กระบี่จงมา – ตอนที่ 502.2 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

ความคิดของหญิงสาวล่องลอยไปไกล

ตัวนางเองถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นในกลุ่มของคนหนุ่มสาวจากหลายแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อเทียบกับสองคนนั้นแล้ว นางรู้ดีว่าตัวเองยังห่างชั้นอีกไกลนัก คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบห้าปี เมื่อปีก่อนก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือสตรีที่อายุยี่สิบต้นๆ และยิ่งมีโชควาสนามาเยือนไม่ขาดสาย ตลอดเส้นทางของการฝึกตนล้วนพบเจอแต่ความราบรื่น นอกจากนี้ยังมีสมบัติหนักติดกาย หากไม่เป็นเพราะสำนักลำดับต้นๆ ทั้งสองเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน พวกเขาก็ต้องถือว่าเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ฟ้าดินสร้างให้มาคู่กันแล้ว

อาณาเขตของหลายสิบแคว้น ตลอดทั้งบนและล่างภูเขา ดูเหมือนว่าต่างก็กำลังจับตามองการเติบโตและการงัดข้อกันระหว่างพวกเขาสองคน

ทุกครั้งที่พวกเขาสองคนได้พบเจอกันล้วนจะต้องกลายมาเป็นเรื่องเล่าอันงดงามที่ผู้คนฟังกันอย่างเพลิดเพลิน

อันที่จริงนางเองก็อิจฉาเหมือนกัน

เพราะเด็กหนุ่มผู้ฉลาดเฉลียวที่เกิดมาก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นที่จับตามองของคนมากมายผู้นั้นมีเนื้อหนังมังสาดุจดั่งเจ๋อเซียน นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญสี่ศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กันจีนหรือวาดภาพ นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีเด็กหนุ่มที่ทำให้สตรีแค่พบเห็นก็ลืมเลือนบุรุษธรรมดาสามัญที่เคยพานพบมาทั้งหมดเช่นนี้ได้?

บุรุษหนุ่มเห็นว่าศิษย์พี่หญิงของตนเหม่อลอยก็เข้าใจว่านางเป็นกังวลกับการเดินทางหลังจากนี้ จึงเอ่ยปลอบใจว่า “ศิษย์พี่หญิง หากไม่มั่นใจ พวกเราหาเด็กคนนั้นเจอแล้วก็กลับเถอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจภัยพิบัติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงครั้งนี้ อาจารย์เคยบอกไว้ว่า ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ คล้อยไปตามสถานการณ์ ในเมื่อเมืองสุยเจี้ยเสวยสุขกับการถูกปกป้องจากทวยเทพมานานหลายร้อยปี ก็ควรถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่ถูกกำหนดมาแล้วครั้งนี้”

สตรีพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยเตือน “ระวังกำแพงมีหู”

บุรุษยิ้มกล่าว “หากจะบอกว่าในเมืองมีปลาและมังกรปะปนกัน คนแปลกประหลาดรวมตัวกันอยู่มากมาย ข้าก็เชื่อ แต่หากจะบอกว่าสามารถพบเจอยอดฝีมือนอกโลกได้ตั้งแต่หน้าประตูเมืองแห่งนี้…ข้าไม่เชื่อหรอก สำนักของพวกเราก็ไม่ถือว่าเล็กแล้ว เซียนซือผู้เฒ่า เซียนซือน้อยทั้งหลายบนภูเขา มีใครบ้างที่พวกเราไม่คุ้นหน้าคุ้นตา? หรือเจ้าคนเล่นละครลิงผู้นั้นจะเป็นเทพเซียนที่อำพรางตัวตนอย่างลึกลับ? หรือจะเป็นจอมยุทธหนุ่มสวมงอบผู้นั้นที่แท้จริงแล้วก็คือปรมาจารย์ใหญ่แห่งยุทธภพคนหนึ่ง?”

สตรีหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ “เจ้าลืมคำสั่งสอนของอาจารย์ไปแล้วหรือ ลงจากเขามาหาประสบการณ์ต้องระวังการกระทำและคำพูด!”

แม้ปากนางจะเอ่ยสั่งสอนเช่นนี้ ทว่าสายตาของหญิงสาวกลับเหลือบมองไปยังผู้เฒ่าที่มีลิงนั่งอยู่บนไหล่กับคนหนุ่มที่เดินเข้าไปใกล้รถเทียมวัวคันหนึ่งอย่างว่องไว แล้วใจนางก็สั่นเยือก ฝ่ายหลังนั้นไม่มีอะไร เพราะยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าศิษย์น้องของตนพูดจาล่วงเกิน แต่ผู้เฒ่าที่เดิมทียื่นมือไปป้อนอาหารลิงน้อยบนไหล่กลับหันมามองนาง กระตุกมุมปาก สีหน้าไม่เป็นมิตร สตรีจึงลุกขึ้นยืนกุมหมัดคารวะขออภัย

แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รับน้ำใจ สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของนางหนึ่งรอบ จากนั้นก็กระตุกยิ้มเย็นชามุมปาก แล้วก็ไม่มองต่ออีก ราวกับว่ารังเกียจเรือนร่างของนางอย่างไรอย่างนั้น

สตรีไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร ทว่าศิษย์น้องของนางโมโหจนอกแทบจะระเบิด ตาแก่หนังเหนียวผู้นั้นบังอาจหยามเกียรติคนอื่นถึงขนาดนี้เชียวหรือ! เขาทำท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกศิษย์พี่หญิงกระตุกชายแขนเสื้อไว้เบาๆ แล้วส่ายหน้าให้ “เป็นพวกเราที่เสียมารยาทก่อน”

บุรุษหนุ่มจึงหันไปถลึงตามองผู้เฒ่าเลี้ยงลิงอย่างดุร้าย จดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้ขึ้นใจ หากเข้าไปในเมืองเมื่อไร ถึงเวลานั้นหากการช่วงชิงสมบัติเปิดฉากขึ้น กองกำลังของแต่ละฝ่ายปะปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้แน่ชัด ต้องเกิดความวุ่นวายโกลาหลอย่างแน่นอน หากมีโอกาส ตนจะทำให้ตาแก่หนังเหนียวผู้นี้ได้เห็นดีกันแน่

อันที่จริงเฉินผิงอันล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา เขารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย สองฝ่ายที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ผูกปมแค้นกันเสียอย่างนั้น นับว่านิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไรเลยจริงๆ

ในความเป็นจริงแล้วหลายสิบแคว้นโดยรอบแคว้นอิ๋นผิงนี้เป็นอาณาเขตแร้นแค้นที่ปราณวิญญาณบางเบา ไม่เหมาะแก่การฝึกตน ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ฝึกยุทธที่กระทำการกำเริบเสิบสาน ซ่งหลันเฉียวแห่งเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์บอกว่าผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็คือกบใต้บ่อกลุ่มหนึ่งที่ดีแต่จะเก่งอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ ของตัวเอง ผู้ฝึกตนด้านนอกที่เดินอยู่บนมรรคาอย่างแท้จริงล้วนไม่สนใจผลกำไรเล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันนั่น ผู้ฝึกตนที่อยู่ภายในก็ยินดีที่ไม่มีมังกรข้ามแม่น้ำมาสร้างความวุ่นวาย ปิดประตูแล้วก็สามารถวางอำนาจกันได้ตามสบาย มีผู้ฝึกตนโอสถทองขอบเขตเละเทะสองคนของสองสำนักใหญ่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเป็นผู้นำ ต่างคนต่างนำพาลูกสมุนของตัวเองตีกันไปตีกันมา ได้ยินมาว่าคุมเชิงกันมาหลายร้อยปีแล้ว

ถึงแม้ซ่งหลันเฉียวจะพูดจาง่ายๆ สบายๆ แต่เฉินผิงอันก็ยังเคยชินที่จะท่องอยู่ในยุทธภพด้วยความระมัดระวัง เพราะระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี

ผู้ฝึกตนบนภูเขามีวิชาอาคมนับพันนับหมื่นที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ หากเปิดฉากเข่นฆ่ากันขึ้นมา ขอบเขตสูงต่ำ หรือแม้แต่ระดับขั้นของสมบัติอาคมดีหรือเลวล้วนไม่อาจเป็นตัวตัดสินได้ การข่มกันของห้าธาตุ ฟ้าอำนวยดินอวยพร โชควาสนาที่แปรเปลี่ยน แผนในที่มืดแผนที่โจ่งแจ้ง ล้วนเป็นตัวแปรได้ทั้งสิ้น

เข้ามาในเมืองแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชายฉกรรจ์ขายถ่านเข้าใจผิดคิดว่าตนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ติดตามเขาไปที่ตลาดของศาลเทพอัคคีด้วย แต่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองก่อน

อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าชายฉกรรจ์คนนี้คือผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์คนหนึ่ง อยู่ที่ประมาณจุดสูงสุดของขอบเขตสาม พอเห็นว่าตนเผยกาย ชายฉกรรจ์ถึงได้จงใจเปลี่ยนลมหายใจเข้าออกให้ขุ่นมัว ฝีเท้าก็เบาและล่องลอย คิดดูแล้วเมื่ออยู่ในยุทธภพของแคว้นอิ๋นผิงก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามคนหนึ่งที่พื้นฐานไม่เลว เดิมทีควรจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เหตุใดถึงกลายมาเป็นคนตัดฟืนขายถ่าน หาเลี้ยงชีพอย่างยากลำบากพาให้คนในครอบครัวเดือดร้อน คิดดูแล้วคงจะมีเหตุผลของตัวเขาเอง เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันไม่คิดจะไปสืบเสาะ เพราะท่านไม่ใช่ปลา ไหนเลยจะรู้ความสุขของปลา (เป็นประโยคที่จวงจื่อนักปราชญ์ชาวจีนพูดกับฮุ่ยจื่อนักปกครองและนักปรัชญาชาวจีน)

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกทางกันแล้ว

ชายฉกรรจ์ก็จูงรถเทียมวัวเดินต่อไป เด็กน้อยทั้งสองคนยังคงไร้ทุกข์ไร้กังวล เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบด้าน ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม หันหน้าไปมองแผ่นหลังของจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่จากไปไกลคนนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดข้าเป็นคนในยุทธภพก็ยังมองไม่ออก นั่นก็น่าจะเป็นเด็กรุ่นหลังขอบเขตสองสามแล้ว เฮ้อ เหตุใดถึงต้องมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ด้วยนะ ไม่รู้หรือว่าเทพเซียนที่ฝึกวิชาเซียนอยู่บนภูเขาพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากเจียวหลงที่สะบัดหางง่ายๆ หนึ่งครั้ง ก็ทำให้ชาวบ้านมากมายจมน้ำตายแล้ว?”

ทางฝั่งนั้น

เฉินผิงอันหัวเราะ

ชายฉกรรจ์คนนั้นจิตใจดี จงใจเอ่ยเตือนเขาว่า เมืองหลิงเป่าที่อยู่ทางทิศเหนือมีสถานที่ที่คู่ควรแก่การไปเยี่ยมเยือนมากกว่า น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ตนรีบออกไปจากสถานที่อันตรายอย่างเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้

บังเอิญยิ่งนัก ทั้งผู้เฒ่าเลี้ยงลิงและชายหญิงสะพายกระบี่ต่างก็ไปทางเดียวกับเฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองก่อน

เฉินผิงอันจึงจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ทิ้งระยะห่างจากพวกเขา จากนั้นก็ไปยืนปักหลักอยู่ในร้านขายภาพวาดกลางทางร้านหนึ่ง เขาดูตัวอักษรภาพอยู่ในร้านประมาณหนึ่งก้านธูป ไม่ได้ซื้อภาพใดมา แต่กลับจ่ายเงินสองสามตำลึงซื้อสมุดที่เดิมทีทางร้านมีไว้มอบให้เป็นของแถมมาสองสามเล่ม เนื้อหาด้านในแนะนำผลงานที่มีชื่อเสียงของจิตรกรมือเอกแต่ละยุคแต่ละรัชสมัยของแถบแคว้นอิ๋นผิง การจัดพิมพ์ของตำราเหล่านี้นับว่าประณีตงดงาม เพียงแต่ว่าไม่ถือเป็นตำราหายากอะไร ก็แค่เนื้อหาชวนอ่านเท่านั้น

หลังเก็บตำราใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่แล้วก็ออกมาจากร้าน ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าและชายหญิงคู่นั้นแล้ว

พอเข้ามาใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง สีหน้าของเฉินผิงอันก็ค่อนข้างเคร่งเครียด ควันธูปลอยกรุ่นอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ อยู่บนถนนใหญ่นอกศาลก็สามารถได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของควันธูปแล้ว แต่ไปเยือนศาลเทพภูเขาเทพแม่น้ำมามากแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าควันธูปหนาหรือเบาบางล้วนไม่สำคัญ แต่สำคัญที่คำว่าบริสุทธิ์ ศาลที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสำนักก็ดี หรือศาลเถื่อนที่ชาวบ้านหรือไม่ก็พวกภูตสร้างขึ้นกันเองก็ช่าง ล้วนต้องดูว่าแก่นบริสุทธิ์ของควันธูปมีกี่ชั่งกี่ตำลึง เมื่อเฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้มีควันธูปล้อมวนเวียน คล้ายกับถูกเทพอภิบาลเมืองใช้เวทลับมากักกันเอาไว้จึงไม่หลุดออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย นี่ถือเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นแล้ว ศาลที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสำนัก องค์เทพภูเขาแม่น้ำซึ่งรวมไปถึงเทพอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊ต่างก็ต้องหวนกลับมาเป็นฝ่ายหล่อเลี้ยงภูเขาแม่น้ำของหนึ่งพื้นที่ จะต้องดึงเอาแก่นควันธูปส่วนหนึ่งออกมาแล้วปล่อยให้แทรกซอนเข้าไปในฟ้าดินรอบด้าน เพื่อใช้สิ่งนี้มาบำรุงหล่อเลี้ยงปวงประชา ปกป้องชาวบ้านแบบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นี่ต่างหากจึงจะสามารถสร้างวงจรอย่างหนึ่งได้ ไม่ใช่ว่าเก็บเอาไปไว้ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด ไม่ปล่อยให้น้ำสักหยดเล็ดรอดออกมาเหมือนอย่างที่เทพอภิบาลเมืองตรงหน้าทำ

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ อันที่จริงเขาก็พอจะเข้าใจได้ นี่คือการเอาตัวรอดที่องค์เทพร่างทองในศาลนำมาใช้ต่อชีวิตของตน ตอนนี้ไม่มีเวลามามัวสนใจอย่างอื่นแล้ว นี่คล้ายคลึงกับการดื่มยาพิษดับกระหาย หากปล่อยไปนานวันเข้า หายนะมีแต่จะสะสมพอกพูนจนขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง

เข้าใจเส้นสายต่างๆ ของเรื่องราวและผู้คนบนโลกมนุษย์ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นด้วย

เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ตามกฎแล้วมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาเมืองแห่งนี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นเป็นเพราะชายฉกรรจ์ขายถ่านต้องการจะปิดบังสถานะของตัวเอง จึงจงใจไม่พูดให้ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเขาเคยมาที่นี่เพื่อขอพรอย่างจริงใจ จึงไม่กล้าพูดจาส่งเดช ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพอจะฟังออกคร่าวๆ ว่า กฎของศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ไม่เหมือนกับสถานที่แห่งอื่น นอกจากตำหนักหน้าหลังและหอขุยซิงแล้ว ยังสร้างตำหนักเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตำหนักเทพหยวนเฉินขึ้นมาตามความชื่นชอบและขนบธรรมเนียมของผู้คนในท้องถิ่น แต่เฉินผิงอันก็ยังสอบถามเถ้าแก่ร้านขายธูปที่อยู่นอกศาลอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนกระตือรือร้นคุยเก่ง จึงพูดจ้อเรื่องประวัติความเป็นมาของศาลเทพอภิบาลเมืองให้ฟัง ที่แท้แม่ทัพบู๊ยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนซึ่งเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหน้า คือบุคคลผู้มีคุณูปการคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างทองในศาลเดิมของวิญญาณวีรบุรุษผู้นี้ แน่นอนว่าต้องตั้งอยู่ที่อื่น เทพอภิบาลเมืองตัวจริงที่ ‘บำบัดทุกข์บำรุงสุข ตรวจตราโลกมืดโลกสว่าง ปกครองวิญญาณที่ตายดับ’ ของที่แห่งนี้ คือขุนนางบุ๋นที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งถูกตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลัง คือท่านโหวลำดับสามที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ของแคว้นอิ๋นผิง

ตอนที่พูดถึงบรรดาศักดิ์นี้ เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าคงไม่เข้าใจสินะว่าเหตุใดถึงเป็นแค่ท่านโหวลำดับสาม ตอนมีชีวิตอยู่นายท่านขุนนางบุ๋นผู้นี้เป็นถึงเจ้ากรมระดับสองชั้นเอกเชียวนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะแปลกใจ กำลังอยากจะถามเถ้าแก่ผู้เฒ่าพอดี มันเป็นมาอย่างไรหรือ?”

หากจะพูดถึงกฎเกณฑ์และข้อพิถีพิถันในศาลมากมายของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันเข้าใจอย่างกระจ่างชัดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าอยากจะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม และการทำตามที่ว่านั้น แน่นอนว่าเมื่อเข้าเมืองมาก็ต้องถามหาขนบธรรมเนียมของที่นั้นๆ ก่อน

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเพียงยิ้ม แต่ไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันจึงรีบเชิญธูปกระบอกหนึ่งของทางร้าน

ติดกับแล้ว

เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วถึงได้เริ่มเล่าเรื่องวงในให้ฟัง “เจ้าหนุ่ม แค่มองก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนในยุทธภพ การที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องในวงการขุนนางก็เป็นเรื่องปกติ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์และตำแหน่งขุนนางในวงการขุนนางนั้นไม่ค่อยเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับขั้นของเหล่านายท่านเทพเซียนที่ได้รับการตั้งบูชาเสวยควันธูปเหล่านี้เลย เป็นไง ฟังไม่เข้าใจแล้วล่ะสิ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะซับซ้อนไปสักหน่อย”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงเริ่มโอ้อวดความรู้ของตน เขาโคลงศีรษะเอ่ยว่า “ท่านเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ของพวกเรา ในอดีตเคยเป็นแค่ท่านป๋อลำดับสี่ในยุคของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นเท่านั้น เพียงแต่ว่าควันธูปของเขาศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ เมื่อหลายปีก่อนหลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ได้ออกพระราชโองการแต่งตั้งท่านเทพอภิบาลเมืองของเราย้อนหลังให้เป็นท่านโหวลำดับสาม (ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณเรียงจากใหญ่มาเล็กได้แต่ อ๋อง (หวัง) กง โหว ป๋อ จื่อ หนัน) ตอนนั้นจัดงานยิ่งใหญ่เอิกเกริกนักล่ะ นายท่านเจ้ากรมพิธีการออกจากเมืองหลวงมาด้วยตัวเอง ขุนนางใหญ่ขนาดนั้นนำพระราชโองการมาที่เมืองสุยเจี้ยของพวกเรา พอเข้าเมืองมาก็เลือกวันฤกษ์งามยามดี ถนนที่อยู่ด้านนอกร้านสายนี้ เจ้าเห็นหรือยัง วันนั้นฟ้าไม่ทันสว่างก็มีพวกนักการกลุ่มใหญ่พากันมาชำระล้างทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดท้ายถนนหนึ่งรอบ แล้วยังไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมามุงดู แล้วก็เพราะอยากร่วมความครึกครื้นครั้งนี้ คืนก่อนหน้านั้นข้าก็เลยมานอนในร้านเสียเลย นี่ถึงได้พบหน้านายท่านเจ้ากรมผู้นั้น จุ๊ๆ ไม่เสียแรงที่เป็นดาวเหวินชวี (ดาวมงคลที่ส่งผลในด้านการศึกษา คล้ายดาวประจำตัวของครูบาอาจารย์ คนที่รับราชการ ฯลฯ) ลงมาจุติ ต่อให้ได้เห็นไกลๆ แค่แวบเดียวก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความสูงศักดิ์”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าพูดอย่างภาคภูมิใจ “ที่แห่งนี้ของพวกเรา อย่าเห็นว่าเป็นแค่เมืองแห่งหนึ่ง ทว่าการปฏิบัติที่ท่านเทพอภิบาลเมืองตำหนักหน้าท่านนั้นของพวกเราได้รับกลับเทียบเท่าได้กับเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแล้ว นอกจากศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงกับศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงแห่งที่สองแล้ว ก็ไม่มีที่ใดได้รับบรรดาศักดิ์สูงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเชิญธูปแล้วก็ต้องไปกราบไหว้ในศาล ไปโขกหัวคำนับให้มากๆ หน่อย แม้จะบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาการขอพรในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ล้วนเป็นบัณฑิตที่ขอโชคด้านการศึกษาจะศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่ท่านเทพอภิบาลเมืองของพวกเรามีตำแหน่งสูง ความสามารถยิ่งใหญ่ คิดดูแล้วหากเจ้ามีความจริงใจมากสักหน่อย ท่านก็ต้องช่วยปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset