เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูกลำนี้มีรูปลักษณ์เหมือนเรือหอเรือนข้ามแม่น้ำ ไม่แตกต่างจากเรือขนาดเล็กจำนวนมากที่เฉินผิงอันเคยนั่งมาก่อน เพียงแต่ว่าพอลอยขึ้นกลางอากาศแล้วกลับมีความลี้ลับมหัศจรรย์ บริเวณโดยรอบเรือลำยักษ์มีไอหมอกกลิ้งตลบอบอวล ก่อนจะปรากฏเป็นร่างมายาของมัลละสวมเสื้อเกราะที่พากันกรูออกมาประหนึ่งคนดึงเชือกลากเรือที่วิ่งตะบึงอยู่กลางอากาศท่ามกลางทะเลเมฆ เป็นเหตุให้ความเร็วของเรือข้ามฝากดั่งสายฟ้าแลบ เหนือกว่าเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวของตระเซียนที่มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกันมากนัก
เฉินผิงอันปลดเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางไว้บนโต๊ะนานแล้ว นอกจากจะฝึกหมัดเงียบๆ อยู่ในห้อง บางครั้งก็จะหยิบเอาแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นออกมาแล้วไปชมทัศนียภาพอยู่ที่ระเบียง ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นไม้ไผ่อยู่เป็นระยะ ตอนนี้แผ่นไม้ไผ่ออกสีเหลืองที่อยู่ในมือของเขาสลักตัวอักษรแปดคำที่มีความหมายว่า ‘ไม่มีเรื่องทำสมองให้แจ่มชัด เจอเรื่องตัดสินใจให้เด็ดขาด’ หนึ่งคำคือแจ่มชัด อีกหนึ่งคำคือเด็ดขาด ล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษ
แม้ว่าก่อนที่ชุยตงซานจะจากไปได้มอบพัดพับไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งมาให้ แต่พอนึกถึงท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์ยามโบกพัดพัดลมเย็นเข้าสู่ตัวขณะที่เอนกายนอนบนเปลญวนระหว่างที่ลู่ไถเดินทางร่วมกับตนในปีนั้น เมื่อมีผลงานโดดเด่นให้เปรียบเทียบ เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าเมื่อพัดพับเล่มนั้นมาตกอยู่ในมือของตนก็ช่างน่าสงสารมันเสียจริง เพราะเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าภาพที่ตัวเองโบกพัดจะชวนให้กระอักกระอ่วนเพียงใด
หลังจากที่เรือข้ามฟากลอยพ้นไปจากอาณาเขตของพื้นที่มงคลหลีจูแล้วก็จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตำหนักฉางชุนซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงต้าหลีครู่หนึ่ง ตำหนักฉางชุนคือถ้ำสถิตตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของต้าหลี ผู้ฝึกตนล้วนเป็นสตรี หลังจากที่เหนียงเนียงในวังผู้นั้นสูญเสียอำนาจก็มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ ตอนนั้นราชสำนักต้าหลีต่างก็นึกว่าเหนียงเนียงที่ออกห่างจากใจกลางอำนาจผู้นี้จะไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุดแล้วนางต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คนหนึ่งมีราชครูชุยฉานคอยให้การสนับสนุน ได้เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลี อีกคนหนึ่งก็ยิ่งสนิทสนมกับอ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และกำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องให้ไปอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่า ปกครองเมืองหลวงแห่งที่สองอยู่ไกลๆ
หลังจากอดีตฮ่องเต้ตายไป ทั้งๆ ที่นางถูก ‘กักบริเวณ’ แล้ว ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดีต่อนางที่สุด
ดูเหมือนว่าจะโทษที่พวกชาวบ้านชอบพูดติดปากว่าคนทำดีต้องได้ดีตอบแทน แต่แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เชื่อเท่าไหร่นักไม่ได้จริงๆ
เฉินผิงอันไม่ค่อยเหมือนกับกู้ช่านและเผยเฉียน การลงบัญชีของเขาไม่ใช่การจดลงบนกระดาษน้อยใหญ่ เพราะหากมากเกินไปกลับจะทำให้จำได้ไม่แม่นยำ ปีนั้นที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เหนียงเนียงแห่งต้าหลีผู้นี้เกิดจิตคิดสังหารเขาอย่างแรงกล้า จึงส่งยอดนักฆ่ากลุ่มใหญ่ของต้าหลีให้ติดตามมา หากไม่เจอกับอาเหลียงเข้าพอดี ต่อให้มีเฉินผิงอันเป็นร้อยคน ป่านนี้ก็คงตายไร้ศพอยู่ดี
แน่นอนว่าสตรีผู้นั้นมีเหตุผลของนางเอง บุตรชายอย่างซ่งจี๋ซินต้องเจอกับความอัปยศใหญ่หลวงจากเขาเฉินผิงอัน อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกลูกศิษย์เตาเผามังกรอย่างเขาบีบคอตายอยู่ในตรอกหนีผิงท่ามกลางสายฝนแล้ว
หลังจากได้เดินทางผ่านพื้นที่มงคลดอกบัวและทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะเรียบเรียงเส้นสายของสตรีผู้นั้นได้คร่าวๆ แล้ว
เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่เหนียงเนียงต้าหลีซึ่งกุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือผู้นี้มีบารมีมากที่สุด นางก็ได้เริ่มวางแผนแล้ว ช่วยซ่งเหอบุตรชายที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายในเมืองหลวงสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม สานสัมพันธ์ตีสนิทกับขุนนางบุ๋นบู๊ ส่วนซ่งจี๋ซินที่ไปช่วงชิงโชควาสนาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อช่วยให้โชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีเป็นดั่ง ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ นั้น สามารถช่วยสกุลซ่งช่วงชิงมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หากซ่งจี๋ซินตายไป นางก็คงยังบีบน้ำตาร่ำไห้ เพียงแต่ว่าซ่งมู่ที่เกิดมาได้มานานก็ ‘เสียชีวิตก่อนวัยอันควร’ จึงถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลซ่งไปนานแล้ว หากตายไปแล้วก็ตายไป ก็แค่ต้องตายอีกครั้งเท่านั้น แต่ความดีความชอบของซ่งจี๋ซิน อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งที่เป็นคุณความชอบของมารดาอย่างนาง ความดีความชอบของนาง แน่นอนว่าก็เป็นคุณความชอบของซ่งเหอบุตรชายอีกคน เรื่องราววงในทั้งหลายเหล่านี้ ไม่แน่เสมอไปว่าเหล่าขุนนางสำคัญที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีจะไม่รับรู้ แต่ไม่เป็นไร อดีตฮ่องเต้ยอมรับ ชุยฉานยอมรับ ซ่งจ่างจิ้งก็ต้องยอมรับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ซ่งจี๋ซินมีชีวิตออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยิ่งเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าก่อนที่จะบอกว่าเป็นเรื่องดี ซ่งมู่ที่กลับคืนมามีชื่อในทำเนียบวงศ์ตระกูลอีกครั้งผู้นี้ต้องไม่มีใจละโมบ ต้องเป็นเด็กดีว่าง่าย ต้องเข้าใจว่าจะไม่แย่งชิงบัลลังก์ตัวนั้นกับซ่งเหอผู้เป็นน้องชายเสียก่อน
ดังนั้นคราวก่อนที่เฉินผิงอันกับซ่งจี๋ซินซึ่งเป็นทูตที่มาเยือนเมืองหลวงต้าสุยได้พบเจอกันโดยบังเอิญในสำนักศึกษาซานหยา จึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างผ่อนคลาย ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ตอนที่ซ่งจี๋ซินยังเป็นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอัน อีกฝ่ายคอยพูดจาแฝงความนัยเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นคำว่าบ้านหลังใหญ่โตของเฉินผิงอัน ของสิ่งเดียวที่พอมีเสียงได้ก็คือขวดไห กลิ่นหอมกลิ่นเดียวที่พอจะได้กลิ่นก็คือกลิ่นยา
แต่นอกจากครั้งนั้นที่หลอกให้เฉินผิงอันต้องผิดคำสาบานแล้ว โดยภาพรวมซ่งจี๋ซินกับเฉินผิงอันก็ถือว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างดี แค่ไม่ถูกชะตากันก็เท่านั้น จึงเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง คนหนึ่งเดินบนทางกว้างใหญ่ คนหนึ่งเดินบนทางสะพานไม้คับแคบ ใครก็ไม่ถ่วงรั้งใคร ส่วนคำพูดเสียดสีค่อนแคะทั้งหลาย เมื่ออยู่ในสถานที่อย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็ช่างเบาบางเหมือนขนห่าน ใครเอาเก็บไปใส่ใจ คนนั้นก็เสียเปรียบ ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นซ่งจี๋ซินก็ถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านนำมาเป็นหัวข้อซุบซิบนินทา เขาเองก็เคยเจอกับความยากลำบากในเรื่องนี้มาเหมือนกัน แล้วก็เพราะเก็บมาใส่ใจมากเกินไป ปมในใจจึงกลายมาเป็นเงื่อนตาย ต่อให้เทพเซียนก็ยากจะคลายออก
เมื่อเรือข้ามฟากใกล้จะเข้าสู่แถบเมืองหลวงต้าหลี ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ แสงจันทร์แสงดาวบางตา เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวระเบียง แหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองเงียบๆ
ยามที่ยังเป็นเด็ก เฉินผิงอันกลัวว่าจะเจ็บป่วยมากที่สุด หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับการขึ้นภูเขาไปเก็บยาสมุนไพร จากนั้นก็ได้มาเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา ติดตามผู้เฒ่าเหยาที่ให้ตายก็ไม่ยอมเห็นดีในตัวเฉินผิงอันเรียนการเผาเครื่องปั้น เฉินผิงอันจะต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ หากมีแนวโน้มว่าจะเป็นไข้ ก็จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาต้มเป็นยา หลิวเสี้ยนหยางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันเป็นคนที่บอบบางที่สุดในโลก คิดว่าตัวเองมีร่างกายของคุณหนูน้อยบนถนนฝูลวี่จริงๆ หรือไร
ไม่เพียงแค่เพราะตอนเป็นเด็กเฉินผิงอันต้องเห็นมารดาเปลี่ยนจากล้มป่วยนอนติดเตียง รักษาอย่างไรก็ไร้ผล จนกระทั่งผ่ายผอมราวกับท่อนฟืน สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปในวันที่หิมะตกหนัก ยังเป็นเพราะเฉินผิงอันกลัวอย่างยิ่งว่าหากตัวเองตายไป ใต้หล้านี้ก็จะไม่มีคนที่คอยคิดถึงพ่อแม่ของเขาอีก
ปีนั้นท่านแม่มักจะบอกว่าอาการป่วยของนางไม่เจ็บปวด ก็แค่มักจะง่วงนอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงบอกกับเขาว่าผิงอันน้อยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล
แรกเริ่มเด็กที่ยังไร้เดียงสาก็เชื่อจริงๆ เพียงแต่ภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะท่านแม่ไม่อยากให้เขาคิดมาก ไม่อยากให้เขาต้องทำงานเหนื่อยยาก ถึงได้กัดฟันทน แบกรับความเจ็บปวดทรมานไว้กับตัว
ผ้าห่มผืนเก่าบนเตียงหลังนั้น มุมผ้าห่มด้านในหลายจุดล้วนถูกนางจิกจนฉีกขาด
คนในตระกูลร่ำรวยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ ต่างก็บอกว่าเด็กเล็กหากรู้ความเร็ว ก็จะได้ดิบได้ดีมีอนาคต
ครอบครัวยากจน ต่อให้เด็กน้อยจะรู้ความเร็ว แต่จะยังทำอะไรได้อีก ก็แค่ต้องรับความลำบากเร็วกว่าเด็กคนอื่นเท่านั้น
ตรอกหนีผิงในปีนั้นไม่มีใครสนใจหรอกว่าเด็กที่เหยียบม้านั่งทำอาหาร สำลักควันและน้ำมันจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าใบหน้ากลับยังมีรอยยิ้มคนนั้น กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เด็กคนหนึ่งที่วิ่งไปขอพรจากสุสานเทพเซียนเพียงลำพังจะกลัวความมืดหรือไม่ จะกลัวคำเล่าลือเกี่ยวกับภูตผีหรือไม่ ตอนที่คุกเข่าโขกหัวคำนับเหล่าเทพเซียนพระโพธิสัตว์ บอกว่าขอติดควันธูปเอาไว้ก่อน วันหน้าเมื่อเติบใหญ่แล้ว เขาจะต้องชดใช้คืนเป็นแน่ จะถือว่าจริงใจพอหรือเปล่า
ไม่มีใครจำได้ว่าปีนั้นในห้องแห่งหนึ่งมีสตรีแต่งงานแล้วผู้หนึ่งกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานเพื่อลุกออกจากผ้าห่ม แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงเล็กๆ ลอดออกมาจากไรฟัน
นอกประตู เด็กคนนั้นใบหน้าซีดขาว ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งยองอยู่บนพื้น ยกสองมืออุดหู ไม่กล้าส่งเสียงร้อง กลัวว่าท่านแม่จะรู้ว่าเขารู้แล้ว
ไม่ใช่ญาติสนิททุกคนบนโลกที่จะรับรู้ความเศร้าโศกความยินดีของกันและกันได้
เกิดขึ้นเร็วเกินไป ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด
ก่อนจะออกเดินทาง ตอนที่อยู่เฝ้าคืนในบ้านบรรพบุรุษคืนนั้น เผยเฉียนสะลึมสะลือม่อยหลับไป พอหัวของนางวูบตกลงจึงสะดุ้งตื่น เลยเห็นว่าอาจารย์กำลังหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ
เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไร นางแค่มองอาจารย์เงียบๆ
ยังคงมองเห็นเงาร่างของเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหม้อยาในมุมบ้านได้เลือนราง
อาจารย์ที่ยังเป็นเด็กคนนั้นกลัวการเติบโต กลัวพรุ่งนี้อย่างมาก ถึงขั้นคิดอยากจะให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาหมุนย้อนกลับ กลับไปยังช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข
สุดท้ายเฉินผิงอันก็คืนสติ เขาลูบศีรษะเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกเสียดายที่ท่านแม่ไม่ได้เห็นวันนี้ เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาท่านแม่ของอาจารย์ยิ้ม น่ามองอย่างมาก ปีนั้นพวกเพื่อนบ้านทุกคนในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวา ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เวลาปกติปากร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีใครที่ไม่พูดว่าท่านพ่อของข้าโชคดีที่ได้แต่งงานกับสตรีดีๆ อย่างท่านแม่ข้า”
ครึ่งคืนหลังของคืนนั้น เผยเฉียนวางศีรษะไว้บนขาของอาจารย์แล้วค่อยๆ หลับไป
พอฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ออกจากบ้านเกิดอีกครั้ง
เดินทางไกลนับหมื่นลี้ ด้านหลังยังคงเป็นบ้านเกิด มิใช่มาตุภูมิ ยังต้องกลับคืนไป
……
หลังจากเฉินผิงอันจากไป ภูเขาลั่วพั่วก็ขาดความครึกครื้นไปไม่มากก็น้อย
ผู้เฒ่าชุยเฉิงแทบไม่เคยออกจากเรือน เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงประตูภูเขาก็ยุ่งอยู่กับงานก่อสร้างในช่วงท้าย เนื้อตัวมอมแมมเปื้อนฝุ่นอยู่ทั้งวัน ช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่ชอบช่วยเหลือพวกช่าง พวกช่างก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วที่ว่ากันว่ามีภูมิหลังยิ่งใหญ่ มีคนหนุนหลังใหญ่เทียมฟ้า ตอนนี้ก็ถือว่าหลุมศพบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นจึงเจริญรุ่งเรืองได้ดิบได้ดีแล้วก็ตาม มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่เล่าลือต่อกันไปอย่างน่าเชื่อถือ ทำให้คนคร้านจะอิจฉาริษยาแล้ว มีเพียงชื่นชมและนับถือเท่านั้น ลูกศิษย์เตาเผามังกรที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงคนหนึ่ง สามารถมีชีวิตได้อย่างทุกวันนี้ ต่อให้จะโชคดีแค่ไหน แต่ความสามารถก็ต้องมีไม่น้อยแน่นอน
ทว่าชายฉกรรจ์หลังค่อมแซ่เจิ้งคนนี้ เป็นแค่คนเฝ้าประตู ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าคนที่มีสัญชาติทาสต้องทำงานใช้แรงงานอย่างพวกเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาคบค้าสมาคมกันจึงไม่พันธนาการใดๆ พูดจาหยาบโลน หยอกล้อกันไปมา ไม่มีข้อต้องห้ามให้ต้องกริ่งเกรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงยังแฝงไว้ด้วยความทะลึ่งตึงตัง อีกทั้งเมื่อเทียบกับคำหยาบโลนของบุรุษที่เป็นชาวบ้านทั่วไปแล้วก็มักจะอ้อมไปอ้อมมา แต่กลับไม่ถึงขั้นมีอารยธรรมความรู้อะไรมากนัก เป็นเหตุให้เวลาทั้งสองฝ่ายดื่มเหล้าจอกเล็ก กินเนื้อถ้วยใหญ่ร่วมกันบนโต๊ะ หากมีใครเข้าใจขึ้นมาในฉับพลันก็มักจะตบโต๊ะร้องเฮเกรียวกราว ยกนิ้วโป้งให้กับพี่ใหญ่เจิ้ง
เฉินหรูชูยังคงง่วนอยู่กับการเก็บกวาดทำความสะอาดเรือนแต่ละหลัง อันที่จริงนางทำความสะอาดอยู่ทุกวัน อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วก็เป็นสถานที่ที่ภูเขาเขียวน้ำใส จึงสะอาดสะอ้านเอี่ยมอ่อง แต่เฉินหรูชูก็ยังคงมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง เรื่องการฝึกตนยังเป็นรองเรื่องนี้เสียอีก
ดังนั้นเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจึงเป็นคนเดียวของภูเขาลั่วพั่วที่มีกุญแจของเรือนทุกหลัง เฉินผิงอันไม่มี จูเหลี่ยนก็ไม่มี
เฉินหลิงจวินยังคงเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ เตร็ดเตร่ไปทั่ว คราวก่อนมีหน้ามีตาที่งานเลี้ยงท่องราตรีไปรอบหนึ่ง ดังนั้นจึงมี ‘สหาย’ ในยุทธภพเพิ่มมากขึ้น ภูเขาน้อยใหญ่ล้วนกระตือรือร้นต่อเด็กชายชุดเขียวที่ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงศักดิ์ผู้นี้ ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษเซียนดินโอสถทองของยอดเขาอีไต้ที่ชอบเรียกให้เฉินหลิงจวินไปเป็นแขกอยู่เป็นประจำ หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กดื่มเหล้าพลางพูดคุยกันอย่างถูกคอ ต่างคนต่างคุยโวถึงวีรกรรมยิ่งใหญ่ของตัวเองในอดีต เข้ากันได้ดีอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยได้มาคุยกับเฉินหลิงจวินเป็นการส่วนตัว บอกว่าสามารถไปที่ยอดเขาอีไต้บ่อยๆ ได้ ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ครั้งนี้นายท่านใหญ่อย่างข้าถือว่าคบหาสหายตามคำสั่งแล้ว
เผยเฉียนที่หลังจากนำขนมหมาฮวาสองถุงไปมอบให้พี่หญิงซิ่วซิ่ว ก็นึกถึงเรื่องที่อาจารย์กำชับไว้ขึ้นมาได้ จึงไปที่ยอดเขาอีไต้พร้อมกับเฉินหลิงจวิน พาโจวฉงหลินเทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยลงมาจากภูเขาด้วยกัน หลิวอวิ๋นรุ่นที่กอดจิ้งจอกขาววัยเยาว์ไว้ในอ้อมอกเกิดมาก็ชอบความครึกครื้น จึงตามมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ถ่านดำน้อยอยากจะลูบเจ้าตัวน้อย จิ้งจอกขาวจะต้องขดร่างตัวสั่น นี่ทำให้เผยเฉียนเสียหน้าอย่างยิ่ง ในใจรู้สึกเหมือนได้รับความอยุติธรรม เจ้าตัวน้อยจะต้องกลัวอะไร ช่างขี้ขลาดนัก ในตำรามีบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าขนใต้รักแร้ของจิ้งจอกแม้จะเล็ก แต่เมื่อเอามารวมกันก็สามารถนำมาทำเป็นอาภรณ์ชุดหนึ่งได้ นางก็แค่คิดว่าหากถลกหนังของมันเอาไปทำเสื้อผ้าจะต้องได้ราคาดีแน่ๆ ไม่ได้คิดจะฆ่ามันจริงๆ เสียหน่อย
ตอนที่จูเหลี่ยนรับรองแขกได้เตือนเผยเฉียนว่าถึงเวลาที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้ว เผยเฉียนไม่สนใจแม้แต่น้อย และยังกล่าวอย่างมีเหตุมีผลว่าจะต้องพาพวกโจวฉงหลินไปเที่ยวที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพี่หญิงซิ่วซิ่วก่อน
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้เวลาเจ้าได้เล่นสนุกอีกห้าวัน ถึงอย่างไรก็น่าจะเที่ยวตามภูเขาต่างๆ ของบ้านตัวเองและของบ้านแม่นางหร่วนครบถ้วนแล้ว
แรกเริ่มเผยเฉียนยังต่อรองกับจูเหลี่ยน สุดท้ายจูเหลี่ยนยอมเพิ่มให้อีกสองวันด้วยท่าทาง ‘ลำบากใจ’ เผยเฉียนลิงโลดอย่างถึงที่สุด รู้สึกว่าตัวเองได้กำไรแล้ว
อันที่จริงตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกกับจูเหลี่ยนแล้วว่า เผยเฉียนจะต้องอืดอาดถ่วงเวลาอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางถ่วงเวลาไปอีกสักสิบวันครึ่งเดือน หลังจากนั้นต่อให้ต้องจับมัดก็ต้องพานางไปที่โรงเรียนให้จงได้
ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าจิ้งจอกน้อยเจอกับจิ้งจอกเฒ่า ตบะยังห่างชั้นกันนัก
เมื่อสองวันก่อน เผยเฉียนเดินเหมือนมีลมอยู่ใต้ฝ่าเท้า อารมณ์ดีสุดขีด ไม่ว่าจะมองอะไรก็ล้วนน่าดูไปหมด ในมือถือไม้เท้าเดินป่า คอยนำทางให้กับโจวฉงหลินและหลิวอวิ๋นรุ่น ภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกแถบนี้ นางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ก็เคยมาขับไล่หมา เหงื่อมากมายที่ไหลเพราะความยากลำบากไม่ได้เสียเปล่า
เมื่อไปถึงสำนักกระบี่หลงเฉวียน อย่าว่าแต่เทพธิดาอารามชิงเหมยที่เป็นคนละเอียดรอบคอบเลย ต่อให้เป็นหลิวอวิ๋นรุ่นที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินก็ยังสำรวมตนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางได้พบกับสตรีชุดเขียวที่เล่าลือกันว่าเป็นบุตรีโทนของอริยะหร่วน แต่ละคนทำตัวว่าง่ายไม่แพ้กัน เผยเฉียนเกือบจะกุมท้องหัวเราะก๊าก ได้แต่เกร็งหน้าให้ขึงตึง ตอนนั้นหร่วนซิ่วทำเพียงแค่ชำเลืองตามองสตรีแปลกหน้าสองคนแวบเดียวแล้วก็หันไปส่งยิ้มให้เผยเฉียน เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา หร่วนซิ่วก้มตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ เผยเฉียนเขย่งปลายเท้าขึ้นกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูพี่หญิงหร่วนซิ่วหนึ่งประโยค บอกว่าอาจารย์ไม่ค่อยชอบพวกนางสักเท่าไหร่ ให้ตายก็ไม่ยอมให้พวกนางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่อาจารย์กลับประทับใจในตัวของผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าซ่งหยวนของภูเขาอีไต้อย่างมาก ดังนั้นจึงให้นางที่เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาพาพวกนางมาเดินเล่นแถวสำนักของพี่หญิงซิ่วซิ่ว
หร่วนซิ่วหัวเราะทันใด
นางถึงขั้นหยุดการหลอมกระบี่แล้วมานำทางให้ด้วยตัวเอง ทำให้ทั้งโจวฉงหลินและหลิวอวิ๋นรุ่นต่างก็รู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่รู้สึกว่าลำพังเพียงแค่โชควาสนาที่เหมือนหล่นลงมาจากฟ้าครั้งนี้ ก็มากพอจะทำให้นางได้รับผลประโยชน์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ทั้งจับต้องได้จริงและจับต้องไม่ได้ ทั้งบนทั้งล่าง ทั้งในและนอกหลังจากกลับไปถึงอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังแล้ว เพียงแต่พอนึกถึงว่าสตรีใจดีที่มีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่ตลอดเวลาข้างกายผู้นี้คือบุตรสาวคนเดียวของอริยะผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของต้าหลี นางก็รู้สึกว่าหลังกลับไปถึงอารามชิงเหมย วิธีการบางอย่างที่นางคุ้นเคยดีควรจะทำให้คลุมเครืออีกสักหน่อย อย่าได้ทำให้เรื่องดีกลายเป็นหายะไปได้
หลิวอวิ๋นรุ่นนั้นไร้เดียงสากว่ามาก มีท่านปู่เป็นเซียนดินคนหนึ่งจึงทำให้นางรู้เรื่องวงในมากมายเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจู ดังนั้นจึงรู้สึกเลื่อมใสเทพธิดาหร่วนที่สถานะสูงส่ง มีเรื่องราวมากมาย และแท้จริงแล้วนิสัยก็ยังดีมากเป็นพิเศษผู้นี้จากใจจริง
เซียนดินต่งกู่ที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ของราชสำนักต้าหลีก็จนใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน คนที่กล้าบ่นศิษย์พี่หญิงสองสามคำก็มีแค่อาจารย์เท่านั้น ประเด็นสำคัญคือคำบ่นของเขายังไม่ได้ผลอีกด้วย
—–
Related