อินโหวยิ้มเอ่ยต่อไปว่า “ข้าพอจะมีความสัมพันธ์กับทางเมืองหลวงอยู่บ้าง และความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างข้ากับเมืองสุยเจี้ย เซียนกระบี่ก็น่าจะรู้ดี ข้าให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีติดตามไปด้วย อันที่จริงก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด ก็แค่อยากให้นำจดหมายลับฉบับนั้นไปส่งถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังพอจะถือว่ามีเส้นสายอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงมอบหมายเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีว่า ขอแค่คนผู้นั้นยินดีพลิกคดี ก็จะช่วยให้เส้นทางอนาคตของเขาราบรื่นมากขึ้น แต่อันที่จริงหากคิดจะพลิกคดีอย่างจริงจังก็ไม่ต้องหวังแล้ว แต่ข้าอยากจะทำให้ศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเทพอัคคีของเมืองสุยเจี้ยรู้สึกสะอิดสะเอียนก็เท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ถึงว่า เทพอภิบาลเมืองท่านนั้นจะทำอะไรรวดเร็วฉับไวขนาดนี้ เขาถึงขั้นสังหารขุนนางของราชสำนักคนหนึ่งไปโดยตรง อีกทั้งยังเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองพื้นที่ศักดินาแล้ว แล้วยังไม่มีความอดทนเลยสักนิด จะปล่อยให้คนผู้นั้นออกไปจากเมืองสุยเจี้ยก่อนก็ไม่ได้ อันที่จริงนี่ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว แต่คิดดูแล้วเทพอภิบาลเมืองคนนั้นก็คงเหมือนสุนัขจนตรอกกระมัง ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากอีก ตัดรากถอนโคนให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ภายหลังไม่รู้ว่าข่าวเล็ดรอดไปจากที่ใด พอรู้ว่าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีอยู่ที่เมืองหลวง เทพอภิบาลเมืองก็เริ่มลงมือ สั่งให้แม่ทัพคนสนิทนำตัวคนจิ๋วควันธูปที่จำแลงร่างได้สำเร็จครึ่งตัวไปมอบให้กับคนผู้นั้น และจิ้นซื่อที่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งก็ตอบรับข้อเสนอของศาลเทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ยทันที เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าจึงบอกให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีกลับมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋น เพราะถึงอย่างไรญาติที่อยู่ห่างไกลก็ไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง หากลอบกระทำการเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เป็นไร แต่หากฉีกหน้ากันจังๆ ขึ้นมากลับจะไม่ค่อยดีแล้ว”
เฉินผิงอันพลันถามคำถามหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันอย่างสิ้นเชิง “ด้วยสถานะเจ้าแห่งทะเลสาบของเจ้า หากถูกใจสตรีในหมู่ชาวบ้านที่พรสวรรค์ไม่เลวคนหนึ่ง ไยต้องทำให้เรื่องวุ่นวายเพียงนี้?”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยิ้มบางเอ่ยว่า “หนึ่งเพราะชาวบ้านไม่รู้ประสา กลัวอำนาจไม่กลัวคุณธรรม สอง เพราะวังมังกรของข้าต้องการหญิงรับใช้หน้าตางดงาม สาม สามลำคลองสองคูน้ำต้องการ ลูกน้องของลูกน้องข้าก็ต้องการเหมือนกัน บนอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋น หากวันนี้ขาดสตรีไปหนึ่งคน พรุ่งนี้ขาดสตรีไปอีกหนึ่งคน นานวันเข้า หากความเกรงกลัวอำนาจบารมีมีมากเกินไปก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ดี พวกชาวบ้านยังพูดได้ง่าย เพราะได้แต่ยอมรับชะตากรรม แต่พวกตระกูลปัญญาชน ตระกูลคนร่ำรวยที่มีกำลังพอให้คนในตระกูลเดินทางไปไหนมาไหนได้นั้น จะต้องบอกต่อกันไปปากต่อปาก ทั้งปีต้องอยู่อย่างหวาดระแวงขลาดกลัว วันหน้าจะทำอย่างไร? แน่นอนว่าต้องพากันย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นานวันเข้าโชคชะตาลมและน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นก็จะไหลออกไปสู่ภายนอก แต่หากทะเลสาบชางอวิ๋นตั้งกฎที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจเช่นนี้ ก็ปลอบโยนใจคนได้ง่ายยิ่งกว่า บวกกับที่วังมังกรก็ถือว่าชดใช้ให้ครอบครัวของคนบนฝั่งอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ปิดบังเซียนกระบี่ คนมีเงินมากมายอยากจะให้ลูกสาวหลานสาวของตัวเองถูกวังมังกรหมายตาด้วยซ้ำ”
เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “การค้าขายที่ดีใต้หล้านี้ไม่เคยใช่การร่ำรวยฉับพลันจากเงินทุนหนึ่งก้อนที่ได้กำไรมหาศาล แต่เป็นน้ำเส้นเล็กไหลยาวที่สั่งสมเป็นเดือนเป็นปี เซียนกระบี่เห็นด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปาก ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เหตุใดพอหลักการเหตุผลที่ดีขนาดนี้ออกมาจากปากของเจ้าแห่งทะเลสาบ รสชาติถึงได้เปลี่ยนไปเสียเล่า”
อินโหวเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
รอให้อีกฝ่ายเสนอราคามา
ไม่ว่าในใจจะเกลียดแค้นคนตรงหน้านี้มากแค่ไหน แต่ในเมื่อฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ และอีกฝ่ายสามารถเดินกร่างอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นบ้านของตนได้ วังมังกรของตนก็ได้แต่เป็นคนใบ้ที่กินหวงเหลียนเท่านั้น
หยุดยั้งความเสียหายให้ทันเวลา
ดีกว่าทำผิดซ้ำซากมากนัก
อย่างน้อยที่สุดอย่างแรกก็ยังสามารถทำให้ภูเขาเขียวยังคงอยู่ คนไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนให้เผาไฟ แต่อย่างหลังมักจะเป็นดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนทั้งตัว ดั่งอาคารหลังใหญ่ที่พังครืนลงมาในค่ำคืนเดียว
เฉินผิงอันเก็บกาเหล้าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ถามว่า “แล้วเรื่องร่างทองของเทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ยที่เน่าเปื่อยทรุดโทรมล่ะ?”
การมาเยือนในคืนนี้ของอินโหวเรียกได้ว่ามีความจริงใจเปิดเผย พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ยากที่จะปกปิดสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ เขายิ้มกล่าวว่า “บัณฑิตที่เป็นเจ้าเมืองคนนั้น ไม่เพียงแต่แบกรับโชคชะตาบุ๋นของแคว้นอิ๋นผิงและโชควาสนาของเมืองส่วนหนึ่งไว้แต่แรกอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน อีกทั้งจำนวนส่วนแบ่งที่ได้รับไปยังเหนือกว่าที่ข้าและเมืองสุยเจี้ยประมาณการณ์เอาไว้มาก ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองหนีรอดไปจากเมืองสุยเจี้ยได้อย่างไร? นอกจากนี้เขายังมีวาสนาอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือตอนนั้นมีองค์หญิงของแคว้นอิ๋นผิงคนหนึ่งที่หลงรักคนผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น ตลอดชีวิตนี้ไม่อาจลืมเลือนเขาได้ และเพื่อหนีการแต่งงาน นางก็ยอมไปเป็นนักพรตหญิงของลัทธิเต๋าที่อยู่เฝ้าโคมเขียวในอารามอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะไม่มีพรสวรรค์ของผู้ฝึกลมปราณ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปราน นางจึงมอบชะตาแคว้นเสี้ยวหนึ่งไว้บนร่างของเจ้าเมืองผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว ภายหลังได้ยินข่าวร้ายอยู่ในอารามของเมืองหลวง นางจึงใช้ปิ่นทองแทงคอฆ่าตัวตายไปอย่างเด็ดเดี่ยว สองอย่างนี้ทับซ้อนกัน และยังมีความผิดครั้งนั้นของเทพอภิบาลเมือง จึงเป็นเหตุให้ร่างทองเกิดรอยปริร้าวอันตรายถึงชีวิตซึ่งไม่อาจใช้ผลบุญในโลกมืดมาซ่อมแซมได้”
เฉินผิงอันถามคำถามสุดท้าย “จุดจบของเมืองสุยเจี้ยจะเป็นอย่างไร?”
อินโหวมองไปทางเมืองสุยเจี้ยแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “อนาถมาก มาเจอกับเทพอภิบาลเมืองที่หวังให้ชาวบ้านแบ่งรับผลกรรมและทัณฑ์สวรรค์ไปจากเขาเช่นนี้ ก็ถือว่าบรรพบุรุษของแต่ละครอบครัวในเมืองนั้นไม่เคยสั่งสมบุญกุศลเอาไว้ อีกไม่นานเท่าไหร่ทัณฑ์สวรรค์ก็จะฟาดผ่าลงมาสู่พื้นดิน อย่างน้อยที่สุดคนธรรมดาของเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้นก็จะน่าจะต้องตายกันหมดสิ้น ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณที่ไปเยือนเมืองสุยเจี้ยจึงจะจากไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์นั้น ต่อให้ไม่อาจช่วงชิงสมบัติประหลาดมาได้ก็ไม่มีใครกล้าอยู่ต่อแล้ว”
เดิมทีอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบนึกว่าคืนนี้จะมีการต่อรองราคากันสักพักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อายุยังน้อยผู้นั้นจะหมุนตัวจากไปโดยตรง
นี่กลับทำให้อินโหวรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าขึ้นฝั่งไป
ได้แต่ข่มกลั้นความเคียดแค้นและไฟโทสะ รวมถึงความกระวนกระวายส่วนนั้นลงไป ครั้นจึงร่ายใช้วิชาอภินิหารหลบเลี่ยงน้ำกลับเข้าไปยังวังมังกรใต้ทะเลสาบ
เฉินผิงอันกลับไปที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี
แต่กลับพบว่าไม่เพียงแต่ตู้อวี๋ที่ย้อนกลับมา แม้แต่เยี่ยนชิงผู้นั้นก็อยู่ด้วย
เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปนั่งลงข้างกองไฟ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น
ตู้อวี๋นั่งอยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเทพธิดาเยี่ยนชิงกลับมา พอนึกได้ว่าถุงผ้าป่านที่ใส่วัตถุดิบวิเศษของผู้อาวุโสยังอยู่ในลานเรือนแห่งนี้ ไม่มีคนเฝ้าให้ ไม่วางใจก็เลยรีบย้อนกลับมา”
หลังจากที่เข้ามาในศาล เยี่ยนชิงก็ยืนอยู่บนขั้นบันได มองผู้ฝึกตนสำนักขวานผีผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา
ตู้อวี๋ ก่อนหน้านี้ไม่มีความทรงจำอะไร แค่เคยได้ยินชื่อมาครั้งสองครั้ง แล้วก็ยังเป็นเพราะพ่อแม่ของคนผู้นี้คือคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง รู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่ชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ชอบทำตัวร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพ
เยี่ยนชิงเปิดปากกล่าว “ข้าแค่จะถามเหตุผลข้อหนึ่ง ถามเสร็จแล้วก็จะไป”
คนผู้นั้นกลับเอาแต่จ้องนิ่งไปที่กองไฟ เหม่อลอยไร้คำพูด
เยี่ยนชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “เหตุใดต้องลงมือกับเหอลู่? หากเจ้าจะบอกว่าได้ยินเรื่องสกปรกบางอย่างของทะเลสาบชางอวิ๋นมาจากตู้อวี๋ จึงเป็นเหตุให้ลงมืออำมหิตตามใจปรารถนา นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าน่าจะไม่เคยเจอกับเหอลู่มาก่อนถึงจะถูก”
ตู้อวี๋เหลือกตามองบนทำหน้าทะเล้น
โอ้โหแหะ มาเพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เจ้าเด็กหน้าขาวคนรักคนนั้นเสียด้วย
สมควรแล้วที่ถูกผู้อาวุโสโยนลงทะเลสาบชางอวิ๋นให้ไปดื่มน้ำเสียอิ่ม
อันที่จริงเยี่ยนชิงเตรียมใจมาก่อนแล้วว่าคนผู้นี้จะต้องทำตัวเป็นคนใบ้ไม่ตอบคำถามของนาง
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยเนิบนาบขึ้นมาว่า “ประโยคแรกที่เหอลู่เปิดปากห้ามปราม หาใช่คิดทำเพื่อข้าไม่ แต่เพื่อเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่เชิญเจ้ามาดื่มน้ำชา”
เยี่ยนชิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้เรื่องนี้
คนผู้นั้นเอ่ยต่อว่า “เพราะตอนนั้นเหอลู่รู้สึกว่า ข้าคือผู้ฝึกตนที่มีตบะสูงกว่าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี”
เยี่ยนชิงอยากฟังให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็คิดว่าจะนั่งลงบนขั้นบนสุดของบันได
ผลกลับถูกคนผู้นั้นปรายหางตามามอง
มองเห็นสายตาที่ทำให้คนพรั่นผวาของคนผู้นั้น เยี่ยนชิงก็รีบหยุดการกระทำที่คิดไว้ทันที
คนผู้นั้นถอนสายตากลับ หันไปจ้องมองกองไฟต่อ และเงียบงันลงไปอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่ายังพูดไม่จบ แต่กลับไม่คิดจะพูดต่ออีกแล้ว
เยี่ยนชิงอับอายและขุ่นเคืองขึ้นอีกเป็นเท่าทวี ตนไม่มีค่าขนาดนี้เชียวหรือ แค่เจ้าจะพูดกับข้าให้มากขึ้นสักสองสามคำ มันยากเย็นนักหรือไร?
หัวใจของเยี่ยนชิงบีบรัดตัว แล้วก็ไม่เหลือความลังเลอีก รีบทะยานลมจากไปทันที
ตู้อวี๋คิดไม่ตกอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาไปเช่นกัน
เฉินผิงอันพยักหน้าให้
แล้วจ้องมองกองไฟต่อ
เหตุผลไม่ได้อยู่แค่ในมือของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่แค่ในมือของผู้อ่อนแออย่างเดียวเช่นกัน
เหตุผลก็คือเหตุผล ไม่ใช่ว่าจะมีเหตุผลมากขึ้นเพียงเพราะเจ้าแข็งแกร่ง แล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เพียงเพราะเจ้าอ่อนแอ
แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแค่เหตุผลของเขาเฉินผิงอันเท่านั้น
ไม่ใช่ของตู้อวี๋ แล้วก็ไม่ใช่ของผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าเยี่ยนชิงคนนั้น และยิ่งไม่ใช่ของเหอลู่ผู้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์
ในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย ยังมีซ่งอวี่เซา
ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ยังมีแม่ทัพผีผู้นั้นที่ยินดีชักดาบเข้าห้ำหั่นเพื่อนร่วมงาน
ในหุบเขาผีร้ายที่โครงกระดูกขาวโพลนและภูตผีเดินกันให้เกลื่อน ยังมีมือกระบี่ผูหราง มีเจ้าสำนักจู๋เฉวียน
ในแคว้นอิ๋นผิงและทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ กลับยังไม่เจอใครที่เป็นแบบนั้นเลยสักครึ่งตัว
แล้วก็เพราะคิดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันถึงได้เงียบงัน
เฉินผิงอันรู้ว่าเหตุผลนี้ง่ายดายมาก เหตุใดมันถึงไม่ใช่เหตุผลเมื่ออยู่กับพวกเขา เพราะมันไม่อาจมอบผลประโยชน์หรือกำไรให้กับพวกเขาได้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือการวางตัวในสังคมก็ล้วนไม่ถึงอกถึงใจ ดังนั้นจึงไม่แน่เสมอไปว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ กลับกันคือเข้าใจ ทว่ากลับแสร้งไม่เข้าใจ เพราะถึงอย่างไรมหามรรคาก็ทั้งสูงและยาวไกล ทัศนียภาพงดงามเกินไป โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างมีดินโคลนเยอะเกินไป ส่วนใหญ่มีแต่การเกิดการตาย การพบพรากจากลา ความสุขความทุกข์ที่ไร้ค่าในสายตาของพวกเขา
ก็จริง เพราะเรื่องราวมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เมื่อรู้เส้นสายของเรื่องราวแล้วสืบเสาะไปจนถึงจุดที่เล็กละเอียดยิบย่อย มักจะไม่ใช่เรื่องดี
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องถามอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นเลยว่า เหตุใดราชสำนักแคว้นอิ๋นผิงถึงไม่สั่งให้ชาวบ้านในเมืองหนีไป เพราะต่อให้ตัวคนหนีไปได้ ผลกรรมก็ยังคงอยู่ สำหรับฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงแล้ว ต่อให้จะรู้เหตุและผลของเหตุการณ์ประหลาดในเมืองสุยเจี้ยอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังเลือกที่จะเงียบงัน แทนที่จะปล่อยให้ชาวบ้านที่หนีตายไปทั่วทิศเหล่านั้นไปทำให้โชคชะตาของลมและน้ำในเมืองอื่นปั่นป่วน เป็นเหตุให้เดือดร้อนไปถึงโชคชะตาของหนึ่งแคว้น ก็ไม่สู้สะบั้นให้ขาดในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้พวกขุนนางและตระกูลเศรษฐีในเมืองสุยเจี้ยจึงยังถูกปิดหูปิดตา ยังคงมีลูกหลานคนรวยนิสัยเสเพลโบยแส้ควบม้าออกไปล่าสัตว์ท่องเที่ยวนอกเมืองอย่างสบายใจ
ยามเช้าตรู่ก็จะมีเสียงล้อเกวียนบดถนนของรถเทียมวัวขายถ่านดังมา
ภายใต้แสงจันทร์ก็น่าจะมีเสียงซักเสื้อผ้า
ผู้ฝึกตนอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ หลบเลี่ยงฝุ่นผงในสังคมโลกีย์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้น คิดเรื่องราวอะไรไปมากมาย ต่อให้ไฟในกองไฟจะมอดดับแล้ว มือของเขาก็ยังค้างอยู่ในท่ายื่นไปอังไฟ
จนกระทั่งฟ้าสว่าง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เก็บถุงผ้าป่านใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ สวบงอบสะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้า มุ่งหน้าไปยังเมืองสุยเจี้ย
ยังไม่ไปศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเทพอัคคี
ลองไปดูเรือนผีในเมืองที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีแห่งนั้นก่อน
ดูเสร็จแล้วก็ค่อยทำเรื่องเล็กๆ บางอย่าง
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่ง เงาร่างชุดเขียวของคนผู้หนึ่งปีนกำแพงเข้าไปในเมืองสุยเจี้ย
ในเมืองมีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เฉินผิงอันมาที่เรือนผีเพียงลำพัง คราวก่อนที่เข้าเมืองแวะไปร้านขายธูปก็ได้ถามที่อยู่ของที่แห่งนี้ไว้ก่อนแล้ว
กลางดึกที่ผู้คนเงียบสงัด เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูใหญ่
เขามองไปยังประตูใหญ่ที่ทรุดโทรมเก่าแก่บานนั้น ไม่มีภาพเทพทวารบาลเหลืออยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีกลอนปีใหม่เช่นกัน
บัณฑิตคนนั้น กระทั่งตายไปก็ยังไม่สามารถพลิกคดีแก้แค้นให้บิดามารดาได้
แล้วข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงล่ะ?!
คนหนุ่มที่ไม่ได้สวมรองเท้าสาน และยิ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมานานแล้วปลดงอบลง
ใกล้กับเรือนผีหลังนี้มีผู้ฝึกลมปราณของแต่ละฝ่ายพากันมาซุ่มตัว หลบซ่อนหรือไม่ก็ตั้งรกรากอยู่นานแล้ว
แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณที่ความรู้สึกช้าที่สุด ตบะต่ำที่สุดก็ยังตกตะลึงขนลุกชัน จิตใจของแต่ละคนตระหนกลนลานอย่างที่ไม่มีลางบอกเหตุ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีลิงตัวเล็กนั่งอยู่บนไหล่กำลังยืนอยู่บนหลังคาเรือนแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล เขาขมวดคิ้วมุ่น คราวก่อนตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง ตนกลับตาถั่ว มองตบะของเจ้าเด็กนี่ไม่ออกแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบสัตว์เลี้ยงของตนที่กำลังกระวนกระวาย
ส่วนเจ้าพวกเศษสวะที่รู้สึกหายใจไม่ออก ปราณวิญญาณไหลอย่างไม่ราบรื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุพวกนั้นก็ยิ่งไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาดูว่าเป็นเทพเซียนของฝ่ายใดกันแน่
เมื่อคนหนุ่มที่ปลดงอบและหีบไม้ไผ่ผู้นั้นหายตัววับไปท่ามกลางความว่างเปล่า
ผู้เฒ่าก็เริ่มถอยหลังไปหลายก้าว
บนถนนใหญ่ ด้านนอกประตูใหญ่
ชายแขนเสื้อสองข้างของชุดเขียวโบกสะบัดได้ด้วยตัวเองทั้งที่ไม่มีลม
ร่างหายวับไปไม่เหลือร่องรอย
ควันเขียวเส้นหนึ่งพุ่งแหวกม่านราตรีออกไป
สุดท้ายพลิ้วกายลงด้านนอกศาลเทพอภิบาลเมือง
ทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองมีขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ร่างกำยำสวมเกราะผู้หนึ่งปรากฏตัว ตวาดเสียงทุ้มหนักว่า “ผู้ที่มาคือใคร!”
เห็นเพียงว่ามือกระบี่หนุ่มผู้นั้นแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังค่อยๆ ออกจากฝักแล้วหมุนวนช้าๆ สุดท้ายถูกคนผู้นั้นกุมไว้ในมือเบาๆ วาดกระบี่พาดขวางไว้เบื้องหน้า มือหนึ่งกุมกระบี่ อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วปาดผ่านตัวกระบี่เบาๆ ค่อยๆ ไล่ไปจนถึงปลายกระบี่
ทุกชุ่นที่นิ้วของมือกระบี่ชุดเขียวปาดผ่านไป แสงสีทองเข้มข้นเหมือนน้ำบนตัวกระบี่ก็ยิ่งส่องประกายแสงเจิดจ้า
คนผู้นั้นหรี่ตาลง เพียงแค่จ้องนิ่งไปยังแสงกระบี่พร่างพราวในมือแล้วพึมพำว่า “ผลกรรมก็ดี ทัณฑ์สวรรค์ก็ช่าง ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงล้วนพร้อมรับไว้ทั้งหมด”
—–