กฎรักพันธะเลือด ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

คำว่าฐาน กลายเป็นคำที่มีอัตราการกล่าวถึงสูงสุดในหมู่นักเรียนชั้นปีที่สิบตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับระยะเยาว์วัยแล้ว ฐานมีทั้งความรู้สึกคุ้นเคยและเต็มไปด้วยความลึกลับ นั่นเป็นสถานที่ที่พวกเขาหลับใหลและตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ชาวเทียนซู่ทุกคนเห็นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในชีวิตนี้ ก็คือหลังคาคลังเก็บพลังงานของฐาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการตรวจร่างกายและลงทะเบียนในช่วงสั้น ๆ คนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเหล่านี้ก็จะได้รับการสุ่มให้กับวิทยาลัยระดับต้นแต่ละแห่งเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฐานเป็นเพียงความทรงจำแสนสั้นสำหรับพวกเขา
ข่าวการได้กลับไปเยี่ยมชมฐานสร้างความตื่นเต้นให้นักเรียนชั้นปีที่สิบทุกคน พวกเขาตั้งตารอการมาถึงของวิชาสุขศึกษาคาบต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
หลิงเซียวกำลังป้อนคำสั่งเข้าไปในเครื่องแสดงผลส่วนตัว เพื่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายเทียนหยวน
เครือข่ายเทียนหยวนคือเครือข่ายสาธารณะของดาวเทียนซู่ ผู้ออกแบบคนแรกนำเสนอความเป็นไปได้ของเครือข่ายสามมิติและสร้างชุมชนเสมือนสามมิติแห่งแรกได้สำเร็จ เขาเป็นผู้บุกเบิกต้นแบบเครือข่ายสถานการณ์จำลอง ซึ่งผ่านมากว่าห้าร้อยปีแล้ว
น่าเสียดายที่แผนการเบื้องต้นของเขายังไม่ทันสำเร็จ ก็ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หลายสิบปีต่อมา ผู้สืบทอดคนใหม่ได้สืบสานเจตนารมณ์ของเขา นำเครือข่ายสามมิติเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบอีกขั้นและทำให้เป็นที่นิยมได้สำเร็จ
ผู้สืบทอดรุ่นที่สามได้สร้างปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์เครือข่าย โดยพัฒนาอุปกรณ์ส่งสัญญาณต่างมิติเพื่อให้วัตถุจริงดั้งเดิมสามารถเปลี่ยนไปมาได้ทั้งในความเป็นจริงและโลกเสมือน ก่อกำเนิดช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของระบบเครือข่ายสามมิติ
ทุกวันนี้ เครือข่ายเทียนหยวนได้ขยายไปสู่ดินแดนไร้ขอบเขตโดยมีชุมชนดั้งเดิมเป็นศูนย์กลาง ทุกวงการอาชีพต่างค้นพบสถานที่ของตัวเองในนั้น กลายเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองอีกแห่งหนึ่งที่คู่ขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริง สานความฝันของผู้ที่ตั้งชื่อมันในยุคแรกให้เป็นจริงโดยสมบูรณ์… เทียนหยวน ยุคใหม่แห่งดาวเทียนซู่
สถานะระยะเยาว์วัยของหลิงเซียวก็หมายความว่าขอบเขตกิจกรรมของเขาบนเครือข่ายเทียนหยวนถูกจำกัดด้วยระบบการแบ่งระดับของเครือข่าย ไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่ที่จำกัดสำหรับผู้ใหญ่ได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ โชคดีที่เขตพิเศษไม่กี่แห่งที่อนุญาตให้ระยะเยาว์วัยเข้าออกได้นั้นค่อนข้างครอบคลุมสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
นอกเหนือจากเครื่องแสดงผลส่วนตัว ชาวเทียนซู่ทุกคนจะได้รับบัตรประจำตัวใบหนึ่งหลังจากตื่นขึ้น บัตรใบนี้สามารถใช้งานได้หลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือเอาไว้ใช้รูดซื้อของ
ทุกเดือนคนที่อยู่ในระยะเยาว์วัยจะได้รับค่าครองชีพจำนวนหนึ่งเข้ามาในบัตร ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายทั้งเดือน ค่าครองชีพนี้จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้าพิธีบรรลุนิติภาวะและเข้าสู่สถาบันการศึกษาระดับสูงเพื่อศึกษาต่อ จนกว่าจะมีรายได้เป็นของตัวเองหลังเรียนจบและทำงาน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มจ่ายภาษีการศึกษาเช่นเดียวกับรุ่นก่อนที่สนับสนุนเกื้อกูลพวกเขา เพื่อยกระดับชาวเทียนซู่รุ่นต่อไป
หลิงเซียวรูดบัตรเพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หลังจากซื้อของที่ตัวเองต้องการแล้วก็เดินทอดน่องไปตามถนนย่านการค้า และถูกป้ายที่เขียนไว้ว่า “ขายทุกอย่าง” ของร้านร้านหนึ่งดึงดูดความสนใจ
“ร้านของคุณขายอะไรบ้างเหรอครับ” เขาเดินเข้ามาในร้านแต่กลับพบว่าในร้านไม่มีสินค้าอะไรเลยนอกจากคนในระยะเยาว์วัยคนหนึ่ง
คนในระยะเยาว์วัยคนนั้นยิ้มและชี้ไปที่ป้ายเหนือศีรษะ “ขายทุกอย่าง”
หลิงเซียวมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างไม่เชื่อ “นายเป็นนักเรียนที่ทำงานที่นี่เหรอ”
“เปล่า ฉันเป็นเถ้าแก่ร้านนี้”
“เถ้าแก่?” หลิงเซียวประหลาดใจอย่างมาก “แต่นายดูเหมือนฉันเลย แค่ระยะเยาว์วัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง”
“ฉันเป็นระยะเยาว์วัยน่ะใช่ แต่ฉันอยู่ในระยะเยาว์วัยมายี่สิบสองปีแล้ว” ในขณะที่หลิงเซียวกำลังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจอยู่นั้น อีกคนก็เดินเข้ามาในร้าน
“นักเรียนท่านนี้ ต้องการจะสั่งอะไรดีครับ” เถ้าแก่เห็นว่ามีลูกค้าคนใหม่เข้ามาในร้านก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น
ทันทีที่อิ๋งเฟิงเข้ามาก็เจอกับคนที่ไม่อยากเจอ เขาหันหลังกำลังจะจากไป หลิงเซียวก็สังเกตเห็นเขาจากคำพูดของเถ้าแก่
“นายมาทำอะไร” เขาถามอย่างไม่เกรงใจ
บางทีอาจเป็นเพราะกำลังอยู่ในเครือข่าย อิ๋งเฟิงจึงไม่เย็นชาเหมือนทุกครั้ง ตอบคำถามกลับอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก “ทำไมฉันจะมาไม่ได้”
“พอเข้ามาก็เป็นลูกค้า แน่นอนว่าใครก็เข้ามาได้” เถ้าแก่ยิ้มพลางเชิญอิ๋งเฟิงเข้ามาข้างใน “ต้องการอะไรก็สั่งได้ตามสบาย”
“แต่ว่าร้านนายไม่เห็นมีอะไรเลย” หลิงเซียวพูดกับเถ้าแก่
“ขอแค่เป็นสิ่งที่นายพูดออกมาได้ ฉันก็มั่นใจว่าจะหามาให้นายได้”
“อย่างเช่น?”
“อย่างเช่นเกมตัวใหม่ล่าสุดในตลาด ตัวอย่างชีวภาพจากต่างกาแล็กซี ภาพถ่ายพร้อมลายเซ็นคนดังต่าง ๆ ขอฉันคิดดูก่อนว่าระยะเยาว์วัยอย่างพวกนายชอบอะไรมากที่สุด… อา ใช่แล้ว” เขาจงใจลดเสียงต่ำ “ต่อให้เป็นแผ่นดิสก์อันร้อนแรงสำหรับผู้ใหญ่ ฉันก็แอบหามาให้ได้นะ”
หลิงเซียวรู้สึกเขิน จู่ ๆ ก็ได้ยินอิ๋งเฟิงถามแทรกฉับพลัน “นายเป็นนักเรียนในวิทยาลัยของเราเหรอ”
“อะไรนะ” หลิงเซียวเบิกตาโต “ระยะเยาว์วัยอายุยี่สิบสองปีคนนี้เป็นนักเรียนในวิทยาลัยของเราเหรอ”
“เขาคือเจิ่นเฮ่อ แค่นี้นายก็ไม่รู้เหรอ” อิ๋งเฟิงตอบเขาอย่างดูถูก
ทันทีที่ชื่อนี้ดังขึ้นมาก็เหมือนกับฟ้าร้องที่ดังก้องหู เปิดรอยแยกในความทรงจำของหลิงเซียวในที่สุด… ในวิทยาลัยปี้คงมีคนดังคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็รู้จัก เขาอยู่ในระยะเยาว์วัยยี่สิบสองปีและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทั้งยังไม่ได้ศึกษาต่อ อยู่ในชั้นปีที่สิบสองซึ่งเป็นชั้นปีที่สูงที่สุดในวิทยาลัยปี้คงมาโดยตลอด
แม้ว่าเจิ่นเฮ่อจะโด่งดัง แต่ว่าเขาชอบทำตัวลึกลับ นักเรียนหลายคนเคยได้ยินแค่ชื่ออันยิ่งใหญ่ของเขาเท่านั้น แต่ไม่เคยมีใครได้เห็นตัวจริง ไม่แปลกเลยที่หลิงเซียวจะจำไม่ได้
เจิ่นเฮ่อไม่ถือสาเลยสักนิดที่ถูกคนจำได้ “ฉันจำได้ว่าพวกนายเป็นรุ่นน้องที่ปี้คง หลิงเซียว อิ๋งเฟิง ฉันจำไม่ผิดใช่ไหม”
“ให้ตายสิ” หลิงเซียวแปลกใจมากเมื่อได้ยินชื่อของเขาออกมาจากปากของอีกฝ่าย “นายรู้ด้วยเหรอ”
“แน่นอน” เจิ่นเฮ่อเปลี่ยนอารมณ์ในชั่วพริบตา ไม่ใช่เจ้าของร้านที่ขยันและกระตือรือร้นอีกต่อไป แต่กลับวางท่าเหมือนไม่ยี่หระต่อโลก “ฉันน่ะขายทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลข่าวสารด้วย ในฐานะที่เป็นสายข่าวกรองก็จำเป็นต้องรู้มากกว่าคนอื่นเสมอ”
“น่าเสียดายที่ฉันไม่สนใจสิ่งที่นายขาย”
อิ๋งเฟิงพูดจบก็หันหลังจากไป หลิงเซียวเห็นดังนั้นก็รีบตามไปเช่นกัน “ฉันก็ไม่สนใจ”
“ฉันจำได้ว่าพวกนายสองคนอยู่ชั้นปีที่สิบเหมือนกันสินะ” ด้วยประโยคเดียวของเจิ่นเฮ่อก็สามารถหยุดฝีเท้าของทั้งสองคนที่กำลังจะจากไปได้สำเร็จ “ได้ยินว่าอีกสองวัน นักเรียนชั้นปีที่สิบจะไปเยี่ยมชมที่ฐาน”
“ถูกต้อง เรื่องนี้รู้กันทั้งวิทยาลัย ถึงนายรู้ก็ไม่น่าแปลกใจตรงไหน”
“ถ้างั้นฉันจะขายข้อมูลบางอย่างที่พวกนายอาจสนใจให้ดีไหม อย่างเช่นความลับในฐาน”
“ความลับ?”
“ความลับที่ว่าจะตามหาคู่ครองในชาติที่แล้วได้ยังไง” ที่จริงหลิงเซียวไม่ได้สนใจเรื่องคู่ครองในชาติที่แล้วของตัวเองสักเท่าไร ทว่าคำพูดของเจิ่นเฮ่อจุดความสนใจของอิ๋งเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินไปและหันกลับมา เขาก็แสร้งทำเป็นสนใจและอยู่ต่อ
“ในฐานมีความลับเรื่องการหาคู่ครองในชาติที่แล้วซ่อนอยู่ด้วยเหรอ นายแน่ใจ?” คนที่ถามคืออิ๋งเฟิง
“ไม่ ฉันไม่แน่ใจ” เจิ่นเฮ่อตอบอย่างไม่เคอะเขิน “ฉันแค่รู้ข่าวลือนี้มา แต่ไม่รับประกันว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ขนาดข้อมูลก็ยังรับประกันไม่ได้เลยว่าจริงหรือเปล่า นี่นายไม่เป็นพ่อค้าหน้าเลือดไปหน่อยเหรอ” หลิงเซียวแย่งพูด
“จะใช่พ่อค้าหน้าเลือดหรือเปล่าก็ต้องดูความต้องการของฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนด้วยนะ บางคนอาจจะคิดว่าข้อมูลนี้ไร้ค่า แต่ก็ต้องมีบางคนที่ยอมจ่ายเงินก้อนโตซื้อมา เพียงเพื่อจะพนันกับความเป็นไปได้เล็ก ๆ น้อย ๆ สักตั้ง”
“ฉันไม่เชื่อ ใครจะไปซื้อข้อมูลที่รับประกันความจริงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ สมองของคนคนนั้นต้องมีปัญหาแน่ ๆ”
“เรียกราคาเท่าไร” อิ๋งเฟิงแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมา
หลิงเซียวไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง “นายจะซื้อเหรอ”
เจิ่นเฮ่อตรงไปตรงมากว่าเขา ชูห้านิ้วขึ้นมาทันที
“แพงขนาดนี้เลย?” ตอนนี้หลิงเซียวรู้สึกว่าคำว่าหน้าเลือดยังไม่เพียงพอจะบรรยายเจิ่นเฮ่อด้วยซ้ำ ราคาที่เขาเสนอนั้นพอ ๆ กับค่าครองชีพสองเดือนของพวกเขาเลยทีเดียว
“นี่เห็นแก่ที่พวกนายอยู่ในระยะเยาว์วัยและเป็นเพื่อนร่วมสถาบันหรอกนะ ถึงได้เสนอราคามิตรภาพให้ ถ้าเป็นคนนอก ไม่มีทางได้ราคานี้แน่”
หลิงเซียวกำลังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ก็หันไปเห็นอิ๋งเฟิงหยิบบัตรแม่เหล็กออกมาแล้ว
“ฉันชอบทำธุรกิจกับคนที่ตรงไปตรงมาอย่างนายที่สุดเลย” เจิ่นเฮ่อกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่กลับถูกคนขวางไว้กลางอากาศ
“เดี๋ยวก่อน!” หลิงเซียวห้ามทั้งสองคน สองฝ่ายที่กำลังทำการซื้อขายมองหน้าเขาพร้อมกัน
“นายจะซื้อจริงเหรอ” หลิงเซียวถามอิ๋งเฟิง
“เกี่ยวอะไรกับนาย” อิ๋งเฟิงถามกลับ
หลิงเซียวนึกถึงยอดเงินคงเหลือในบัตรของตัวเอง แล้วกัดฟันพูด “ฉันก็อยากร่วมหุ้นด้วย ฉันจะซื้อกับนาย”
อิ๋งเฟิงกลับไม่หวั่นไหวต่อข้อเสนอของเขา “ถ้านายอยากรู้ก็ซื้อเองสิ” พูดจบก็จะยื่นบัตรในมือออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้หลิงเซียวคว้าข้อมือของเขาไว้ “ข้อเสนอนี้ก็เป็นผลดีกับนายไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยก็ช่วยนายประหยัดเงินไปได้ตั้งครึ่งหนึ่ง”
อิ๋งเฟิงมองหลิงเซียวแล้วมองเจิ่นเฮ่ออีกครั้ง เจิ่นเฮ่อแบมือพูด “ฉันยังไงก็ได้แหละ ถึงยังไงฉันก็พูดแค่ครั้งเดียว พวกนายจะได้ยินคนเดียวหรือสองคนก็ไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับฉัน”
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ อิ๋งเฟิงจึงตกลง “ได้”
หลิงเซียวแอบเหลือบมองบัญชีของอิ๋งเฟิงตอนที่รูดบัตร เจ้าหมอนี่ยังเหลือเงินเยอะจริง ๆ มิน่าล่ะถึงตัดสินใจซื้อโดยไม่ลังเลเลย ตรงกันข้าม หลิงเซียวผู้ซึ่งแทบไม่มีเงินเหลือยังไม่ได้คิดเลยว่าหลังจากที่ตัวเองตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นแล้ว จะผ่านช่วงเวลาอันแสนยาวนานต่อจากนี้โดยไม่มีเงินเหลือในบัญชีได้อย่างไร
“ตอนนี้นายก็พูดได้แล้วสิ” หลิงเซียวอดทนต่อความเจ็บปวดขณะมองดูยอดเงินคงเหลือในบัตรของตัวเองที่กลายเป็นเลขตัวเดียว คิดในใจว่าถ้าข้อมูลไม่แม่นยำละก็ เขาจะกลับมาพังร้านนี้อย่างแน่นอน
“แน่นอน” เจิ่นเฮ่อเล่นกับแหวนบนมือของเขา “ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มเล่าจากไท่อิน อดีตหัวหน้านักวิจัยของฐาน แม้ว่าเขาจะมีฐานะเป็นผู้บริหารระดับสูงของฐาน อยากรู้ตัวตนหลังวิญญาณกลับชาติมาเกิดของใครก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย แต่นี่เป็นเรื่องต้องห้ามตามกฎหมาย”
“ทำไมล่ะ” หลิงเซียวอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก
“เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบคู่สมรสเทียนซู่ หลังจากนี้นายฟังแล้วก็จะเข้าใจ”
เจิ่นเฮ่อเรียบเรียงคำพูดที่ถูกหลิงเซียวขัดจังหวะเมื่อครู่ แล้วพูดใหม่อีกรอบ “นักวิจัยชื่อไท่อินเป็นอัจฉริยะด้านวิทยาศาสตร์ สิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือสารเคมีชนิดหนึ่งที่เพิ่มขีดความสามารถในการต่อสู้ได้อย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ กรมทหารตั้งชื่อสารประกอบทางเคมีชนิดนี้ว่า ‘หรานจิ้น’ ”
“สารเคมีต้องห้ามที่มีไว้ใช้เฉพาะฝ่ายทหารเท่านั้นน่ะเหรอ” ชื่อเสียงของหรานจิ้นนั้นแม้แต่หลิงเซียวก็ยังเคยได้ยิน
“ถูกต้อง ไท่อินสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญนับไม่ถ้วนในช่วงชีวิตของเขา หรานจิ้นเป็นเพียงหนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักของเขาเท่านั้น สาเหตุที่เขามีความสำเร็จที่เป็นเลิศแบบนี้ แง่หนึ่งก็เป็นเพราะความสามารถอันโดดเด่น ส่วนอีกแง่มุมหนึ่งก็คือชีวิตที่ยืนยาว ครั้งสุดท้ายที่เขาปรากฏตัวต่อที่สาธารณะก็ผ่านมาสี่ร้อยสามสิบหกปีแล้ว แม้แต่ในหมู่ชาวเทียนซู่ อายุเท่านี้ก็ถือว่ายืนยาวมาก”
“สี่ร้อยกว่าปีเลยเหรอ…” หลิงเซียวถอนใจ ไม่รู้จริง ๆ ว่าการที่มีชีวิตยืนยาวแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร
“แต่การมีอายุยืนยาวก็มีข้อด้อยของมัน ยิ่งอยู่นานเท่าไรก็แสดงว่ายิ่งต้องเผชิญหน้ากับการจากลามากเท่านั้น ในช่วงชีวิตครึ่งหลังของไท่อิน เขาได้เห็นการจากไปของเพื่อนสนิททีละคน แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วชาวเทียนซู่จะเปิดใจรับความตายได้ดีมาก แต่หลังจากที่ทาสพันธะผู้เป็นที่รักของเขาหลับใหลไปในที่สุด เขาก็เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความชั่วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“เส้นทางแห่งความชั่ว?”
“เขาใช้ตำแหน่งของเขาล็อกวิญญาณของทาสพันธะ รอให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาในอีกชาติหนึ่ง แล้วลักพาตัวระยะเยาว์วัยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เกี่ยวกับชาติที่แล้วไปกักขังอย่างลับ ๆ”
หลิงเซียวตกใจ “แต่คุณหมอเหยาเคยบอกว่า แต่ละวิญญาณจะมีโอกาสในการเข้าพิธีบรรลุนิติภาวะแค่ครั้งเดียว ต่อให้คู่ครองจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่สามารถมีคู่ครองใหม่ได้อีก”
“นายพูดถูกทุกอย่าง ดังนั้นไท่อินและทาสพันธะที่กลับชาติมาเกิดใหม่ของเขาจึงติดอยู่ในภาวะชะงักงัน… เขาไม่มีทางได้อีกฝ่ายมา และไม่ยอมให้ใครได้เขาไปด้วย ระยะเยาว์วัยคนนั้นถูกบังคับให้คงสภาพวัยเด็กตลอดเวลา ไม่พัฒนาสภาพทางเพศและไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้นายก็รู้แล้วสินะว่าทำไมกฎหมายถึงห้ามอย่างเคร่งครัดไม่ให้ติดตามเบาะแสของวิญญาณที่กลับชาติมาเกิด”
หลิงเซียวขมวดคิ้วแน่น
“ตัวไท่อินเองห่วงปัญหานี้มากกว่านายแน่นอน ก่อนที่พฤติกรรมของเขาจะถูกเปิดเผย เขาก็ได้ศึกษาวิธีที่จะปลดความสัมพันธ์กับคู่สมรสเดิมอย่างลับ ๆ แต่ว่าน่าเสียดาย ไม่นานหลังจากนั้นการวิจัยของเขาก็ต้องหยุดลงเพราะถูกนักเรียนของตัวเองทรยศ ระยะเยาว์วัยคนนั้นหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของอีกฝ่ายและรายงานสิ่งที่ไท่อินทำต่อกรมทหาร ความจริงก็เลยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
ด้วยเหตุนี้”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” หลิงเซียวฟังเรื่องราวจนรู้สึกหมกมุ่น รีบถามรบเร้า
“ตอนที่กรมทหารไปจับกุมตัวเขา เขาฉีดยากระตุ้นระบบร่างกายให้ตัวเองมาแล้ว มันคือหรานจิ้นรุ่นอัปเกรดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหรานจิ้นธรรมดาถึงยี่สิบเท่า เขาบุกเดี่ยวฝ่าวงล้อมทหารแล้วก็ลักพาตัวระยะเยาว์วัยคนนั้นอีกครั้ง นับตั้งแต่นั้นก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปอยู่ที่ไหน จนป่านนี้แล้วก็ยังหลบหนีอยู่เลย”
คำอธิบายไม่กี่ประโยคของเจิ่นเฮ่อนี้เพียงพอที่จะเรียกความตื่นเต้นให้ผุดขึ้นในหัวใจของหลิงเซียว เขานึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่ตื่นให้เร็วกว่านี้ จึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ในตอนนั้นด้วยตาตัวเอง
เขายังคงถอนใจในขณะที่ได้ยินอิ๋งเฟิงถามว่า “เหตุผลที่ไท่อินสามารถตามหาทาสพันธะในชาติที่แล้วเจอเพราะว่าอาศัยตำแหน่งของตัวเอง ข้อมูลนี้ไม่มีค่าอะไรกับฉันเลย”
ท่าทางของเจิ่นเฮ่อเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้ “ไท่อินตามหาทาสพันธะในชาติที่แล้วของตัวเองเจอเพราะเหตุผลนั้นก็จริง แต่ระหว่างที่เขาค้นคว้าวิธีการสลายความสัมพันธ์ ก็ค้นพบวิธีแยกแยะว่าคนสองคนเป็นคู่รักเมื่อชาติปางก่อนหรือไม่โดยบังเอิญ และว่ากันว่าวิธีนี้ถูกบันทึกอยู่ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเขา”
“แล้วฉันจะหาคอมพิวเตอร์ของเขาเจอได้ยังไง”
“คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นยังอยู่ในห้องทดลองของเขา และห้องทดลองของเขาก็ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในฐาน”
“ที่ไหนสักแห่งเหรอ” หลิงเซียวรู้สึกว่าคำพูดนี้มันกว้างเกินไปแล้ว
เจิ่นเฮ่อหยิบไมโครชิปออกมาแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศ ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กางขยายให้มันใหญ่ขึ้น ชิปนั้นขยายออกเป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง
“นี่คือแผนผังของฐานทั้งหมด คิดว่าพวกนายจะต้องได้ใช้ แค่ราคาของแผนที่นี้ก็เกินกว่าค่าข้อมูลที่นายจ่ายมาแล้ว นอกจากนี้ฉันจะใจดีให้พวกนายยืมเจ้านี่ด้วย”
“นี่มันอะไร” หลิงเซียวมองดูเขายื่นบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแฟลชไดรฟ์ให้อิ๋งเฟิง
“ต่อให้พวกนายหาคอมพิวเตอร์ของไท่อินเจอ ก็ไม่มีทางเข้าระบบส่วนตัวของเขาได้ นี่คือโปรแกรมปลดล็อกครอบจักรวาลที่สามารถถอดรหัสผ่านของเขาโดยอัตโนมัติ แต่คุยกันก่อนนะว่านี่แค่ให้ยืม พอพวกนายกลับมาจากฐาน กรุณาอย่าลืมเอามาคืนฉันด้วย”
“เดี๋ยวก่อน” หลิงเซียวคัดค้าน “ฉันก็จ่ายเงินด้วยเหมือนกัน ทำไมนายต้องเอาแผนที่กับโปรแกรมปลดล็อกให้เขาด้วยล่ะ”
“ฉันไม่ไว้ใจให้นายเก็บรักษา” อิ๋งเฟิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“งั้นฉันก็ยังไม่ไว้ใจนาย” หลิงเซียวยึดโปรแกรมปลดล็อกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “คนละครึ่ง แบบนี้ถึงจะยุติธรรม ป้องกันนายเคลื่อนไหวในฐานเองโดยพลการ”
อิ๋งเฟิงปล่อยให้เขาเอาไป แล้วหันมาหาเจิ่นเฮ่อ “ผู้ดูแลฐานน่าจะเข้มงวดมากสินะ นายแน่ใจหรือว่าผู้เยี่ยมชมในระยะเยาว์วัยคนหนึ่งจะเข้าไปในห้องทดลองที่นายพูดถึงได้”
“สองคนต่างหาก!” หลิงเซียวรีบพูดเสริม
เจิ่นเฮ่อลูบจมูกอย่างมีเจตนา “ฉันมีหน้าที่แค่แลกเปลี่ยนข้อมูล นายจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการได้หรือเปล่า ไม่ใช่เรื่องที่ฉันควบคุมได้แล้ว”
หลิงเซียวออกจากระบบเครือข่ายเทียนหยวน หยิบโปรแกรมปลดล็อกจากเครื่องย้ายมวลสาร แล้วเอามาสำรวจอย่างละเอียด
อาศัยเจ้าสิ่งนี้ก็จะปลดล็อกคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของอดีตหัวหน้าฐานได้จริงเหรอ
เจิ่นเฮ่ออยู่แค่ในระยะเยาว์วัย ทำไมถึงทำเรื่องพวกนี้ได้
เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ อิ๋งเฟิงยอมจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อซื้อข้อมูลพรรค์นี้เพราะอะไรกันแน่นะ
หลิงเซียวเก็บโปรแกรมปลดล็อกด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม แค่รอให้วันนั้นมาถึง

กฎรักพันธะเลือด

กฎรักพันธะเลือด

Khế Tử, กฎรักพันธะเลือด, 契子
Score 8.6
Status: Ongoing Type: Author: , , Artist: Released: 2014 Native Language: Chinese
อ่านกฎรักพันธะเลือดเรื่องย่อ ระบบคู่สมรสที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายที่สุดในจักรวาลบนดาวเทียนซู่ นำพาชีวิตของ “อิ๋งเฟิง” กับ “หลิงเซียว” เข้าสู่ชะตาที่ทั้งคู่ไม่เคยคิดฝัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset