หลังจากที่ผู้เฒ่าถอนบ่อสายฟ้านั้นออกไป ปราณวิญญาณจะกรอกเทเข้าสู่หลายสิบแคว้น เซี่ยเจินจะทนมองดูปราณวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหล่านั้นไหลสะพัดไปทั่ว ไปอยู่บนร่างของพวกมดตัวน้อยที่วันๆ เหมือนฝูงไก่ฝูงหมาที่ตีกันกัดกันมาหลายปีไปอย่างสิ้นเปลืองได้อย่างไร?
พวกเศษสวะกลุ่มใหญ่ที่ฟ่านเหวยหราน เย่หานเป็นผู้นำยังไม่มีปัญญาแย่งชิงสมบัติประหลาดชิ้นนั้นมาจากมือของปีศาจจิ้งจอกและผู้เฒ่าได้ด้วยซ้ำ อันที่จริงเซี่ยเจินไม่ได้มีไฟโทสะสักเท่าไร เพราะปราณวิญญาณเหล่านั้นต่างหากถึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาของตนอย่างแท้จริง อย่างอื่นก็อย่าได้ละโมบเลย ตอนนั้นก่อกำเนิดของทั้งสองฝ่ายลงนามเป็นพันธมิตรกัน นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็ก นอกจากนี้แล้วใต้หล้าจะมีเรื่องดีๆ ที่คนคนเดียวได้ยึดครองผลประโยชน์ทั้งหมดไปได้อย่างไร ในเมื่อสถานการณ์ดีแล้ว อีกทั้งยังมั่นคงแล้ว เจ้าก็หลอมสมบัติที่มีบุญบารมีของเจ้าชิ้นนั้น เสี่ยงอันตรายเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของเจ้าไป ส่วนข้าที่เขมือบกลืนปราณวิญญาณเหมือนปลาวาฬสูบน้ำก็มีหวังที่จะฝ่าทะลุคอขวดแต่ละชั้น เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ความฉลาดและอุบายเล็กๆ น้อยๆ จำเป็นต้องมี แต่ไม่สามารถอาศัยความฉลาดเล็กน้อยนี้มาประทังชีพไปตลอดชีวิต เป็นเซียนดินก็ควรจะต้องมีวิสัยทัศน์และสภาพจิตใจของเซียนดิน
เซี่ยเจินพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หลังจากทัณฑ์สวรรค์ผ่านไป ข้าไปเยือนเมืองสุยเจี้ยมารอบหนึ่ง แล้วก็ค้นพบเรื่องที่ทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “เชิญสหายพูดมาได้เลย”
เซี่ยเจินใช้มือสองข้างเท้าไว้บน ‘เข็มขัด’ สีเขียวเส้นนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากข้ามองไม่ผิด กระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนนั้นสะพายไว้ด้านหลังก็คืออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง! เรื่องการต่อสู้เข่นฆ่า ข้ายังพอมีความสามารถอยู่บ้างเล็กน้อย แต่น่าเสียดายที่เรื่องของการหล่อหลอมนั้น ฝีมือของข้ากลับธรรมดาอย่างยิ่ง บังเอิญกับที่สหายเชี่ยวชาญวิชาการหล่อหลอมพอดี ไม่สู้เจ้าและข้ามาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันดูอีกสักครั้ง?”
ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าส่องประกายแสงเรืองรอง ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็หายวับไป
หากเป็นสมบัติอาคม เขาคงไม่รู้สึกสนใจ ตอนนี้การหล่อหลอมเม็ดกระบี่ก่อนกำเนิดที่มีบุญบารมีซ่อนแฝงชิ้นนี้จึงจะเป็นต้นทุนในการหยัดยืนบนห้าขอบเขตบนของตนในอนาคต ล่าช้าไปแค่หนึ่งวัน เขายังเจ็บปวดใจด้วยความเสียดายด้วยซ้ำ
แต่หากเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง?
ทว่าเพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ดึงความคิดทั้งหลายกลับคืน
วัตถุที่หายากขนาดนี้ เซี่ยเจินผู้นี้เป็นพ่อหรือลูกชายของตนหรืออย่างไร ถึงได้จะนำข่าวมาบอกตนด้วยความหวังดี?
ดังนั้นก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีสถานะเป็นใต้เท้าราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงชั่วคราวผู้นี้จึงโบกมือพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เชิญสหายเอาไปได้ตามสบาย และนี่ก็เป็นโชควาสนาที่สหายสมควรได้รับ ส่วนข้านั้น คงไม่ต้องการแล้ว ก่อนที่จะหลอมวัตถุชิ้นนี้ได้สำเร็จ มีข้อต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่อาจทำได้ เรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเหล่านี้ คาดว่าสหายเองก็น่าจะรู้ชัดเจนดี ด้วยขอบเขตของสหาย การสังหารผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งต้องไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน ข้าขออวยพรให้สหายทำสำเร็จ ได้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งมาอยู่ในมือไว้ ณ ที่นี้เลย!”
เซี่ยเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ผู้เฒ่าระมัดระวังตัวขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ หากงับเหยื่อง่ายๆ คงไม่มีทางรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้
บุคคลที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบอย่างพวกเขา เดินทางยามค่ำคืนบ่อยเข้าก็ยังต้องรู้จักกลัวผีสักหน่อย
ถ้อยคำที่เซี่ยเจินจดจำได้ขึ้นใจมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มประโยคนี้ ต่อให้เวลาผ่านมาหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้วเซี่ยเจินก็ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน อาจารย์ที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าซึ่งตายด้วยน้ำมือของตนในปีนั้น ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติก้อนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตไว้ให้แก่เขาเซี่ยเจิน และตอนนั้นตนก็เป็นแค่ขอบเขตสองเท่านั้น เหตุใดถึงสามารถเสี่ยงอันตรายสังหารอาจารย์แย่งชิงทรัพย์สินมาได้? นี่ก็เพราะว่าอาจารย์และศิษย์สองคนไม่ทันระวังเดินไปชนตอเข้า (เปรียบเปรยว่าเจอกับคนที่แข็งแกร่งกว่า)
ดังนั้นช่วงเวลาที่ยาวนานหลังจากนั้น ทุกครั้งที่เซี่ยเจินพบว่าตนเองเปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม ก็จะต้องพลิกค้นเอาถ้อยคำเก่าเก็บประโยคนี้ออกมาท่องในใจเงียบๆ อยู่หลายครั้ง
เซี่ยเจินลุกขึ้นยืนพลางยิ้มกล่าว “สหายไม่จำเป็นต้องไปส่ง”
มือหนึ่งของผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อจับลิงน้อยตัวนั้นเอาไว้ ยังคงลุกขึ้นยืนเพื่อส่งอีกฝ่าย “สหายเองก็วางใจเถอะ ช่วงนี้ข้าจะออกไปจากแคว้นเมิ่งเหลียง”
ร่างของเซี่ยเจินกลายเป็นรุ้งยาวที่จากไปไกล เพียงชั่วพริบตาก็เล็กจ้อยเหมือนเมล็ดงา แหวกทะเลเมฆแถบหนึ่งที่ย้อยลงต่ำมา แล้วจึงทะยานร่างจากไปไกลอย่างเสรี
ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงท่านนี้แกว่งลิงน้อยที่อยู่ในมือ แหงนหน้ายิ้มกล่าว “ถึงขนาดอดใจไว้ไม่ยอมลงมือ นับว่าลำบากเจ้าเซี่ยเจินผู้นี้แล้ว”
ปีศาจจิ้งจอกและผู้เฒ่าร่างผอมบางที่อยู่ห่างไปไกลยืนรวบมือประสานกันอย่างนอบน้อม
ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง จะปล่อยไปไม่สนใจจริงๆ หรือ? แม้จะบอกว่าหากเป็นเซี่ยเจินที่ได้ไปครองคงมีความหมายไม่มาก แต่ถ้าเป็นนายท่าน…”
ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บลิงตัวนั้นไปขังไว้ในฟ้าดินขนาดเล็ก
เขาหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าอยู่ในสถานที่คับแคบอย่างแคว้นเมิ่งเหลียงนี้ การข่าวติดขัด ไม่ได้ว่องไวเหมือนเซี่ยเจิน หากเจ้าอยากได้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นก็ไม่สู้เจ้าไปช่วยเอามาแทนข้าไหมล่ะ?”
ปีศาจจิ้งจอกไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก อีกทั้งยังไม่กล้าหายใจแรงด้วย
สถานะของตนถูกเย่หานแห่งนครหวงเยว่เปิดโปงแล้ว ไม่ใช่สาวงามผู้สร้างหายนะให้แก่แคว้นอิ๋นผิงอะไรอีก ขอแค่กลับไปที่เมืองสุยเจี้ย ร่องรอยถูกเปิดเผย ก็มีแต่จะกลายเป็นหนูวิ่งผ่านถนนที่ผู้คนไล่ทุบตี
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหัวเราะหยัน “ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ยอมแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้เพียงลำพัง คนหนุ่มคนหนึ่งที่กล้าเปิดเผยอาวุธกึ่งเซียน จะเป็นมะพลับนิ่ม (คนอ่อนแอที่ถูกรังแกได้ง่าย) งั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง เซี่ยเจินไม่ไปเอามาเอง แต่กลับมาเปิดเผยความลับสวรรค์ต่อหน้าพวกเราด้วยความปรารถนาดีอย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง หากยอมรับเจ้านายขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านายที่พวกมันรับใช้ร่างมอดม้วยไปแล้ว หลังจากสูญเสียการควบคุมจะเกิดโศกนาฎกรรมแบบไหน พวกเจ้าน่ะสมกับเป็นกบใต้บ่อจริงๆ ไม่รู้จักหนักเบาหรือผลได้ผลเสียแม้แต่น้อย”
ท่ามกลางทะเลเมฆ เซี่ยเจินไม่กลายร่างเป็นรุ้งยาวทะยานลมอีกต่อไป แต่เอาสองมือไพล่หลังเดินไปอย่างเชื่องช้า
เซี่ยเจินมีสีหน้าจนใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในเมื่อมาจากสำนักพีหมา ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปมีเรื่องด้วยดีกว่ากระมัง?”
เซี่ยเจินหันกลับไปมองทางเมืองหลวงแคว้นเมิ่งเหลียงแวบหนึ่ง ได้เม็ดกระบี่ก่อนกำเนิดนั้นไป อีกทั้งกระบี่พกที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนอีกเล่มหนึ่งก็ปรากฏตัวพอดี โชควาสนาที่ถูกกำหนดมาในชะตาชีวิตเช่นนี้ เจ้าจะอดใจได้ไหวจริงๆ หรือ?
ขี้ขลาดแบบนี้จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้อย่างไร? ทำตัวเป็นคนธรรมดาในแคว้นเมิ่งเหลียงมาหลายสิบปีก็ถือว่าขัดเกลาบ่มเพาะจิตใจได้ไม่เลวเลยจริงๆ
เซี่ยเจินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาพลางเอ่ยชื่อของคนหลายคน สามารถนับได้ครบหนึ่งฝ่ามือพอดี
หากมากกว่านี้จะถ่วงเวลาบนมหามรรคาของตน
ฟ่านเหวยหรานบงการได้ง่าย เย่หานค่อนข้างฉลาด เหอลู่พรสวรรค์ดี เยี่ยนชิงก็ไม่เลว ส่วนแม่หนูชุ่ยผู้นั้นค่อนข้างจะประหลาดเล็กน้อย
เซี่ยเจินยกฝ่ามืออีกข้างหนึ่งแล้วก็เอ่ยชื่ออีกห้าชื่อ ทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่อายุยังไม่มาก และขอบเขตก็ยังไม่สูง
เซี่ยเจินสาวเท้าก้าวเดินอยู่บนทะเลเมฆอย่างผ่อนคลาย มองฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วกำหมัดเบาๆ “โอสถทองของคนสิบคน สามารถทัดเทียมกับขอบเขตหยกดิบอย่างข้าได้หรือ? ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าให้หมดเสียดีไหม?”
เพียงแต่ไม่นานเซี่ยเจินก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด ยังไม่รีบ เก็บโอสถทองไว้ห้าคนก็แล้วกัน ใครมีความหวังจะเลื่อนสู่ก่อกำเนิดก็ฆ่าคนนั้น จะได้มีตำแหน่งว่างพอดี”
เซี่ยเจินวางสองมือค้ำสายรัดเอวสีเขียว “ไอ้หมอนี่ร้ายกาจจริงๆ ตอนนั้นที่ทำสัญญากันยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงต้องยืนกรานให้ข้าสยบโชคชะตาบู๊ของหลายสิบแคว้นเอาไว้ ไม่อนุญาตให้มีผู้ฝึกตนขอบเขตร่างทองเผยตัวขึ้นอีก ที่แท้ก็เพื่อลดสงครามและการต่อสู้ของหลายสิบแคว้นให้น้อยลง เขาที่เป็นราชครู เป็นอัครเสนาบดีของแคว้นเมิ่งเหลียงที่เก็บหัวเก็บหางอำพรางตัวตนก็จะสามารถสะสมบุญกุศล ไม่ก่อกรรมเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างสบายใจ”
เซี่ยเจินยืดแขนบิดขี้เกียจ
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพทัณฑ์สวรรค์คืนนั้นขึ้นมา
อารมณ์ของผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดผู้นี้พลันเคร่งเครียด
หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสิบคนที่มีสถานะคล้ายหลิวจิ่งหลง หยางหนิงซิ่ง? แต่มองดูแล้วไม่เหมือนเลยนี่นา หลังจากลองอนุมานและหยั่งเชิงดู เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับใครสักคน
เซี่ยเจินหยุดเดิน กวาดสายตามองไปรอบด้าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเป็นสหายท่านใด? เหตุใดไม่กล้าเผยตัวมาพบหน้ากัน?”
จุดที่เส้นสายตามองไปเห็น อีกฝั่งหนึ่งของทะเลเมฆมีคนผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้ากลับเหมือนลูกคลื่นที่โถมตัวขึ้นสูง จากนั้นก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าของเซี่ยเจิน
เซี่ยเจินยืนเฉยไม่ขยับ เอามือตบงูเขียวตรงเอวที่จำแลงร่างเป็นเข็มขัดเบาๆ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยในใจตัวเองว่า “ไม่ต้องสนใจ หากต่อสู้ประชิดตัวกันก็ตรงกับความต้องการของข้าพอดี”
แขกไม่ได้รับเชิญที่เหมือนจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางผู้นั้นมีสีหน้าอิดโรยอย่างถึงที่สุด เมื่อทะเลเมฆที่ตวัดขึ้นสูงเหมือนลูกคลื่นตีกระทบฝั่ง เขาก็พลิ้วกายลงพื้นแล้วเดินมาข้างหน้าช้าๆ ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุดคล้ายเป็นการทักทายของสหายเก่าแก่ที่กลับมาพบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปนาน “คนอย่างพวกเจ้านี่ไม่รู้จักทำให้คนเบาใจกันบ้างเลย ทำให้ข้าต้องย้อนกลับมาจากมหาสมุทรอีกรอบ เห็นผู้อาวุโสอย่างข้าเป็นเรือข้ามทวีปหรืออย่างไร? นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะถูกเฉวียนเอ๋อร์น้อยที่อับอายจนพานเป็นโกรธฟันตายอยู่แล้ว ยังดีๆ โชคดีที่ข้ากับพี่น้องของข้ายังนับว่ามีจิตเชื่อมโยงสื่อถึงกัน ไม่อย่างนั้นก็คงสัมผัสถึงสถานการณ์ของทางแถบนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังมาช้าไปอยู่ดี มาช้าไปแล้ว พี่น้องคนนี้ของข้าก็ช่างกระไรเลย ไม่ควรจะตอบแทนสตรีที่มีจิตใจลุ่มหลงต่อเขาแบบนี้ถึงจะถูก เฮ้อ ช่างเถิด หากเขาไม่เป็นอย่างนี้ก็คงไม่ใช่พี่น้องที่ข้านับถือจากใจจริงแล้ว อีกอย่างความลุ่มหลงของสตรีผู้นั้นก็…ทำให้คนที่ไร้วาสนาไม่อาจแบกรับไว้ได้ ออกจะเผด็จการเกินไปสักหน่อย จะไปโทษพี่น้องของข้าไม่ได้”
คนผู้นั้นยังพร่ำพูดต่อไม่จบไม่สิ้น “ลมและน้ำของอุตรกุรุทวีปพวกเจ้าเหมือนมีความแค้นกับข้าอย่างนั้นแหละ จะให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตกินเที่ยวรอความตายดีๆ ไม่ได้เลยหรือ? ปีนั้นข้าที่อยู่ที่นี่ทำดีกับคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง จะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนมีชื่อเสียงอันดี เป็นเด็กดีว่าง่ายเหมือนลูกเขยในอุดมคติของอุตรกุรุทวีปพวกเจ้าเลยนะ พวกเจ้าไม่ควรจะเอาข้ามาฆ่าเวลาแบบนี้ถึงจะถูก…”
ปากไร้หูรูดพูดจาส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย
เซี่ยเจินรับฟังด้วยความมึนงง แต่กลับไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก
คนผู้หนึ่งที่บรรลุมรรคาแล้ว ไหนเลยจะเปิดเผยเบาะแสของตนเองจากถ้อยคำที่พูด อีกทั้งยังพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปได้คล่องปากขนาดนี้ แล้วเจ้ายังจะมาบอกข้าว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางไกลข้ามทวีปอะไรอีกหรือ?
คนตรงหน้าผู้นี้หน้าตาไม่คุ้นเคย น่าจะไม่ได้ใช้เวทอำพรางตาอะไร เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตเซียนเหริน ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าเป็นขอบเขตหยกดิบ เมื่ออยู่ตรงหน้าข้า ไม่ว่าเวทอำพรางตาอะไรก็ใช้ไม่ได้ผล
ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของคนผู้นั้นค่อยๆ สลายหายไป
ขอบเขตไม่ต่ำ แต่กลับชอบโอ้อวดลูกไม้ชั้นต่ำพวกนี้
เซี่ยเจินไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับกันยังเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าอีกหลายก้าว ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายชื่ออะไร?”
คนผู้นั้นลังเลไปเล็กน้อย ถอยหลังสองก้าว แล้วถึงเอ่ยตอบ “ชื่อเล่นโจวเฝย ชื่อจริง…คงไม่บอกแล้วล่ะ ข้ากลัวว่าในบ้านหรือในสำนักของเจ้าจะมีสตรีอยู่”
พูดอะไรเลื่อนเปื้อนไร้แก่นสาร
เซี่ยเจินยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายอยู่ดังเดิม “ไม่ทราบว่าสหายมาขวางทางไปของข้าด้วยเรื่องใด?”
บุรุษที่เรียกตัวเองว่าโจวเฟยมีเนื้อหนังมังสาที่งดงามอย่างแท้จริง อยู่บนทะเลเมฆแห่งนี้ก็ราวกับต้นไม้หยกที่ยืนตระหง่านรับลม
เขาพูดหน้าม่อยว่า “ถือว่าข้าขอร้องพวกเจ้า ได้ไหม ได้หรือไม่ นายท่านใหญ่อย่างพวกเจ้าช่วยอยู่กันอย่างสงบสักหน่อยเถอะ ขอให้ข้าได้กลับไปแจกันสมบัติทวีปดีๆ ได้ไหม? หืม?!”
เซี่ยเจินถอนหายใจ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการขออภัย “หากสหายยังมัวเล่นทายปริศนาธรรม พูดจาเหลวไหลไร้ต้นสายปลายเหตุอยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วนะ”
บุรุษนามโจวเฟยที่เห็นได้ชัดว่าเป็นนามแฝงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ข้าพูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้แล้ว เจ้ายังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ? มารดาข้า ข้าไม่ได้จะตำหนิพวกเจ้าหรอกนะ หากไม่เป็นเพราะอาศัยขอบเขตก่อกำเนิด พวกเจ้าก็คู่ควรที่จะมาเล่นกลอุบายกับพี่น้องของข้าคนนั้นด้วยหรือ?”
คราวนี้ในที่สุดเซี่ยเจินก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัดแล้ว
คงคิดจะมาทวงศักดิ์ศรีคืนให้เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นสินะ?
เซี่ยเจินกวาดตามองไปรอบด้าน จุ๊ปากเอ่ยว่า “แค่เจ้าคนเดียวใช่ไหม? เคยได้ยินประโยคหนึ่งที่บอกว่า ในระยะสิบจั้ง ข้าเซี่ยเจินสามารถสังหารก่อกำเนิดหรือไม่?”
แล้วก็เห็นว่าคนผู้นั้นขยับสองขาแนบชิดติดกัน กระโดดผลุงเข้ามาในระยะห้าจั้งโดยตรงราวกับรนหาที่ตายอย่างไรอย่างนั้น “เอาล่ะ ตอนนี้ให้ข้าเจียงซ่างเจินช่วยเปิดสติปัญญาแก่เจ้าสักหน่อย”
จิตใจของเซี่ยเจินเกือบจะแหลกสลายคาที่
คนของอุตรกุรุทวีปสายตามองสูงไม่เห็นหัวใครมาโดยตลอด โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ที่ยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ก็รู้สึกว่าทุกทวีปล้วนมีแต่เศษสวะ ขอบเขตเศษสวะ สมบัติอาคมเศษสวะ ชาติตระกูลก็มีแต่เศษสวะ ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่น้อย
แต่ก็มีพวกตัวประหลาดคนต่างถิ่นที่มาจากทวีปอื่นอยู่หลายคนที่ทำให้อุตรกุรุทวีป ‘มิอาจลืมเลือน’ ได้ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นฝ่ายคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของพวกเขาหลังจากพวกเขากลับไปถึงทวีปของตัวเองแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น…เจียงซ่างเจินแห่งใบถงทวีปที่…ทั้งภาคกลางและภาคเหนือต่างก็มีเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องสังหารเขากับมือให้จงได้!
—–