ทว่าเพียงไม่นานพยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็สลายหายไป อันที่จริงตัวเขาเองก็แค่รู้สึกอัดอั้นตันใจเท่านั้น เมื่อเขาไปถึงภูเขาถงกวาน อย่าว่าแต่วานรย้ายภูเขาเลย แม้แต่สุนัขตะลุยภูเขาสักตัวก็ยังไม่เจอ
คาดว่าคงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่ตู้เหวินซือที่ทะยานลมเดินทางไกลคงจะครึกโครมเกินไป ทำให้พวกภูตผีของที่นี่ตื่นตกใจ
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
หากเป็นเวลาปกติ วานรย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้าย ขอแค่ให้มันได้กลิ่นของมนุษย์สักเล็กน้อยก็น่าจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวด้วยตัวเองอย่างง่ายดายถึงจะถูก
เฉินผิงอันจงใจรั้งรออยู่ต่อไม่ยอมไปไหน แต่ผ่านไปเกินครึ่งวันแล้ว เขาใช้ตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าทั่วไปเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีปลามากินเบ็ดสักตัว
เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปหยุดพักเท้าอยู่ในสถานที่หนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้าง คิดว่าจะค้างแรมอยู่ที่นี่ หากถึงตอนกลางคืนแล้วยังไม่พบเจออะไรก็จะล้มเลิกความคิดแล้วเดินทางขึ้นเหนือต่อ
ไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากนั้นจะไม่เจอพวกปีศาจหกอริยะแม้แต่ตัวเดียว
พอถึงยามค่ำคืน เฉินผิงอันก็ก่อกองไฟ นั่งฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ทั้งคืน
แล้วก็ได้แต่ออกมาจากภูเขาถงกวาน
บนภูเขาถงกวาน ในถ้ำลับแห่งหนึ่งที่กลิ่นคาวคละคลุ้ง มีวานรย้ายภูเขาหลังเงินตัวหนึ่งที่ยังไม่เลือกจำแลงกายเป็นมนุษย์มองผ่านหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งออกไปข้างนอก แม้ว่าการเดินของมันจะไม่ต่างจากมนุษย์ ทว่าใบหน้าและรูปร่างเรือนกายที่เต็มไปด้วยขนกลับยังคงสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
มันกวักมือเรียก ด้านหลังก็มีบุรุษร่างเล็กเตี้ยหน้าตาเหมือนหนูคนหนึ่งเดินมา วานรย้ายภูเขาพูดเสียงแหบพร่า “รีบไปรายงานอริยะใหญ่ปานซานกับแขกคนนั้น บอกว่าไอ้หมอนี่มาเยือนจริงๆ แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ก็คือเจ้าคนที่ทำให้คนของนครฟูนี่สะดุดล้มหัวทิ่มนั่น”
บุรุษร่างเล็กเตี้ยกำลังจะจากไปโดยใช้เส้นทางใต้ดินเส้นหนึ่ง
วานรย้ายภูเขาก็เอ่ยเตือนว่า “จำไว้ว่ามีไหวพริบหน่อย เลือกเส้นทางที่ลึกลับอำพราง ยอมอ้อมไปไกลดีกว่าไปเจอกับปลายกระบี่ของคนผู้นั้นแล้วต้องตาย เจ้าตายไปยังไม่นับเป็นอะไร แต่หากทำให้ธุระสำคัญของอริยะใหญ่ปานซานของพวกเราถูกถ่วงเวลาล่าช้า ข้าผู้อาวุโสจะจับลูกหนูหลานหนูรังนั้นของเจ้ามาตุ๋นเป็นน้ำแกงเสียเลย”
บุรุษยิ้มประจบ “ไม่มีทางทำให้เสียการใหญ่แน่นอน”
บุรุษเลียบเส้นทางใต้ดินเส้นนั้นออกไป พอออกจากถ้ำมาไกลแล้วก็เดินเข้าไปในร่องของหน้าผาหินแห่งหนึ่ง แล้วจึงกระโจนไปเบื้องหน้า กลับคืนสู่ร่างจริง นั่นคือหนูดำขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มชักเท้าออกวิ่ง
นกมีเส้นทางของนก หนูมีเส้นทางของหนู
ภูตหนูตัวนี้มองดูเหมือนตัวอ้วนใหญ่ แต่แท้จริงแล้วกลับแข็งแรงปราดเปรียว ลอดทะลุผ่านสันเขารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ มันห้อตะบึงไปตลอดทาง ไม่กล้าหยุดอยู่ที่ใดทั้งนั้น
พอออกมาจากอาณาเขตของภูเขาถงกวานแล้ว ภูตหนูยังมุดลงดินหายวับไป ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็แหวกผืนดินออกมาบริเวณใกล้ๆ กับรากไม้แห่งหนึ่ง มันโผล่หัวออกมาเหลียวซ้ายแลขวาก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยของคนอยู่จริงๆ ถึงได้มุดดำดินเดินทางต่อ
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรภูตหนูตนนี้ก็คิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินตามมาไกลๆ คนผู้นั้นปลดงอบ กระบี่เซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง จากนั้นก็สวมหน้ากากของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ภูตหนูระมัดระวังมากพอแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนว่าตบะของอีกฝ่ายจะสูงยิ่งกว่า
ช่วงเที่ยงวัน ลอดผ่านเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของสองปีศาจใหญ่ ในที่สุดภูตหนูก็มาถึงภูเขาของอริยะใหญ่ปานซานท่านนั้น หลังกลับคืนสู่ร่างคน เหงื่อก็แตกท่วมร่าง หอบหายใจหนักหน่วง
แม้จะบอกว่าอริยะใหญ่ทั้งหกท่านเป็นพี่น้องกัน ร่วมแรงร่วมใจกันต้านทานศัตรู ทว่าระหว่างสามีภรรยาและระหว่างพี่น้องกันเองก็ยังมีทะเลาะเบาะแว้ง มีความขัดแย้งกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลำบากก็แต่ลูกกระจ๊อกตัวเล็กตัวน้อยที่ตบะไม่เข้าขั้นอย่างพวกมันที่อยู่ดีๆ ก็มักจะกลายไปเป็นอาหารในจานของอริยะใหญ่บางท่าน เพราะถึงอย่างไรเมื่อกินพวกมันอิ่มหนึ่งมื้อก็สามารถเพิ่มพูนตบะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกภูตครึ่งตัวที่แม้แต่จะประคับประคองร่างคนเอาไว้ก็ยังยากลำบากที่ชีวิตยิ่งต่ำต้อยด้อยค่า
ทางภูเขาเปิดกว้าง เมื่อภูตหนูมาถึงถิ่นของตัวเอง ความกล้าก็พลันเพิ่มพูน เพิ่งจะสะบัดชายแขนเสื้อเตรียมจะขึ้นเขาก็พบว่าบนทางเล็กอีกทิศทางหนึ่งมีคนที่คุ้นเคยเดินมา อีกฝ่ายหลังค่อมงองุ้ม เดินกระย่องกระแย่ง คล้ายกับชาวนาในชนบทที่ไม่แข็งแรง ภูตหนูดีใจเป็นล้นพ้น วิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปหาพร้อมตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยคารวะท่านบรรพบุรุษ!”
ตรงเอวผู้เฒ่ามีเชือกป่านหยาบๆ เส้นหนึ่งผูกไว้ สวมรองเท้าสาน หน้าตาไม่โดดเด่น หยีตาจนดวงตากลายเป็นเส้นเดียว ดูเหมือนว่าสายตาจะฟ้าฝาง หูก็ไม่ค่อยดี เขาเอียงศีรษะ ตะโกนเสียงดังถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน? พูดว่าอะไรนะ?”
ภูตหนูคล้องแขนผู้เฒ่า “ข้าเอง มาจากทางภูเขาถงกวาน ยังเป็นญาติกับท่านบรรพบุรุษด้วยนะ”
ผู้เฒ่าร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วก็ไม่ปฏิเสธภูตหนูที่ช่วยประคองอย่างกระตือรือร้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็พลันหยุดเท้า สูดจมูกฟุดฟิด ถลึงตากว้าง ประกายแสงในดวงตาสาดยิงไปสี่ทิศ ไหนเลยจะมีท่าทางแก่ชราเสื่อมโทรมอย่างก่อนหน้านี้อีก เขากวาดตามองไปรอบด้าน ตวาดเสียงเฉียบว่า “ผิดปกติ ผิดปกติ มีกลิ่นคน ต้องมีกลิ่นคนแน่นอน! เจ้าตัวดี ทำตัวลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก อำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะหลอกได้แล้ว”
สองขาของภูตหนูสั่นพั่บๆ เกือบจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
อย่าบอกนะว่าตลอดทางมานี้ ตนลากเอาเซียนกระบี่หนุ่มในตำนานตามก้นมาด้วย?
ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที “หนีไปแล้ว?”
ผู้เฒ่าหันไปคำรามเดือดดาลใส่ลูกหลานผู้นั้น “เจ้าเศษสวะ! ถูกคนสะกดรอยตามแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก หากเป็นสายลับที่เจ้าพวกโสมมกลุ่มนั้นส่งตัวให้มาทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของพวกเรา เจ้ามีร้อยชีวิตก็ชดใช้ได้ไม่ไหว!”
ภูตหนูขาอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สีหน้าซีดขาว ยังดีที่ไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญ จึงบอกอีกฝ่ายให้รู้ถึงสถานการณ์ทางภูเขาถงกวาน
สีหน้าของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ตาแก่ที่ร่อแร่ใกล้ตายตรงหน้าผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดา เป็นถึงหนึ่งในหกอริยะ เรียกตัวเองว่าเซียนจัวเหยา (จับปีศาจ)
ตาแก่หนังเหนียวที่เป็นปีศาจ แต่ตรงเอวกลับผูกเชือกพันธนาการปีศาจเอาไว้ ในเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นได้ซุกซ่อนหนวดเจียวหลงของปลาหลีสีเงินพันปีแห่งทะเลสาบถงลวี่เอาไว้สองเส้น หากคิดจะจับตัวภูตผีปีศาจทั่วไปก็ง่ายดายราวกับกวักมือเรียก หากศัตรูถูกพันธนาการก็จะต้องถูกเขาปั่นคว้านกล้ามเนื้อทุกชุ่น กระดูกทุกก้อนจนแตกละเอียดทั้งที่ยังมีชีวิต ผู้เฒ่าบอกว่าเนื้อที่เป็นแบบนี้ถึงจะเคี้ยวอร่อย มีเลือดสดซึมออกมาทีละนิด นั่นต่างหากถึงจะคู่ควรกับการเอามาแกล้มเหล้า
ผู้เฒ่าพลันปลดเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นลงมาแล้วโยนออกไป เชือกเหมือนงูที่เลื้อยส่ายไปทั่วทิศ ครู่หนึ่งต่อมาก็พุ่งวูบกลับมาอย่างว่องไว แล้วถูกผู้เฒ่าถือเอาไว้ในมือ “หนีไปแล้วจริงๆ”
ผู้เฒ่าบังคับเมฆทะยานหมอก ไม่ได้เดินอย่างผ่อนคลายอีกต่อไป รีบพุ่งไปยังถ้ำสถิตที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นเป็นผู้บุกเบิกอย่างรวดเร็ว
ห่างออกไปสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มกำลังซ่อนตัวเผ่นหนีอยู่ในผืนป่า
ไม่ใช่ว่ารู้จักถอยหนีเมื่อพบเจอความยากลำบาก แต่เป็นเพราะเปลี่ยนใจกะทันหัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างติดตามภูตหนูตนนั้นไปเยือนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน เขามองไกลๆ ไปเห็นภูตกลุ่มหนึ่งที่จับมัดคนมีชีวิตคนหนึ่งเอาไว้ อีกฝ่ายคือคุณชายชุดเขียวรูปร่างผอมบางสุภาพนุ่มนวล มือเขาถูกมัดไพล่ไว้กับลำไม้ไผ่ลำหนึ่ง ถูกลูกสมุนของภูตสองตนที่ยังแปลงร่างเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์แบกลำไม้ไผ่พาดบ่า เดินแกว่งส่ายไปตลอดทาง บัณฑิตอ่อนแอที่น่าสงสารผู้นั้นถูกแกว่งจนลมหายใจรวยริน
ภูตที่เป็นผู้นำตนหนึ่งมีลักษณะรูปร่างของมนุษย์ แต่งกายเป็นชาวลัทธิขงจื๊อ ท่วงท่าสุภาพสง่างาม ในมือถือพัดพับกระดูกขาวเล่มหนึ่ง บนหน้าพัดวาดเป็นรูปกิ่งดอกท้อ กำลังโบกพัดอยู่ตรงหน้าอกช้าๆ
ด้านข้างมีผู้เฒ่าที่ไว้เคราแพะคนหนึ่งติดตามมา พวกเขาพูดคุยกันมาตลอดทาง ก่อนหน้านี้พวกเขาตั้งใจเดินทางไปรับคนโดยพาะ วิญญูชนพัดท้อผู้นี้คือขุนพลผู้เก่งกล้าสามารถที่ได้รับความเชื่อถือและโปรดปรานจากปี้สู่เหนียงเนียงของตนมากที่สุด มักจะไปจับตัวคนเป็นมาจากนครถงโช่วเป็นประจำ เพื่อที่จะนำไปทำเป็นอาหารรูปแบบใหม่ๆ ให้แก่ปี้สู่เหนียงเนียง
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ท่านวิญญูชน บัณฑิตนับว่าเป็นของหายากจริงๆ รสชาติจะต้องดีเยี่ยมแน่นอน ท่านไปจับมาได้อย่างไร? ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ?”
ภูตถือพัดเอ่ยเนิบช้าอย่างค่อนข้างจะลำพองใจ “ใช้ความคิดไปไม่น้อย เจ้าทึ่มผู้นี้ไปเที่ยวเล่นอยู่ใกล้กับนครถงโช่ว ข้าก็เลยไปคุยเรื่องกาพย์กลอนกับเขา คุยกันถูกคออย่างมาก ก็เลยหลอกให้เขาเดินออกมาจากขอบเขตของนครถงโช่วด้วยตัวเอง ไม่มีทางสร้างปัญหาใดๆ ให้กับเหนียงเนียงของพวกเราแน่ ต่อให้หลังจบเรื่องทางฝั่งของนครถงโช่วจับได้ ข้าก็ไม่ถือว่าเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผล”
บัณฑิตเอ่ยเสียงสั่นอย่างอ่อนแรง “ข้าคือจิ้นซื่อคนใหม่ที่นครถงโช่วเลือกตัวมา พวกเจ้าจะกินข้าไม่ได้ กินไม่ได้นะ…หากปี้สู่เหนียงเนียงจะกินคนจริงๆ ข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าหลอกเอาคนเป็นๆ กลับมาหลายๆ คน นายพราน คนตัดต้นไม้ หรือจะเป็นสตรีที่ชื่นชมในความสามารถของข้าก็ได้ทั้งนั้น…”
ภูตถือพัดเอ่ยเย้ยหยัน “คำพูดของบัณฑิตอย่างพวกเราเชื่อถือได้หรือ? เห็นไหม ก็เพราะว่าเจ้าเชื่อข้าไม่ใช่หรือ แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร?”
บัณฑิตผู้นั้นหลั่งน้ำตาเงียบๆ
นครถงโช่วที่อยู่ใกล้กับเมืองชิงหลูเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ มีปลาและมังกรปะปนกัน คนเป็นและภูตผีล้วนอาศัยอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เมื่อเทียบกับนครแห่งอื่นของหุบเขาผีร้ายแล้ว นครถงโช่วถือว่าเป็นนครแห่งหนึ่งที่มั่นคงมากที่สุด น้อยนักที่บริเวณโดยรอบนครถงโช่วจะมีผีและภูตที่ดุร้ายปรากฏตัว และในเมืองก็มีกฎเข้มงวด ห้ามการเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด
นี่เกี่ยวกับข้อที่ว่ามันอยู่ใกล้กับเมืองชิงหลูด้วย หรือควรจะพูดให้ถูกว่า เกี่ยวข้องกับจู๋เฉวียนกั๋วฉือเซียนซือ
อีกทั้งยังมีคนมีชีวิตบนโลกคนเป็นอีกสองหมื่นกว่าคนที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ในอดีตเคยเป็นผู้ฝึกลมปราณพลัดถิ่นที่สำนักล่มสลายกลุ่มหนึ่งซึ่งหนีภัยมาถึงที่นี่ มอบเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้กับนครถงโช่ว จึงได้ตั้งรกรากให้กำเนิดลูกหลาน หลายร้อยปีต่อมา ทายาทมากมายของพวกเขาก็อาศัยอยู่ทั้งในและนอกนครอย่างสงบสุข ภายหลังก็มีผู้ฝึกตนอิสระมารวมตัวกันที่นครถงโช่วอย่างต่อเนื่อง คล้ายคลึงกับพวกชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับภูเขาตระกูลเซียน อยู่ร่วมกับภูตผีปีศาจในเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่าคนเป็นที่อาศัยอยู่ใกล้กับนครถงโช่ว ส่วนใหญ่ล้วนอายุไม่ยืน อย่างมากมีอายุขัยได้ห้าสิบปีก็ถือว่าอายุยืนมากแล้ว ส่วนสตรีชาวโลกของนครถงโช่วที่ต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนแม้แต่น้อย แต่ก็ยังหน้าตางดงามน่าหลงใหล ทว่ารูปโฉมกลับโรยราอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วหลังจากอายุยี่สิบห้าก็ปรากฏร่องรอยว่าจะเป็นคนแก่ไข่มุกเหลืองแล้ว ทำให้คนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
ทุกปีนครถงโช่วจะต้องคัดเลือกดรุณีน้อยหน้าตางดงามอายุประมาณสิบสามปีกลุ่มหนึ่งให้หมัวมัวผู้อบรมมารยาทช่วยสั่งสอนขัดเกลา แล้วจากนั้นก็จะถูกส่งตัวให้ไปเป็นอนุภรรยาหรือสาวใช้ของจวนวัตถุหยินที่มีอำนาจในนครอื่นๆ ถือเป็นวิธีการในการผูกมิตรซื้อใจคน
เจ้านครถงโช่วมีน้องสาวคนหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน นางจะชอบมาโปรยเงินทองอยู่บนหัวกำแพงเมือง ซึ่งในบรรดานั้นจะมีเงินร้อนน้อยปะปนอยู่เหรียญสองเหรียญ
นครถงโช่วยังมีตำหนักจินหลวนอยู่แห่งหนึ่ง มีราชสำนักเล็กๆ ที่เจ้านครแต่งตั้งขุนนางบุ๋นบู๊รวดเดียวถึงร้อยกว่าคน ที่ว่าการของหกกรมก็มีครบถ้วน แม้จะเล็ก แต่ต่อให้เป็นนกกระจิบก็ยังมีอวัยวะภายในครบถ้วน
ทุกๆ สิบวันจะมีการเปิดท้องพระโรงว่าราชการกันครั้งหนึ่ง เข้าท่าเข้าทีอยู่ไม่น้อย
และยังมีการสอบเคอจวี่ เพียงแต่ว่าไม่มีการสอบระดับท้องถิ่นหรือการสอบระดับอำเภออะไร มีเพียงการสอบหน้าพระที่นั่ง เพราะถึงอย่างไรนครถงโช่วก็มีคนน้อยนิดแค่นั้น คนที่มีความรู้เรื่องวรรณกรรมจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
น้องสาวของเจ้านครแต่งตั้งยศ ‘อัครมหาเสนาผู้อำนวยการ’ รับผิดชอบเรื่องการออกข้อสอบเคอจวี่ด้วยตัวเอง
ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘วิญญูชน’ จึงเล่าเรื่องที่น่าสนใจทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้ายให้ผู้เฒ่าเคราแพะฟัง
ภูตถือพัดที่เคยออกเดินทางไกลมาครั้งหนึ่งผู้นี้ได้ยินข่าวลือเล็กๆ ที่มาจากนครถงโช่ว เนื้อหาเกินจริงอย่างยิ่ง แต่กลับเล่าลือต่อๆ กันอย่างสมจริงสมจัง
เดิมทีเขาคิดว่ารอให้พบปี้สู่เหนียงเนียงก่อนแล้วค่อยเอาออกมาโอ้อวด เพียงแต่ว่าระยะทางบนภูเขายาวไกล ชวนให้อึดอัดเกินไปจึงเริ่มพูดจ้อ “ว่ากันว่ามีผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นสองคนที่หน้าตางดงามจนน่าเหลือเชื่อ คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเทพหญิงฉีลู่ของนครปี้ฮว่า พวกนางสองคนโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่ง กล้าบุกตรงไปที่นครจิงกวานอย่างไม่กลัวตาย พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ระหว่างทางไม่มีเจ้านครคนใดกล้าขัดขวาง จนกระทั่งใกล้จะไปถึงนครจิงกวานถึงได้มีเจ้านครท่านหนึ่งร่ายใช้อาวุธหนักพิทักษ์เมือง ปล่อยกระบี่บินออกไปหนึ่งร้อยแปดสิบเล่มเสียงดังสวบๆๆ”
ผู้เฒ่าเคราแพะคนนั้นกล่าวอย่างตื่นตะลึง “โอ้โห หากเป็นพวกเราจะไม่ถูกแทงกลายเป็นตะแกรงร่อนกันไปนานแล้วหรอกหรือ”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ? ทุกครั้งที่คนเขาสาดยิงกระบี่ออกมา รู้หรือไม่ว่าต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนเท่าไหร่? ต้องเปลี่ยนเป็นเหนียงเนียงของพวกเราเท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้”
ภูตถือพัดหัวเราะร่า “กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คิดไม่ถึงว่าจะมีทูตผู้ปกป้องบุปผางามหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่งผู้หนึ่ง เขาเรียกตัวเองว่าโจวเฝยกระมัง หน้าตาก็เหมือนชื่อนั่นแหละ ขี้เหร่จนแทบทนมองไม่ได้ ทว่าความสามารถกลับสูงนัก เขาโยนแหใหญ่สาดออกไป เล่าลือกันว่าไอ้หมอนั่นพูดเองว่า แหอันนั้นเกิดจากการหล่อหลอมของเงินเกล็ดหิมะหลายพันเหรียญ สรุปก็คือรวบเอากระบี่บินเหล่านั้นมาได้ในรวดเดียว กระบี่บินที่อยู่ในแหส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับแมลงวันฝูงใหญ่ ทางฝั่งของนครแห่งนั้นยังไม่ยอมแพ้ ปล่อยกระบี่บินออกไปอีกชุดหนึ่ง เจ้าเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร?”
ลูกสมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ก็ต้องหนีน่ะสิ ยังจะทำอะไรได้อีก”
—–
Related