ตอนที่ 5
“ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ดาวดวงอื่นที่วิญญาณไม่เวียนว่ายตายเกิด ชีวิตของพวกเขาจะเป็นยังไงครับ”
“นี่เป็นคำถามที่ดีมาก” จื๋อซั่งกล่าวชมเชย “สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีการสืบพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ยกตัวอย่างชาวดาวหลางซู่ที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด” เขาปรับอุปกรณ์ฉายภาพ ภาพสามมิติของชาวดาวหลางซู่ปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่างข้าง ๆ
“รุ่นเด็กของชาวหลางซู่เป็นสัตว์แท้ ๆ เทียบกับลูกของสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว ชาวหลางซู่ที่เกิดออกมาในรูปแบบของสัตว์ป่ามีความสามารถในการอยู่รอดสูงกว่า แต่ก็จะมีสติปัญญาระดับสูงช้ากว่าเช่นกัน ชาวหลางซู่ในวัยเด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้ทักษะการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง พอถึงช่วงวัยรุ่นก็จะมีความคุ้นเคยและสามารถสลับระหว่างสองรูปร่างได้อย่างอิสระ อายุขัยเฉลี่ยของพวกเขาคือสองถึงสามร้อยปี วัยแข็งแกร่งของชีวิตจะกินเวลาไปถึงเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์และมีวัยชราเพียงสั้น ๆ วัยชราของพวกเขาก็เหมือนกับวัยเด็กที่สามารถดำรงอยู่ได้ในรูปแบบของสัตว์ป่าเท่านั้น จากนั้นก็ตาย
“หลังจากชาวหลางซู่ตายแล้ว คนอื่นก็จะส่งร่างของพวกเขากลับสู่พื้นโลก จะว่าไปก็น่าสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร แต่ว่ากลับเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความศรัทธาในแผ่นดินมากกว่าใครทั้งหมด อาหารที่พวกเขาใช้เลี้ยงชีพคือหญ้า เมื่อตายแล้วก็จะกลายเป็นสารอาหารบำรุงดินเป็นการตอบแทน นี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของดึกดำบรรพ์ รักธรรมชาติ ศรัทธาในอิสระ และตอนนี้เป็นชาติที่ศิโรราบต่อพวกเรา”
“อะไรคือชาติที่ศิโรราบครับ”
“ก็คือเมื่อแพ้สงคราม ชาติที่ยอมศิโรราบจะต้องส่งเครื่องบรรณาการเข้ามาให้เราทุกปีเพื่อแสดงความจำนน ยังมีชนเผ่าประเภทนี้อยู่ในกาแล็กซีหกเผ่า”
เหล่านักเรียนอุทานด้วยความตกใจ “นี่พวกเราแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ”
จื๋อซั่งยิ้มน้อย ๆ “ปัญหานี้น่ะ ไว้พวกเธอบรรลุนิติภาวะแล้วมีโอกาสเดินทางไปที่ดาวดวงอื่น ก็จะพบว่าความแตกต่างระหว่างเรากับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ไม่ได้มีเพียงวิธีการสืบพันธุ์เท่านั้น”
เหล่านักเรียนต่างตั้งใจฟัง “แล้วยังมีวิธีการสืบพันธุ์แบบอื่นอีกเหรอคะ”
“เหมือนจะมีนะ” จื๋อซั่งกดรีโมตคอนโทรล เนื้อหาในภาพฉายฮอโลแกรมก็เปลี่ยนไปเป็นแบบอื่น “นี่คือชาวโลกที่อยู่ห่างจากพวกเรามาก พวกเขาเกิดมาในรูปแบบของทารกแบบนี้”
ภาพของทารกชาวโลกกำลังคลานอยู่กลางอากาศ บางครั้งพยายามที่จะลุกขึ้นมา ล้มลง แล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ว้าว น่ารักจังเลย” เด็กนักเรียนหญิงจำนวนมากอดที่จะร้องอุทานไม่ได้
“ในระยะเยาว์วัยของชาวโลกจะไม่มีความทรงจำหรือความสามารถในการอยู่รอดใด ๆ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะให้ได้มากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด ตั้งแต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด เช่น การเดิน การกิน การพูด ไปจนถึงการปกป้องตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะต้องผ่านการฝึกฝนจึงจะควบคุมได้”
“อย่างนั้นก็เหนื่อยมากสิคะ”
“ใช่ เหนื่อยมาก แต่ว่าก็ได้ความรู้สึกของความสำเร็จเหมือนกัน ชาวเทียนซู่อย่างเราไม่มีวันได้สัมผัสกับความสุขของการเติบโตแบบนั้น นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าวัยเด็ก”
ในที่สุดทารกในภาพก็ยืนตั้งไข่ได้สำเร็จ ค่อย ๆ เดิน วิ่ง และกระโดดโดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือใด ๆ รูปลักษณ์เปลี่ยนไป ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างช้า ๆ จนมีลักษณะคล้ายกับชาวเทียนซู่ระยะเยาว์วัย
“ตอนนี้ที่ทุกคนกำลังดูอยู่คือช่วงวัยรุ่นของชาวโลก อายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี มาตรฐานการเป็นผู้ใหญ่ของพวกเขาถูกกำหนดไว้เหมือน ๆ กัน โดยปกติแล้วขีดจำกัดนี้จะอยู่ที่อายุสิบแปดปี แต่บางครั้งก็แตกต่างกัน ทันทีที่ผ่านช่วงอายุที่กำหนดไว้ก็แสดงว่าได้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว โดยที่ไม่สนใจว่าความคิดของคนคนนี้เติบโตเต็มที่แล้วหรือยัง
“เมื่อชาวโลกกลายเป็นผู้ใหญ่ก็สามารถผสมพันธุ์และสืบพันธุ์ได้ตามกฎหมาย ประเทศส่วนใหญ่ปฏิบัติตามระบบหนึ่งสามีหนึ่งภรรยา แต่ระบบสามีภรรยาของพวกเขาสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา ไม่มีความสัมพันธ์หนักแน่นเหมือนกับคู่สมรสชาวเทียนซู่”
การฉายภาพยังคงดำเนินต่อไป เหล่านักเรียนดูชีวิตของชาวโลกจบอย่างรวดเร็ว วัยผู้ใหญ่ แต่งงาน มีลูก แก่ชรา จนกระทั่งตายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“เหลือเชื่อจริง ๆ” พวกเขาเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่ามีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อาศัยอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ด้วย จึงรู้สึกตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน
“อายุขัยของชาวโลกสั้นกว่าพวกเรามาก เพราะว่าพวกเขามีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ดังนั้นทุกคนก็จะมีครอบครัว มีคนในครอบครัว ในภาษาของชาวโลก พวกเขาจะเรียกคนเหล่านี้ว่าคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย พี่สาว น้องชาย น้องสาว…”
เหล่านักเรียนต่างพึมพำท่องตามโดยไม่รู้ตัว คำเหล่านี้คือสิ่งแปลกใหม่โดยสิ้นเชิง แต่เมื่อพูดออกมาแล้วกลับคล่องปาก
“ชาวเทียนซู่ไม่มีระบบครอบครัวขนาดใหญ่เหมือนกับชาวโลก และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ว่าพวกเราก็สามารถมีคนในครอบครัวได้” เขาหัวเราะพลางมองไปยังเหยาไถ “อาเหยาคือคนในครอบครัวของฉัน จากนี้ไปพวกเธอก็จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง”
“แต่ว่าพวกเราไม่มีพี่ชาย พี่สาว น้องชาย น้องสาวอะไรแบบนั้น…”
จื๋อซั่งครุ่นคิดเล็กน้อย “พวกเธอสงสัยหรือเปล่าว่าในเมื่อพวกเราทุกคนเกิดมาจากจิตวิญญาณ แล้วชื่อของเรามาจากไหน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนสังเกตถึงปัญหานี้ พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
“คำตอบก็อยู่ที่คลังเก็บพลังงาน หลังจากที่ทุกวิญญาณกลับมาแล้ว พวกเราก็จะถูกจัดเรียงตามลำดับ ทุก ๆ คลังจะมีนามสกุลเป็นของตัวเอง ส่วนชื่อตัวก็มีลำดับที่แน่นอนเหมือนกัน เมื่อเราจับคู่นามสกุลกับชื่อคนเข้าด้วยกัน ก็จะเป็นชื่อของทุกคนในปัจจุบัน”
ทุกคนต่างเข้าใจในทันที ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง
“ถ้างั้น… ที่จริงผมก็แค่แอบคิดนะ คนที่หลับและตื่นในคลังเก็บพลังงานเดียวกับพวกเรา ใช้นามสกุลร่วมกับพวกเรา ก็ถือว่าเป็นพี่น้องของพวกเราไม่ใช่เหรอครับ”
“อา” จู่ ๆ คนจำนวนมากก็รู้สึกว่าหัวใจเปล่งประกาย “ที่แท้พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันโดยไม่รู้ตัว ศาสตราจารย์ครับ ผมขอไปดูคลังเก็บพลังงานที่ผมเคยอยู่ได้ไหมครับ”
“ได้แน่นอน” จื๋อซั่งเอ่ยยิ้ม ๆ “ทุกคนสามารถตรวจสอบนามสกุลของตัวเองบนแผ่นป้ายทางขวามือของฉัน ก็จะเจอคลังเก็บพลังงานของตัวเองตามโซนที่บอกไว้”
พวกนักเรียนที่ตื่นเต้นรีบกรูกันเข้าไปที่แผ่นป้าย หลิงเซียวที่สายตาไวเจอเขตพื้นที่ของสกุลหลิงท่ามกลางนามสกุลต่าง ๆ ก่อนใครเพื่อน เมื่อเขาเดินหาตามป้ายบอกทางก็พบว่าห้องโถงนั้นใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เจ้าหน้าที่ที่พบเห็นระหว่างทางต่างใช้พาหนะขนาดเล็กในการเคลื่อนที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกว้างใหญ่ของสถานที่แห่งนี้
“หลิง หลิง หลิง…” เขากำลังค้นหาคลังเก็บพลังงานในแต่ละแถว ในที่สุดก็พบคลังเก็บพลังงานของสกุลหลิง
“ที่นี่ก็คือที่ที่ฉันตื่นขึ้นมา…” เขาวางมือบนฝาปิดผนึก ความรู้สึกคุ้นเคยก่อตัวขึ้นในหัวใจ
ด้านข้างของคลังเก็บพลังงานมีชื่อของคนที่ตื่นขึ้นจากสถานที่แห่งนี้ถูกบันทึกไว้ถี่ยิบ ชื่อของหลิงเซียวเรียงอยู่ท้ายแถวอย่างชัดเจน ชื่อที่อยู่ก่อนหน้าเขาล้วนเป็นรุ่นพี่ของสกุลหลิง
“หลิงหยาง หลิงหลาง หลิงเต้าซี… ที่แท้คนพวกนี้ก็เป็นรุ่นพี่ของฉัน ไม่รู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” หลิงเซียวพึมพำกับตัวเอง
ชื่อของวิญญาณที่กำลังหลับใหลอยู่ในคลังขณะนี้สะดุดตาเขาเป็นพิเศษ หลิงเซียวอดที่จะพูดชื่อออกมาไม่ได้ “หลิง เสี่ยว ลู่ นายน่าจะเป็นน้องชายฉันสินะ…”
เขารู้สึกว่าคำที่ต้องใช้ปลายลิ้นสัมผัสกับฟันสองครั้งนั้นเป็นคำที่น่ารักมาก จึงพูดออกมาอีกครั้งอย่างชัดเจน “ตี้ตี่[1] ฉันก็มีคนในครอบครัวแล้วเหมือนกัน”
เขาก้มตัวไปแนบบนแคปซูลที่ปิดสนิทอย่างระมัดระวัง แนบหูชิดกับมันแล้วหลับตาลง รู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่ดังมาจากข้างในจริง ๆ “นายจะต้องรีบตื่นขึ้นมา…”
รอบกายเงียบลงแล้ว มีเพียงเสียงการเต้นของหัวใจที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หลิงเซียวหลับตาลงคล้ายกำลังนอนหลับอย่างสงบ นี่คือความรู้สึกปลอดภัยที่ได้กลับไปหาแม่ที่ชาวเทียนซู่ไม่มีวันเข้าใจ แต่ว่ามันกลับผุดขึ้นในสมองของหลิงเซียวอย่างชัดเจนในขณะนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลิงเซียวลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และตัวอักษรที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เขาเพ่งสายตาไปหลายครั้งภาพที่พร่ามัวจึงค่อย ๆ เด่นชัดขึ้น ในที่สุดคำว่า “อิ๋ง” ก็ปรากฏขึ้น
หลิงเซียวที่สติกำลังกระเจิดกระเจิงตกตะลึงไปชั่วขณะ ตัวอักษรนี้ดูคุ้นตาจัง เหมือนฉันเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน
เขาเหลือบตามองคำว่าหลิงที่คลังของตัวเอง แล้วก็จ้องไปที่คำว่าอิ๋งข้าง ๆ พลันกระโดดถอยหลังไปครึ่งเมตรด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นก็เหลือบไปเห็นอิ๋งเฟิง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าเมื่อกี้เขายืนมองอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา
เมื่อนึกถึงท่าทางที่ไร้เดียงสาของตัวเองเมื่อกี้ หลิงเซียวก็นึกอยากจะตักน้ำในสระชำระจิตมาสาดอีกฝ่ายเพื่อล้างความทรงจำเสียเหลือเกิน
“นายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” หลิงเซียวยืนอยู่หน้าอาณาเขตของตนเองพร้อมถามอย่างตรงไปตรงมา
อิ๋งเฟิงมองเขาด้วยสายตาราวกับว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว ก่อนเดินตรงไปยังคลังที่อยู่ด้านข้าง ในเวลานี้คลังนั้นก็มีวิญญาณที่กำลังหลับใหลอยู่เหมือนกัน บนป้ายชื่อเขียนไว้ว่า อิ๋งเจิ้ง
สมองของหลิงเซียวทำงานอย่างหนัก ในที่สุดก็นึกออกว่าทำไมตัวเองถึงคิดว่าคำนั้นดูคุ้นเคย ที่แท้ข้าง ๆ ก็คือคลังแม่ของอิ๋งเฟิงนี่เอง หลิงเซียวมอง ๆ ดูก็พบว่าระยะห่างระหว่างคลังเก็บพลังงานทั้งสองไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการนอนร่วมเตียงเดียวกัน ระหว่างที่หลับใหลมากว่าสิบยี่สิบปี เขากับอิ๋งเฟิงก็คือเพื่อนบ้านกันอย่างนั้นเหรอ
อิ๋งเฟิงไม่สนใจหลิงเซียวที่จ้องเขม็งอยู่ข้าง ๆ ยกมือขวาขึ้นมาวางลงบนคลังเงียบ ๆ เลียนแบบพฤติกรรมของเขาเมื่อครู่ ทันใดนั้นหลิงเซียวก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว อิ๋งเฟิงก็สัมผัสถึงความรู้สึกอัศจรรย์นั่นได้เหมือนกันเหรอ
ทั้งสองคนไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก เหมือนอากาศถูกแช่แข็งไปแล้ว
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ “เอ๋ พวกนายสองคนก็อยู่นี่เหรอ”
หลิงเซียวที่เหมือนถูกปลุกให้ตื่นหันไปมอง “นายมาได้ยังไง”
คนนั้นก็คือผิงจง “ฉันก็อยู่โซนนี้”
เขาชี้ไปยังตัวอักษร “ผิง” ขนาดใหญ่เหนือคลังซึ่งอยู่ห่างจากพวกหลิงเซียวเพียงทางเดินกั้นเท่านั้น “ดูเหมือนว่าชาติที่แล้วพวกเราก็สนิทกันใช้ได้นะ”
“นั่นสิ” หลิงเซียวเหลือบมองอิ๋งเฟิง เขายังคงสงวนท่าที ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ “ไม่รู้ว่าถูกแบ่งด้วยหลักการอะไร”
“น่าจะเป็นการออกเสียง นายไม่รู้สึกเหรอว่า หลิง อิ๋ง แล้วก็ผิง การออกเสียงคล้ายกันมากเลยใช่ไหมล่ะ”
หลิงเซียวสังเกตตามอย่างละเอียด ใช่จริงด้วย เขารีบมองไปยังทางซ้ายมือของตัวเอง “เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ ข้างนี้ของฉันคือหมิง”
“ข้าง ๆ ฉันก็… จิ่ง แล้วก็ปิง”
เมื่อทั้งสองคนค้นพบจุดที่น่าสนใจก็วิ่งไล่ดูไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นห้องโถงที่เงียบเป็นป่าช้าเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยเสียงตะโกนโต้ตอบอย่างคึกคักของพวกเขา
“หนวกหูเป็นบ้า” หลังจากที่หลิงเซียววิ่งวนกลับมายังจุดเดิม ก็ได้ยินอิ๋งเฟิงพูดเสียงต่ำ
หลิงเซียวกำลังจะตอกกลับว่าเกี่ยวอะไรกับนาย จู่ ๆ เสียงเตือนภัยแสบแก้วหูก็ดังขึ้นในฐาน เสียงนกหวีดแหลมสูงและเร่งเร้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เกิดอะไรขึ้น” หลิงเซียวตื่นตัวทันที
“รวมตัวกันก่อนค่อยว่ากัน!” ผิงจงออกวิ่งไปทางศูนย์บัญชาการแล้ว หลิงเซียวตามหลังเขาไปติด ๆ แต่กลับถูกคนดึงไว้อย่างแรง เขาหันหลังกลับไปด้วยความตกใจ ก็เห็นอิ๋งเฟิงที่แทบจะไม่สุงสิงกับเขาเลยส่งสายตาแปลกประหลาดมาให้
“มีอะไรเหรอ” ผิงจงเห็นว่าเขาไม่ได้ตามมาก็หันกลับไปถาม
หลิงเซียวพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีภารกิจอีกอย่าง “นายไปรวมตัวกับหลันเฉิงก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป!”
“นี่! นายจะไปไหนน่ะ” ผิงจงจะเรียกเขาไว้ แต่เพียงพริบตาทั้งสองคนก็วิ่งหายลับไปแล้ว
ผิงจงเป็นห่วงหลันเฉิงมากกว่า จึงต้องตัดใจที่จะตามไป แล้วกลับไปยังศูนย์บัญชาการด้วยความเร็วสูงสุด โชคดีที่หลันเฉิงอยู่ที่นี่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เขาถาม
หลันเฉิงมาถึงก่อนเขาสักพักแล้ว จึงพอเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง “พยากรณ์ดาราศาสตร์บอกว่าดาวเคราะห์น้อยบริเวณใกล้เคียงแตกตัวโดยบังเอิญ มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีอุกกาบาตตกลงมาใกล้ที่นี่”
การแตกตัวของดาวเคราะห์เป็นเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่พบเห็นได้ทั่วไปที่นี่ ผิงจงสังเกตโดยรอบ แม้ว่าสัญญาณเตือนภัยยังคงดังไม่หยุด แต่ว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างทำงานอย่างเป็นระเบียบในที่ประจำของตัวเอง ไม่มีใครแสดงอาการตื่นตระหนกเลย
แผงควบคุมคลังเก็บพลังงานถูกปรับเปลี่ยนเป็นแผงควบคุมติดตามทางดาราศาสตร์ขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว ตัวเลขและสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนกำลังเด้งขึ้นมาบนหน้าจอภาพอย่างรวดเร็ว หลันเฉิงไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย รู้แค่ว่าภาพอาคารปลูกสร้างที่สำคัญที่สุดของดาวเทียนซู่กำลังฉายอยู่บนกลางหน้าจอ… ประภาคารแห่งจิตวิญญาณ
เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยจับกลุ่มนักเรียนแล้วจัดการอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย ทุกคนต่างกังวลและยิงคำถามผู้ใหญ่กันจ้าละหวั่น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ตรงนี้จะถูกอุกกาบาตชนหรือเปล่าครับ”
“พวกเราจะเป็นอันตรายหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่สงบสติอารมณ์ในขณะพยายามรักษาความสงบเรียบร้อย “ไม่ต้องเป็นห่วง นี่แค่เรื่องเล็ก ฐานสามารถรับรองความปลอดภัยของนักเรียนได้แน่นอน”
ผิงจงพยายามเบียดไปด้านหน้าของฝูงชน
“พวกเรายังมีเพื่อนอีกหนึ่ง… ไม่สิ อีกสองคนยังไม่ได้กลับมาเลยครบั ”
คำพูดของเขาเรียกความสนใจของเจ้าหน้าที่ทันที “พวกเขาอยู่ไหน”
“ครั้งสุดท้ายเห็นอยู่ที่โซนจีสามครับ”
อีกฝ่ายรีบส่งข้อมูลนี้ไปยังเพื่อนร่วมงานอย่างรวดเร็วผ่านอุปกรณ์สนทนา จากนั้นเขาก็ปิดตัวสื่อสาร แล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ฉันส่งพนักงานไปตามหาที่นั่นแล้ว เราจะไม่ปล่อยให้นักเรียนคนไหนได้รับอันตรายเด็ดขาด!”