เฉินผิงอันชำเลืองตามองเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวสดผู้นั้น ฝ่ายหลังยิ้มกว้าง แต่แล้วนางก็รู้สึกเขินอายและลำบากใจเล็กน้อยจึงรีบยกมืออุดปากตัวเอง
เฉินผิงอันเองก็ยิ้มตาม ก่อนจะเอ่ยว่า “เหอลู่แห่งนครหวงเยว่ เยี่ยนชิงแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น สามคนนี้ ไม่มีใครบอกพวกเจ้าหรือว่าทางที่ดีที่สุดควรเอาสนามรบไปไว้ในเมืองสุยเจี้ยโดยตรง ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ามากที่สุด ส่วนพวกเจ้าก็มั่นคงมากที่สุด คิดจะฆ่าข้าอาจพูดได้ยาก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็มีโอกาสหนีมากกว่า?”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบปล่อยมือออก เงยหน้าขึ้น “เซียนกระบี่ ข้าเคยเสนอแบบนี้แล้ว เหอลู่เองก็เห็นด้วย เขายังคิดถึงแผนการที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ได้อีกไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นใช้วิชาคาถาชนิดต่างๆ จี้ตัวให้พวกชาวบ้านกรูกันบุกไปที่เรือนผี ฯลฯ เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้กับเมืองสุยเจี้ยเกินไป ง่ายที่จะไปกระตุ้นให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่สามารถใช้กระบี่บินตัดหัวคนไกลพันก้าวอย่างท่านรู้สึกตัว ใครก็ไม่อยากจะพาตัวไปตายก่อน อีกทั้งเรือนกายของผู้ฝึกตนนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งต่างก็ล้ำค่า พวกเขาไม่เป็นคนนำ ภูเขาแห่งอื่นๆ ที่พึ่งพาพวกเขาก็ล้วนไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่มีเงินแต่ไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน ใครเล่าจะยินดีทำ เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด เซียนกระบี่ อะไรที่ข้าควรพูด ไม่ควรพูด ก็ล้วนพูดหมดแล้ว หลังจากนี้อยากจะฆ่าใครก็ตามใจเถอะ กิจการพันปีของวังมังกรแห่งนี้ของข้า ข้าไม่เอาแล้วก็ได้ หลังจากผ่านวันนี้ไป ขอแค่เซียนกระบี่มีเมตตา ข้าโชคดีรอดตายไปได้ ทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องชดเชยโชคชะตาภูเขาแม่น้ำของเมืองสุยเจี้ยให้ดีๆ ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษ”
หลังจากได้ยินประโยคขึ้นต้นนั้นแล้ว เยี่ยนชิงก็หน้าขาวเผือด ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
จิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณไม่มั่นคง มือที่กุมกระบี่ก็ยิ่งไม่มั่นคงตามไปด้วย
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วโบกเบาๆ
เย่หานเจ้านครหวงเยว่จงใจไม่ขยับหลบ ปล่อยให้กระบี่ยาวแทงทะลุหน้าอก ปักตรึงตัวเองไว้บนผนัง
ส่วนจุดที่อยู่ห่างหว่างคิ้วฟ่านเหวยหรานไปเพียงหนึ่งฉื่อก็มีกระบี่บินสีเขียวที่ปลายกระบี่สั่นน้อยๆ หยุดลอยนิ่ง
หญิงชราก็นั่งนิ่งไม่ขยับเช่นกัน
“พวกเจ้านี่แหละที่ฉลาดที่สุด แต่ละคนรู้จักรอเวลาคอยประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ข้อนี้ ข้าล่ะนับถือพวกเจ้าจริงๆ ไม่ได้พูดประชดแม้แต่นิดเดียว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้าไปด้านหน้า จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังกาเหล้ากาหนึ่ง ยกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง มือหนึ่งก็ถือกา อีกมือหนึ่งถือจอกเหล้า รินเหล้าใส่จอกแล้วจิบหนึ่งคำ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันกดลึก “นี่หากมีเหอลู่อีกหลายคนอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยมาเห็นเข้า จะไม่ด่าว่าเซียนกระบี่อย่างข้าคิดแต่จะเอาชนะ ไม่ยอมถอยให้ผู้อื่น ชาวประชาเป็นเดือดเป็นแค้น ปากคนจำนวนมากสามารถละลายทองได้ (เสียงจากปากของคนจำนวนมากที่พูดไปพูดมาย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิดได้) อาศัยอะไรมาฆ่าคนอย่างพร่ำเพื่อ คนที่เคยเจอหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้คิดจะฆ่าให้ตายอย่างเอาจริงเอาจังเสียหน่อย ขาไม่ขาด แขนไม่ขาด แล้วก็ไม่ได้กระอักเลือดเป็นถังๆ เสียเมื่อไหร่ มีเหตุผลอะไรไปตัดสินความดีเลว ไปตัดสินความเป็นความตายของคนอื่น เหตุใดต้องบีบบังคับคนอื่นขนาดนี้ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ไม่มีจิตเมตตาดุจพระโพธิสัตว์แม้แต่น้อย คิดดูแล้วก็คงเป็นพวกตะเภาเดียวกันกับคนที่ถูกฆ่าหรอกหรือ…”
คำพูดประโยคนี้ทำให้พวกผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดที่ได้ฟังรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว
ฟังจากความหมายในคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้?
ดูท่าจะยังพูดไม่จบ?
เฉินผิงอันมองไปทางหญิงชราที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน “เจ้าโชคดีอยู่บ้าง ไม่ได้มีลูกชายคนดีอย่างเหอลู่ ดังนั้นพวกเรายังสามารถปรึกษากันได้”
จากนั้นก็หันไปชำเลืองมองเย่หาน “ทว่าเจ้านครเย่กลับบอกได้ยากแล้ว”
ขนตาของเด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวสดใสกระพือเบาๆ
ยังคงนั่งนิ่งเลียนแบบการเข้าฌานของภิกษุเฒ่า ตัวตรงไม่กระดุกกระดิก เมื่อร่างไม่ขยับจิตก็ไม่วอกแวก ไม่ขยับอะไรสักอย่าง แค่อาศัยวิชาอภินิหารประหลาดที่ดูเหมือนจะเป็นของรางวัลที่บรรพจารย์ประทานมาให้นั้นแอบมองไปแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน ราวกับว่าพริบตาเดียวก็ไม่เหลือมาดองอาจของเซียนกระบี่อีกต่อไป สีหน้าของเขาเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความอิดโรย สายตาหม่นหมอง เหมือนกับกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างของเย่หานบนผนังที่แสงสีทองไม่สว่างจ้า เขากวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากรินเหล้าอีกหนึ่งจอกก็โยนกาเหล้ากลับไปไว้ที่เดิม แล้วค่อยรินเหล้าในจอกลงเบื้องหน้าตัวเองเบาๆ ประหนึ่งการคารวะสุราหน้าหลุมศพ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “แต่หลังจากที่ทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นผ่านไป ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยที่จุดธูปโขกหัวกราบไหว้ศาลเทพอภิบาลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความจริงใจ ก็เป็นเพียงแค่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หวังให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น พวกเขาคือผู้อ่อนแอที่แท้จริง บางทีพวกเขาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เลือกจะเงียบงันกลุ่มนั้นก็อาจไม่รู้ถึงความจริง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ไปชั่วชีวิต ดังนั้นพวกเขาที่ไปไหว้เทพอภิบาลเมืองจึงผิดแล้ว ไหว้ศาลเทพอัคคีก็ยิ่งไม่อาจถูกต้องได้มากกว่าเดิม สำหรับพวกเขาและการดำรงตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง การตั้งใจฝึกตนอย่างสงบ มองโลกมนุษย์อย่างเฉยชา รังเกียจโลกีย์วิสัยของพวกเจ้าบางคน ข้าล้วนรู้สึกแบบเดียวกันทั้งหมด นั่นคือพูดไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีอะไรให้พูดว่าผิดหรือถูก มหามรรคาใต้ฝ่าเท้ามีเป็นร้อยเป็นพันเส้น ทุกคนต่างก็กำลังเดินอยู่เหมือนๆ กัน เจ้าคิดว่ายังไง ท่านเทพอัคคีแห่งเมืองสุยเจี้ย? ถึงท้ายที่สุดดูเหมือนว่าตอนอยู่บนหลังคาศาล เจ้าเองก็ด่าข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรก็ยังพาตัวเองไปพุ่งชนทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆจนร่างทองแตกหักออกเป็นสองท่อน? ตอนนั้นข้าไม่อาจเปิดปากได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องด่าเจ้าแล้ว จะต่อยให้เจ้ากลิ้งกลับไปอยู่ที่ศาล ก็แค่ทัณฑ์สวรรค์เล็กๆ เท่านั้น ข้าจะตายได้หรือ? ก็แค่เกือบตายเท่านั้น จะดีจะชั่วข้าก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน แค่ปางตาย จะต้องกลัวอะไร ก่อนหน้าที่จะทำเช่นนั้น ข้าต้องวางแผนคิดคำนวณมามากน้อยแค่ไหน เจ้าและข้าพบเจอกันช้าไป เลยไม่ทันได้พูดกับเจ้าก็เท่านั้น แน่นอนว่าต่อให้เจอกันเร็วกว่านี้ ข้าก็ไม่มีทางพูด ใจคนไม่ต่างจากผีร้าย ใครเล่าจะกล้าเชื่อ”
ระหว่างที่พูด
ตรงหว่างคิ้วของฟ่านเหวยหรานก็เกิดเสียงดังสวบ
ศีรษะเหมือนถูกกระแทกหนักๆ ผงะหงายหลังผลึ่งไป
กลับเป็นเย่หานที่ยังคงสบายดี ก็แค่มองดูเหมือนถูกปักตรึงอยู่บนผนังเท่านั้น
ทว่าหญิงชราผู้นั้นต้องไม่ได้กายดับมรรคาสลายอย่างแท้จริงแน่นอน เพราะใบหน้าและเรือนกายของหญิงชราแห้งเหี่ยวลงในเสี้ยววินาที ทว่าในวังมังกรกลับเกิดริ้วคลื่นลมปราณที่ไม่ปกติระลอกหนึ่งแผ่กระเพื่อม พริบตาเดียวก็หายวับไป
ดูเหมือนเซียนกระบี่หนุ่มจะรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาบีบจอกเหล้าในมือให้แตกละเอียด ช่วยไม่ได้ ยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นถูกทำลายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นวิชาตระกูลเซียนที่สามารถสลายจิตหยินให้เป็นเหมือนไอหมอก ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนโอสถทองแห่งชะตาชีวิตประเภทนี้ ต่อให้จะประหลาดยากคาดเดาแค่ไหน ขอแค่เอายันต์ตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนมาใช้ เสี้ยววินาทีก็สามารถแผ่แสงสว่างปกคลุมไปได้ในรัศมีหลายลี้ มีความเป็นไปได้ว่าบรรพจารย์จากดินแดนเซียนเป่าต้งผู้นี้จะยังหนีไปไหนไม่รอด ส่วนตนนั้น หลังจากศึกใหญ่ผ่านไปก็ไม่สามารถวาดยันต์ได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับที่ยันต์หลายชนิดใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่ตนเชี่ยวชาญก็ไม่สามารถเอามาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนบนภูเขามักจะเอาชนะกันได้ง่าย แต่เข่นฆ่ากันได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง ใครบ้างจะไม่มีวิชาที่ใช้ในการป้องกันชีวิตของตัวเองเลย?
สำหรับข้อนี้ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคล่องแคล่วว่องไวกว่ามากนัก การจับคู่ต่อสู้กัน ส่วนใหญ่หากแพ้ก็คือตาย
แต่ก็ไม่เป็นไร มงกุฎทองบนศีรษะของหญิงชรายังคงอยู่
อาจเป็นเพราะเอาไปไม่ได้ แล้วก็อาจเป็นเพราะการหอบเอาของสิ่งนี้หนีไป จะเป็นการเปิดเผยร่องรอยของตัวเองอย่างชัดเจน และหญิงชราก็หวาดเกรงกระบี่บินของตนเกินไป
เฉินผิงอันหยิบพัดพับออกมา ใช้สองนิ้วค่อยๆ บิดมันให้เปิดและหุบช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม ข้าพูดอะไรก็เชื่อจริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นหากข้าบอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไรทั้งนั้น พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกตนคนหนึ่งของยอดเขาเมิ่งเหลียง “ไหนเจ้าลองว่ามาสิ?”
คนผู้นั้นคุกเข่าลงไปโดยตรง ตะเบ็งเสียงตอบดังลั่น “เซียนกระบี่พูดอะไร ข้าน้อยล้วนเชื่อทั้งหมด!”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองชายหญิงสะพายกระบี่อายุยังน้อยคู่นั้น “บังเอิญนัก ได้เจอกันอีกแล้ว การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย เซียนซือทั้งสองท่านได้รับผลเก็บเกี่ยวอะไรหรือไม่?”
บุรุษหนุ่มคนนั้นนั่งแปะลงไปบนพื้น
หญิงสาวตอบเสียงเบาว่า “เรียนเซียนกระบี่ ไม่ได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ท่ามกลางศึกวุ่นวายคราวนั้น ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีลิงนั่งอยู่ไม่ได้อาฆาตแค้นจนหมายหัวพวกเจ้ากระมัง?”
ผู้ฝึกตนหญิงยิ้มเจื่อน “พอเห็นเขา พวกเราก็เผ่นหนีไปไกลทันที”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ควรจะเป็นเช่นนี้ วันหน้าบอกให้ศิษย์น้องของเจ้าใจเย็นสักหน่อย หากได้ลงเขามาฝึกประสบการณ์ท่องอยู่ในยุทธภพอีกครั้ง ควรจะมองให้มาก พูดให้น้อย”
ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ดีๆ ก็ได้พูดคุยกับเซียนกระบี่หนุ่มนิสัยยากจะคาดเดาไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องคิดแล้ว นางกับศิษย์น้องคงต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่ เหอลู่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งของแคว้นเมิ่งเหลียง ฟ่านเหวยหราน เซียนเหยี่ยวผู้ถวายงานเฒ่าของนครหวงเยว่ เย่หานเจ้านคร คนที่ตายก็ตาย คนที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ตนที่ได้พูดคุยกับเซียนกระบี่ท่านนี้ ไหนเลยจะมีจุดจบที่ดีได้?
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว ขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นหัวคิ้วก็พลันคลายออก ยิ้มพูดกับคนทั้งสอง “พบเจอนับเป็นวาสนา พวกเจ้าไปซะเถอะ”
ศิษย์น้องที่นั่งพับอยู่บนพื้นรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งตะบึงไปที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่
ศิษย์พี่หญิงของเขาห้ามไม่ทัน รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวจะต้องมีภาพนองเลือดที่ศีรษะหนึ่งถูกกระบี่บินฟันหลุดกระเด็นแน่นอน คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องของตนไม่เพียงแต่หนีไปได้ไกล ยังหันมาตะโกนบอกนางด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “ศิษย์พี่หญิงเร็วเข้า!”
ผู้ฝึกตนหญิงมองเซียนกระบี่ชุดขาวที่สายตามีรอยยิ้มคล้ายแสงแดดสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็ทั้งเหมือนบ่อโบราณมืดลึก นางลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะคารวะ “ขอบพระคุณเซียนกระบี่ที่มีเมตตา!”
นางโคจรปราณวิญญาณอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจึงทะยานตัวออกไปจากตำหนักใหญ่ของวังมังกรที่สภาพเละเทะแห่งนี้ช้าๆ
เฉินผิงอันเดินตรงไปเบื้องหน้า เดินไปทางขั้นบันได อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบนั่งอยู่ตรงนั้น
ส่วนกระบี่บินเล่มนั้นก็บินวนอยู่รอบกายเซียนกระบี่ชุดขาวตลอดเวลา
เซียนกระบี่เชิญท่านตามสบาย ถึงอย่างไรหากวันนี้ข้าถูกฆ่าตายก็จะไม่แม้แต่จะขยับนิ้วหรือมีความคิดอะไรทั้งนั้น
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้นั่งลงบนที่นั่งซึ่งเหมือนบัลลังก์มังกรของจักรพรรดิ เพียงแค่ยื่นนิ้วออกไปเคาะ คล้ายกำลัง…ทดสอบสินค้า?
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ใช้มือจับพนักเท้าแขน เผชิญหน้ากับทุกคน “วันนี้ข้าตาไม่ดี แบ่งแยกไม่ออกว่าใครดีใครเลว ถ้าอย่างนั้นข้าจะแบ่งพวกเจ้าเป็นคนดีครึ่งหนึ่ง เลวครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน งานเลี้ยงในคืนนี้ ตายครึ่งหนึ่ง รอดครึ่งหนึ่ง หากพวกเจ้าไม่ใช่สหายสนิทกัน ก็คงต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เกลียดแค้นกันจนแทบอยากตีกันให้สมองไหล ถึงอย่างไรก็ต้องรู้รากฐานชาติกำเนิดของกันและกันดี ไหนลองบอกมาสิ ใครทำเรื่องชั่วร้ายอะไรไว้บ้าง พยายามเลือกเรื่องใหญ่ๆ มาพูด ยิ่งน่าอกสั่นขวัญผวาเท่าไรก็ยิ่งดี คนอื่นมี พวกเจ้าไม่มี ก็หมายความว่ากลายเป็นคนดี มีโอกาสได้รอดชีวิตแล้ว”
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดไร้เสียง
เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นยิ้มเอ่ยอีกว่า “ขอเสริมอีกหนึ่งประโยค ไอ้เรื่องตีกันไปตีกันมา วางอุบายเล่นงานกันของบนภูเขา ไม่นับ คืนนี้พวกเราพูดแค่เรื่องล่างภูเขาเท่านั้น”
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงอ่อนเยาว์ใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเบาๆ “เซียนกระบี่ ตอนนี้ยังเป็นกลางวันอยู่เลย ไม่ควรพูดว่า ‘คืนนี้’”
เฉินผิงอันมองไปยังคนพูด ก็คือเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวสด ดูจากตำแหน่งที่นั่งน่าจะเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งที่ดินแดนเซียนเป่าต้งค่อนข้างให้ความสำคัญ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบใจที่เตือน ข้าเห็นว่าตำหนักใหญ่ของวังมังกรแห่งนี้จุดตะเกียงสว่างโชติช่วงก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตอนกลางคืนแล้ว”
เย่หานพลันเอ่ยว่า “ที่แท้กระบี่ประจำกายเล่มนี้ของผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ใช่สมบัติอาคมอะไร ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ว่าก็ควรจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูก”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้ารู้ว่าเทพเซียนโอสถทองอย่างพวกเจ้ามีวิธีการให้ใช้มากมาย รีบไสหัวไปซะเถอะ”
เย่หานหัวเราะเสียงดัง แล้วก็เดินออกไปด้านหน้าโดยตรง ปล่อยให้กระบี่ยาวเล่มนั้นแทงทะลุร่างทั้งร่างของตัวเอง สุดท้ายปักตรึงอยู่บนผนัง
เย่หานถอนหายใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่านครหวงเยว่ของพวกเราจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ลูกชายที่มีความหวังว่าจะสืบทอดกิจการบ้านเรือนได้มากที่สุดตายไปแล้ว ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งตายไปแล้ว ข้าเย่หานเองก็บาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา ชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเดินข้ามผ่านก้าวนั้นออกไปได้อีกแล้ว เซียนกระบี่ท่านนี้ต้องการให้ข้าเย่หานทำอย่างไรถึงจะไม่ตามไปไล่ฆ่าตัดรากถอนโคนพวกเราถึงนครหวงเยว่?”
เฉินผิงอันยิ้มอ่อน “ง่ายมาก ไม่ต้องมามัววางกับดักข้าอยู่ ในเมื่อข้าทำลายโอสถทองของเจ้าไม่ได้ เจ้าก็รีบไปหาที่พึ่งของเจ้าซะ ก่อนหน้านี้เมื่อทัณฑ์สวรรค์ผ่านไป เขาเคยปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือเมืองสุยเจี้ยมาก่อน หากเดาไม่ผิด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็น่าจะมีความสัมพันธ์กับเขา คนผู้นั้นขอบเขตสูงมาก ทำร้ายข้าไปไม่เบา เมื่อเขามา พวกเราก็จะได้เอาบัญชีทั้งเก่าและใหม่มาคิดรวมกัน แต่หากเขาสามารถเรียกเอาคนเบื้องหลังที่ช่วงชิงสมบัติไปได้สำเร็จผู้นั้นมาด้วยกันได้ แล้วร่วมมือกันมาเล่นงานเด็กรุ่นหลังอย่างข้า ก็ถือว่าเจ้าเย่หานมีหน้ามีตาที่ใหญ่โตมากพอ ข้าก็คงได้แต่เผ่นหนีไปให้ว่องไว เจ้าแห่งทะเลสาบของพวกเราท่านนี้มีเจ้าแห่งคูน้ำที่เป็นลูกน้องอยู่คนหนึ่ง ในศาลของนางมีกรอบป้ายแผ่นหนึ่งที่ดีมาก น้ำเขียวไหลยาว”
เย่หานกล่าวอย่างจนใจ “ในเมื่อเซียนกระบี่เปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ตายไม่ยอมเลิกรา ไม่ยอมให้ข้านำพาดวงวิญญาณของเหอลู่จากไปใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกันว่าให้เจ้านำสามจิตเจ็ดวิญญาณของเซียนซือน้อยเหอกลับไปได้ จะได้เป็นการเปิดเผยเบาะแสของวิชาหลบหนีของเจ้า ทว่าต่อให้ก่อนหน้านี้ข้าพูดแบบนี้ เจ้าเย่หานจะกล้าทำเช่นนี้จริงหรือ? ข้าว่าเจ้าไม่มีทางทำแน่”
เย่หานพยักหน้ารับ “ก็จริง ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เป็นอย่างที่เซียนกระบี่ว่า น้ำเขียวไหลยาว!”
เจ้านครหวงเยว่ท่านนี้บีบแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวให้แตกออกโดยตรง
ร่างหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า
เฉินผิงอันหันไปมองทางหลังคาเรือน ราวกับว่าเส้นสายตาได้มองทะลุไปยังทิศไกลของทะเลสาบชางอวิ๋นแล้ว
แผ่นหยกแผ่นนี้ถึงกับมีประสิทธิผลในการย่อพื้นที่ได้ดีกว่ายันต์ฟางชุ่นสีทองแผ่นหนึ่งเสียอีก
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว
รู้สึกปวดหัวราวหัวจะแตก
กระบี่ยาวเล่มที่อยู่บนผนังเปล่งแสงสีทองหนึ่งครั้ง ก่อนจะแทงเข้าไปยังจุดช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแห่งหนึ่งบนร่างไร้หัวของเหอลู่
จากนั้นก็มีควันดำกลุ่มหนึ่งไหลพรูออกมาจากร่างเหอลู่ พริบตาเดียวก็แบ่งแยกกลายเป็นสิบกลุ่ม พยายามจะเผ่นหนีไปทั่วสารทิศ แต่เซียนกระบี่ชุดขาวแค่โบกชายแขนเสื้อทีเดียว ควันดำทั้งหมดก็กระแทกผนัง กลายเป็นผุยผงที่ร่วงเผลาะๆ ลงบนพื้น
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็คลายลงแล้ว “พวกเจ้าสามารถเริ่มอธิบายเหตุผลตามความเป็นจริงได้แล้ว ต้องทะนุถนอมโอกาสนี้เอาไว้ ข้าเชื่อว่าในชีวิตการฝึกตนของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ มีแค่ไม่กี่ครั้งหรอกที่อาศัยเหตุผลแล้วสามารถช่วยให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้”
เซียนกระบี่ผู้นั้นเอื้อมมือคว้าจับกลางอากาศ ฝักกระบี่ก็พุ่งกลับมาหาเขา กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักอยู่กลางอากาศ
เขานั่งลงบนบัลลังก์มังกร วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า
เยี่ยนชิงเผชิญหน้ากับเซียนกระบี่ชุดขาวที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงแล้วพูดเสียงหนัก “เจ้าที่เป็นแบบนี้ น่ากลัวจริงๆ!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง”
เด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวสดรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเยี่ยนชิงเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ ในกรอบดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ท่านอย่าพูดอีกเลยนะ ก่อนหน้านี้เขาคิดจะฆ่าท่านสองครั้งแล้ว เป็นความรู้สึกที่จริงแท้แน่นอน บวกกับครั้งนี้ก็คือเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามอย่างที่เขาพูดแล้ว! เซียนกระบี่ผู้นี้พูดจาเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวน ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ เดาความหมายของเขาไม่ออก แต่ความคิดของเขาคร่าวๆ ไม่อาจโกหกข้าได้ อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ถือว่าข้าขอร้องท่านได้ไหม? ตลอดทั้งสำนักนี้มีเพียงท่านและบรรพจารย์รองเท่านั้นที่จริงใจกับข้าที่สุด ข้าไม่อยากให้ท่านต้องตายไปอีกคน”
—–