวลานี้หลิงเซียวที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอกลับยังคงนั่งอยู่เงียบ ๆ
ไม่รู้ว่าคำพูดของเหยาไถไปกระตุ้นเส้นประสาทส่วนไหนเข้า
ในเวลาเดียวกัน อิ๋งเฟิงที่เดินออกจากห้องเรียนกลับถูกเหยาไถรั้งไว้
“เธอได้ยินเนื้อหาที่ฉันบรรยายในชั้นเรียนเมื่อกี้แล้วสินะ”
อิ๋งเฟิงพยักหน้าเงียบ ๆ
“ถึงฉันจะพูดอย่างนั้นต่อหน้าทุกคน แต่ว่าสำหรับเธอ ฉันมีแค่ประโยคเดียว ไม่ว่าคู่ต่อสู้คือใคร ไม่ว่าจะใช้ลูกไม้อะไร ในพิธีบรรลุนิติภาวะ เธอต้องชนะเท่านั้น”
อิ๋งเฟิงหรี่ตา “ทำไมล่ะครับ”
“ปีที่แล้ว ทางวิทยาลัยมีนักเรียนหนึ่งร้อยสองคนที่สำเร็จพิธีบรรลุนิติภาวะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่สำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่นมีแค่เก้าสิบเก้าคน”
“แล้วอีกสามคนล่ะครับ”
“ฆ่าตัวตาย”
อิ๋งเฟิงแอบตกใจ
“อันที่จริง ทุกปีจะมีทาสพันธะที่ยอมแพ้ให้กับชีวิตเพราะความล้มเหลว ทางวิทยาลัยไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำ ๆ ทุกปีแบบนี้ ประเด็นสำคัญของการระดมพลก่อนการตื่นในปีนี้ก็อ่อนลงไปมาก แม้แต่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนายพันธะกับทาสพันธะก็ถูกเจือจางโดยเจตนา”
“ความสัมพันธ์ที่แท้จริง?”
“สิ่งที่เรียกว่าพิธีบรรลุนิติภาวะน่ะ ที่จริงมันเป็นกระบวนการคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อความอยู่รอด ผู้ที่ล้มเหลวจะถูกลิดรอนสิทธิ์ทั้งหมด ส่วนการควบคุมระหว่างนายพันธะกับทาสพันธะก็ค่อนข้างโหดร้าย มันเป็นการครอบงำที่เด็ดขาดในทุกแง่มุมตั้งแต่จิตวิทยาไปจนถึงกายภาพ”
“ทำไมคุณต้องบอกผมเรื่องนี้”
“ฉันทำงานที่นี่มาสามสิบกว่าปี คลุกคลีกับผู้เยาว์นับพันคน บางคนไม่ถือสาเรื่องการอยู่ใต้บังคับบัญชา และมีชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบายแม้จะกลายเป็นทาสพันธะก็ตาม บางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ครองอำนาจและเป็นได้เพียงผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้น ฉันรู้ดีว่าบุคลิกแบบไหนที่นำไปสู่การทำลายตัวเองได้ และสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือพยายามป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น”
อิ๋งเฟิงหลุบตาลงเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง “ผมเข้าใจความหมายของคุณ คุณอยากบอกว่าผมมีแค่ทางเลือกเดียว ต้องชนะ หรือไม่ก็ตาย”
เหยาไถไม่ได้พูดอะไร ถือเป็นการยอมรับในคำพูดของเขา
เขาเหลือบตาขึ้น “ขอบคุณสำหรับคำตักเตือนนะครับคุณหมอเหยา ผมจะจำไว้ในใจ”
เหยาไถพยักหน้า มองดูเขาเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง แล้วหันกลับมาอีกครั้ง
“พลังของนายพันธะ มันเว่อร์แบบที่คุณพูดจริงเหรอครับ”
เหยาไถสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่ได้พูดเว่อร์แม้แต่คำเดียว”
________________________________________
คำพูดของเหยาไถจุดประกายความรักภายในวิทยาลัยปี้คง ผู้เยาว์ที่กำลังจะเข้าสู่ระยะตื่นตัวทุกคนต่างเริ่มมองหาคู่ครองในอนาคตอย่างกระตือรือร้น สามารถพบเห็นคู่รักได้ทั่วไปในรั้ววิทยาลัย
นี่คือฤดูแห่งความรักที่สวยงามที่สุดในรอบปีของดาวเทียนซู่ เมื่อเห็นบรรดาผู้เยาว์กำลังจู๋จี๋กันด้วยความเขินอายในช่วงเริ่มต้นของความรัก แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ทำงานในวิทยาลัยก็อดที่จะหวนรำลึกถึงความทรงจำอันโง่เขลาในอดีตไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกความทรงจำจะงดงาม ครูใหญ่เองก็เป็นหนึ่งคนที่มีความทรงจำที่ไม่ค่อยสวยงามนัก
“ทุกปีพอถึงเวลานี้ สภาพจิตใจของคุณชวนให้เป็นกังวลตลอดเลยนะคะ” เหยาไถมองไปที่กระดาษรายงานในมืออย่างเป็นกังวล นี่คือผลที่ได้หลังจากที่เธอดันครูใหญ่ไปยังแท่นตรวจสุขภาพตอนที่เขามาเอายาในห้องพยาบาล
ครูใหญ่ถอดสายเชื่อมต่อออกจากขมับอย่างไม่เต็มใจนัก “ผมแค่จะมาเอายากับคุณเท่านั้น ผลการตรวจพวกนั้นก็อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ตรวจไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จะตรวจไปทำไม”
“ฉันเป็นหมออนามัยของที่นี่ มีหน้าที่ทำความเข้าใจสภาพจิตใจของทุกคนในวิทยาลัย” เหยาไถกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่ยอมแพ้เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นครูใหญ่ “การประเมินสภาพจิตใจของคุณตอนนี้เข้าขั้นอันตรายแล้ว…”
“และมันก็เข้าขั้นอันตรายมาร้อยกว่าปีแล้ว มีแนวโน้มสูงที่จะฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ” คำพูดของครูใหญ่ทำให้เหยาไถกลืนคำพูดต่อไปลงคอ “สุดท้ายแล้วตอนนี้ผมก็ยังสุขสบายดี และจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้เลย”
“คุณ…”
ครูใหญ่ฝืนยิ้ม “ในเมื่อคุณหมอไม่สามารถรักษาผมได้ อย่างน้อยก็ให้ยาบรรเทาผมหน่อยเถอะครับ”
เหยาไถหัวเสียอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนใจอย่างจนปัญญา แล้วหยิบยาที่ครูใหญ่กินเป็นประจำออกจากตู้ยา… ส่วนใหญ่เป็นยาระงับความเครียดเพื่อบรรเทาอาการนอนไม่หลับ สามสิบปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเขาเอายาประเภทนี้ไปจากห้องของเธอตั้งกี่ขวดแล้ว ชายผู้มีผลประเมินทางจิตใจที่มีความเสี่ยงสูงคนนี้มีชีวิตอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนมาร้อยกว่าปี มีเพียงเหยาไถเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพึ่งพาอะไรถึงอยู่รอดมาได้
“ดูเหมือนว่าปริมาณยาของคุณจะน้อยลงหรือเปล่าคะ” เหยาไถเทียบกับบันทึกในอดีตอย่างมีความสุขเล็กน้อย
“อืม นั่นเป็นเพราะว่าผมต้องการเวลานอนน้อยลงน่ะ” ครูใหญ่ชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา
ความสุขอันริบหรี่ที่เพิ่งจุดขึ้นดับวูบลงทันที เหยาไถดันขวดยาขนาดใหญ่สองสามขวดไปหาเขาด้วยสีหน้ามืดมน “ลองพยายามไม่กินได้ไหมคะ คุณก็รู้ว่ายาพวกนี้สร้างความเสียหายต่อสภาพจิตใจมากแค่ไหน”
อย่างไรก็ดี ครูใหญ่กลับแสดงอาการเฉยเมยต่อคำเตือนของเธอ “ผมรู้ผลข้างเคียงของยาพวกนี้มากกว่าใครทั้งหมด ฉะนั้นตอนนี้ผมถือว่ายับยั้งชั่งใจมากแล้ว”
“รายงานสภาพจิตใจของคุณเข้าขั้นอันตรายมาก ฉันยังมีหน้าที่จะต้องรายงานต่อศูนย์ควบคุมโรคนะคะ” เหยาไถยืนกราน
“ได้สิ แต่อย่าลืมบอกพวกเขาด้วยล่ะว่าผมควบคุมตนเองได้ดีเยี่ยม” ครูใหญ่หัวเราะ เว้นแต่รอยยิ้มนั้นออกจะขมขื่นอยู่สักหน่อย “สถานที่อย่างศูนย์ควบคุมโรคน่ะ ชั่วชีวิตนี้ผมไม่อยากกลับเข้าไปอีกแล้ว”
เหยาไถนั่งลง บันทึกผลการตรวจร่างกายและปริมาณการให้ยาของวันนี้ลงในเวชระเบียนของครูใหญ่อย่างละเอียด ครูใหญ่หยิบแท็บเล็ตบนโต๊ะทำงานของเธอขึ้นมาดูฆ่าเวลา
“นั่นคือไฟล์นักเรียนชั้นปีที่สิบค่ะ” เหยาไถกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง “เป็นกลุ่มที่ฉันคัดกรองออกมาเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เป็นพิเศษในปีนี้”
ครูใหญ่ใช้มือไถหน้าจอและหยุดชะงักที่หน้าหนึ่ง มองดูรูปถ่ายด้านบนนั้นด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“เขาชื่อว่าอิ๋งเฟิง เป็นคนสำคัญที่สุดที่ต้องระวังในรุ่นนี้” ไม่รู้ว่าเหยาไถมายืนอยู่ข้างครูใหญ่ตั้งแต่เมื่อไร จึงเป็นธรรมดาที่จะเห็นเขากำลังอ่านหน้านั้น “มองแววตาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ยอมเป็นรองคนอื่น ถ้าเขากลายเป็นทาสพันธะ ผลที่ตามมาคงไม่อยากจะคิด”
ครูใหญ่เลื่อนไปยังหน้าต่อไปโดยไม่พูดจา เด็กหนุ่มในรูปถ่ายยิ้มให้กล้องด้วยความสดใสสมวัย แม้แต่ภาพนิ่งก็ไม่สามารถปกปิดความมั่นใจในตนเองและความมีออราของเขาได้
“นี่หลิงเซียว คนนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เลย มีปัจจัยของความก้าวร้าวและความอยากเอาชนะมากเกินไป คนแบบนี้ก็ไม่สามารถยอมรับความล้มเหลวง่าย ๆ เหมือนกัน ยังดีที่เขากับอิ๋งเฟิงมีความแข็งแกร่งสูงและเป็นพวกหัวกะทิในรุ่น เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเอาชนะพวกเขาในพิธีบรรลุนิติภาวะ นอกเสียจากว่า…”
เหยาไถไม่ได้พูดต่ออีก ครูใหญ่ก็ไม่ได้ซักถาม วางแท็บเล็ตกลับที่เดิม “ปีนี้ก็ต้องลำบากคุณอีกแล้ว”
เหยาไถส่ายหน้า “ไม่ลำบากเลยค่ะ เป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้ว”
“วางแผนไว้ยังไงบ้าง”
เธอครุ่นคิด “วิชาสุขศึกษาคาบต่อไป ฉันอยากจะพานักเรียนไปเยี่ยมชมที่ฐาน”
“อ้อ” ครูใหญ่ค่อนข้างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”
“ฉันคิดว่าพวกนักเรียนจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองมีที่มายังไง มันมีส่วนช่วยให้พวกเขาได้รู้จักตนเองมากขึ้นค่ะ”
ครูใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่ง “คำแนะนำนี้ดีมากทีเดียว ผมรู้ว่าคุณรู้จักกับคนที่อยู่ในฐาน ถ้างั้นเรื่องนี้ก็ยกให้คุณประสานงานก็แล้วกัน”
________________________________________
“นี่! พวกนายได้ยินรึเปล่า ข้างนอกเขาลือกันว่าวิชาสุขศึกษาคาบต่อไป วิทยาลัยจะจัดให้พวกเราไปเยี่ยมชม… ที่ฐาน…”
หลิงเซียวพุ่งเข้าไปในห้องพักของอีกฝ่ายโดยไม่ได้เคาะประตูด้วยซ้ำ เมื่อเขาพูดมาถึงประโยคสุดท้าย คำพูดก็พลันชะงักงันจนแทบจะต้องอาศัยแรงเฉื่อยเพื่อพูดให้จบ
สิ่งที่เขาเห็น คือเพื่อนซี้อันดับหนึ่งของเขา… หลันเฉิง กับเพื่อนซี้อันดับสองของเขา… ผิงจง ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงและกำลังแลกจูบกัน-อย่าง-ดูด-ดื่ม
“ขอโทษที” หลิงเซียวที่งงเป็นไก่ตาแตกพ่นคำนี้ออกมาด้วยความสับสน ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง แล้วปิดประตูลง หลังจากผ่านช่วงเวลาว่างเปล่าไป สมองก็เริ่มประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนนี้
“ให้ตายสิ!” หลิงเซียวที่ดึงสติออกมาจากความตกใจเตะประตูตรงหน้าเปิดอย่างแรงเป็นครั้งที่สอง “นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
สองคนตรงหน้าแยกกันแล้ว หลันเฉิงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสง่าผ่าเผย ทว่าผิงจงกลับหน้าแดง เบือนหน้าหนีเล็กน้อยไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง
“ก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหละ” หลันเฉิงโอบไหล่ของคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา “พวกเรากำลังคบกัน”
“พวกนาย พวกนาย…” หลิงเซียวเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ “ตั้งแต่เมื่อไร”
คาดไม่ถึงว่าหลันเฉิงจะเริ่มนับนิ้ว “อืม ขอฉันคิดดูก่อนนะ หนึ่ง สอง สาม… น่าจะตั้งแต่สามปีก่อนมั้ง”
สามปีก่อน…
หลิงเซียวหนีไปนั่งหันหน้าเข้ามุมกำแพง หลันเฉิงเหลือบมองเขาอย่างรำคาญ ส่วนผิงจงเห็นท่า ทีของเขาแบบนี้กลับรู้สึกว่าตลก ลุกขึ้นไปดึงตัวเขาขึ้นมาโดยไม่ห่วงเรื่องเคอะเขินอีกต่อไป
“ไม่ต้องสนใจฉัน ตอนนี้ฉันเสียใจมาก พวกนายจะให้ฉันยอมรับได้ยังไงว่าจู่ ๆ เพื่อนที่สนิทมาหลายปีก็กลายเป็นเพื่อนกูรักมึงว่ะไปแล้ว แถมยังปิดบังฉันมาตั้งสามปี แล้วฉันที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็กลายเป็นก้างขวางคอมาตั้งสามปี พวกนายเคยคิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม…”
หลิงเซียวพร่ำบ่นเรื่อยเปื่อย หลันเฉิงใช้นิ้วก้อยแคะหูพลางบอกว่า “ก็เพราะว่าผิงจงคิดถึงความรู้สึกของนายตลอดเวลาไงล่ะ ถึงไม่ให้ฉันบอกนาย นี่ไม่ใช่เพราะว่ากลัวจะทำร้ายหัวใจบาง ๆ ของนายหรือไง”
“พอเถอะ” ผิงจงตำหนิหลันเฉิง “เขาก็เป็นแบบนี้แหละ นายอย่าไปยั่วยุเขาเลย”
เขาออกแรงดึงหลิงเซียวขึ้นมาจากพื้น “เรื่องนี้ต้องโทษฉันที่ไม่กล้าบอกนาย ฉันกลัวว่านายจะรู้สึกอึดอัดต่อหน้าพวกเรา ก็เลยให้หลันเฉิงปิดเอาไว้มาตลอด”
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่หลิงเซียวก็ยังทำตัวแข็งขืนและไม่มีวี่แววว่าจะคึกคักขึ้น
“ดูสิ ก็รู้อยู่แล้วว่านายจะเป็นแบบนี้ นายคิดว่าเราจะกล้าบอกนายไหมล่ะ” หลันเฉิงกระแนะกระแหนเขา
“ถ้าพวกนายรีบบอก ฉันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก!” หลิงเซียวพูดเสียดสี
“ใครจะไปเชื่อ”
“ไอ้เพื่อนจอมปลอม!”
“ไอ้ความรู้สึกช้า!”
“ไอ้มีแฟนแล้วลืมเพื่อน!”
“โง่เง่าเต่าตุ่น!”
ผิงจงเห็นว่าพวกเขาสองคนเริ่มต่อปากต่อคำกันอย่างมีชีวิตชีวา ก็แอบถอนใจโล่งอก นี่ต่างหากจึงจะเป็นลักษณะนิสัยปกติของหลิงเซียว
“เอาละ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” หลิงเซียวตบหน้าตัวเองแรง ๆ ด้วยมือทั้งสองข้างเหมือนต้องการจะปลุกตัวเองให้ตื่นจากความฝัน “ถึงตอนนี้ฉันจะยังรับไม่ค่อยได้… แต่ว่าฉันจะพยายามปรับความรู้สึกก็แล้วกัน”
“พูดอย่างกับว่าคนที่กำลังคบกันเป็นนายอย่างนั้นแหละ” หลันเฉิงหัวเราะ
“แล้วต่อจากนี้พวกนายคิดจะเอาไงต่อ”
หลันเฉิงที่มีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมากะทันหัน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายก็ได้ยินคำพูดของคุณหมอเหยาแล้ว ฉันกับผิงจงตัดสินใจแล้วว่าหลังจากเข้าสู่ระยะตื่นตัวก็จะจัดพิธีบรรลุนิติภาวะ เป็นคู่รักกันอย่างเป็นทางการ”
ท่าทางของหลันเฉิงจริงจังและเคร่งขรึมมากขณะที่พูดประโยคนี้ เขาดูเป็นผู้ใหญ่จนไม่เหมือนคนในระยะเยาว์วัยเลย
ผิงจงยื่นมือออกไปหาเขาเงียบ ๆ สิบนิ้วของทั้งสองเกี่ยวประสานกัน ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของหลิงเซียว
“ถ้างั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับพวกนายล่วงหน้า” หลิงเซียวรู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย “ว่าแต่พวกนายสองคนใครจะเป็นนายพันธะล่ะ”
มือของหลันเฉิงที่กุมอีกฝ่ายบีบแน่น “นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถแล้วละ”
ผิงจงยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
“หลังจากพิธีบรรลุนิติภาวะจบลงแล้ว พวกนายก็ต้องเลื่อนชั้นแล้วน่ะสิ ทิ้งฉันให้เหงาอยู่คนเดียว…”
“พูดถึงเรื่องนี้” ผิงจงเอ่ยปากด้วยความเป็นห่วง “หลิงเซียว นายเองก็ควรจะพิจารณาเรื่องใหญ่ของชีวิตตัวเองได้แล้วนะ พอคุณหมอเหยาเตรียมระดมพลแล้ว หลายคนในชั้นเรียนก็จะถูกกำหนดความสัมพันธ์ จำนวนของคนที่เป็นโสดก็จะมีน้อยลงเรื่อย ๆ”
“เรื่องนี้ฉันรู้น่า” หลิงเซียวเกาหัวด้วยความกระวนกระวายใจ “แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ว่าอยากหาก็หาได้สักหน่อย ก่อนอื่นก็ต้องมีคนที่ถูกใจก่อนสิ”
“อิ๋งเฟิงล่ะ คราวก่อนนายบอกว่าอยากให้เขาเป็นทาสพันธะไม่ใช่เหรอ” จู่ ๆ หลันเฉิงก็พูดแทรก
“ล้อเล่นอะไรของนายน่ะ” ผิงจงโต้เขากลับ “หลิงเซียวพูดไปแบบนั้นเพราะว่าโมโหหรอก”
“งั้นเหรอ ฉันยังนึกว่านายชอบเขาซะอีก” หลันเฉิงยักไหล่ “ล่าสุดจู๋เย่ว์ตามจีบอิ๋งเฟิงหนักเลย อย่างกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้”
“จู๋เย่ว์?” หลิงเซียวตกใจ “คนที่ต่อสู้ไม่ได้เรื่องนั่นน่ะนะ”
“ถูกต้อง ฉันละสงสัยจริง ๆ ว่าดาวเทียนซู่มีมนุษย์ต่างดาวที่อ่อนแออย่างเขาได้ยังไง ขายหน้าเผ่าพันธุ์ของเราจริง ๆ ความแข็งแกร่งอย่างเขาต้องถูกกำหนดให้เป็นทาสพันธะคนอื่นแน่” เมื่อพูดถึงจู๋เย่ว์ สีหน้าของหลันเฉิงก็เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันที่ปกปิดไว้ไม่อยู่
“เป็นทาสพันธะของอิ๋งเฟิงก็ไม่เห็นเลวร้ายตรงไหน เขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ตอนนี้ทั้งชั้นก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะเอาชนะเขาในพิธีบรรลุนิติภาวะได้ละมั้ง” ผิงจงกล่าว
“ก็ไม่แน่ บางทีพวกชั้นที่สูงกว่าอาจเอาเปรียบเขาก็ได้ นายลืมไปแล้วเหรอที่คุณหมอเหยาบอกว่า นายพันธะจะได้รับพลังของทาสพันธะทับซ้อนกันเข้าไปอีก แค่จุดนี้ก็เพียงพอให้เจ้าโง่ที่ไม่กลัวตายบางคนอยากเคลื่อนไหวแล้ว”
บทสนทนาของพวกเขาลอยเข้าหูของหลิงเซียวโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในใจเขา อยากให้ตัวเองไม่ได้ยินเรื่องเหล่านี้เสียเหลือเกิน แต่ดันได้ยินเข้าให้แล้ว และไม่ว่าอย่างไรจะไม่สนใจก็ไม่ได้
“จริงสิ” หลันเฉิงนึกขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ตอนที่นายเข้ามาว่าไงนะ เยี่ยมชมฐานเหรอ”
“หา? อ๋อ อืม…” หลิงเซียวตอบอย่างใจลอย
“จริงอะ?” ผิงจงกับหลันเฉิงต่างตื่นเต้นมาก “แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย!”