เย่หานลุกขึ้นยืนช้าๆ ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร “แม้จะบอกว่าเซียนกระบี่ปลอดภัยดี แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเราจะก่อความผิดมหันต์ มีโทษถึงตาย ทว่าถึงอย่างไรช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็เป็นพวกเราที่ไปรบกวนความสงบของเซียนกระบี่จริงๆ ถ้าเช่นนั้นจะขอให้นครหวงเยว่ของพวกเราเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ โดยมีข้าเย่หานออกหน้าด้วยตัวเอง ช่วยชดเชยให้เซียนกระบี่ได้หรือไม่?”
เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าย่อมได้ มีประโยคหนึ่งที่เทพอภิบาลเมืองในศาลกล่าวได้ดี ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ปรึกษากันดีๆ ไม่ได้”
เขายื่นมือออกไปคว้า บังคับกระบี่ให้เข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็ปาดกระบี่วาดไปในแนวขวาง “ว่ามาเถอะ เปิดราคามา”
การกระทำของเซียนกระบี่ผู้นั้นอยู่เหนือการคาดคิดของผู้คนเกินไป การออกกระบี่ก็ยิ่งรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ รอจนเขาบิดหมุนข้อมือ โยนกระบี่สอดกลับเข้าฝัก ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร
ทว่าเจ้านครหวงเยว่ที่มีชื่อเสียงด้านความสุภาพอ่อนโยน สง่างามใจกว้างอยู่บนภูเขาของหลายสิบแคว้นกลับแผดเสียงคำรามอย่างเดือดดาลขึ้นมากะทันหัน “เจ้ากล้าบังอาจฆ่าคนต่อหน้าข้าเชียวรึ!”
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกัน สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ยกมือขึ้นกุมลำคอของตัวเองเอาไว้
ขลุ่ยไม้ไผ่ตระกูลเซียนที่อยู่ในมือหล่นร่วงลงพื้น ประหนึ่งหยกที่ตกกระแทกพื้นส่งเสียงดังเคร้ง
ร่างของเหอลู่โซเซถอยหลังไปหลายก้าว มีเลือดสดซึมออกมาจากร่องนิ้วของเขาแล้ว เด็กหนุ่มเจ๋อเซียนผู้นี้น้ำตานองหน้า มือข้างหนึ่งกดลำคอเอาไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปที่เย่หาน พูดเสียงสะอื้น “บิดาช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”
ฟ่านเหวยหรานขนลุกอยู่ในใจ ต่อมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกคนตบบ้องหูแรงๆ ซีกแก้มปวดแสบปวดร้อน
นางเกือบจะโมโหจนผมขาวตั้งชันดีดมงกฎสีทองที่เซียนประทานให้ชิ้นนั้นออกไปโดยตรงเสียแล้ว!
เหอลู่ตัวดี เย่หานตัวดี คู่พ่อลูกตัวดีที่อำพรางความลับเล่นงานผู้ฝึกตนหลายสิบแคว้น!
หากตนกับดินแดนเซียนเป่าต้งมีความคิดอยากจะสนับสนุนให้เยี่ยนชิงกับเหอลู่ผูกสมัครกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันจริงๆ ด้วยกลอุบายและฝีมือของพวกเขาสองพ่อลูก จะไม่กลายเป็นว่าพวกตนเอาซาลาเปาไส้เนื้อขว้างหัวหมาหรอกหรือ? เยี่ยนชิงเป็นเพียงเด็กสาวบริสุทธิ์ที่เอาแต่ตั้งใจฝึกตน ไม่สนเรื่องราวทางโลก ไหนเลยจะเอาไปเปรียบเทียบกับจิ้งจอกเฒ่าจิ้งจอกรุ่นเยาว์อย่างเย่หาน เหอลู่ที่เดิมทีมีสถานะเป็นพ่อลูกกันคู่นี้ได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว แม่หนูเยี่ยนไม่ช่วยคู่รักอย่างเหอลู่เล่นงานดินแดนเซียนเป่าต้ง ไม่อาจทำเรื่องที่เป็นการหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนได้ แต่ถึงเวลานั้นจิตแห่งเต๋าก็ต้องถูกทำลายลงไปเกินครึ่ง ต่อให้นางจะเคารพครูบาอาจารย์ให้ความสำคัญกับมรรคา อยากช่วยสำนักเล่นงานนครหวงเยว่ เยี่ยนชิงก็ได้แต่มีใจไร้กำลัง!
ฟ่านเหวยหรานกระดกดื่มเหล้าในจอกแรงๆ ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สาแก่ใจยิ่งนัก คนอย่างเจ้าเหอลู่ผู้นี้ตายไปได้ก็ดี! เย่หานเจ้าเพิ่งเสียบุตรชายไป ไยไม่ลงมือประลองวิชากับเซียนกระบี่ด้วยความเคียดแค้นเล่า?! ความแค้นที่สังหารบุตรชายจะอดทนข่มกลั้นไว้ได้อย่างไร? หากเปลี่ยนมาเป็นข้า วันนี้อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น ตายเป็นตายสิ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเองก็ต้องตาย อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเกิดใหม่”
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของฟ่านเหวยหรานหยุดชะงักในฉับพลัน
เหอลู่เห็นว่าเย่หานเพิ่งจะยื่นมือออกมาก็หดมือกลับเข้าไปอีกครั้ง ในใจทั้งเศร้าสลดทั้งสิ้นหวัง การมองเห็นของเขาพร่าเลือน จ้องเขม็งไปยังบิดาที่ไม่ยอมช่วยเหลือตน ในดวงตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความแค้น จากนั้นเขาที่มีเลือดสดไหลทะลักออกมาจากร่องนิ้วมากกว่าเดิมถึงค่อยๆ หันไปมองเยี่ยนชิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สายตาเปลี่ยนเป็นอ้อนวอน “เยี่ยนชิง ช่วยข้าด้วย”
เยี่ยนชิงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา คว้ากระบี่สั้นเล่มนั้น พอลุกขึ้นยืนแล้วก็หันหน้าไปมองเซียนกระบี่ชุดขาว “การออกกระบี่ครั้งนี้ เพียงแค่เพื่อตัวข้าเองเท่านั้น”
เซียนกระบี่ชุดขาวเอาสองมือไพล่หลัง พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอเมตตาก็ได้เมตตา ขอตายก็ได้ตาย วังมังกรที่สกปรกแห่งนี้ ในที่สุดก็มีผู้ฝึกตนที่เข้าท่าเข้าทีสักคนโผล่มาแล้ว”
เยี่ยนชิงยืนถือกระบี่สั้นคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม เมื่อสภาพจิตใจของนางกลับคืนสู่ความใสกระจ่าง ราศีผ่องใสก็หมุนเวียน ปราณวิญญาณไหลรินไปทั่วร่าง มงกุฎสีทองบนศีรษะส่องประกายระยิบระยับยิ่งขับให้สตรีที่งามล่มบ้านล่มเมืองผู้นี้ล่องลอยประดุจเซียน
เพียงแต่ว่ามองดูงดงามมากก็จริง ทว่าผู้ฝึกลมปราณทุกคนในห้องโถงใหญ่ของวังมังกรกลับยังคงรู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี
เหอลู่ผู้นั้นเซถอยไปด้านหลัง สุดท้ายหลังพิงกำแพง ทรุดตัวลงอย่างสิ้นสภาพ นั่งแน่นิ่งอยู่ที่เดิม
สุดท้ายศีรษะหนึ่งก็กลิ้งตกลงพื้น
เสียงที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับฟ้าร้องสะท้านสะเทือนก่อนหน้านี้ได้ติดกลับทำให้ผู้ฝึกตนรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบหนักๆ ลงบนหัวใจ แทบจะหายใจไม่ออก
เหอลู่แห่งนครหวงเยว่ตายไปทั้งอย่างนี้แล้ว
ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนคนหนึ่งที่มีความหวังว่าจะยืนอยู่บนยอดเขาเคียงบ่าฟ่านเหวยหราน เย่หาน กลับกลายเป็นศพที่หัวแยกขาดจากตัวเช่นนี้?
แล้วพอหันไปมองเทพธิดาเยี่ยนชิงที่บุคลิกเลิศล้ำผู้นั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงก็ยิ่งประหลาดใจ
เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดบนภูเขาของหลายสิบแคว้นเหมือนกัน
เหอลู่ที่เป็นคนจิตใจละเอียดรอบคอบ ก็แค่ขาดโชคถึงได้ต้องมาตายอยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นต่างบ้านต่างเมืองแห่งนี้ ทว่าเทพธิดาเยี่ยนชิงที่เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสจะสลัดความสัมพันธ์กับเขาทิ้ง แต่เหตุใดถึงได้น้ำเข้าสมองเลอะเลือนเช่นนี้?
ถ้าอย่างนั้นกุมารทองกุมารีหยกคู่นี้ที่เกือบจะได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน ทำอย่างไรถึงมาคบหากันได้?
หรือจะบอกว่าเมล็ดพันธ์ความรักหยั่งรากลึก เห็นคนรักต้องตายไปต่อหน้าต่อตา เยี่ยนชิงที่แค้นเคืองจึงคิดจะออกกระบี่อย่างเดือดดาล?
เพียงแต่ว่าการออกกระบี่ใส่เซียนกระบี่ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง หาใช่ว่าพวกเราดูแคลนเจ้าเยี่ยนชิงไม่ แต่เจ้าก็แค่หาเรื่องอับอายขายหน้าให้ตัวเองเท่านั้น
และในช่วงเวลาสำคัญขณะที่เยี่ยนชิงถือกระบี่ มองประสานสายตากับเซียนกระบี่หนุ่มนั้นเอง
เหตุการณ์ประหลาดพลันเกิดขึ้น!
ตำแหน่งใกล้กับที่นั่งตรงข้างแถบของเย่หาน โต๊ะตัวหนึ่งที่วางจานอาหารและจอกสุราไว้จนเต็มโต๊ะพลันระเบิดแตก ผู้ฝึกตนสองฝั่งลอยกระเด็นพุ่งชนกันไปเป็นแถบใหญ่
ร่างกายกำยำที่ทั่วร่างเปล่งไปด้วยแสงสีทองของคนผู้หนึ่งโผล่พรวดชนโต๊ะให้แตกหักอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้น ตลอดทั้งวังมังกรก็สั่นสะเทือนตาม จากนั้นก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นปลิวกระเด็นออกไป ผนังของตำหนักใหญ่ถูกชนทะลุทันที ไม่เพียงเท่านี้ เสียงผนังแตกยังดังต่อกันเป็นทอดๆ
หมัดนี้
จะถูกปล่อยออกมาจากผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างของยอดเขาเมิ่งเหลียงได้จริงหรือ?
ฟ่านเหวยหรานและเย่หานหันมามองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความตื่นตะลึงและหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย
คนผู้นี้อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ ต้องไม่ใช่หมากของทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน!
ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเดียวกับผู้เฒ่าเลี้ยงลิงและปีศาจจิ้งจอกแคว้นอิ๋นผิงอย่างแท้จริง!
การลอบโจมตีของหมัดนี้ ขอแค่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ป้องกันไว้ก่อน ต่อให้เป็นโอสถทองอย่างพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางต้านรับได้ไหว จะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
หลังจากชายฉกรรจ์ที่รูปโฉมไม่สะดุดตาผู้นั้นปล่อยหมัดอันสูงสุดซึ่งรวบรวมปณิธานหมัดของทั้งชีวิตเอาไว้ออกไปอย่างเต็มที่ แขนทั้งแขนของเขาก็ถึงกับถูกแรงสะเทือนจนปริแตก ห้อยตกลงข้างตัว แต่ความฮึกเหิมของชายฉกรรจ์กลับเต็มเปี่ยม มองผู้ฝึกตนที่นั่งกันเต็มห้องโถงเหมือนไก่เหมือนหมา เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “ท่าไม้ตายหมัดนี้ เดิมทีควรจะหาโอกาสปล่อยใส่เจ้าโจรเฒ่าเซี่ยเจินผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าบื้อที่แสร้งอวดเก่งจะมาชิงรับไปก่อน”
ชายฉกรรจ์มองผ่านผนังแต่ละชั้นที่ทะลุเป็นรูโหว่เหมือนประตูแต่ละบานที่ถูกเปิดออก มองไปยังทิศไกลที่ฝุ่นผงคลุ้งตลบ “ต่างก็พูดกันว่าเซียนกระบี่อย่างเจ้าไร้เหตุผล มีเรือนกายของขอบเขตร่างทองใช่ไหม ตอนนี้เล่าเป็นอย่างไร ยังมีร่างทองอยู่อีกหรือไม่? หมัดนี้ของข้า ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่แท้จริงมาเจอเข้า อวัยวะภายในก็ยังต้องถูกกระเทือนจนเละเทะ ตายคาที่ทันที!”
ชายฉกรรจ์ถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ชำเลืองตามองฝักกระบี่ยาวที่อยู่บนพื้น “เซียนกระบี่ชาติสุนัข ทำเป็นอวดเก่งนัก! อดทนกับเจ้ามานานแล้ว ใช้หนึ่งกระบี่สังหารเจ้าลูกเจี๊ยบขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นั้น คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานจริงๆ หรือไร?”
มุมปากของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นองศาก็ยิ่งขยายใหญ่ สุดท้ายรอยยิ้มก็แผ่กระเพื่อมไปทั้งใบหน้า
ฟ่านเหวยหรานเองก็คลี่ยิ้ม
มีเพียงเย่หานที่ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่พอเขาชำเลืองตามองศพไร้หัวตรงกำแพง ความรู้สึกก็ดิ่งลงเหว ยังคงยิ้มไม่ออกแม้แต่น้อย
ยังดี ถึงอย่างไรบุตรชายคนเล็กที่สถานะถูกแอบซ่อนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการฝึกตน ได้กักเก็บดวงวิญญาณของตนเองไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายโพรงแล้ว
เพียงแต่ว่าเรือนกายก่อนกำเนิดที่ดีขนาดนี้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของกิ่งทองใบหยกซึ่งเป็นคุณสมบัติของเซียน วันหน้าจะไปหามาจากที่ไหนได้อีกเล่า? ในอนาคตจะยังเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อีกหรือไม่? หรือจะยังเป็นสีครามที่เกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าคราม มีฝีมือเหนือตนเอง นำพานครหวงเย่เดินไปถึงจุดที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือยอดเขาได้อีกหรือไม่?
ผู้ฝึกลมปราณอีกสามคนที่เหลือของยอดเขาเมิ่งเหลียงพากันกลืนน้ำลายลงคอ
ศิษย์น้องที่เวลาปกติไม่ต่างจากเศษสวะคนหนึ่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายมาเป็นปรมาจารย์ชั้นสูงที่ปล่อยหนึ่งหมัดดุจสายฟ้าระเบิดเช่นนี้ได้เล่า?
เยี่ยนชิงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
ในตำหนักใหญ่ ต่อให้จะรู้ว่าปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตร่างทองในตำนานผู้นี้คือศัตรูหาใช่มิตร แต่กระนั้นเสียงไชโยโห่ร้องก็ยังคงดังกึกก้อง แต่ละคนตบโต๊ะร้องว่าดี และยังมีบางคนที่หยิบกาเหล้าขึ้นมาแหงนหน้ากระดกดื่ม ยกนิ้วโป้งให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้น และยิ่งมีคนที่เริ่มชื่นชมว่าแคว้นเมิ่งเหลียงไม่เพียงแต่มีโชคชะตาบุ๋นโชติช่วง ที่แท้โชคชะตาบู๊ก็ยังรุ่งโรจน์ถึงเพียงนี้ ควรจะยกแคว้นเมิ่งเหลียงของพวกเขาให้เป็นผู้พิชิตของพื้นที่หนึ่งอย่างแท้จริง พวกเขาควรจะฮุบกลืนแคว้นรอบด้าน ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งก็เป็นได้
เยี่ยนชิงยืนอยู่ในตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกและบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ในใจรู้สึกวูบโหวง
เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?
นางผิดหวังหดหู่
ฟ่านเหวยหรานหัวเราะจนตัวเอนไปด้านหลัง หญิงชราผู้นี้ก็เลียนแบบผู้ฝึกตนที่หยาบกระด้างคนนั้นเงยหน้ายกนิ้วโป้งให้เยี่ยนชิง “แม่หนูเยี่ยน เจ้าได้สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลย! เด็กดี กลับไปถึงดินแดนเซียนเป่าต้งจะต้องมอบอาวุธหนักของศาลบรรพจารย์ชิ้นนั้นให้เป็นรางวัลแก่เจ้าอย่างแน่นอน ข้าอยากจะดูนักว่าใครจะไม่ยอม!”
คนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
คือแม่หนูชุ่ยที่กะพริบตาปริบๆ คนนั้น เพียงแต่ว่านาทีนี้ อย่าว่าแต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เลย แม้แต่ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจนางก็ยังไม่กล้าใช้
เด็กสาวใสซื่อเริ่มขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม สวมบทหุ่นไม้
จากนั้นถึงได้เป็นชายฉกรรจ์ผู้ฝึกยุทธของแคว้นเมิ่งเหลียงที่แอบเดินทีละก้าวจนปีนป่ายขึ้นสู่ขอบเขตร่างทอง
หลังจากที่สีหน้าของชายคนนี้เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เย่หานกับฟ่านเหวยหรานก็ตระหนักได้เหมือนกันว่าท่าไม่ดีแล้ว
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่เดิมทีอยากจะลองผูกมิตรกับผู้กล้าคนนี้ดูก็ค่อยๆ หุบรอยยิ้มบนใบหน้าลง รีบกลั้นหายใจทำสมาธิทันที
มีเซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่งเดินออกจาก ‘ประตูใหญ่แต่ละบาน’ สุดท้ายมาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่
ผู้ฝึกลมปราณที่นั่งอยู่ตรงกลางแถบของฟ่านเหวยหรานล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายเผ่นหนีเปิดทางให้กับเซียนกระบี่และปรมาจารย์ขอบเขตร่างทองผู้นั้นนานแล้ว
เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นปัดไหล่ของตัวเอง สะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก มีคนพูดว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองที่อยู่ที่นี่อย่างพวกเจ้าล้วนเป็นกระดาษเปียก” คนผู้นั้นเดินเข้าหาผู้ฝึกยุทธของแคว้นเมิ่งเหลียงอย่างช้าๆ ไหนเลยจะมีวี่แววของอาการ ‘อวัยวะภายในทั้งห้าถูกกระเทือนจนเละเทะ’?
เขาเดินพลางยิ้มพูดไปด้วย “ตอนนี้ข้าว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ไม่ต่างจากโคลนเละที่ถูกขยำกำ แถมยังเป็นโคลนประเภทที่ยังไม่ได้ตากแดดให้แห้งด้วย เพราะฉะนั้นถึงทำให้ตัวเองแขนหักไปหนึ่งข้าง? เจ็บไหมล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “แท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง! ใช่หรือไม่?! ไม่ใช่เซียนกระบี่อะไรทั้งนั้น ถูกหรือไม่? ก่อนจะออกหมัดจงบอกข้ามาให้ชัดเจน!”
คนผู้นั้นเอาฝ่ามือข้างหนึ่งแนบหน้าท้อง มืออีกข้างกุมขมับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอือมระอา “พี่ชายท่านนี้ เจ้าอย่าทำแบบนี้เลย จริงๆ นะ วันนี้เจ้าพูดเรื่องตลกอยู่ในวังมังกรมามากมายแล้ว ขนาดถูกทัณฑ์สวรรค์ในเมืองสุยเจี้ยกดทับ ข้ายังโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่นี่กลับเกือบจะต้องมาตายเพราะหัวเราะขำคำพูดของเจ้าซะแล้ว”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบทอดถอนใจอย่างเศร้ารันทด นั่งลงบนขั้นบันได ยกสองมือกุมหัว เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสยอมรับชะตากรรมแล้ว จะตีกันก็ตีเถอะ พวกเจ้าจะก่อเรื่องก่อราวอย่างไรก็ทำกันไป ต่อให้รื้อวังมังกรจนเละ ขอแค่ข้าอินโหวขมวดคิ้วสักครั้ง วันหน้าข้าก็จะใช้แซ่เดียวกับเซียนกระบี่ผู้นั้นเลย
ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวบางส่วน ก่อนหน้านี้อยากร้องไห้แต่ไม่กล้าร้อง ตอนนี้อยากหัวเราะก็ไม่กล้าอีก
เซียนกระบี่ชุดขาวหันหน้าไปมองทางฟ่านเหวยหรานและอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ “เรื่องที่ข้ามีเรือนกายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง คือข่าวที่พวกเจ้าปล่อยออกไปอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะพวกเจ้าคิดเองเออเองกันแบบนี้ ทำให้แผนการหลายอย่างของข้าต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า?”
ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม เขากลับไม่มีท่าทีว่าจะถอยหนี เพียงแค่ชักเท้าขวาไปด้านหลังหนึ่งก้าว ยกแขนข้างที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวขึ้นมา ตั้งท่าที่ปณิธานหมัดผสานกลมกลืนกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ “ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกับข้า หรือจะเป็นเซียนกระบี่ที่บินไปบินมา ข้าแค่จะขอดูฝีมือเจ้าอีกสักครั้ง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนสามคนของยอดเขาเมิ่งเหลียง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าแคว้นเมิ่งเหลียงของพวกเจ้าจะเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างแท้จริง น่าสนใจไม่น้อย ขอบใจมาก”
ชายฉกรรจ์เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนน้ำท่วมที่ไหลทะลัก ทำให้ตลอดทั้งวังส่ายโยกตามไปด้วย โต๊ะแทบทุกตัวล้วนกระเด้งกระดอนขึ้นสูง และในขณะที่ทุกคนคิดว่าจะเกิดศึกเป็นตายของศัตรูที่มาพบเจอกันบนทางแคบอีกครั้งนั้นเอง ชายฉกรรจ์กลับผงะตัวไปด้านหลัง ถอยกรูดไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ชนเข้ากับผนังด้านหลังตนเองที่ยังไม่ ‘เปิดประตู’ พอผนังระเบิดดังปังก็ราวกับว่าใช้วิชาอภินิหารของเซียนที่สามารถหดย่อภูเขาแม่น้ำพันลี้ให้เล็กลงเหลือเพียงแค่ตารางนิ้ว พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาตลอดสองร้อยปี วิชาคาถาลึกลับจนคนไม่อาจป้องกันได้ทันจริงๆ
เพียงแต่ว่าเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดขาวที่อยู่ในตำหนักใหญ่ก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน
จากนั้นทางฝั่งของประตูผนังที่เพิ่งถูกเปิดขึ้นมาใหม่ก็มีร่างของผู้ฝึกยุทธร่างทองในตำนานคนนั้น ‘เดิน’ ถอยหลังกลับมาทีละก้าว
เพียงแต่ว่ามีชายแขนเสื้อกว้างและฝ่ามือข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากหัวใจของชายฉกรรจ์
ไม่เพียงแต่สกัดขวางทางหนีของปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธได้ในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังตัดสินเป็นตายกันได้ในทันที เซียนกระบี่ผู้นั้นใช้มือข้างซ้ายควักหน้าอกทะลุแผ่นหลังของอีกฝ่ายออกมาโดยตรง!
เซียนกระบี่ชุดขาวยกมือข้างขวาขึ้นกดลงบนศีรษะของคนผู้นั้นแล้วผลักออกเบาๆ
ร่างของอีกฝ่ายก็ลอยหวือมาร่วงกระแทกกลางตำหนักใหญ่พอดี
เซียนกระบี่ชุดขาวสะบัดชายแขนเสื้อ บนพื้นข้างกายเขาพลันมีเลือดสดกระเซ็นหยดเป็นทาง
ส่วนกลางอากาศของตำหนักใหญ่ นกกระดาษตัวนั้นก็ยังคงเผ่นหนีไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง หลบเลี่ยงแสงกระบี่สีเขียวที่ตามก้นมาติดๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยังเล่นสนุกไม่พอหรือ?”
กระบี่บินสีเขียวปลั่งพลันเพิ่มความเร็ว นกกระดาษแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ผู้เฒ่าผมขาวที่ร่างโชกไปด้วยเลือดกระแทกลงสู่พื้นตำหนักใหญ่อย่างแรง
กระบี่บินค่อยๆ บินกลับมาที่ข้างกายเจ้านาย แล้วบินล้อมไปรอบกายเขาอย่างเชื่องช้าประหนึ่งนกน้อยแอบอิงคน ว่าง่ายและอ่อนโยนเป็นที่สุด
—–