เฉินผิงอันอุ้มแม่นางน้อยชุดดำไปวางบนราวระเบียง จากนั้นตัวเองก็กระโดดตามขึ้นไป สุดท้ายหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กก็นั่งอยู่เคียงกัน เฉินผิงอันหันหน้าไปถาม “เจ้าสำนักจู๋ ท่านอย่าแอบฟังได้หรือไม่ แค่ครู่เดียวเท่านั้น” จู๋เฉวียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล สองมือที่กำเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ “คำพูดที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่?” แม่นางน้อยยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงเย็นเอ่ย “เหลวไหล ข้าไม่ได้ตกใจอะไรมากสักหน่อย!” เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “กล้าเขกมะเหงกใส่ข้ารัวๆ ก็ใจกล้าไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ” แม่นางน้อยหัวเราะหึหึ เฉินผิงอันถาม “โจวหมี่ลี่ ชื่อนี้ เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่รู้อะไร ชื่อที่ข้าตั้งล้วนได้รับคำชมว่าดีทั้งนั้น ทุกคนต่างก็ต้องยกนิ้วให้” แม่นางน้อยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็รู้สึกว่ามีชื่อ ถึงอย่างไรก็ดีกว่ามีแซ่เพียงอย่างเดียว เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เขาเปิดผนึกดินออก ดื่มไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “วันหน้าหากข้าไม่อยู่ข้างกายเจ้าแล้ว เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่ง คนเลวทำเลว ไม่ใช่ว่าจะต้องดุร้ายอำมหิต มองดูแล้วน่าตกใจอย่างมากไปเสียหมด คำว่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ แค่ฟังก็ชวนให้ขนพองสยองเกล้าแล้ว ทว่าสิ่งที่มากกว่านั้น…กลับเหมือนลมเยือกเย็นยามราตรีของหุบเขาลมเหลืองที่พวกเราสามารถเดินผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ก็แค่รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ในอนาคตเจ้าจะต้องระวังเจตนามุ่งร้ายที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้พวกนี้ รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะให้เจ้าทำตัวเลียนแบบคนชั่ว แต่ต้องการให้เจ้ารู้จักเห็นค่าและทะนุถนอมความปรารถนาดีน้อยใหญ่ที่ผู้คนมีต่อคนบนโลก และยิ่งควรต้องรู้ว่าพวกมันได้มาไม่ง่าย” จากนั้นเฉินผิงอันก็เอื้อมมือไปด้านหลัง ชี้ไปทางระเบียงชั้นสองของเรือข้ามฟาก “ยกตัวอย่างเช่น นอกจากคนเลวที่ชนเจ้าและยังเตะเจ้าผู้นั้นแล้ว เจ้ายังต้องระวังลูกจ้างหนุ่มที่ไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกตนซึ่งก่อนหน้านี้มาปรากฎตัวต่อหน้าข้า ความระแวดระวังที่มีต่อเขาต้องมากกว่าที่มีต่อคนดูแลที่ขายรายงานข่าวให้แก่เจ้า และยิ่งต้องระวังคนที่อยู่ข้างกายหญิงชราคนนั้น ไม่ใช่คุณชายคนนั้น และยิ่งไม่ใช่สตรีผู้นั้น ต้องหัดมองดูพวกคนที่ไม่สะดุดตาซึ่งอยู่ข้างกายพวกเขาให้มาก พวกเขาอาจเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่ในมุมลับตามากที่สุด” “ต้องระวังความเลวที่ไม่ได้มองเห็นอย่างโจ่งแจ้ง ประเภทหนึ่งคือคนเลวที่ฉลาด เก็บงำประกายไว้อย่างลึกล้ำ คิดอุบายวางแผนยาวไกล อีกประเภทหนึ่งคือคนเลวที่โง่เขลา พวกเขาล้วนมีสัญชาตญาณบางอย่างที่แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว ดังนั้นพวกเราจะต้องพยายามคิดให้มากกว่าพวกเขา พยายามทำให้ตัวเองฉลาดยิ่งกว่าถึงจะได้” “ความแข็งแกร่งทั้งหลายที่พวกเราสามารถมองเห็นทะลุปรุโปร่งได้ในปราดเดียว ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บิน วิชาหมัด ชุดอาคม กลอุบาย ชาติกำเนิด ล้วนไม่ใช่ความแข็งแกร่งและอันตรายที่แท้จริง” แม่นางน้อยยู่ใบหน้าเล็กๆ และย่นหัวคิ้วจนขมวดมุ่น ครั้งนี้นางไม่ได้แสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่นางอยากเข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ เพราะนางรู้ว่า เขาหวังดีต่อนาง ต่อให้นางจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมหวังดีต่อนางแล้วต้องพูดเรื่องที่ยากจะทำความเข้าใจพวกนี้ด้วยก็ตาม จากนั้นคนผู้นั้นก็ยื่นมือออกมาวางบนศีรษะของนางเบาๆ “รู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็แค่อดไม่ไหวจนต้องพูดออกมา ดังนั้นข้าหวังว่าเมื่อเจ้าไปอยู่บ้านเกิดของข้าแล้ว รอให้โตอีกหน่อยค่อยไปท่องยุทธภพ ในเรื่องของการเติบโตนี้ เจ้าเป็นภูตน้ำใหญ่ตัวหนึ่ง ไม่ใช่เด็กจากครอบครัวยากจน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอยากเติบโต ไม่ต้องรีบ เติบโตให้ช้าหน่อย” แม่นางน้อยชุดดำอืมรับหนึ่งที “ข้าจำไว้หมดแล้ว…ก็ได้ ไม่โกหกเจ้า อันที่จริงข้าจำได้แค่เกือบหมดเท่านั้น” เฉินผิงอันดื่มเหล้า “เรื่องที่พูดก่อนหน้านี้จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่สองสามเรื่องต่อจากนี้จะต้องจำให้ได้ ข้อแรก บ้านเกิดของข้าคือสถานที่ที่มีชื่อว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งตั้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ข้ามีภูเขาอยู่หลายลูก ลูกหนึ่งในนั้นมีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ข้ามีลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนหนึ่ง ชื่อว่าเผยเฉียน เจ้าห้ามหลุดปากบอกนางเด็ดขาดว่าเจ้าเคยเคาะหัวอาจารย์ของนางมาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ทีสองทีด้วย เจ้าไม่ต้องกลัวนาง แค่บอกนางไปอย่างที่ข้าสอน บอกว่าอาจารย์ของนางให้เจ้านำความมาบอก ให้นางตั้งใจคัดตัวอักษรและเรียนหนังสือให้ดี แค่นี้ก็พอแล้ว” กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ดึงมือกลับมา แกว่งกาเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามารถเพิ่มไปได้อีกประโยค บอกว่าอาจารย์ของนางคิดถึงนางมาก” เฉินผิงอันพูดต่อว่า “เรื่องที่สอง ข้ายังมีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าชุยตงซาน หากเจอเขาแล้วรู้สึกว่าดูเหมือนน้ำจะเข้าสมองเขามากกว่าใคร ก็ยิ่งไม่ต้องกลัวเขา หากเขากล้ารังแกเจ้า เจ้าก็ไปยืมสมุดเล่มหนึ่งมาจากเผยเฉียน ลงบัญชีเอาไว้ วันหน้าข้าจะช่วยจัดการเขาแทนเจ้าเอง แล้วก็ยังมีพ่อครัวเฒ่าอีกหนึ่งคน ชื่อว่าจูเหลี่ยน ไม่ว่าเจ้าเจอเรื่องอะไรก็สามารถไปบอกพวกเขาได้ บนภูเขาลั่วพั่วยังมีคนอีกมากมาย…ช่างเถิด ไว้ให้เจ้าไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ค่อยไปทำความรู้จักกับพวกเขาเองแล้วกัน” เฉินผิงอันหันหน้ามาเรียกเบาๆ “โจวหมี่ลี่” แม่นางน้อยกำลังนับนิ้วว่าตัวเองต้องจำกี่เรื่อง ได้ยินเขาเรียกชื่อใหม่ของตนก็เอียงหน้ามามอง เฉินผิงอันอ้าปากกว้างพลางโคลงศีรษะ แม่นางน้อยกลอกตามองบน มาเลียนแบบนางทำไม แถมยังทำไม่เหมือนด้วย เฉินผิงอันแหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าในกาจนหมด ยกมือเช็ดมุมปากแล้วหัวเราะเสียงดัง เรื่องบางเรื่องเขาอดไม่ไหวจึงต้องพูดออกมาให้แม่นางน้อยฟัง แต่ความในใจบางอย่างกลับยังคงเก็บไว้ในใจของตัวเอง ตอนที่เพิ่งออกจากบ้านเกิด มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ต่อให้เวลานั้นเด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงจะเพิ่งฝึกวิชาหมัดได้ไม่นาน แต่กลับกลายเป็นว่าจิตใจของเขาไม่สั่นคลอนง่ายๆ เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทางอย่างเดียว ภายหลังโตขึ้นมาอีกหน่อย ตอนที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว เขาฝึกหมัดเกือบครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว ทว่าตอนที่อยู่สถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าร่องเจียวหลง ตอนที่เขาได้ยินเสียงในใจจากความคิดหลากหลายเหล่านั้น เขากลับรู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เขาเป็นคนที่เกือบจะต้องตายมาหลายครั้ง เกือบจะสามารถงัดข้อกับเทพเซียนโอสถทองท่านหนึ่งได้แล้ว ทว่าท่ามกลางสภาพการณ์ที่ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล เขากลับใกล้จะสิ้นหวังเต็มที กลับมาถึงบ้านเกิด ไปเยือนยุทธภพในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ก็ได้มาเยือนอุตรกุรุทวีป ไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน เจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง ติงอิงแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว ตู้เม่าขอบเขตบินทะยาน หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว เกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน… เดินไปเดินมา เขาก็เดินผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำแล้ว เรียนวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่ ตอนนี้ยังได้กลายเป็นผู้ฝึกตน จู๋เฉวียนพลันออกเสียงเตือน “เฉินผิงอัน พวกเราจะต้องไปแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กหยุดนิ่งอยู่นานเกินไป คนธรรมดาจะรับไม่ไหว” เฉินผิงอันรีบหันหน้าไป ขณะเดียวกันก็ตบศีรษะแม่นางน้อยข้างกายเบาๆ “ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้ของพวกเรา คงต้องไหว้วานเจ้าสำนักจู๋ให้ช่วยนำไปส่งที่ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวของเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ เฉินผิงอันเข้าใจนางได้ทันที เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปาก ค้อมตัวลงหันไปพูดกับนางเสียงเบา “คือเทพเซียนขอบเขตหยกดิบท่านหนึ่ง ร้ายกาจมากเลยล่ะ” แม่นางน้อยชุดดำก็รีบยกฝ่ามือขึ้น นางรู้จักแค่เซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิด ไม่รู้จักขอบเขตหยกดิบที่แม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนอะไรนี่เลย จึงกดเสียงลงเบาๆ ถามว่า “ร้ายกาจแค่ไหน? ร้ายกาจเท่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองหรือไม่?” เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ร้ายกาจยิ่งกว่า” แม่นางน้อยถามอีก “ข้าควรจะเรียกนางอย่างไร?” เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “เรียกพี่หญิงจู๋ รับรองว่าไม่ผิดแน่ ดีกว่าเรียกว่าเจ้าสำนักจู๋หรือน้าหญิงจู๋มากนัก” แม่นางน้อยยังแอบถามเบาๆ อีกว่า “หากตอนนั่งเรือข้ามทวีป ข้าเงินไม่พอ จะทำอย่างไร?” เฉินผิงอันจึงแอบกระซิบตอบกลับว่า “ติดไว้ก่อน” “แบบนี้จะดีหรือ?” “ไม่เป็นไร พี่หญิงจู๋คนนั้นมีเงินมาก มีเงินมากกว่าพวกเราสองคนรวมกันเสียอีก” “แต่ข้าก็ยังกลัวนางนิดๆ อยู่ดี” “ถ้าอย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าไม่กลัว” จู๋เฉวียนที่ยืนอยู่ด้านข้างยกมือนวดคลึงขมับ หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตคู่นี้มาจับคู่อยู่ด้วยกันได้อย่างไร? สุดท้ายแม่นางน้อยก็สะพายห่อสัมภาระใบนั้นมา นางอยากจะมอบมันให้เขา แต่เขาไม่ต้องการ นางถาม “เจ้าชื่อเฉินคนดีจริงๆ หรือ?” คนผู้นั้นส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงผิงอันอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย” แม่นางน้อยชุดดำถูกจู๋เฉวียนอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วทะยานลมจากไปพร้อมกับบรรพจารย์สองคนของสำนักพีหมา แน่นอนว่าเรื่องเละเทะตรงนั้นพวกเขาก็เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้ว และสำนักพีหมาก็จำเป็นต้องเก็บกวาดด้วย เพราะความน่ากลัวของเกาเฉิงไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าเขาคือวิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบที่เฝ้าพิทักษ์หุบเขาผีร้ายเทานั้น ในช่วงเวลาที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่ง บรรพจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองคนได้ไล่ตรวจสอบทุกคนบนเรือข้ามฟาก จนแน่ใจแล้วว่าเกาเฉิงไม่ได้มีวิธีการใดซ่อนแฝงอำพรางไว้อีกจริงๆ อันที่จริงต่อให้มี เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ด้วยจิตใจและฝีมือของคนหนุ่มผู้นั้น ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเหมือนกัน เพียงไม่นานพันธนาการของฟ้าดินขนาดเล็กก็ค่อยๆ สลายหายไป ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก เห็นเพียงว่าตรงราวระเบียงนั้นมีบัณฑิตชุดขาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้กับทุกคน คนหนุ่มผู้นั้นตบเข่าตัวเองเบาๆ พอจะได้ยินแว่วๆ ว่าเขาพูดว่าเต้าหู้เหม็นอร่อยอะไรสักอย่าง บนระเบียงชมทัศนียภาพของชั้นสอง ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพนามว่าติงถงที่อยู่ข้างกายเว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางยืนได้ไม่มั่นคงแล้ว และกำลังจะถูกเว่ยป๋ายตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตชุดขาวจะยกฝ่ามือขึ้นแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เวลาใดที่นึกขึ้นได้ ข้าค่อยมาฆ่าเขาเอง” เว่ยป๋ายหุบมือกลับมาจริงๆ เขายิ้มบางๆ กุมหมัดกล่าวว่า “เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางน้อมรับคำสั่งของเซียนกระบี่” ผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมาหนึ่งรอบอึ้งงันเป็นไก่ไม้ คล้ายว่าแม้แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังลืมไป บัณฑิตชุดขาวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองผู้ฝึกยุทธคนนั้นแล้วยิ้มถามว่า “กลัวหรือไม่? คงไม่น่าจะกลัว ใช่ไหม เกาเฉิง?” หลังจากถามอย่างไม่ใส่ใจจบ บัณฑิตชุดขาวก็หันตัวกลับมา พลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธคนนั้นพลันเปลี่ยนไป เขาหัวเราะพลางข้ามตัวผ่านระเบียงชั้นสองมาหยุดยืนอยู่บนราวระเบียงข้างกายบัณฑิตชุดขาว พอนั่งลงแล้ว เขาก็ยิ้มถามว่า “คิดได้อย่างไร?” เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ครั้งนี้อาศัยแค่การเดาอย่างเดียวจริงๆ คิดให้ฉลาดกว่าศัตรูคู่อาฆาตเสียหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร” เขาถาม “ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่บอกว่าหลังจากท่องอุตรกุรุทวีปเสร็จค่อยมาหาเรื่องข้า ก็เพราะตั้งสมมติฐานว่าข้ายังอยู่ จากนั้นก็จงใจพูดให้ข้าฟัง?” เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เกาเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ มือสองข้างกำเป็นหมัด ทอดสายตามองไปยังทิศไกล “เจ้าว่าวิถีทางโลกใบนี้ หากมีแต่คนอย่างพวกเรา ผีอย่างพวกเรา จะดีแค่ไหนกัน!” เฉินผิงอันถาม “เจ้าเข้าควบคุมเขาตั้งแต่เมื่อใด?” เกาเฉิงส่ายหน้าคล้ายเสียดายอย่างมาก พูดพร้อมยิ้มเยาะว่า “อยากจะรู้ว่าคนผู้นี้สมควรตายจริงๆ หรือไม่? ที่แท้เจ้าและข้าก็ยังมีความต่าง” เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาสองใบ ให้ตัวเองใบหนึ่ง แล้วก็โยนให้เกาเฉิงที่อยู่ด้านข้างใบหนึ่ง เขาแกะผนึกดินออก กระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ “ปีนั้นตอนอยู่บนสนามรบ มีเกาเฉิงตายไปมากมายขนาดนั้น หลังจากเกาเฉิงลุกขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูก ก็ต้องมีเกาเฉิงตายไปอีกกี่มากน้อย” เกาเฉิงดื่มเหล้าแล้วหัวเราะ “ก็นั่นน่ะสิ” ผลคือจู่ๆ คนผู้นั้นก็เอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าต้องอ่านตำราให้มากอย่างไรล่ะ” เกาเฉิงโยนกาเหล้าใบนั้นทิ้งลงไปท่ามกลางทะเลเมฆอย่างไม่ใส่ใจ “กุยหลิงเกาอร่อยหรือไม่?” เฉินผิงอันถอนหายใจ “แค่วิญญาณกลุ่มเดียวเท่านั้น สามารถแบ่งออกมาใช้ได้มากขนาดนี้เลยหรือ? ข้าล่ะยอมแล้ว มิน่าเล่าถึงได้มีผู้ฝึกตนมากมายยอมสู้ตายสุดชีวิตเพื่อจะขึ้นไปดูบนยอดเขาให้ได้” เกาเฉิงแบฝ่ามือข้างหนึ่งออก กลางฝ่ามือปรากฏน้ำวนสีดำลูกหนึ่ง พอจะมองเห็นประกายแสงสว่างคล้ายแสงดาวเล็กๆ ได้รำไร ประหนึ่งธารช้างเผือกที่หมุนวน “ไม่ต้องรีบร้อน คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะมอบกระบี่บินให้ข้า แล้วให้ข้าส่งมันไปยังนครจิงกวานหรือไม่” เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง นิ้วทั้งสองคว้าจับชูอีแล้วใส่ไว้กลางน้ำวนที่อยู่กลางฝ่ามือนั่น เกาเฉิงกำหมัดแน่น หันหน้ามามอง “ฆ่าเจ้าไม่ง่าย แต่หลอกเจ้ากลับไม่ยาก ข้าอยากจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักพีหมา หากแบ่งจิตวิญญาณออกมามากเกินไป อีกทั้งยังอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา จะสามารถปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ หรือ? จู๋เฉวียนสามารถแบกรับภาระดูแลหุบเขาผีร้ายได้ นางก็ไม่ใช่เศษสวะเลยจริงๆ” เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน เกาเฉิงพยักหน้ารับ “แบบนี้แหละถูกแล้ว” เกาเฉิงยังคงกำสองมือเป็นหมัด “ชั่วชีวิตนี้ข้าเคารพนับถือคนแค่สองคนเท่านั้น คนแรกคืออดีตสหายร่วมกองทัพที่สอนให้ข้ารู้ว่าจะไม่กลัวตายอย่างไรก่อน จากนั้นจึงสอนข้าว่าควรจะเป็นทหารที่หนีทัพอย่างไร เขาหลอกข้ามาทั้งชีวิตว่าเขามีลูกสาวที่สวยมาก ถึงท้ายที่สุดข้าถึงรู้ว่าเขาไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ลูกเมียของเขาตายไปหมดตั้งนานแล้ว และยังมีคนผู้หนึ่งที่เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ เฉินผิงอัน กระบี่บินเล่มนี้ อันที่จริงข้าเอาไปไม่ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอาไป วันหน้ารอเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปเสร็จสิ้นเมื่อใด เจ้าย่อมเป็นฝ่ายยกมันให้ข้าด้วยตัวเอง” เกาเฉิงแบมือ กระบี่บินชูอีลอยนิ่งอยู่กลางฝ่ามือของเขา ควันเขียวเป็นเส้นๆ ผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของผู้ฝึกยุทธนามว่าติงถงคนนั้น สุดท้ายก็สลายหายไปช้าๆ เฉินผิงอันเหม่อลอย กระบี่บินชูอีกลับเข้ามาอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ติงถงผู้นั้นสะดุ้งโหยง มึนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พลันค้นพบว่าตนเองนั่งอยู่บนราวระเบียง พอหันหน้าไปมอง บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “บังเอิญจริง มาชมทัศนียภาพเหมือนกันหรือ?” —–
เฉินผิงอันอุ้มแม่นางน้อยชุดดำไปวางบนราวระเบียง จากนั้นตัวเองก็กระโดดตามขึ้นไป สุดท้ายหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กก็นั่งอยู่เคียงกัน เฉินผิงอันหันหน้าไปถาม “เจ้าสำนักจู๋ ท่านอย่าแอบฟังได้หรือไม่ แค่ครู่เดียวเท่านั้น”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล สองมือที่กำเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ “คำพูดที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่?”
แม่นางน้อยยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงเย็นเอ่ย “เหลวไหล ข้าไม่ได้ตกใจอะไรมากสักหน่อย!”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “กล้าเขกมะเหงกใส่ข้ารัวๆ ก็ใจกล้าไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ”
แม่นางน้อยหัวเราะหึหึ
เฉินผิงอันถาม “โจวหมี่ลี่ ชื่อนี้ เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่รู้อะไร ชื่อที่ข้าตั้งล้วนได้รับคำชมว่าดีทั้งนั้น ทุกคนต่างก็ต้องยกนิ้วให้”
แม่นางน้อยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็รู้สึกว่ามีชื่อ ถึงอย่างไรก็ดีกว่ามีแซ่เพียงอย่างเดียว
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เขาเปิดผนึกดินออก ดื่มไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “วันหน้าหากข้าไม่อยู่ข้างกายเจ้าแล้ว เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่ง คนเลวทำเลว ไม่ใช่ว่าจะต้องดุร้ายอำมหิต มองดูแล้วน่าตกใจอย่างมากไปเสียหมด คำว่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ แค่ฟังก็ชวนให้ขนพองสยองเกล้าแล้ว ทว่าสิ่งที่มากกว่านั้น…กลับเหมือนลมเยือกเย็นยามราตรีของหุบเขาลมเหลืองที่พวกเราสามารถเดินผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ก็แค่รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ในอนาคตเจ้าจะต้องระวังเจตนามุ่งร้ายที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้พวกนี้ รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะให้เจ้าทำตัวเลียนแบบคนชั่ว แต่ต้องการให้เจ้ารู้จักเห็นค่าและทะนุถนอมความปรารถนาดีน้อยใหญ่ที่ผู้คนมีต่อคนบนโลก และยิ่งควรต้องรู้ว่าพวกมันได้มาไม่ง่าย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอื้อมมือไปด้านหลัง ชี้ไปทางระเบียงชั้นสองของเรือข้ามฟาก “ยกตัวอย่างเช่น นอกจากคนเลวที่ชนเจ้าและยังเตะเจ้าผู้นั้นแล้ว เจ้ายังต้องระวังลูกจ้างหนุ่มที่ไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกตนซึ่งก่อนหน้านี้มาปรากฎตัวต่อหน้าข้า ความระแวดระวังที่มีต่อเขาต้องมากกว่าที่มีต่อคนดูแลที่ขายรายงานข่าวให้แก่เจ้า และยิ่งต้องระวังคนที่อยู่ข้างกายหญิงชราคนนั้น ไม่ใช่คุณชายคนนั้น และยิ่งไม่ใช่สตรีผู้นั้น ต้องหัดมองดูพวกคนที่ไม่สะดุดตาซึ่งอยู่ข้างกายพวกเขาให้มาก พวกเขาอาจเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่ในมุมลับตามากที่สุด”
“ต้องระวังความเลวที่ไม่ได้มองเห็นอย่างโจ่งแจ้ง ประเภทหนึ่งคือคนเลวที่ฉลาด เก็บงำประกายไว้อย่างลึกล้ำ คิดอุบายวางแผนยาวไกล อีกประเภทหนึ่งคือคนเลวที่โง่เขลา พวกเขาล้วนมีสัญชาตญาณบางอย่างที่แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว ดังนั้นพวกเราจะต้องพยายามคิดให้มากกว่าพวกเขา พยายามทำให้ตัวเองฉลาดยิ่งกว่าถึงจะได้”
“ความแข็งแกร่งทั้งหลายที่พวกเราสามารถมองเห็นทะลุปรุโปร่งได้ในปราดเดียว ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บิน วิชาหมัด ชุดอาคม กลอุบาย ชาติกำเนิด ล้วนไม่ใช่ความแข็งแกร่งและอันตรายที่แท้จริง”
แม่นางน้อยยู่ใบหน้าเล็กๆ และย่นหัวคิ้วจนขมวดมุ่น ครั้งนี้นางไม่ได้แสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่นางอยากเข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่
เพราะนางรู้ว่า เขาหวังดีต่อนาง
ต่อให้นางจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมหวังดีต่อนางแล้วต้องพูดเรื่องที่ยากจะทำความเข้าใจพวกนี้ด้วยก็ตาม
จากนั้นคนผู้นั้นก็ยื่นมือออกมาวางบนศีรษะของนางเบาๆ “รู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็แค่อดไม่ไหวจนต้องพูดออกมา ดังนั้นข้าหวังว่าเมื่อเจ้าไปอยู่บ้านเกิดของข้าแล้ว รอให้โตอีกหน่อยค่อยไปท่องยุทธภพ ในเรื่องของการเติบโตนี้ เจ้าเป็นภูตน้ำใหญ่ตัวหนึ่ง ไม่ใช่เด็กจากครอบครัวยากจน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอยากเติบโต ไม่ต้องรีบ เติบโตให้ช้าหน่อย”
แม่นางน้อยชุดดำอืมรับหนึ่งที “ข้าจำไว้หมดแล้ว…ก็ได้ ไม่โกหกเจ้า อันที่จริงข้าจำได้แค่เกือบหมดเท่านั้น”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า “เรื่องที่พูดก่อนหน้านี้จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่สองสามเรื่องต่อจากนี้จะต้องจำให้ได้ ข้อแรก บ้านเกิดของข้าคือสถานที่ที่มีชื่อว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งตั้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ข้ามีภูเขาอยู่หลายลูก ลูกหนึ่งในนั้นมีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ข้ามีลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนหนึ่ง ชื่อว่าเผยเฉียน เจ้าห้ามหลุดปากบอกนางเด็ดขาดว่าเจ้าเคยเคาะหัวอาจารย์ของนางมาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ทีสองทีด้วย เจ้าไม่ต้องกลัวนาง แค่บอกนางไปอย่างที่ข้าสอน บอกว่าอาจารย์ของนางให้เจ้านำความมาบอก ให้นางตั้งใจคัดตัวอักษรและเรียนหนังสือให้ดี แค่นี้ก็พอแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ดึงมือกลับมา แกว่งกาเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามารถเพิ่มไปได้อีกประโยค บอกว่าอาจารย์ของนางคิดถึงนางมาก”
เฉินผิงอันพูดต่อว่า “เรื่องที่สอง ข้ายังมีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าชุยตงซาน หากเจอเขาแล้วรู้สึกว่าดูเหมือนน้ำจะเข้าสมองเขามากกว่าใคร ก็ยิ่งไม่ต้องกลัวเขา หากเขากล้ารังแกเจ้า เจ้าก็ไปยืมสมุดเล่มหนึ่งมาจากเผยเฉียน ลงบัญชีเอาไว้ วันหน้าข้าจะช่วยจัดการเขาแทนเจ้าเอง แล้วก็ยังมีพ่อครัวเฒ่าอีกหนึ่งคน ชื่อว่าจูเหลี่ยน ไม่ว่าเจ้าเจอเรื่องอะไรก็สามารถไปบอกพวกเขาได้ บนภูเขาลั่วพั่วยังมีคนอีกมากมาย…ช่างเถิด ไว้ให้เจ้าไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ค่อยไปทำความรู้จักกับพวกเขาเองแล้วกัน”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเรียกเบาๆ “โจวหมี่ลี่”
แม่นางน้อยกำลังนับนิ้วว่าตัวเองต้องจำกี่เรื่อง ได้ยินเขาเรียกชื่อใหม่ของตนก็เอียงหน้ามามอง
เฉินผิงอันอ้าปากกว้างพลางโคลงศีรษะ
แม่นางน้อยกลอกตามองบน
มาเลียนแบบนางทำไม แถมยังทำไม่เหมือนด้วย
เฉินผิงอันแหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าในกาจนหมด ยกมือเช็ดมุมปากแล้วหัวเราะเสียงดัง
เรื่องบางเรื่องเขาอดไม่ไหวจึงต้องพูดออกมาให้แม่นางน้อยฟัง
แต่ความในใจบางอย่างกลับยังคงเก็บไว้ในใจของตัวเอง
ตอนที่เพิ่งออกจากบ้านเกิด มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ต่อให้เวลานั้นเด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงจะเพิ่งฝึกวิชาหมัดได้ไม่นาน แต่กลับกลายเป็นว่าจิตใจของเขาไม่สั่นคลอนง่ายๆ เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทางอย่างเดียว
ภายหลังโตขึ้นมาอีกหน่อย ตอนที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว เขาฝึกหมัดเกือบครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว ทว่าตอนที่อยู่สถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าร่องเจียวหลง ตอนที่เขาได้ยินเสียงในใจจากความคิดหลากหลายเหล่านั้น เขากลับรู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด
อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เขาเป็นคนที่เกือบจะต้องตายมาหลายครั้ง เกือบจะสามารถงัดข้อกับเทพเซียนโอสถทองท่านหนึ่งได้แล้ว ทว่าท่ามกลางสภาพการณ์ที่ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล เขากลับใกล้จะสิ้นหวังเต็มที
กลับมาถึงบ้านเกิด ไปเยือนยุทธภพในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ก็ได้มาเยือนอุตรกุรุทวีป
ไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน เจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง ติงอิงแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว ตู้เม่าขอบเขตบินทะยาน หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว เกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน…
เดินไปเดินมา เขาก็เดินผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำแล้ว
เรียนวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่ ตอนนี้ยังได้กลายเป็นผู้ฝึกตน
จู๋เฉวียนพลันออกเสียงเตือน “เฉินผิงอัน พวกเราจะต้องไปแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กหยุดนิ่งอยู่นานเกินไป คนธรรมดาจะรับไม่ไหว”
เฉินผิงอันรีบหันหน้าไป ขณะเดียวกันก็ตบศีรษะแม่นางน้อยข้างกายเบาๆ “ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้ของพวกเรา คงต้องไหว้วานเจ้าสำนักจู๋ให้ช่วยนำไปส่งที่ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวของเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว
แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
เฉินผิงอันเข้าใจนางได้ทันที เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปาก ค้อมตัวลงหันไปพูดกับนางเสียงเบา “คือเทพเซียนขอบเขตหยกดิบท่านหนึ่ง ร้ายกาจมากเลยล่ะ”
แม่นางน้อยชุดดำก็รีบยกฝ่ามือขึ้น นางรู้จักแค่เซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิด ไม่รู้จักขอบเขตหยกดิบที่แม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนอะไรนี่เลย จึงกดเสียงลงเบาๆ ถามว่า “ร้ายกาจแค่ไหน? ร้ายกาจเท่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ร้ายกาจยิ่งกว่า”
แม่นางน้อยถามอีก “ข้าควรจะเรียกนางอย่างไร?”
เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “เรียกพี่หญิงจู๋ รับรองว่าไม่ผิดแน่ ดีกว่าเรียกว่าเจ้าสำนักจู๋หรือน้าหญิงจู๋มากนัก”
แม่นางน้อยยังแอบถามเบาๆ อีกว่า “หากตอนนั่งเรือข้ามทวีป ข้าเงินไม่พอ จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันจึงแอบกระซิบตอบกลับว่า “ติดไว้ก่อน”
“แบบนี้จะดีหรือ?”
“ไม่เป็นไร พี่หญิงจู๋คนนั้นมีเงินมาก มีเงินมากกว่าพวกเราสองคนรวมกันเสียอีก”
“แต่ข้าก็ยังกลัวนางนิดๆ อยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าไม่กลัว”
จู๋เฉวียนที่ยืนอยู่ด้านข้างยกมือนวดคลึงขมับ
หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตคู่นี้มาจับคู่อยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
สุดท้ายแม่นางน้อยก็สะพายห่อสัมภาระใบนั้นมา นางอยากจะมอบมันให้เขา แต่เขาไม่ต้องการ
นางถาม “เจ้าชื่อเฉินคนดีจริงๆ หรือ?”
คนผู้นั้นส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงผิงอันอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”
แม่นางน้อยชุดดำถูกจู๋เฉวียนอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วทะยานลมจากไปพร้อมกับบรรพจารย์สองคนของสำนักพีหมา แน่นอนว่าเรื่องเละเทะตรงนั้นพวกเขาก็เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้ว และสำนักพีหมาก็จำเป็นต้องเก็บกวาดด้วย เพราะความน่ากลัวของเกาเฉิงไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าเขาคือวิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบที่เฝ้าพิทักษ์หุบเขาผีร้ายเทานั้น ในช่วงเวลาที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่ง บรรพจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองคนได้ไล่ตรวจสอบทุกคนบนเรือข้ามฟาก จนแน่ใจแล้วว่าเกาเฉิงไม่ได้มีวิธีการใดซ่อนแฝงอำพรางไว้อีกจริงๆ อันที่จริงต่อให้มี เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ด้วยจิตใจและฝีมือของคนหนุ่มผู้นั้น ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเหมือนกัน
เพียงไม่นานพันธนาการของฟ้าดินขนาดเล็กก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก
เห็นเพียงว่าตรงราวระเบียงนั้นมีบัณฑิตชุดขาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้กับทุกคน คนหนุ่มผู้นั้นตบเข่าตัวเองเบาๆ พอจะได้ยินแว่วๆ ว่าเขาพูดว่าเต้าหู้เหม็นอร่อยอะไรสักอย่าง
บนระเบียงชมทัศนียภาพของชั้นสอง ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพนามว่าติงถงที่อยู่ข้างกายเว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางยืนได้ไม่มั่นคงแล้ว และกำลังจะถูกเว่ยป๋ายตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตชุดขาวจะยกฝ่ามือขึ้นแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เวลาใดที่นึกขึ้นได้ ข้าค่อยมาฆ่าเขาเอง”
เว่ยป๋ายหุบมือกลับมาจริงๆ เขายิ้มบางๆ กุมหมัดกล่าวว่า “เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางน้อมรับคำสั่งของเซียนกระบี่”
ผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมาหนึ่งรอบอึ้งงันเป็นไก่ไม้ คล้ายว่าแม้แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังลืมไป
บัณฑิตชุดขาวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองผู้ฝึกยุทธคนนั้นแล้วยิ้มถามว่า “กลัวหรือไม่? คงไม่น่าจะกลัว ใช่ไหม เกาเฉิง?”
หลังจากถามอย่างไม่ใส่ใจจบ
บัณฑิตชุดขาวก็หันตัวกลับมา
พลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธคนนั้นพลันเปลี่ยนไป เขาหัวเราะพลางข้ามตัวผ่านระเบียงชั้นสองมาหยุดยืนอยู่บนราวระเบียงข้างกายบัณฑิตชุดขาว
พอนั่งลงแล้ว เขาก็ยิ้มถามว่า “คิดได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ครั้งนี้อาศัยแค่การเดาอย่างเดียวจริงๆ คิดให้ฉลาดกว่าศัตรูคู่อาฆาตเสียหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
เขาถาม “ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่บอกว่าหลังจากท่องอุตรกุรุทวีปเสร็จค่อยมาหาเรื่องข้า ก็เพราะตั้งสมมติฐานว่าข้ายังอยู่ จากนั้นก็จงใจพูดให้ข้าฟัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เกาเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ มือสองข้างกำเป็นหมัด ทอดสายตามองไปยังทิศไกล “เจ้าว่าวิถีทางโลกใบนี้ หากมีแต่คนอย่างพวกเรา ผีอย่างพวกเรา จะดีแค่ไหนกัน!”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเข้าควบคุมเขาตั้งแต่เมื่อใด?”
เกาเฉิงส่ายหน้าคล้ายเสียดายอย่างมาก พูดพร้อมยิ้มเยาะว่า “อยากจะรู้ว่าคนผู้นี้สมควรตายจริงๆ หรือไม่? ที่แท้เจ้าและข้าก็ยังมีความต่าง”
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาสองใบ ให้ตัวเองใบหนึ่ง แล้วก็โยนให้เกาเฉิงที่อยู่ด้านข้างใบหนึ่ง เขาแกะผนึกดินออก กระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ “ปีนั้นตอนอยู่บนสนามรบ มีเกาเฉิงตายไปมากมายขนาดนั้น หลังจากเกาเฉิงลุกขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูก ก็ต้องมีเกาเฉิงตายไปอีกกี่มากน้อย”
เกาเฉิงดื่มเหล้าแล้วหัวเราะ “ก็นั่นน่ะสิ”
ผลคือจู่ๆ คนผู้นั้นก็เอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าต้องอ่านตำราให้มากอย่างไรล่ะ”
เกาเฉิงโยนกาเหล้าใบนั้นทิ้งลงไปท่ามกลางทะเลเมฆอย่างไม่ใส่ใจ “กุยหลิงเกาอร่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “แค่วิญญาณกลุ่มเดียวเท่านั้น สามารถแบ่งออกมาใช้ได้มากขนาดนี้เลยหรือ? ข้าล่ะยอมแล้ว มิน่าเล่าถึงได้มีผู้ฝึกตนมากมายยอมสู้ตายสุดชีวิตเพื่อจะขึ้นไปดูบนยอดเขาให้ได้”
เกาเฉิงแบฝ่ามือข้างหนึ่งออก กลางฝ่ามือปรากฏน้ำวนสีดำลูกหนึ่ง พอจะมองเห็นประกายแสงสว่างคล้ายแสงดาวเล็กๆ ได้รำไร ประหนึ่งธารช้างเผือกที่หมุนวน “ไม่ต้องรีบร้อน คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะมอบกระบี่บินให้ข้า แล้วให้ข้าส่งมันไปยังนครจิงกวานหรือไม่”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง นิ้วทั้งสองคว้าจับชูอีแล้วใส่ไว้กลางน้ำวนที่อยู่กลางฝ่ามือนั่น
เกาเฉิงกำหมัดแน่น หันหน้ามามอง “ฆ่าเจ้าไม่ง่าย แต่หลอกเจ้ากลับไม่ยาก ข้าอยากจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักพีหมา หากแบ่งจิตวิญญาณออกมามากเกินไป อีกทั้งยังอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา จะสามารถปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ หรือ? จู๋เฉวียนสามารถแบกรับภาระดูแลหุบเขาผีร้ายได้ นางก็ไม่ใช่เศษสวะเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน
เกาเฉิงพยักหน้ารับ “แบบนี้แหละถูกแล้ว”
เกาเฉิงยังคงกำสองมือเป็นหมัด “ชั่วชีวิตนี้ข้าเคารพนับถือคนแค่สองคนเท่านั้น คนแรกคืออดีตสหายร่วมกองทัพที่สอนให้ข้ารู้ว่าจะไม่กลัวตายอย่างไรก่อน จากนั้นจึงสอนข้าว่าควรจะเป็นทหารที่หนีทัพอย่างไร เขาหลอกข้ามาทั้งชีวิตว่าเขามีลูกสาวที่สวยมาก ถึงท้ายที่สุดข้าถึงรู้ว่าเขาไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ลูกเมียของเขาตายไปหมดตั้งนานแล้ว และยังมีคนผู้หนึ่งที่เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ เฉินผิงอัน กระบี่บินเล่มนี้ อันที่จริงข้าเอาไปไม่ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอาไป วันหน้ารอเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปเสร็จสิ้นเมื่อใด เจ้าย่อมเป็นฝ่ายยกมันให้ข้าด้วยตัวเอง”
เกาเฉิงแบมือ กระบี่บินชูอีลอยนิ่งอยู่กลางฝ่ามือของเขา
ควันเขียวเป็นเส้นๆ ผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของผู้ฝึกยุทธนามว่าติงถงคนนั้น สุดท้ายก็สลายหายไปช้าๆ
เฉินผิงอันเหม่อลอย กระบี่บินชูอีกลับเข้ามาอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
ติงถงผู้นั้นสะดุ้งโหยง มึนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พลันค้นพบว่าตนเองนั่งอยู่บนราวระเบียง
พอหันหน้าไปมอง
บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “บังเอิญจริง มาชมทัศนียภาพเหมือนกันหรือ?”
—–