ถังจิ่นซิ่วไปยืนรออยู่หน้าประตูร้านนานแล้ว นางเอาสองมือไพล่หลัง มือข้างหนึ่งกดลงบนความว่างเปล่าเบาๆ เป็นการบอกเป็นนัยแก่เถ้าร้านตัวจริงที่อยู่ด้านหลังว่าไม่ต้องตื่นเต้น
หลังจากที่สตรีโตเต็มวัยอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจน
ถังจิ่นซิ่วก็มองไปยัง ‘ผู้เฒ่า’ ที่สวมงอบ สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังผู้นั้นแล้วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ขนาดผ่านตรอกบุตรสาวแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าไป แต่ดันไปหลบดื่มเหล้าอยู่ ทำเอาพวกเราหากันแทบแย่”
จากนั้นถังจิ่นซิ่วก็เริ่มแนะนำตัวเอง “ข้าน่ะ คือเถ้าแก่ใหญ่ของร้านค้าทั้งหมดในตรอกผงทอง เจินก้วนนางตาถั่ว อีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง ดังนั้นก็ขอให้ข้าเป็นคนที่ทำการค้ากับอาจารย์ผู้เฒ่าก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นร้านใหญ่ที่รังแกลูกค้า กระดูกแก่ๆ ของข้าทนรับแรงกระแทกกระทั้นใดๆ ไม่ไหว แม้แต่ถ้อยคำข่มขวัญก็ยังฟังไม่ได้แม้สักครึ่งคำ”
ถังจิ่นซิ่วนินทาในใจไม่หยุด ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งกดลึก “ร้านในตรอกผงทองแห่งนี้ อายุน้อยที่สุดก็ยังเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาสี่ห้าร้อยปีแล้ว แต่ละร้านล้วนมีป้ายอักษรทอง (เปรียบเปรยถึงร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงดีงาม) ลูกค้าที่กลับมาเยือนซ้ำมีมากมาย เซียนซือผู้เฒ่าวางใจได้เลย”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้าน ทั้งถังจิ่นซิ่วและเจินก้วนผีสาวตนนั้นยืนเคียงไหล่กันอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน
ส่วนสตรีโตเต็มวัยที่หาตัวเฉินผิงอันพบนั้นยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูร้าน
เฉินผิงอันปลดห่อผ้าลง หยิบของแต่ละชิ้นออกมาวางบนโต๊ะคิดเงิน
ยังคงหยิบออกมาแค่สามส่วนก่อนเหมือนเดิม
แต่กระนั้นก็ยังมากมายละลานตา ส่องประกายแสงระยิบระยับ
ถังจิ่นซิ่วหยิบขึ้นมาทีละชิ้นแล้วไล่วางลงทีละชิ้น เมื่อนางมองเห็นเครื่องประดับผมที่เป็นดอกโบตั๋นสีทองร้อยดอกรวมช่อกันซึ่งงามประณีตชิ้นนั้น จิตใจก็สั่นสะท้านเบาๆ เอ่ยพร้อมยิ้มบาง “ช่างเป็นสิ่งของที่งดงามจริงๆ ต่อให้เอาไปวางไว้ในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ด้านนอก ลำพังเพียงแค่ฝีมือการรังสรรค์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งต้องมาจากฝีมือของเทพเซียนบนภูเขาอย่างแน่นอนนี้ ก็น่าจะมีมูลค่าถึงหมื่นตำลึงเงินแล้ว เพราะถึงอย่างไรวัตถุชิ้นนี้ก็มีประวัติความเป็นมา เคยเป็นของรักของฮองเฮาที่งามล้ำท่านหนึ่งของแคว้นอันถิง ขอแค่บดเงินเกล็ดหิมะให้แหลกละเอียดเหมือนน้ำค้างเหมือนเม็ดฝน แล้วหยดลงไปในเกสรดอกไม้ทุกดอก ว่ากันว่าก็จะทำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่มหัศจรรย์ อืม ข้าให้ราคาที่หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย”
ระหว่างนี้ถังจิ่นซิ่วก็หยิบตะเกียบทองคู่นั้นขึ้นมา หลังจากพิศดูอย่างละเอียดแล้วก็เอามาเคาะเข้าด้วยกัน นางเงี่ยหูตั้งใจฟัง จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นมันจริงๆ ด้วย วัตถุชิ้นนี้มีพูดถึงในตำราประวัติศาสตร์ คือวัตถุที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแคว้นเชวี่ยซานพระราชทานให้แก่ขุนนางที่มีนามว่าซ่งจิ้งในงานเลี้ยงฉลองครั้งหนึ่ง เพื่อสรรเสริญถึงการเป็นขุนนางมือสะอาดและสุจริตของซ่งจิ้ง เขาได้สั่งให้ผู้ถวายงานตระกูลเซียนสร้างตะเกียบคู่นี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ได้ทำมาจากทองคำทั่วไป แต่เพิ่มวัสดุลับบางอย่างบนภูเขาเข้าไป เสียงยามที่กระทบกันจะเหมือนว่ามีคนมาพูดสองคำว่า ‘ซื่อสัตย์’ และ ‘เที่ยงตรง’ อยู่ข้างหูเบาๆ และซ่งจิ้งผู้นี้ก็ไม่ผิดต่อวัตถุชิ้นนี้ เขาใช้สถานะของขุนนางบุ๋นนำทัพลงสนามรบ แล้วก็สามารถสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่มาได้ ถือว่าประสบความสำเร็จในสมรภูมิเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายก็แต่กำลังของคนคนเดียวจะต้านทานกองกำลังใหญ่ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ของชิ้นนี้ข้าไม่ขายแล้ว”
ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึง “เหตุใดเซียนซือผู้เฒ่าถึงทำเช่นนี้? ข้ายินดีจะให้ราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่ากัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตะเกียบทองคู่นี้ เมื่อไปอยู่ที่อื่นย่อมไม่มีทางขายได้ราคาสูงขนาดนี้แน่นอน ในเมื่อนอกจากจะซื้อของแล้ว ก่อนที่เซียนซือผู้เฒ่าจะเสนอราคามา ข้ายังเป็นฝ่ายเล่าประวัติความเป็นมาของพวกมันให้ฟัง แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าตรอกผงทองของพวกเราปฏิบัติต่อท่านด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง”
“ความจริงใจแน่นอนว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม”
เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มกล่าว “แต่ข้าคิดว่าจะนำตะเกียบทองคู่นี้ไปมอบให้ผู้อื่น”
ถังจิ่นซิ่วจึงได้แต่เลิกตื๊อ หากเป็นเวลาปกติ แม้นางจะอยากได้ตะเกียบทองคู่นี้จริง แต่ก็คงจะให้ราคาแค่ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ถือซะว่าอีกฝ่ายช่วยประหยัดเงินให้นางก็แล้วกัน
สุดท้ายสิ่งของสามส่วนในห่อผ้า ถังจิ่นซิ่วก็รับซื้อไปประมาณครึ่งหนึ่งซึ่งรวมถึงเครื่องประดับศีรษะดอกไม้ทองชิ้นนั้นด้วย เป็นเงินทั้งหมดเก้าเหรียญเงินร้อนน้อย หากคิดจากเงินร้อนน้อยเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับเงินเกล็ดหิมะเก้าร้อยยี่สิบสามสิบเหรียญ
หนึ่งในนั้นคือกระถางธูปเคลือบทองเก่าแก่ที่เฉินผิงอันมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่มันกลับมีราคาสูงที่สุด และถังจิ่นซิ่วก็ไม่ได้อธิบายประวัติความเป็นมาของมันให้ฟังอย่างละเอียด เพียงเอ่ยว่านางยินดีจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยสี่เหรียญ เฉินผิงอันจึงขอราคาเพิ่มไปอีกหนึ่งเหรียญ ถังจิ่นซิ่วก็ยังคงตอบรับอย่างอิดออด รอจนกระทั่งนางบอกให้ผีสาวเจินก้วนที่ยืนอยู่ข้างกายเก็บกระถางธูปใบเล็กนั้นไป ถังจิ่นซิ่วก็พลันหัวเราะร่าเสียงดังด้วยความลำพองใจ เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าตัวเองขายราคาต่ำเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะกำไรที่อีกฝ่ายได้ไปก็เป็นเพราะมีแววตาในการดูของมากกว่า
ในความเป็นจริงแล้ว ราคาโดยประมาณของขวดไหทั้งหลายที่เหลืออยู่ในวัตถุจื่อชื่อ ซึ่งรวมถึงในห่อผ้าใบนี้ด้วยนั้น เฉินผิงอันประมาณการณ์ไว้ว่า อย่างมากที่สุดก็คงขายได้แค่ห้าร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น
หากสามารถขายได้สามร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ อันที่จริงก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว
เดิมทีการมาเป็นร้านผ้าห่อบุญของตนในครั้งนี้ก็เป็นการกระทำที่เหมือนผ่าเอาเนื้อมาจากขานกกระจอก กรีดเอามันมาจากท้องของยุงอยู่แล้ว เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี อาศัยแค่การสะสมทีละน้อยจนมากประหนึ่งน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวเท่านั้น
ถังจิ่นซิ่วอดทนอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหยิบกระถางธูปใบเล็กมาจากมือของเจินก้วน ใช้สองมือลูบคลึงช้าๆ รักจนวางมือไม่ลงอย่างแท้จริง ก่อนจะเงยหน้ามอง ‘ท่านผู้เฒ่า’ สวมงอบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประวัติความเป็นมาของกระถางธูปใบเล็กนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลย เคยเป็นวัตถุในการฝึกตนที่อยู่เคียงข้างเซียนใหญ่ผู้สันโดษท่านหนึ่งของสำนักชิงเต๋อตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่สลักอยู่ก้นกระถางไม่แสดงให้รู้ถึงสถานะของสำนักชิงเต๋อก็เท่านั้น แต่เซียนใหญ่ผู้สันโดษท่านนี้เคยมีบันทึกการท่องเที่ยวฉบับหนึ่งตกทอดมายังคนรุ่นหลัง แต่ไม่แพร่หลายมากนัก บังเอิญที่ข้าเก็บสะสมไว้เล่มหนึ่งพอดี เวลาปกติมักจะเอามาอ่านบ่อยๆ จนจดจำเนื้อหาได้แม่นยำ ถึงได้รู้ประวัติความเป็นมาของวัตถุชิ้นนี้ แม้ว่ากระถางธูปจะไม่ใช่สมบัติอาคม เป็นเพียงแค่สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ราคาที่แท้จริงก็น่าจะเป็นหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงมา ไม่ว่าจะผีหรือภูต ขอแค่จุดธูปน้ำหรือธูปภูเขาหนึ่งก้าน เพียงไม่นานก็จะสามารถสงบจิตใจรวบรวมสมาธิแล้วเข้าสู่สภาวะของการเข้าฌานลืมตนได้อย่างรวดเร็ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
ผีสาวเจินก้วนมีท่าทางร้อนรนเล็กน้อย กระตุกชายแขนเสื้อของนางเบาๆ
ถังจิ่นซิ่วถึงได้เงียบเสียงลงอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก ไม่โอ้อวดความรู้ที่ตนเองศึกษามาอีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นก็หมายความว่าวัตถุชิ้นนี้ไร้วาสนากับข้า แต่กลับมีวาสนากับเจ้าของตรอก”
ถังจิ่นซิ่วยื่นกระถางธูปให้เจินก้วนถือไว้ เอ่ยว่า “อาศัยความตรงไปตรงมานี้ของท่านผู้เฒ่า ข้าก็จะใจกว้างสักครั้ง เพิ่มเงินให้อีกหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย รวมเป็นหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชพอดี!”
ถังจิ่นซิ่วคีบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากถุงเงินห้อยเอว ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “ของมาเงินไป ถือว่าหมดกันแล้ว”
เฉินผิงอันรับเงินเทพเซียนเหรียญนั้นมา ใช้สองนิ้วถูเบาๆ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ปิติยินดี นับว่าหาได้ยาก หาได้ยาก วันหน้าหากได้ของหายากมาอีก จะต้องเอามาอวดให้เจ้าของตรอกดูอย่างแน่นอน”
ถังจิ่นซิ่วชี้ไปที่ห่อผ้าใบนั้นแล้วปิดปากยิ้ม “หรือเซียนซือผู้เฒ่าลืมไปแล้วว่าในห่อผ้ายังมีของอีกหกส่วนที่ไม่ได้เอาออกมา?”
เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง “ชีวิตนี้ยังไม่เคยสัมผัสเงินเกล็ดหิมะกับมือมาก่อนเลย ทำให้เจ้าของตรอกเห็นเรื่องตลกแล้ว ข้าจะค่อยๆ เอาของที่เหลือออกมาทีละชิ้น เจ้าของตรอกเชิญพิศดูอย่างละเอียดได้เลย”
ถังจิ่นซิ่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ท่าทางเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าในใจของนางหัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด
แสดง แสดงละครของเจ้าต่อไป
ส่วนผีสาวอายุน้อยที่ถือประคองกระถางธูปเอาไว้ผู้นั้นกลับรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง เซียนกระบี่หนุ่มที่ใช้เวทอำพรางตาด้วยการแปลงโฉมหน้าผู้นี้ช่างเป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำการค้าจริงๆ
ตอนที่เฉินผิงอันหยิบของออกมาจากห่อผ้า ถังจิ่นซิ่วก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เริ่มเอาของที่ตัวเองชื่นชอบซึ่งเพิ่งจ่ายเงินซื้อมาเหล่านั้นไปวางไว้บนชั้นเก็บสมบัติด้านหลังชั่วคราวก่อน ส่วนของที่ยังไม่ได้ซื้อขายกันกลับถูกนางย้ายไปวางไว้ด้านข้างโต๊ะคิดเงิน ท่าทางของนางคล่องแคล่วคุ้นเคย จะจับจะวางล้วนเบามือ ไม่ทำให้เกิดการกระแทกกระทบกันเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะหยิบของมาเพิ่มอีกสามส่วนแล้ว บนโต๊ะคิดเงินก็ยังไม่ดูแน่นจนเกินไป
ถังจิ่นซิ่วทยอยเลือกของมาได้อีกสามชิ้น เพียงแต่ว่าคราวนี้นางให้ราคาแค่สองเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น ชิ้นหนึ่งคือหยกมันแพะแกะสลักที่เอาไว้ถือเล่น อีกชิ้นคือปลายทวนที่สลักลายสีทอง ต่างก็เป็นสิ่งของตกทอดจากสองราชวงศ์ใหญ่เหมือนกัน นางถึงได้ให้ราคานี้ แต่ถังจิ่นซิ่วก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ปลายทวนชิ้นนั้นหากเอาไปขายที่อื่นแล้วเจอกับผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มองของออก บางทีมันเพียงชิ้นเดียวก็อาจจะขายได้ราคาสองเหรียญเงินร้อนน้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ราคาตั้งต้นของวัตถุชิ้นนี้ไม่สูง จึงได้แต่เอามาวางเป็นของประดับตกแต่งให้พอเป็นพิธีเท่านั้น นี่จึงไม่แปลกที่ตรอกผงทองของนางจะให้ราคาไม่มาก
เฉินผิงอันไม่ถือสา ยังคงเลือกจะขายของให้แก่ตรอกผงทอง
ชั้นวางไม่เหลือพื้นที่ให้วางสิ่งของแล้ว ถังจิ่นซิ่วจึงบอกให้เจินก้วนนำกระถางธูปไปเก็บไว้ให้ดี จากนั้นให้ไปย้ายสิ่งของที่วางไว้บนชั้นเก็บสมบัติที่อยู่ด้านหลังเซียนซือผู้เฒ่าออก
คราวนี้ถังจิ่นเซิ่วเลือกของชิ้นเล็กๆ มาสี่ชิ้น หนึ่งคือถ้วยเงินที่มีลวดลายเป็นเป็ดป่าและห่าน ม้วนภาพที่วาดภาพดอกโบตั๋นสองดอกหนึ่งม้วน กรงขังจิ้งหรีดสีทองใบเล็ก รวมไปถึงรองเท้าหุ้มข้อขนาดเล็กหนึ่งข้าง…
ตอนที่ถังจิ่นซิ่ววางม้วนภาพลงและหยิบรองเท้าหุ้มข้อเล็กข้างนั้นขึ้นมา
สีหน้าเฉินผิงอันยังคงเป็นปกติ ทุกอย่างล้วนคือเงินนี่นะ
สุดท้ายถังจิ่นซิ่วก็จ่ายเงินร้อนน้อยสี่เหรียญ ดอกโบตั๋นสองดอกที่วาดอยู่บนม้วนภาพซึ่งแพงที่สุดนั้นอิงแอบแนบชิดกัน มีชื่อว่า ‘เสี่ยวหวงเจียวเหนียง’ กับ ‘ป๋ายอีเซียงกง’ คือสองในสิบดอกโบตั๋นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแคว้นเสินเช่อ ภาพวาดม้วนนี้มีราคาสามเหรียญเงินร้อนน้อย อีกสามชิ้นที่เหลือก็แค่ถังจิ่นซิ่วมองแล้วถูกชะตาเท่านั้น อาศัยว่ามีเอ่ยถึงในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มของหลายแคว้นบนชายหาดโครงกระดูก ไม่อย่างนั้นก็คงมีค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียนเท่านั้น ขายให้นางถังจิ่นซิ่วแห่งนครถงโช่วก็ถือว่า ‘ท่านผู้เฒ่า’ ตรงหน้าผู้นี้มาหาคนถูกแล้ว
ส่วนจะเป็นภาพวาดก็ดี เครื่องประดับผมดอกไม้สีทองก่อนหน้านี้ก็ช่าง หรือแม้กระทั่งกระถางธูปที่ถือว่านางและนครถงโช่วเก็บตกของดีได้นั้น ขอแค่ไม่ใช่ ‘คนเฒ่าคนแก่’ ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้ายแล้วล่ะก็ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินที่สายตาดีแค่ไหนก็ล้วนต้องปล่อยให้พลาดหลุดมือไปทั้งนั้น
คิดราคาสองครั้ง แยกจ่ายงินร้อนน้อยหลายเหรียญของทั้งสองรอบไปให้
เฉินผิงอันก็เริ่มเก็บห่อสัมภาระ การเป็นร้านผ้าห่อบุญในนครถงโช่วของตนครั้งนี้ ถือว่าได้เจอกับเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีจริงๆ
นั่นมันเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ บวกกับเงินร้อนน้อยอีกหกเหรียญเชียวนะ
ของที่เหลืออีกกองใหญ่ในห่อผ้าที่ยังขายออกไปไม่ได้ ไม่ใช่ของผุพังอะไรจริงๆ เสียหน่อย เมื่อออกไปจากหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็ยังมีโอกาสจะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินขาวและทองคำมาได้
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าอีกเดี๋ยวตอนที่ออกจากนครถงโช่วไปด้วยเส้นทางเดิมจะต้องตกรางวัลให้กับผีผู้บังคับบัญชาที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นอีกหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ปากเจ้าหมอนั่นต้องเป็นมงคลมากแน่ๆ เพราะตนที่มาเยือนตรอกผงทองครั้งนี้ก็มีเงินทองไหลมาเทมาจริงๆ ไม่ใช่หรือ?
สะพายห่อผ้าเรียบร้อย เฉินผิงอันก็หยิบงอบมาสวมอีกครั้ง หยิบขวดกระเบื้องสีสันสดใสใบนั้นออกจากชายแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะคิดเงิน มองไปทางผีเด็กสาวแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ถือว่าเป็นของรางวัลที่มอบให้ แสดงถึงความจริงใจ ขออวยพรให้กิจการของเถ้าแก่เจริญรุ่งเรือง”
เถ้าแก่ที่ชื่อว่าเจินก้วนผู้นั้นเหลือบตามองถังจิ่นซิ่วอย่างว่องไวแวบหนึ่ง เห็นว่าฝ่ายหลังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ผีเด็กสาวถึงได้รับมาด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันออกจากตรอกผงทอง เดินออกจากนครถงโช่วทางประตูเมืองแห่งเดิม โยนเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญให้กับผู้บัญชาการคนเฝ้าประตู ฝ่ายหลังดีใจเป็นกำลัง ค้อมตัวเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก
เฉินผิงอันมุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลู
หาที่พักแรมที่นั่น นอกจากจะเพื่อพักผ่อนแล้ว ยังเป็นเพราะต้องวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองอีกสองแผ่น
เพราะถึงอย่างไรในหุบเขาผีร้ายนี้ สถานที่ที่พอจะเรียกได้ว่าปลอดภัยนั้น ขนาดเมืองหลันเซ่อก็ยังไม่อาจนับรวม มีเพียงเมืองชิงหลูที่มีจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีมานั่งบัญชาการณ์อยู่เท่านั้น
เมืองชิงหลูอยู่ห่างจากนครถงโช่วไปไม่ไกล เพียงแต่ว่าระยะทางค่อนข้างจะอ้อมสักหน่อย และเฉินผิงอันก็ไม่ได้ขี่กระบี่ เพียงเดินเท้าไปเรื่อยๆ พอเริ่มจะมองเห็นเค้าโครงของเมืองชิงหลูได้รางๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงพอจะโล่งอกได้บ้าง
หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากร้าน
ถังจิ่นซิ่วก็ใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ต่างก็บอกว่าเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับยาก ทว่าตนไม่เพียงแต่เชิญเทพมาได้สำเร็จ ยังพอจะได้กำไรมาด้วย อีกทั้งยังเป็นเงินที่หามาได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
แต่ถังจิ่นซิ่วก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ด้วยกลัวว่าพี่ชายที่น้อยครั้งจะสั่งสอนตนอย่างเข้มงวดผู้นั้นจะด่าว่าตน ‘วาดงูเติมขา’
นาทีที่เฉินผิงอันเดินออกไปจากประตูเมือง ถังจิงฉีก็มาที่ร้านในตรอกผงทอง
สายตาของถังจิ่นซิ่วล่อกแล่กไม่อยู่นิ่ง
ถังจิงฉียิ้มเอ่ย “ดีมาก รับมือได้อย่างเหมาะสม ถึงขนาดสามารถทำการค้าที่ดีได้อย่างราบรื่น หาได้ยากๆ หัดรู้จักหาเงินให้นครถงโช่วแล้ว”
ถังจิ่นซิ่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลำพองใจ “ท่านพี่ ท่านว่าเจ้าหมอนั่นจะรู้ถึงตัวตนของข้าหรือไม่?”
ถังจิงฉีกระตุกมุมปาก “ตอนแรกอาจจะยังไม่แน่ใจ แต่ตอนที่ออกไปจากร้าน เขาก็น่าจะมั่นใจแล้ว”
ถังจิ่นซิ่วถามอย่างสงสัย “ข้าเผยพิรุธอะไรหรือ? เจ้าตรอกผงทองคนหนึ่งรู้ประวัติศาสตร์มากมายก็ไม่ถือว่าเผยช่องโหว่อะไรหรอกกระมัง? นางกำนัลหญิงหลายคนที่อยู่ข้างกายข้า อ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้ามาหลายร้อยปีก็สามารถจดจำเนื้อหาในตำราได้เหมือนสมบัติในบ้านตัวเองเช่นกัน”
ถังจิงฉีชำเลืองตามองไปยังผีสาวเจินก้วนแล้วชี้ไปที่นาง
ผีสาวอายุน้อยที่เดิมทีผิวพรรณก็ขาวซีดอยู่แล้วตกใจจนหน้ายิ่งซีดเผือดไร้สี คุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ
ถังจิ่นซิ่วร้องว่าโธ่เอ้ยหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างคนความรู้สึกช้าว่า “ตอนนั้นที่เจ้าหมอนั่นมอบขวดกระเบื้องหลากสีใบเล็กมาให้ก็เพราะจงใจจะหยั่งเชิงเจินก้วน?”
ดูเหมือนว่าถังจิงฉีจะอารมณ์ไม่เลว จึงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ได้ทำความผิดมหันต์อะไรสักหน่อย เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ปิดไม่อยู่ สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ความจริงเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับความกังขาในใจของพวกเขาได้ติด นอกจากนี้ผู้ฝึกตนบนโลกที่มาจากต่างถิ่นไม่ว่าจะคนใดก็ตาม ขอแค่มีขอบเขตเช่นนี้ได้ เวลาหลายปีที่ใช้ชีวิตมาจนแก่เฒ่าล้วนไม่ได้เสียเวลาเปล่า การกระทำและคำพูดของพวกเจ้าสองคน กับผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ถือว่าออกมาดีที่สุดแล้ว ข้าที่เป็นเจ้านครและพี่ชาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเข้มงวดใส่พวกเจ้าอีก”
ก่อนถังจิงฉีจะจากไป ก็ได้หันมาพูดกับน้องสาวว่า “จำไว้ว่ามอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้นางเป็นรางวัล เจ้าน่ะ ทีกับพวกบุรุษในนครถงโช่วกลับใจกว้างและทุ่มเงินทองให้ได้มากมาย หากแบ่งมาให้พวกผู้หญิงบ้างก็น่าจะดี”
ถังจิ่นซิ่วกลอกตามองบน
—–
Related