แม่นางน้อยชุดดำยิ้มอย่างเขินอาย บัณฑิตชุดขาวพลันกระชากเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่างออกมา จากนั้นก็สวมครอบลงบนศีรษะของนาง พริบตาเดียวแม่นางน้อยชุดดำก็กลายเป็นแม่นางน้อยชุดขาว เพียงแต่ว่าด้านในชุดยาวสีขาวหิมะของบัณฑิตชุดขาว กลับยังมีชุดอาคมสีขาวอีกหนึ่งตัว ดวงตาของเฉินผิงอันใสกระจ่าง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมพูดเสียงเบาว่า “อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามขยับ ห้ามขยับแม้แต่นิดเดียว หากวันนี้เจ้าตายไป ข้าจะทำให้คนทั้งอุตรกุรุทวีปได้รู้ว่าเจ้าคือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ แซ่โจว ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อโจวหมี่ลี่ (เมล็ดข้าว) แล้วกัน แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะพยายามปกป้องเจ้า เหมือนกับที่ข้าพยายามปกป้องคนบางคน” จากนั้นเฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับ กวาดสายตามองผ่านไปยังชั้นหนึ่งและบนชั้นสองของเรือข้ามฟาก พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เกาเฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้อดทนมานานมากแล้ว ยังคิดหาแผนการัดกุมที่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารข้าได้ไม่ออกอีกหรือ? เป็นเพราะหลังออกมาจากรังเก่าเจ้าอ่อนแอเกินไป หรือเป็นเพราะข้า…แข็งแกร่งเกินไป? หากยังไม่ลงมืออีก รอจนไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ ข้าว่าโอกาสลงมือของเจ้าก็จะยิ่งน้อยกว่าเดิมไปอีก” ทุกคนบนเรือข้ามฟากต่างก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่พูดอะไรอยู่ มีแค่ผู้โดยสารเพียงหยิบมือเท่านั้นที่พอจะรู้สึกว่าชื่อเกาเฉิงนี้ค่อนข้างคุ้นหู เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากไหน เรือข้ามฟากเพียงแค่ล่องลอยไปเหนือทะเลเมฆอย่างช้าๆ อาบไล้อยู่ภายใต้แสงตะวัน ราวกับถูกห่มทับด้วยเสื้อสีทองตัวหนึ่ง เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น ริมฝีปากขยับเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำไม กลัวว่าข้ายังมีแผนการรอเจ้าอยู่เบื้องหลัง? เจ้านครจิงกวานผู้ยิ่งใหญ่ ผีผู้ปกครองร่วมของชายหาดโครงกระดูก ไม่น่าจะขี้ขลาดขนาดนี้นี่นา ความเคลื่อนไหวที่เมืองสุยเจี้ย เจ้าต้องรู้แน่ ข้าเกือบจะตายไปแล้วจริงๆ เพราะกลัวว่าเจ้าที่ดูงิ้วอยู่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ข้ายังถึงขั้นลดห้าหมัดเหลือสามหมัดแล้วด้วยซ้ำ วิถีการรับรองแขกเช่นนี้ของข้าไม่ใช่ว่าดีกว่าชายหาดโครงกระดูกของพวกเจ้ามากหรอกหรือ? กระบี่บินชูอีอยู่นี่แล้ว เจ้าและรากฐานมหามรรคาของตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกล้วนอยู่ที่นี่ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว” ขอแค่เป็นเกาเฉิง ย่อมต้องได้ยิน แล้วก็ต้องได้ยินอย่างแน่นอน เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดว่าข้าไม่อาจเชื้อเชิญให้เจ้าเผยตัวได้?” ดวงตาของลูกจ้างคนหนึ่งของเรือข้ามฝากที่หลบอยู่ตรงมุมเลี้ยวหัวเรือพลันเปลี่ยนเป็นสีดำมืดเหมือนหมึก ผู้ฝึกตนของแคว้นอิ๋นผิงคนหนึ่งที่โชคดีหนีรอดมาจากทะเลสาบชางอวิ๋นได้ และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์เพื่อหลบหายนะก็มีอาการเช่นเดียวกันนี้ สามจิตเจ็ดวิญญาณของพวกเขาพลันแหลกสลายในเสี้ยววินาที ไม่เหลือพลังชีวิตอีกแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะตาย พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึง และยิ่งไม่มีทางรู้เลยว่าส่วนลึกในจิตวิญญาณของตนได้มีเมล็ดพันธ์เมล็ดหนึ่งผลิดอกออกผลเงียบๆ มาโดยตลอด คนตายทั้งสองคน คนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง คนทั้งสองคนที่ตายไปแล้ว บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างคนต่างใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของตัวเองพูดคุยกัน คนหนึ่งในนั้นยิ้มกล่าวว่า “นอกจากจู๋เฉวียน ยังจะมีใครได้อีก? บรรพจารย์ท่านอื่นๆ ของสำนักพีหมา? หรือว่าพวกเขาสามคนล้วนมากันครบหมด อืม น่าจะมากันทั้งหมด” อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าเหมือนข้าในปีนั้นจริงๆ ได้พบเจ้า ข้าก็เริ่มรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องใช้สมองครุ่นคิดแทบตายเพื่อหาทางมีชีวิตรอดในปีนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากยิ่งนัก แต่ก็เต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย ช่วงเวลานั้นทำให้ข้ามีชีวิตเหมือนคนยิ่งกว่าคนเสียอีก” ทว่าเส้นสายตาของเฉินผิงอันกลับไม่ได้อยู่บนร่างของคนสองคนที่ตายไปแล้ว สายตาของเขากวาดมองไปเรื่อยๆ รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น “ข้าได้ยินมาว่าคนที่บรรลุมรรคาอยู่บนยอดเขาที่แท้จริงไม่เพียงแต่สามารถเอาจิตหยินออกจากช่องโพรงมาเดินทางไกล และมีจิตหยางกายนอกกายได้เท่านั้น อำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้ ต้องไม่กลัวว่าสำนักพีหมาจะหาตัวเจ้าพบแน่นอน ทำไม เพราะเจ้าแน่ใจว่าข้าและสำนักพีหมาจะไม่มีทางฆ่าผู้โดยสารทุกคนบนเรืองั้นหรือ? อาศัยใบบุญของเจ้าเกาเฉิงและเฮ้อเสี่ยวเหลียง เวลานี้ข้าจะทำอะไรก็ล้วนเหมือนพวกเจ้ามากแล้ว อีกอย่างท่าไม้ตายที่แท้จริงของเขาต้องเป็นโอสถทองผู้แข็งแกร่งที่มีพลังสังหารมหาศาล หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่หลบซ่อนอำพรางตัวอย่างแน่นอน คิดว่าหายากนักหรือ? นับตั้งแต่นาทีที่ข้าคาดการณ์ได้ว่าเจ้าต้องออกมาจากชายหาดโครงกระดูกอย่างแน่นอน จนกระทั่งถึงตอนที่ข้าขึ้นมาบนเรือข้ามฟากลำนี้ เจ้าเกาเฉิงก็แพ้แล้ว” ความเงียบสงัดแผ่ปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ คนตายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างผู้นั้นเปิดปากถาม “เพราะอาศัยการเดิมพันงั้นหรือ?” เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น ทว่าเขากลับหรี่ตาหัวเราะหยันเหมือนบัณฑิตชุดขาว “เดิมพัน? คนอื่นต้องนั่งลงบนโต๊ะพนันก่อนแล้วค่อยเดิมพัน แต่ข้านับตั้งแต่จำความได้ ชีวิตนี้ก็ล้วนเดิมพันมาตลอด! ไม่พูดถึงเรื่องดวงในการเดิมพัน แต่หากเป็นทักษะในการเดิมพัน ข้าไม่เคยเจอคนวัยเดียวกันคนใดที่เก่งไปกว่าข้า เฉาสือ ไม่ใช่ หม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่ หยางหนิงซิ่งก็ยิ่งไม่ใช่” เขาใช้มือซ้ายม้วนชายแขนเสื้อข้างขวา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถึงใช้มือขวาม้วนชายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น แล้วจึงเดินไปอีกหนึ่งก้าว การกระทำเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อเงยหน้าขึ้น ลมเย็นๆ ก็โชยมาปะทะใบหน้า เขาสะบัดขายแขนเสื้อ เมื่อม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีลมวสันต์พัดเติมเต็มแขนเสื้ออีก “ข้าเคยตั้งสมมติฐานว่าตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคือเจ้า นักฆ่าที่จงใจหลบอยู่ในถังอาจมคือเจ้า ผู้ฝึกตนอิสระในตรอกเล็กที่หยิบเหรียญเงินร้อนน้อยออกมาคือเจ้า ผู้คุ้มกันหนุ่มที่มอบถุงน้ำให้ข้าคือเจ้า หรือแม้แต่ภิกษุเฒ่าที่คุมเชิงกับบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองก็ยังคิดว่าเป็นเจ้า แม้แต่แม่นางน้อยข้างกายก็ยังอาจจะเป็นเจ้า ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าคือเกาเฉิง ดังนั้น ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นจึงค่อนข้างมาก มากจนไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยหนึ่งในพัน แต่เป็นหนึ่งที่คิดถึงอะไรก็เจออย่างนั้น ดังนั้นตลอดทางมานี้ข้าจึงเดินทางอย่างยากลำบากมาก แต่ก็คุ้มค่ามาก การฝึกจิตใจของข้ายังไม่เคยมีครั้งไหนที่หนึ่งวันพัฒนาไกลพันลี้ขนาดนี้มาก่อน ข้าแนะนำเจ้าว่าความสามารถของเจ้าในวันนี้ควรจะมีให้มากสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะหันหัวกลับไปชายหาดโครงกระดูกทันที ปฏิบัติต่อคนอื่นเฉกเช่นที่เขาปฏิบัติต่อเรา เชื่อว่าข้าเฉินผิงอันย่อมสามารถมอบความประหลาดใจที่ไม่เล็กให้แก่เจ้าและชายหาดโครงกระดูกได้แน่” ‘ลูกจ้างเรือข้ามฟาก’ คนนั้นพยักหน้ายิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า ข้าเกาเฉิงไม่ว่าจะเป็นตอนมีชีวิตหรือหลังตายไปแล้วก็ไม่เคยพูดเรื่องที่ไร้แก่นสารเช่นกัน” คนที่อยู่ตรงหน้าต่างทำท่ากระจ่างแจ้ง ทว่ากลับคลี่ยิ้มจริงใจเต็มใบหน้า เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ข้าพลาดคนที่อยากให้เจ้าตายที่สุดคนนั้นไปเพียงคนเดียว ข้าก็สมควรที่จะต้องเสียเปรียบในครั้งนี้แล้ว ศึกที่เมืองสุยเจี้ย รากฐานมหามรรคาของนางก็ต้องเสียหายไปบางส่วน หากเปลี่ยนข้ามาเป็นนางเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะต้องสะบั้นสายสัมพันธ์โลกมืดซึ่งเชื่อมโยงเจ้าไว้ให้ขาดสะบั้นอย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้องถูกเจ้าลากให้ซวยไปด้วย แต่ในเมื่อนางคือเฮ้อเสี่ยวเหลียง ไม่แน่ว่านางอาจจะไปหลบอยู่ในพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่เป็นสำนักของนาง ตัดขาดผลกรรมกับเจ้าไปก่อนชั่วคราว เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าเกาเฉิงกลับต้องทำความผิดพลาดที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วแต่กลับได้ผลลัพธ์เหมือนกันเพราะคู่สุนัขชายหญิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างพวกเจ้า ตอนที่นางอยู่ ข้าก็ยังลงมือกับเจ้า นางไม่อยู่แล้ว ข้าก็ย่อมยิ่งลงมือกับเจ้า ความคิดของเจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ” เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก “ข้าไม่สนิทกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง จะด่าว่าข้าเป็นหมาก็ได้ แต่อย่าเอาข้าไปข้องเกี่ยวกับนาง ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร ผีโอสถทองสองตน สรุปแล้วต้องการหมิ่นเกียรติข้า หรือต้องหยามศักดิ์ศรีเจ้าเกาเฉิงเองกันแน่?” ผู้เฒ่าสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินออกมาจากทางท้ายเรือช้าๆ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในห้องติดหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งของเรือข้ามฟาก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฝีเท้าของผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ถึงค่อนข้างจะโซเซ สีหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังดิ้นรน ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด เขาเองก็ใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเช่นกัน พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ทุกครั้งที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ มักจะต้องกลายไปเป็นอีกคนเสมอจริงๆ เจ้าเองก็เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน” หลังจากผู้เฒ่าปรากฏตัว นอกเรือก็มีคนร่วมแรงกันร่ายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กที่ตัดขาดจากภายนอก ผู้เฒ่ากลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย เฉินผิงอันถาม “ต้องให้เจ้ามาสอนข้าด้วยหรือ เจ้าคู่ควรหรือ?” ผู้เฒ่าคนนั้นจ้องนิ่งไปยังคนหนุ่มชุดขาวแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการคือการแบ่งหลักแบ่งรอง?” หว่างคิ้วของเฉินผิงอันมีเลือดสดสีแดงฉานเม็ดหนึ่งซึมออกมา เขาพลันยกมือขึ้นคล้ายกำลังบอกเป็นนัยแก่คนนอกว่าไม่ต้องสอดมือเข้าแทรก เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินชูอีที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตูก็ลอยตัวอยู่เหนือปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขายิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “กระบี่บินอยู่ที่นี่แล้ว พวกเรามาเดิมพันกันไหมล่ะ?!” ผู้เฒ่าเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนหนุ่ม เขาเองก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน สีหน้านั้นคล้ายจะเบิกบานใจไม่น้อย กล่าวว่า “ดีมาก ข้าแน่ใจแล้วว่า ในช่วงแรกเริ่มสุด เจ้าและข้าเกาเฉิงจะต้องมีชาติกำเนิดและสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันอย่างแน่นอน” หลังจากที่ผู้เฒ่าปรากฏตัว เขากลับไม่เพียงแต่ไม่มีลางว่าจะออกกระบี่ กลับกันยังหยุดเท้ายืนนิ่ง “ตอนนี้ข้ามีคำถามแค่ข้อเดียว เหตุใดตอนอยู่ที่เมืองสุยเจี้ย พวกจู๋เฉวียนถึงได้ไม่ลงมือช่วยเจ้าต้านทานทัณฑ์สวรรค์” เฉินผิงอันใช้มือซ้ายปาดไปบนใบหน้า ค่อยๆ ปาดลบรอยยิ้มไปทีละนิด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ง่ายมาก ข้าพูดกับเจ้าสำนักจู๋มาตั้งแต่แรกแล้วว่า ขอแค่ไม่ใช่เจ้าเกาเฉิงที่ลงมือฆ่าข้าด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นต่อให้ข้าตายไป พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปรากฎตัว” ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เรื่องแบบนี้ก็มีแต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเท่านั้นที่ถึงจะยอมตกลง และการตัดสินใจเช่นนี้ก็มีเพียงเจ้าในเวลานี้เท่านั้น ข้าเกาเฉิงในอดีตก็จะทำเช่นกัน ใต้หล้าแห่งนี้ควรเป็นคนอย่างพวกเราที่ได้เดินขึ้นสู่ที่สูงไปตลอดทาง” ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าตายด้วยน้ำมือคนอื่นเสียล่ะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองจิงกวาน ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นตัวเจ้าเองจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นแนะนำเจ้าว่าจงบุกสังหารฝ่าทะลุชายหาดโครงกระดูกตรงไปถึงนครจิงกวานในรวดเดียว” ผู้เฒ่าเงยหน้ามองทิศไกล น่าจะเป็นทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีป “บนมหามรรคา อยู่เดียวดายเพียงลำพัง ในที่สุดก็ได้เห็นคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่งจริงๆ แล้ว ครั้งนี้ฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ อันที่จริงมาลองตรองดูอย่างละเอียด ก็ไม่ได้รู้สึกรับไม่ได้ขนาดนั้น ใช่แล้ว เจ้าควรขอบคุณเด็กสาวจากวัดจินตั๋วผู้นั้นให้ดีๆ และยังมีภูตน้ำน้อยที่อยู่ด้านหลังเจ้านี่อีก หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันน้อยๆ สองเรื่องนี้มาช่วยทำจิตใจเจ้าให้สงบ ต่อให้เจ้าระวังตัวแค่ไหนก็ไม่มีทางเดินมาถึงเรือข้ามฟากลำนี้ บางทีจู๋เฉวียนสามคนอาจจะแย่งกระบี่บินไปได้ แต่กลับไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้” ผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อ คนตายตรงหน้าต่างและคนตายตรงหัวเรือ จิตวิญญาณหนึ่งส่วนที่ถูกเขาแบ่งเป็นสองพลันสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ทั้งสองคนนั้นถึงได้ตายไปอย่างแท้จริง กลายเป็นโครงกระดูกขาวที่หล่นกระแทกแตกกระจายบนพื้นในชั่วพริบตา ผู้เฒ่ายื่นมืออ้อมไหล่ไปชักกระบี่ยาวเล่มนั้นออกมาจากฝักช้าๆ เฉินผิงอันกลับยืนนิ่งเฉยไม่ขยับ ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่น “ต่อให้เป็นแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของข้าเกาเฉิง ขอบเขตหยกดิบสามคนของสำนักพีหมาก็ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ลงมือประหาร” ผู้เฒ่าชักกระบี่ยาวออกมาจากฝักแล้วค่อยๆ ปาดลำคอตัวเองไปทีละชุ่น เขาจ้องคนหนุ่มที่ดูคล้ายจะไม่ประหลาดใจเลยสักนิดเขม็ง “องค์เทพประทับบัลลังก์สูงในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยิ่งเหมือนข้าเกาเฉิง หลังจากรู้ผลเป็นตายในชายหาดโครงกระดูกแล้ว เมื่อเจ้าตายไป ข้าจะพาเจ้าไปดูว่าอะไรที่เรียกว่านครเฟิงตูที่แท้จริง หรือหากเป็นข้าที่ตาย เจ้าก็สามารถไปดูด้วยตัวเองได้ เพียงแต่ว่าข้าตายได้ยากมากก็เท่านั้น” ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งก็บั่นคอตัวเองทิ้งทั้งอย่างนี้ ศีรษะกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น ศพที่ไร้หัวยังคงถือกระบี่ด้วยสองมือ ยืนตระหง่านไม่ล้มลง บนเรือข้ามฟากมีฟ้าดินขนาดเล็กที่ตัดขาดโลกภายนอกอีกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา บรรพจารย์สามท่านของสำนักพีหมาพร้อมใจกันปรากฏตัว บรรพจารย์ที่เป็นบุรุษสองคนพากันไปดูบริเวณใกล้เคียงกับโครงกระดูกขาวทั้งสอง ต่างคนต่างใช้วิชาอภินิหารตรวจสอบ จู๋เฉวียนที่พกดาบยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถอนหายใจหนึ่งที “เฉินผิงอัน หากเจ้ายังทำแบบนี้ต่อไปจะเสี่ยงมากนะ” แต่เฉินผิงอันกลับกล่าวว่า “ข้าใช้ความคิดชั่วร้ายของตัวเองลับกระบี่ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อฟ้าดิน” จู๋เฉวียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด นางส่ายหน้า หันไปมองศพไร้หัวนั้นแล้วเงียบงันไปนาน “เฉินผิงอัน เจ้าจะกลายไปเป็นเกาเฉิงคนที่สองไหม?” เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่ค่อยๆ ลูบชายแขนเสื้อทั้งสองให้เรียบ จู๋เฉวียนเพียงแค่มองศพนั้นด้วยสายตาซับซ้อน “แน่นอนว่าข้าย่อมเกลียดแค้นเกาเฉิงและนครจิงกวานเข้ากระดูกดำ แต่ข้าก็จำต้องยอมรับว่า ลึกๆ ในใจข้าเคารพนับถือเกาเฉิงมาโดยตลอด” เฉินผิงอันเพียงแค่หันตัวกลับ ก้มหน้าลงมองแม่นางน้อยที่ยืนหนึ่งไม่กระดิกหยุดอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ดูเหมือนว่านางจะยิ่งดำขึ้นไปอีก เขาจึงรู้สึกขำนิดๆ ต่อให้ดำแค่ไหนก็คงดำไม่เท่าเจ้าถ่านดำผู้นั้นกระมัง? จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร สำนักพีหมาของพวกเราก็ถือว่าติดค้างน้ำใจเจ้าใหญ่เทียมฟ้า” เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถือว่าหายกันแล้ว” นางถอนสายตากลับ ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าจะตามพวกเรากลับไปชายหาดโครงกระดูก ไปหาเกาเฉิงเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีกลับคืนมาจริงๆ หรือ?” เฉินผิงอันส่ายหน้า “ให้เขารอไปก่อนเถอะ ให้ข้าท่องไปทั่วอุตรกุรุทวีปเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน” จู๋เฉวียนหลุดหัวเราะพรืด เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ให้แม่นางน้อยคนนี้ขยับก่อนได้ไหม?” จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ ทันใดนั้นแม่นางน้อยที่เปลี่ยนจากชุดดำเป็นชุดขาวก็กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็อึ้งตะลึงไป นางมองเฉินผิงอันก่อน แล้วถึงได้กวาดตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้ามึนงง แล้วก็เริ่มขมวดคิ้วบางๆ มุ่นอีกครั้ง เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ถามว่า “เจ้าอยากจะไปหาที่อาศัยในสวนน้ำค้างวสันต์ หรือว่าจะไปเที่ยวดูบ้านเกิดข้า?” แม่นางน้อยถาม “ไม่เลือกทั้งสองอย่าง แต่ติดตามเจ้าท่องยุทธภพแทนได้ไหม?” เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้หรอก” แม่นางน้อยยู่หน้า พูดอย่างปรึกษาหารือ “ข้าอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าสามารถกินปลาผักดองได้นะ” เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ไปที่บ้านเกิดข้าเถอะ ที่นั่นมีของกินอร่อยๆ มีที่เที่ยวสนุกๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะหาเพื่อนใหม่ได้ อีกอย่าง ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่าสวีหย่วนเสีย เป็นจอมยุทธใหญ่ อีกทั้งเขาเองก็เพิ่งจะเริ่มเขียนบันทึกภูเขาแม่น้ำพอดี เจ้าสามารถเล่าเรื่องราวของเจ้าให้เขาฟัง ให้เขาช่วยเขียนไว้ในหนังสือได้” แม่นางน้อยเริ่มหวั่นไหว นางพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงดึงชุดคลุมสีขาวหิมะที่นางสามารถใส่ได้อย่างพอดิบพอดีออกแรงๆ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าสวมต่อไปเถอะ ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว อันที่จริงมันมีความหมายไม่มาก ก่อนหน้านี้สวมไว้ก็เพื่อเป็นเวทอำพรางตาที่ใช้ปั่นหัวคนชั่วเท่านั้น” แม่นางน้อยเอาแต่ส่ายหน้า เฉินผิงอันจึงได้แต่กระตุกคอเสื้อมาเบาๆ จากนั้นกางมือสองข้างออก ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็สวมลงบนร่างของเขาด้วยตัวเอง จู๋เฉวียนจุ๊ปากไม่หยุด เจ้าตัวดี เปลี่ยนจากสวมชุดเขียวสวมงอบมาเป็นแต่งกายแบบนี้ มองดูแล้วก็หล่อเหลาไม่เบา —–
แม่นางน้อยชุดดำยิ้มอย่างเขินอาย
บัณฑิตชุดขาวพลันกระชากเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่างออกมา จากนั้นก็สวมครอบลงบนศีรษะของนาง พริบตาเดียวแม่นางน้อยชุดดำก็กลายเป็นแม่นางน้อยชุดขาว
เพียงแต่ว่าด้านในชุดยาวสีขาวหิมะของบัณฑิตชุดขาว กลับยังมีชุดอาคมสีขาวอีกหนึ่งตัว
ดวงตาของเฉินผิงอันใสกระจ่าง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมพูดเสียงเบาว่า “อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามขยับ ห้ามขยับแม้แต่นิดเดียว หากวันนี้เจ้าตายไป ข้าจะทำให้คนทั้งอุตรกุรุทวีปได้รู้ว่าเจ้าคือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ แซ่โจว ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อโจวหมี่ลี่ (เมล็ดข้าว) แล้วกัน แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะพยายามปกป้องเจ้า เหมือนกับที่ข้าพยายามปกป้องคนบางคน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับ กวาดสายตามองผ่านไปยังชั้นหนึ่งและบนชั้นสองของเรือข้ามฟาก พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เกาเฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้อดทนมานานมากแล้ว ยังคิดหาแผนการัดกุมที่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารข้าได้ไม่ออกอีกหรือ? เป็นเพราะหลังออกมาจากรังเก่าเจ้าอ่อนแอเกินไป หรือเป็นเพราะข้า…แข็งแกร่งเกินไป? หากยังไม่ลงมืออีก รอจนไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ ข้าว่าโอกาสลงมือของเจ้าก็จะยิ่งน้อยกว่าเดิมไปอีก”
ทุกคนบนเรือข้ามฟากต่างก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่พูดอะไรอยู่
มีแค่ผู้โดยสารเพียงหยิบมือเท่านั้นที่พอจะรู้สึกว่าชื่อเกาเฉิงนี้ค่อนข้างคุ้นหู เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากไหน
เรือข้ามฟากเพียงแค่ล่องลอยไปเหนือทะเลเมฆอย่างช้าๆ อาบไล้อยู่ภายใต้แสงตะวัน ราวกับถูกห่มทับด้วยเสื้อสีทองตัวหนึ่ง
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น ริมฝีปากขยับเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำไม กลัวว่าข้ายังมีแผนการรอเจ้าอยู่เบื้องหลัง? เจ้านครจิงกวานผู้ยิ่งใหญ่ ผีผู้ปกครองร่วมของชายหาดโครงกระดูก ไม่น่าจะขี้ขลาดขนาดนี้นี่นา ความเคลื่อนไหวที่เมืองสุยเจี้ย เจ้าต้องรู้แน่ ข้าเกือบจะตายไปแล้วจริงๆ เพราะกลัวว่าเจ้าที่ดูงิ้วอยู่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ข้ายังถึงขั้นลดห้าหมัดเหลือสามหมัดแล้วด้วยซ้ำ วิถีการรับรองแขกเช่นนี้ของข้าไม่ใช่ว่าดีกว่าชายหาดโครงกระดูกของพวกเจ้ามากหรอกหรือ? กระบี่บินชูอีอยู่นี่แล้ว เจ้าและรากฐานมหามรรคาของตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกล้วนอยู่ที่นี่ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว”
ขอแค่เป็นเกาเฉิง ย่อมต้องได้ยิน
แล้วก็ต้องได้ยินอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดว่าข้าไม่อาจเชื้อเชิญให้เจ้าเผยตัวได้?”
ดวงตาของลูกจ้างคนหนึ่งของเรือข้ามฝากที่หลบอยู่ตรงมุมเลี้ยวหัวเรือพลันเปลี่ยนเป็นสีดำมืดเหมือนหมึก ผู้ฝึกตนของแคว้นอิ๋นผิงคนหนึ่งที่โชคดีหนีรอดมาจากทะเลสาบชางอวิ๋นได้ และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์เพื่อหลบหายนะก็มีอาการเช่นเดียวกันนี้ สามจิตเจ็ดวิญญาณของพวกเขาพลันแหลกสลายในเสี้ยววินาที ไม่เหลือพลังชีวิตอีกแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะตาย พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึง และยิ่งไม่มีทางรู้เลยว่าส่วนลึกในจิตวิญญาณของตนได้มีเมล็ดพันธ์เมล็ดหนึ่งผลิดอกออกผลเงียบๆ มาโดยตลอด
คนตายทั้งสองคน คนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
คนทั้งสองคนที่ตายไปแล้ว บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างคนต่างใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของตัวเองพูดคุยกัน คนหนึ่งในนั้นยิ้มกล่าวว่า “นอกจากจู๋เฉวียน ยังจะมีใครได้อีก? บรรพจารย์ท่านอื่นๆ ของสำนักพีหมา? หรือว่าพวกเขาสามคนล้วนมากันครบหมด อืม น่าจะมากันทั้งหมด”
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าเหมือนข้าในปีนั้นจริงๆ ได้พบเจ้า ข้าก็เริ่มรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องใช้สมองครุ่นคิดแทบตายเพื่อหาทางมีชีวิตรอดในปีนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากยิ่งนัก แต่ก็เต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย ช่วงเวลานั้นทำให้ข้ามีชีวิตเหมือนคนยิ่งกว่าคนเสียอีก”
ทว่าเส้นสายตาของเฉินผิงอันกลับไม่ได้อยู่บนร่างของคนสองคนที่ตายไปแล้ว สายตาของเขากวาดมองไปเรื่อยๆ รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น “ข้าได้ยินมาว่าคนที่บรรลุมรรคาอยู่บนยอดเขาที่แท้จริงไม่เพียงแต่สามารถเอาจิตหยินออกจากช่องโพรงมาเดินทางไกล และมีจิตหยางกายนอกกายได้เท่านั้น อำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้ ต้องไม่กลัวว่าสำนักพีหมาจะหาตัวเจ้าพบแน่นอน ทำไม เพราะเจ้าแน่ใจว่าข้าและสำนักพีหมาจะไม่มีทางฆ่าผู้โดยสารทุกคนบนเรืองั้นหรือ? อาศัยใบบุญของเจ้าเกาเฉิงและเฮ้อเสี่ยวเหลียง เวลานี้ข้าจะทำอะไรก็ล้วนเหมือนพวกเจ้ามากแล้ว อีกอย่างท่าไม้ตายที่แท้จริงของเขาต้องเป็นโอสถทองผู้แข็งแกร่งที่มีพลังสังหารมหาศาล หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่หลบซ่อนอำพรางตัวอย่างแน่นอน คิดว่าหายากนักหรือ? นับตั้งแต่นาทีที่ข้าคาดการณ์ได้ว่าเจ้าต้องออกมาจากชายหาดโครงกระดูกอย่างแน่นอน จนกระทั่งถึงตอนที่ข้าขึ้นมาบนเรือข้ามฟากลำนี้ เจ้าเกาเฉิงก็แพ้แล้ว”
ความเงียบสงัดแผ่ปกคลุมทั่วทุกพื้นที่
คนตายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างผู้นั้นเปิดปากถาม “เพราะอาศัยการเดิมพันงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น ทว่าเขากลับหรี่ตาหัวเราะหยันเหมือนบัณฑิตชุดขาว “เดิมพัน? คนอื่นต้องนั่งลงบนโต๊ะพนันก่อนแล้วค่อยเดิมพัน แต่ข้านับตั้งแต่จำความได้ ชีวิตนี้ก็ล้วนเดิมพันมาตลอด! ไม่พูดถึงเรื่องดวงในการเดิมพัน แต่หากเป็นทักษะในการเดิมพัน ข้าไม่เคยเจอคนวัยเดียวกันคนใดที่เก่งไปกว่าข้า เฉาสือ ไม่ใช่ หม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่ หยางหนิงซิ่งก็ยิ่งไม่ใช่”
เขาใช้มือซ้ายม้วนชายแขนเสื้อข้างขวา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถึงใช้มือขวาม้วนชายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น แล้วจึงเดินไปอีกหนึ่งก้าว การกระทำเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อเงยหน้าขึ้น ลมเย็นๆ ก็โชยมาปะทะใบหน้า เขาสะบัดขายแขนเสื้อ เมื่อม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีลมวสันต์พัดเติมเต็มแขนเสื้ออีก “ข้าเคยตั้งสมมติฐานว่าตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคือเจ้า นักฆ่าที่จงใจหลบอยู่ในถังอาจมคือเจ้า ผู้ฝึกตนอิสระในตรอกเล็กที่หยิบเหรียญเงินร้อนน้อยออกมาคือเจ้า ผู้คุ้มกันหนุ่มที่มอบถุงน้ำให้ข้าคือเจ้า หรือแม้แต่ภิกษุเฒ่าที่คุมเชิงกับบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองก็ยังคิดว่าเป็นเจ้า แม้แต่แม่นางน้อยข้างกายก็ยังอาจจะเป็นเจ้า ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าคือเกาเฉิง ดังนั้น ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นจึงค่อนข้างมาก มากจนไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยหนึ่งในพัน แต่เป็นหนึ่งที่คิดถึงอะไรก็เจออย่างนั้น ดังนั้นตลอดทางมานี้ข้าจึงเดินทางอย่างยากลำบากมาก แต่ก็คุ้มค่ามาก การฝึกจิตใจของข้ายังไม่เคยมีครั้งไหนที่หนึ่งวันพัฒนาไกลพันลี้ขนาดนี้มาก่อน ข้าแนะนำเจ้าว่าความสามารถของเจ้าในวันนี้ควรจะมีให้มากสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะหันหัวกลับไปชายหาดโครงกระดูกทันที ปฏิบัติต่อคนอื่นเฉกเช่นที่เขาปฏิบัติต่อเรา เชื่อว่าข้าเฉินผิงอันย่อมสามารถมอบความประหลาดใจที่ไม่เล็กให้แก่เจ้าและชายหาดโครงกระดูกได้แน่”
‘ลูกจ้างเรือข้ามฟาก’ คนนั้นพยักหน้ายิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า ข้าเกาเฉิงไม่ว่าจะเป็นตอนมีชีวิตหรือหลังตายไปแล้วก็ไม่เคยพูดเรื่องที่ไร้แก่นสารเช่นกัน”
คนที่อยู่ตรงหน้าต่างทำท่ากระจ่างแจ้ง ทว่ากลับคลี่ยิ้มจริงใจเต็มใบหน้า เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ข้าพลาดคนที่อยากให้เจ้าตายที่สุดคนนั้นไปเพียงคนเดียว ข้าก็สมควรที่จะต้องเสียเปรียบในครั้งนี้แล้ว ศึกที่เมืองสุยเจี้ย รากฐานมหามรรคาของนางก็ต้องเสียหายไปบางส่วน หากเปลี่ยนข้ามาเป็นนางเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะต้องสะบั้นสายสัมพันธ์โลกมืดซึ่งเชื่อมโยงเจ้าไว้ให้ขาดสะบั้นอย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้องถูกเจ้าลากให้ซวยไปด้วย แต่ในเมื่อนางคือเฮ้อเสี่ยวเหลียง ไม่แน่ว่านางอาจจะไปหลบอยู่ในพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่เป็นสำนักของนาง ตัดขาดผลกรรมกับเจ้าไปก่อนชั่วคราว เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าเกาเฉิงกลับต้องทำความผิดพลาดที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วแต่กลับได้ผลลัพธ์เหมือนกันเพราะคู่สุนัขชายหญิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างพวกเจ้า ตอนที่นางอยู่ ข้าก็ยังลงมือกับเจ้า นางไม่อยู่แล้ว ข้าก็ย่อมยิ่งลงมือกับเจ้า ความคิดของเจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก “ข้าไม่สนิทกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง จะด่าว่าข้าเป็นหมาก็ได้ แต่อย่าเอาข้าไปข้องเกี่ยวกับนาง ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร ผีโอสถทองสองตน สรุปแล้วต้องการหมิ่นเกียรติข้า หรือต้องหยามศักดิ์ศรีเจ้าเกาเฉิงเองกันแน่?”
ผู้เฒ่าสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินออกมาจากทางท้ายเรือช้าๆ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในห้องติดหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งของเรือข้ามฟาก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฝีเท้าของผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ถึงค่อนข้างจะโซเซ สีหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังดิ้นรน ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด เขาเองก็ใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเช่นกัน พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ทุกครั้งที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ มักจะต้องกลายไปเป็นอีกคนเสมอจริงๆ เจ้าเองก็เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน”
หลังจากผู้เฒ่าปรากฏตัว นอกเรือก็มีคนร่วมแรงกันร่ายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กที่ตัดขาดจากภายนอก
ผู้เฒ่ากลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันถาม “ต้องให้เจ้ามาสอนข้าด้วยหรือ เจ้าคู่ควรหรือ?”
ผู้เฒ่าคนนั้นจ้องนิ่งไปยังคนหนุ่มชุดขาวแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการคือการแบ่งหลักแบ่งรอง?”
หว่างคิ้วของเฉินผิงอันมีเลือดสดสีแดงฉานเม็ดหนึ่งซึมออกมา เขาพลันยกมือขึ้นคล้ายกำลังบอกเป็นนัยแก่คนนอกว่าไม่ต้องสอดมือเข้าแทรก
เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินชูอีที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตูก็ลอยตัวอยู่เหนือปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขายิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “กระบี่บินอยู่ที่นี่แล้ว พวกเรามาเดิมพันกันไหมล่ะ?!”
ผู้เฒ่าเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนหนุ่ม เขาเองก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน สีหน้านั้นคล้ายจะเบิกบานใจไม่น้อย กล่าวว่า “ดีมาก ข้าแน่ใจแล้วว่า ในช่วงแรกเริ่มสุด เจ้าและข้าเกาเฉิงจะต้องมีชาติกำเนิดและสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ผู้เฒ่าปรากฏตัว เขากลับไม่เพียงแต่ไม่มีลางว่าจะออกกระบี่ กลับกันยังหยุดเท้ายืนนิ่ง “ตอนนี้ข้ามีคำถามแค่ข้อเดียว เหตุใดตอนอยู่ที่เมืองสุยเจี้ย พวกจู๋เฉวียนถึงได้ไม่ลงมือช่วยเจ้าต้านทานทัณฑ์สวรรค์”
เฉินผิงอันใช้มือซ้ายปาดไปบนใบหน้า ค่อยๆ ปาดลบรอยยิ้มไปทีละนิด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ง่ายมาก ข้าพูดกับเจ้าสำนักจู๋มาตั้งแต่แรกแล้วว่า ขอแค่ไม่ใช่เจ้าเกาเฉิงที่ลงมือฆ่าข้าด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นต่อให้ข้าตายไป พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปรากฎตัว”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เรื่องแบบนี้ก็มีแต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเท่านั้นที่ถึงจะยอมตกลง และการตัดสินใจเช่นนี้ก็มีเพียงเจ้าในเวลานี้เท่านั้น ข้าเกาเฉิงในอดีตก็จะทำเช่นกัน ใต้หล้าแห่งนี้ควรเป็นคนอย่างพวกเราที่ได้เดินขึ้นสู่ที่สูงไปตลอดทาง”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าตายด้วยน้ำมือคนอื่นเสียล่ะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองจิงกวาน ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นตัวเจ้าเองจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นแนะนำเจ้าว่าจงบุกสังหารฝ่าทะลุชายหาดโครงกระดูกตรงไปถึงนครจิงกวานในรวดเดียว”
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองทิศไกล น่าจะเป็นทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีป “บนมหามรรคา อยู่เดียวดายเพียงลำพัง ในที่สุดก็ได้เห็นคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่งจริงๆ แล้ว ครั้งนี้ฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ อันที่จริงมาลองตรองดูอย่างละเอียด ก็ไม่ได้รู้สึกรับไม่ได้ขนาดนั้น ใช่แล้ว เจ้าควรขอบคุณเด็กสาวจากวัดจินตั๋วผู้นั้นให้ดีๆ และยังมีภูตน้ำน้อยที่อยู่ด้านหลังเจ้านี่อีก หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันน้อยๆ สองเรื่องนี้มาช่วยทำจิตใจเจ้าให้สงบ ต่อให้เจ้าระวังตัวแค่ไหนก็ไม่มีทางเดินมาถึงเรือข้ามฟากลำนี้ บางทีจู๋เฉวียนสามคนอาจจะแย่งกระบี่บินไปได้ แต่กลับไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้”
ผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อ คนตายตรงหน้าต่างและคนตายตรงหัวเรือ จิตวิญญาณหนึ่งส่วนที่ถูกเขาแบ่งเป็นสองพลันสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน
ทั้งสองคนนั้นถึงได้ตายไปอย่างแท้จริง กลายเป็นโครงกระดูกขาวที่หล่นกระแทกแตกกระจายบนพื้นในชั่วพริบตา
ผู้เฒ่ายื่นมืออ้อมไหล่ไปชักกระบี่ยาวเล่มนั้นออกมาจากฝักช้าๆ
เฉินผิงอันกลับยืนนิ่งเฉยไม่ขยับ
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่น “ต่อให้เป็นแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของข้าเกาเฉิง ขอบเขตหยกดิบสามคนของสำนักพีหมาก็ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ลงมือประหาร”
ผู้เฒ่าชักกระบี่ยาวออกมาจากฝักแล้วค่อยๆ ปาดลำคอตัวเองไปทีละชุ่น เขาจ้องคนหนุ่มที่ดูคล้ายจะไม่ประหลาดใจเลยสักนิดเขม็ง “องค์เทพประทับบัลลังก์สูงในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยิ่งเหมือนข้าเกาเฉิง หลังจากรู้ผลเป็นตายในชายหาดโครงกระดูกแล้ว เมื่อเจ้าตายไป ข้าจะพาเจ้าไปดูว่าอะไรที่เรียกว่านครเฟิงตูที่แท้จริง หรือหากเป็นข้าที่ตาย เจ้าก็สามารถไปดูด้วยตัวเองได้ เพียงแต่ว่าข้าตายได้ยากมากก็เท่านั้น”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งก็บั่นคอตัวเองทิ้งทั้งอย่างนี้
ศีรษะกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น ศพที่ไร้หัวยังคงถือกระบี่ด้วยสองมือ ยืนตระหง่านไม่ล้มลง
บนเรือข้ามฟากมีฟ้าดินขนาดเล็กที่ตัดขาดโลกภายนอกอีกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา
บรรพจารย์สามท่านของสำนักพีหมาพร้อมใจกันปรากฏตัว
บรรพจารย์ที่เป็นบุรุษสองคนพากันไปดูบริเวณใกล้เคียงกับโครงกระดูกขาวทั้งสอง ต่างคนต่างใช้วิชาอภินิหารตรวจสอบ
จู๋เฉวียนที่พกดาบยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถอนหายใจหนึ่งที “เฉินผิงอัน หากเจ้ายังทำแบบนี้ต่อไปจะเสี่ยงมากนะ”
แต่เฉินผิงอันกลับกล่าวว่า “ข้าใช้ความคิดชั่วร้ายของตัวเองลับกระบี่ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อฟ้าดิน”
จู๋เฉวียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด นางส่ายหน้า หันไปมองศพไร้หัวนั้นแล้วเงียบงันไปนาน “เฉินผิงอัน เจ้าจะกลายไปเป็นเกาเฉิงคนที่สองไหม?”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่ค่อยๆ ลูบชายแขนเสื้อทั้งสองให้เรียบ
จู๋เฉวียนเพียงแค่มองศพนั้นด้วยสายตาซับซ้อน “แน่นอนว่าข้าย่อมเกลียดแค้นเกาเฉิงและนครจิงกวานเข้ากระดูกดำ แต่ข้าก็จำต้องยอมรับว่า ลึกๆ ในใจข้าเคารพนับถือเกาเฉิงมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันเพียงแค่หันตัวกลับ ก้มหน้าลงมองแม่นางน้อยที่ยืนหนึ่งไม่กระดิกหยุดอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ดูเหมือนว่านางจะยิ่งดำขึ้นไปอีก เขาจึงรู้สึกขำนิดๆ
ต่อให้ดำแค่ไหนก็คงดำไม่เท่าเจ้าถ่านดำผู้นั้นกระมัง?
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร สำนักพีหมาของพวกเราก็ถือว่าติดค้างน้ำใจเจ้าใหญ่เทียมฟ้า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถือว่าหายกันแล้ว”
นางถอนสายตากลับ ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าจะตามพวกเรากลับไปชายหาดโครงกระดูก ไปหาเกาเฉิงเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีกลับคืนมาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ให้เขารอไปก่อนเถอะ ให้ข้าท่องไปทั่วอุตรกุรุทวีปเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
จู๋เฉวียนหลุดหัวเราะพรืด
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ให้แม่นางน้อยคนนี้ขยับก่อนได้ไหม?”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ
ทันใดนั้นแม่นางน้อยที่เปลี่ยนจากชุดดำเป็นชุดขาวก็กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็อึ้งตะลึงไป นางมองเฉินผิงอันก่อน แล้วถึงได้กวาดตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้ามึนงง แล้วก็เริ่มขมวดคิ้วบางๆ มุ่นอีกครั้ง
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ถามว่า “เจ้าอยากจะไปหาที่อาศัยในสวนน้ำค้างวสันต์ หรือว่าจะไปเที่ยวดูบ้านเกิดข้า?”
แม่นางน้อยถาม “ไม่เลือกทั้งสองอย่าง แต่ติดตามเจ้าท่องยุทธภพแทนได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้หรอก”
แม่นางน้อยยู่หน้า พูดอย่างปรึกษาหารือ “ข้าอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าสามารถกินปลาผักดองได้นะ”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ไปที่บ้านเกิดข้าเถอะ ที่นั่นมีของกินอร่อยๆ มีที่เที่ยวสนุกๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะหาเพื่อนใหม่ได้ อีกอย่าง ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่าสวีหย่วนเสีย เป็นจอมยุทธใหญ่ อีกทั้งเขาเองก็เพิ่งจะเริ่มเขียนบันทึกภูเขาแม่น้ำพอดี เจ้าสามารถเล่าเรื่องราวของเจ้าให้เขาฟัง ให้เขาช่วยเขียนไว้ในหนังสือได้”
แม่นางน้อยเริ่มหวั่นไหว
นางพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงดึงชุดคลุมสีขาวหิมะที่นางสามารถใส่ได้อย่างพอดิบพอดีออกแรงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าสวมต่อไปเถอะ ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว อันที่จริงมันมีความหมายไม่มาก ก่อนหน้านี้สวมไว้ก็เพื่อเป็นเวทอำพรางตาที่ใช้ปั่นหัวคนชั่วเท่านั้น”
แม่นางน้อยเอาแต่ส่ายหน้า
เฉินผิงอันจึงได้แต่กระตุกคอเสื้อมาเบาๆ จากนั้นกางมือสองข้างออก ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็สวมลงบนร่างของเขาด้วยตัวเอง
จู๋เฉวียนจุ๊ปากไม่หยุด
เจ้าตัวดี เปลี่ยนจากสวมชุดเขียวสวมงอบมาเป็นแต่งกายแบบนี้ มองดูแล้วก็หล่อเหลาไม่เบา
—–