จู๋เฉวียนเงียบงันไปนาน จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยสัพยอกว่า “ยังขาดอีกหนึ่งขอบเขตไม่ใช่หรือ? คิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลมจริงๆ หรือไร?” เฉินผิงอันที่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีเจี้ยนเซียนกระทืบเท้าเบาๆ ทะเลเมฆก็มารวมตัวกันคล้ายวัตถุที่จับต้องได้จริง เหมือนแผ่นหินหยกขาว เวทคาถาตระกูลเซียนช่างลี้ลับมหัศจรรย์เสียจริง เขาจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณ” จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ได้พูดออกมาแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างไหม?” เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ดีขึ้นมากเลยล่ะ” จู๋เฉวียนส่ายหน้า “พูดออกมาไม่กี่ประโยค พ่นลมปราณขุ่นมัวไม่กี่คำ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป จะกดทับให้ตัวเองทรุดลงได้ จิงชี่เสินของคนคนหนึ่งไม่ใช่ปณิธานหมัด ไม่ใช่การทุบตีหล่อหลอมจนเหลือเล็กเท่าเมล็ดงา แต่พอปล่อยหมัดออกไปแล้วกลับทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ แต่จิงชี่เสินที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานจำเป็นต้องยิ่งใหญ่สง่าผ่าเผย แต่คำพูดบางอย่าง ข้าที่เป็นคนนอก ต่อให้จะเป็นคำพูดที่ข้ารู้สึกว่าดี แต่อันที่จริงก็ถือว่าเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอว ก็เหมือนกับการไล่ฆ่าเกาเฉิงครั้งนี้ที่หากเปลี่ยนมาเป็นข้าจู๋เฉวียน สมมติว่าข้ามีตบะและขอบเขตเหมือนกับเจ้า ป่านนี้ก็คงตายไปหลายสิบรอบแล้ว” เฉินผิงอันกล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้นข้าถึงได้เคารพเลื่อมใสเจ้าสำนักจู๋ แม้บนมหามรรคาจะยากลำบาก แต่กลับเดินได้อย่างองอาจเสรี” จะมีผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสักกี่คนที่เมื่ออยู่ภายใต้สถานที่ตัวเองตั้งใจทำเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว แล้วยังกล้าพูดว่าเป็นความผิดของตน ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าใหญ่เทียมฟ้า จู๋เฉวียนดึงมือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “พูดประจบให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าไม่มีภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มมาให้เจ้าหรอกนะ” เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าขอนอนสักครู่ เจ้าสำนักจู๋อย่าได้รู้สึกว่าข้าไม่ให้ความเคารพ” จู๋เฉวียนยื่นมือออกมา “ใต้หล้านี้ไม่มีเหล้ากาใดที่สยบจู๋เฉวียนไม่ได้” เฉินผิงอันกำลังจะหยิบกาเหล้าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แต่จู๋เฉวียนกลับถลึงตาเอ่ยว่า “ต้องเป็นสุราดี! เลิกเอาเหล้าหมักข้าวในหมู่ชาวบ้านมาหลอกข้าเสียที ข้าจู๋เฉวียนเกิดและเติบโตมาบนภูเขา ไม่อาจรองรับพวกชาวบ้านร้านตลาดได้ ชีวิตนี้ได้แต่ผลาญเวลาหมดไปกับพวกโครงกระดูกของหุบเขาผีร้ายที่อยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง ยิ่งไม่มีอารมณ์คิดถึงบ้านเกิดใดๆ ทั้งสิ้น!” เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เหล้าหมักตระกูลเซียนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อเหลืออีกไม่มากแล้ว ด้วยนิสัยและลูกไม้ในการหลอกขอสุราของจู๋เฉวียนนี้ คงเผชิญกับการยื่นมือออกมาของนางได้แค่ไม่กี่ครั้งจริงๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังเอาเหล้าออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีรากฐานไม่เหมือนกันออกมาถึงสามกาโดยตรง มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่า มีเหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มีเหล้าเหงื่อม้าจื่อหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาโยนให้นางเบาๆ ไปทีละกา แล้วก็จริงดังคาด จู๋เฉวียนเก็บสองกาไปไว้ในฟ้าดินชายแขนเสื้อของตัวเองก่อน แล้วถึงกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ค่อนข้างมากแล้ว เกรงใจจริง” เฉินผิงอันนอนอยู่บนทะเลเมฆที่เป็นดั่งกระดานหินหยก เหมือนกับปีนั้นที่นอนอยู่บนระเบียงไผ่เขียวของเรือนชุยตงซานในสำนักศึกษาซานหยา ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็คล้ายบ้านเกิด ตลอดทางหลังออกมาจากชายหาดโครงกระดูก เขาเหนื่อยมากจริงๆ จู๋เฉวียนนั่งอยู่ข้างกาย วางแม่นางน้อยชุดดำไว้ด้านข้างเบาๆ นางโบกสะบัดชายแขนเสื้อให้พายุลมกรดบนท้องฟ้าอ้อมผ่านแม่นางน้อยไปดั่งน้ำที่เจอเสาหิน นางยังคงนอนหลับฝันหวาน ไร้ทุกข์และไร้กังวล จู๋เฉวียนดื่มเหล้า พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “อิงตามคำบอกของเจ้าก่อนหน้านี้ ถ้าเกาเฉิงรู้ว่าตัวเองต้องตาย แล้วคิดจะให้พินาศวอดวายกันไปหมดจริง หากเขาคิดจะลากนครจิงกวานและหุบเขาผีร้ายให้ตายตกตามกันไปด้วย ภูเขามู่อีก็ไม่เพียงแต่ต้องโดนทุบทำลายจนเละ ชายหาดโครงกระดูกเองก็คงต้องพังทลายลงไปเหมือนกัน และลำคลองเหยาเย่ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย บวกกับปราณชั่วร้ายในหุบเขาผีร้ายที่จะต้องลามขยายออกไปทางตอนบน คนนับพันนับหมื่นในหลายแคว้นนั้น ไม่รู้ว่าต้องตายกันไปกี่มากน้อย สมกับคำว่า ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ อย่างแท้จริง” เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่ถ้าหาก แต่เป็นแน่นอน” จู๋เฉวียนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “นั่นสิ” เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าสำนักจู๋รู้หรือไม่ว่ากระแสผู้คนที่ไปเยือนนครปี้ฮว่าในแต่ละวัน ชาวบ้านที่อยู่ในตลาดด่านไน่เหอ พรรคและสำนักที่ตั้งอยู่ในชายหาดโครงกระดูก มีจำนวนเท่าไร? รู้หรือไม่ว่าจำนวนประชากรที่อยู่ตามแคว้นต่างๆ ทางตอนบนของลำคลองเหยาเย่มีมากแค่ไหน?” จู๋เฉวียนอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง “ข้าจะต้องรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไม ข้าไม่มีเวลามาสนใจจริงๆ ทั้งต้องฝึกตนเหมือนเต่าคลาน แล้วยังต้องเป็นเจ้าสำนักอย่างยากลำบากนี่ แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว” เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนที่ข้าเดินทางผ่านชายหาดโครงกระดูก เคยได้เห็นมาก่อน คำนวณมาก่อน สืบข่าวมาก่อนและพลิกเปิดตำรามาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้รู้” จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่ในหัวของเจ้าวันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่?” เฉินผิงอันสอดสองมือรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน “หลังออกมาจากภูเขามู่อี ข้ามองใครก็คิดว่าเป็นเกาเฉิงไปเสียหมด พอไปถึงเรือนผีของเมืองสุยเจี้ย ข้ามองใครก็ล้วนเป็นเฉินผิงอัน เพราะฉะนั้นข้าเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน” จู๋เฉวียนกล่าวอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าต้องมาที่อุตรกุรุทวีป ที่นี่คือสถานที่ที่ชอบรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด เจ้าเป็นคนกลัวตายขนาดนี้ ทำไมไม่รอให้ขอบเขตสูงกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยมา อีกอย่างวิธีการที่ใช้หลบหนีของเจ้าก็ยังน้อยเกินไป รากฐานยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดังนั้นอย่างมากที่สุดก็ได้แค่อาศัยอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้นและยันต์ฟางชุ่นดึงระยะห่างในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในขณะที่ห้าขอบเขตบนอย่างพวกเราและผู้ฝึกลมปราณเซียนดิน มีใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกกระต่ายที่สามารถเผ่นไปไกลได้หลายพันลี้ในรวดเดียว หากเจ้าไม่สามารถเข้าประชิดตัว ตัดสินแพ้ชนะได้อย่างรวดเร็ว ย่อมต้องถูกเผาผลาญพลังจนตาย” แต่แล้วจู๋เฉวียนก็ตบศีรษะตัวเอง “ช่างเถอะ ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน เจ้ามันคนประหลาดไม่เหมือนใครนี่นะ” มารดามันเถอะ สวมชุดคลุมอาคมยังสวมตั้งสองตัว ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ด้านในกลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต อีกทั้งยังมีแม่งตั้งสองเล่ม ในเมื่อสามารถแสร้งเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แล้วก็สามารถแสร้งเป็นผู้ฝึกกระบี่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังแสร้งเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขอบเขตห้า ลูกเล่นแพรวพราว มีเวทอำพรางตาไปเสียทุกหนทุกแห่ง หากต้องต่อสู้เอาชีวิตกันจริงๆ ก็คงไม่ต้องใช้หลักการทั่วไปมาวัดอีกแล้ว บวกกับที่ยังมียันต์ฟางชุ่นและกระบี่ให้ใช้ โอสถทองทั่วไปก็คงไม่อาจต้านทานกลเม็ดเด็ดพรายของเฉินผิงอันได้ บวกกับที่เจ้าเด็กนี่ทนมือทนเท้าได้ดีนัก นี่ทำให้จู๋เฉวียนรู้สึกคันไม้คันมือนิดๆ เหตุใดยามที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของราชวงศ์ต้ากวานคนหนึ่งซัดเจ้าหมอนี่กลับเหมือนสตรีที่ใช้เล็บข่วนเสียได้? เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ายังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง แม้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์ของเมืองสุยเจี้ยจะบาดเจ็บเสียหายไปอย่างสาหัส ยันต์ดีๆ ทั้งหมดของข้าแทบจะถูกใช้เกลี้ยง แต่กลับได้ผลประโยชน์มหาศาลในการหล่อหลอมเรือนกาย ประสิทธิผลของมันเทียบกับเรือนไม้ไผ่ของบ้านเกิดแล้วยังดีกว่าเสียอีก เพราะถึงอย่างไรถูกป้อนหมัดอยู่ในบ้าน ข้าก็ยังแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฆ่าข้าตายจริงๆ ก็แค่เจ็บมากหน่อยเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนที่จมอยู่ท่ามกลางทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆที่อาจต้องตายได้จริงๆ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตร่างทองในอีกสองความหมาย ความหมายแรกคือยังไม่สามารถสร้างจิตแห่งวีรบุรุษได้สำเร็จ อีกความหมายหนึ่งก็เนื่องจากข้าเรียนหลายอย่างปะปนกัน กินเยอะแต่กลับเคี้ยวไม่ละเอียด จึงเป็นเหตุให้กระบวนท่าหมัดเวลาที่ใช้ต่อยตีกับคนอื่นยังไม่สามารถถึงระดับที่ว่าดุจดั่งอสนีบาตในฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งหมัดบุกเบิกขุนเขา” จู๋เฉวียนถามอย่างประหลาดใจ “นี่เจ้ายังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกงั้นหรือ?!” เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดของอุตรกุรุทวีปพวกเราถึงไม่ไปตายกันให้หมดเลยเล่า?” เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใต้หล้านอกจากเฉาสือแล้ว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตยอดเขาทุกคนล้วนต้องไปตายทั้งหมดนั่นแหละ” จู๋เฉวียนกรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “คนอย่างเฉาสือผู้นี้ ขนาดข้ายังเคยได้ยินมาก่อน ทำไม เจ้าก็รู้จักเขาด้วยงั้นหรือ?” เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “ข้าเคยแพ้ให้เขาสามครั้งติดตอนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่” จู๋เฉวียนเบิกตากว้าง คราวนี้กลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่ต้องรู้สึกลำบากใจบ้างแล้ว “ค่อนข้างจะน่าอายอยู่สักหน่อย” สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ลมบนทะเลเมฆลอยโชยมาปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วไสวไปตามสายลม “ไม่เป็นไร บนเส้นทางของการฝึกตน ขอแค่ข้าไม่ถูกเฉาสือทิ้งระยะห่างไปสองขอบเขต ขอแค่ยังต่างกันแค่ขอบเขตเดียว ชีวิตนี้ข้าก็ยังมีหวังที่จะเอาชนะเขาได้!” จู๋เฉวียนรู้ว่าเขาเข้าใจตัวเองผิดไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธหนุ่มบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถทำให้เฉาสือยอมต่อสู้ด้วยถึงสามครั้ง? ก็เหมือนกับการเล่นหมากล้อมของคนในใต้หล้า เจ้านครจักรพรรดิขาวยินดีเล่นหมากล้อมกับใครหลายตาบ้าง? มีเพียงชุยฉานที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นเท่านั้น แน่นอนว่าคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเขายังคงเป็นบัณฑิตที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวเป็นฝ่ายออกมาจากนครเพื่อเชื้อเชิญเขาเข้าไปพูดคุยกันด้วยตัวเองอย่าง ฉีจิ้งชุน สายของเหวินเซิ่งมีคนน้อยก็จริง ทว่าล้วนร้ายกาจกันทุกคน ตอนนั้นที่ฉีจิ้งชุนต้านรับทัณฑ์ใหญ่อันน่าตะลึงพรึงเพริดนั้น เนื่องจากชายหาดโครงกระดูกตั้งอยู่ทางใต้สุดของอุตรกุรุทวีป ส่วนต้าหลีก็อยู่เหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นจู๋เฉวียนจึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่างจากบนภูเขามู่อี นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ว่ากันว่ามาฝึกเรียนกระบี่เมื่ออายุมากแล้ว ปราณกระบี่ที่ยาวเหยียดของเขาพิฆาตผู้คนไปนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าเขาปลีกตัวไปอยู่นอกมหาสมุทร ห่างไกลจากโลกมนุษย์…ปีนั้นจั่วโย่วเคยมาปรากฎตัวที่ด้านนอกของมหาสมุทรที่อยู่ใกล้กับอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป มีเซียนกระบี่ถึงสี่คนออกไปพบเขา ทว่าสามท่านหลังที่หลังจากประลองกระบี่กับอีกฝ่ายแล้ว แต่ละคนล้วนเงียบงัน มีเพียงเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่เร่งรุดไปขัดขวางก่อนใคร ในฐานะหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พลังการสังหารโดดเด่นที่สุดของทวีป พอย้อนกลับมาเขากลับโหวกเหวกป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งทวีปทราบว่า ‘ขอบเขตหยกดิบอย่าไปนะ อย่างน้อยต้องเป็นเซียนเหรินเท่านั้น!’ เกี่ยวกับเรื่องราวของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง อันที่จริงยังมีอีกเยอะมาก เมื่อเทียบกับสายของหย่าเซิ่งที่ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง สร้างภาพบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่งดงามแล้ว สายของเหวินเซิ่งที่ควันธูปแทบจะขาดสะบั้นจึงเรียกได้ว่ามีลูกศิษย์น้อย แต่เรื่องราวกลับมากมาย และอุตรกุรุทวีปก็น่าจะเป็นทวีปแห่งหนึ่งในใต้หล้านี้ที่มีความรู้สึกอันดีต่อสายของเหวินเซิ่งมากที่สุด เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ต่อสู้เก่ง จู๋เฉวียนรู้สึกเลื่อมใสจั่วโย่วผู้นั้นมากเป็นพิเศษ ไม่พูดมาก เจ้าอารมณ์ จุ๊ๆๆ เทียบกับอุตรกุรุทวีปแล้วยังกุรุทวีปยิ่งกว่า ช่างห้าวหาญยิ่งนัก ได้ยินมาว่าหน้าตาก็หล่อเหลา มองดูแล้วสุภาพสง่างาม…ทว่ากลับเป็นคนที่ต่อสู้เก่ง เก่งจนผู้ฝึกกระบี่ในอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้สึกว่าบุคคลที่เป็นเช่นนี้ คนที่มีนิสัยแปลกแยก อีกทั้งไม่ชอบโลกมนุษย์ กลับไม่ได้เกิดในกุรุทวีป ก็ช่างน่าเสียดายนัก ไม่อย่างนั้นคงได้ประลองฝีมือกันทุกวัน จู๋เฉวียนหัวเราะร่า เช็ดปาก หากได้เจอกันสักครั้งคงจะยอดเยี่ยมไปเลย หากเจ้าเด็กข้างกายผู้นี้จะเข้าใจผิดก็ปล่อยเขาเข้าใจผิดไปเถิด ถ้าเขาจะคิดว่านางหัวเราะเยาะที่เขาพ่ายแพ้สามครั้งติดซึ่งเป็นเรื่องน่าขายหน้า ก็เรื่องของเขาแล้ว เดี๋ยวนะ! จู๋เฉวียนหันหน้ากลับมาอย่างแข็งทื่อ พูดด้วยสีหน้าดุดัน “เฉินผิงอัน เจ้าบอกว่าใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้านะ?! อาจารย์ฉีคืออาจารย์ฉีคนไหนกันแน่?!” มารดามันเถอะ ตอนแรกนางถูกพลังอำนาจของเจ้าเด็กนี่สยบเอาไว้ได้ไม่น้อย ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งติดค้างน้ำใจ ลูกศิษย์คือก่อกำเนิดอะไรนั่น แล้วยังมีอาจารย์ครึ่งตัวอะไรที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขานั่นอีก แค่นี้ก็ทำให้สมองของนางคิดตามไม่ทันแล้ว บวกกับที่ตอนนั้นนางเป็นกังวลมากว่าสภาพจิตใจของเจ้าเด็กนี่จะแหลกสลาย เวลานี้ในที่สุดก็คืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ จู๋เฉวียนจึงถามอย่างเดือดดาลว่า “จั่วโย่วเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร?!” บัณฑิตชุดขาวกะพริบตาปริบๆ “เจ้าสำนักจู๋กำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ? ดื่มเหล้าจนเมาเสียแล้วหรือ?” จู๋เฉวียนลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมานั่งแปะอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน ถามเบาๆ ว่า “มาปรึกษากันหน่อย วันหน้าเจ้าให้ศิษย์พี่คนนั้นของเจ้า อืม คนที่ใช้กระบี่น่ะ ให้เขามาเป็นแขกที่ภูเขามู่อีข้าได้ไหม? บอกไปว่าคนมีคนอยากเลี้ยงเหล้าเขา หากเขาไม่ยินดีจะขึ้นฝั่งมาหาข้าที่ภูเขามู่อีก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถไปหาเขาบนมหาสมุทรได้ วันหน้าเจ้าเฉินผิงอันช่วยสานสัมพันธ์ นัดหมายสถานที่เหมาะๆ ให้สักแห่ง แล้วเดี๋ยวข้าจะไปเชิญผังซานหลิงให้ไปด้วยกัน ข้าจะยืนอยู่ข้างกายเขา ให้เหล่าผังช่วยวาดภาพคู่ให้พวกเราสองคน โอ้ย แค่คิดก็เขินแล้ว” เฉินผิงอันนวดคลึงขมับ ไม่รู้จะพูดอะไรดี —–
จู๋เฉวียนเงียบงันไปนาน จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยสัพยอกว่า “ยังขาดอีกหนึ่งขอบเขตไม่ใช่หรือ? คิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลมจริงๆ หรือไร?”
เฉินผิงอันที่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีเจี้ยนเซียนกระทืบเท้าเบาๆ ทะเลเมฆก็มารวมตัวกันคล้ายวัตถุที่จับต้องได้จริง เหมือนแผ่นหินหยกขาว เวทคาถาตระกูลเซียนช่างลี้ลับมหัศจรรย์เสียจริง เขาจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณ”
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ได้พูดออกมาแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างไหม?”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ดีขึ้นมากเลยล่ะ”
จู๋เฉวียนส่ายหน้า “พูดออกมาไม่กี่ประโยค พ่นลมปราณขุ่นมัวไม่กี่คำ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป จะกดทับให้ตัวเองทรุดลงได้ จิงชี่เสินของคนคนหนึ่งไม่ใช่ปณิธานหมัด ไม่ใช่การทุบตีหล่อหลอมจนเหลือเล็กเท่าเมล็ดงา แต่พอปล่อยหมัดออกไปแล้วกลับทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ แต่จิงชี่เสินที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานจำเป็นต้องยิ่งใหญ่สง่าผ่าเผย แต่คำพูดบางอย่าง ข้าที่เป็นคนนอก ต่อให้จะเป็นคำพูดที่ข้ารู้สึกว่าดี แต่อันที่จริงก็ถือว่าเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอว ก็เหมือนกับการไล่ฆ่าเกาเฉิงครั้งนี้ที่หากเปลี่ยนมาเป็นข้าจู๋เฉวียน สมมติว่าข้ามีตบะและขอบเขตเหมือนกับเจ้า ป่านนี้ก็คงตายไปหลายสิบรอบแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้นข้าถึงได้เคารพเลื่อมใสเจ้าสำนักจู๋ แม้บนมหามรรคาจะยากลำบาก แต่กลับเดินได้อย่างองอาจเสรี”
จะมีผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสักกี่คนที่เมื่ออยู่ภายใต้สถานที่ตัวเองตั้งใจทำเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว แล้วยังกล้าพูดว่าเป็นความผิดของตน ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าใหญ่เทียมฟ้า
จู๋เฉวียนดึงมือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “พูดประจบให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าไม่มีภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มมาให้เจ้าหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าขอนอนสักครู่ เจ้าสำนักจู๋อย่าได้รู้สึกว่าข้าไม่ให้ความเคารพ”
จู๋เฉวียนยื่นมือออกมา “ใต้หล้านี้ไม่มีเหล้ากาใดที่สยบจู๋เฉวียนไม่ได้”
เฉินผิงอันกำลังจะหยิบกาเหล้าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แต่จู๋เฉวียนกลับถลึงตาเอ่ยว่า “ต้องเป็นสุราดี! เลิกเอาเหล้าหมักข้าวในหมู่ชาวบ้านมาหลอกข้าเสียที ข้าจู๋เฉวียนเกิดและเติบโตมาบนภูเขา ไม่อาจรองรับพวกชาวบ้านร้านตลาดได้ ชีวิตนี้ได้แต่ผลาญเวลาหมดไปกับพวกโครงกระดูกของหุบเขาผีร้ายที่อยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง ยิ่งไม่มีอารมณ์คิดถึงบ้านเกิดใดๆ ทั้งสิ้น!”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เหล้าหมักตระกูลเซียนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อเหลืออีกไม่มากแล้ว ด้วยนิสัยและลูกไม้ในการหลอกขอสุราของจู๋เฉวียนนี้ คงเผชิญกับการยื่นมือออกมาของนางได้แค่ไม่กี่ครั้งจริงๆ
แต่กระนั้นเขาก็ยังเอาเหล้าออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีรากฐานไม่เหมือนกันออกมาถึงสามกาโดยตรง มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่า มีเหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มีเหล้าเหงื่อม้าจื่อหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาโยนให้นางเบาๆ ไปทีละกา แล้วก็จริงดังคาด จู๋เฉวียนเก็บสองกาไปไว้ในฟ้าดินชายแขนเสื้อของตัวเองก่อน แล้วถึงกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ค่อนข้างมากแล้ว เกรงใจจริง”
เฉินผิงอันนอนอยู่บนทะเลเมฆที่เป็นดั่งกระดานหินหยก เหมือนกับปีนั้นที่นอนอยู่บนระเบียงไผ่เขียวของเรือนชุยตงซานในสำนักศึกษาซานหยา ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็คล้ายบ้านเกิด
ตลอดทางหลังออกมาจากชายหาดโครงกระดูก เขาเหนื่อยมากจริงๆ
จู๋เฉวียนนั่งอยู่ข้างกาย วางแม่นางน้อยชุดดำไว้ด้านข้างเบาๆ นางโบกสะบัดชายแขนเสื้อให้พายุลมกรดบนท้องฟ้าอ้อมผ่านแม่นางน้อยไปดั่งน้ำที่เจอเสาหิน นางยังคงนอนหลับฝันหวาน ไร้ทุกข์และไร้กังวล
จู๋เฉวียนดื่มเหล้า พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “อิงตามคำบอกของเจ้าก่อนหน้านี้ ถ้าเกาเฉิงรู้ว่าตัวเองต้องตาย แล้วคิดจะให้พินาศวอดวายกันไปหมดจริง หากเขาคิดจะลากนครจิงกวานและหุบเขาผีร้ายให้ตายตกตามกันไปด้วย ภูเขามู่อีก็ไม่เพียงแต่ต้องโดนทุบทำลายจนเละ ชายหาดโครงกระดูกเองก็คงต้องพังทลายลงไปเหมือนกัน และลำคลองเหยาเย่ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย บวกกับปราณชั่วร้ายในหุบเขาผีร้ายที่จะต้องลามขยายออกไปทางตอนบน คนนับพันนับหมื่นในหลายแคว้นนั้น ไม่รู้ว่าต้องตายกันไปกี่มากน้อย สมกับคำว่า ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ อย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่ถ้าหาก แต่เป็นแน่นอน”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “นั่นสิ”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าสำนักจู๋รู้หรือไม่ว่ากระแสผู้คนที่ไปเยือนนครปี้ฮว่าในแต่ละวัน ชาวบ้านที่อยู่ในตลาดด่านไน่เหอ พรรคและสำนักที่ตั้งอยู่ในชายหาดโครงกระดูก มีจำนวนเท่าไร? รู้หรือไม่ว่าจำนวนประชากรที่อยู่ตามแคว้นต่างๆ ทางตอนบนของลำคลองเหยาเย่มีมากแค่ไหน?”
จู๋เฉวียนอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง “ข้าจะต้องรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไม ข้าไม่มีเวลามาสนใจจริงๆ ทั้งต้องฝึกตนเหมือนเต่าคลาน แล้วยังต้องเป็นเจ้าสำนักอย่างยากลำบากนี่ แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนที่ข้าเดินทางผ่านชายหาดโครงกระดูก เคยได้เห็นมาก่อน คำนวณมาก่อน สืบข่าวมาก่อนและพลิกเปิดตำรามาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้รู้”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่ในหัวของเจ้าวันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่?”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน “หลังออกมาจากภูเขามู่อี ข้ามองใครก็คิดว่าเป็นเกาเฉิงไปเสียหมด พอไปถึงเรือนผีของเมืองสุยเจี้ย ข้ามองใครก็ล้วนเป็นเฉินผิงอัน เพราะฉะนั้นข้าเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าต้องมาที่อุตรกุรุทวีป ที่นี่คือสถานที่ที่ชอบรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด เจ้าเป็นคนกลัวตายขนาดนี้ ทำไมไม่รอให้ขอบเขตสูงกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยมา อีกอย่างวิธีการที่ใช้หลบหนีของเจ้าก็ยังน้อยเกินไป รากฐานยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดังนั้นอย่างมากที่สุดก็ได้แค่อาศัยอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้นและยันต์ฟางชุ่นดึงระยะห่างในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในขณะที่ห้าขอบเขตบนอย่างพวกเราและผู้ฝึกลมปราณเซียนดิน มีใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกกระต่ายที่สามารถเผ่นไปไกลได้หลายพันลี้ในรวดเดียว หากเจ้าไม่สามารถเข้าประชิดตัว ตัดสินแพ้ชนะได้อย่างรวดเร็ว ย่อมต้องถูกเผาผลาญพลังจนตาย”
แต่แล้วจู๋เฉวียนก็ตบศีรษะตัวเอง “ช่างเถอะ ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน เจ้ามันคนประหลาดไม่เหมือนใครนี่นะ”
มารดามันเถอะ สวมชุดคลุมอาคมยังสวมตั้งสองตัว ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ด้านในกลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต อีกทั้งยังมีแม่งตั้งสองเล่ม
ในเมื่อสามารถแสร้งเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แล้วก็สามารถแสร้งเป็นผู้ฝึกกระบี่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังแสร้งเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขอบเขตห้า ลูกเล่นแพรวพราว มีเวทอำพรางตาไปเสียทุกหนทุกแห่ง หากต้องต่อสู้เอาชีวิตกันจริงๆ ก็คงไม่ต้องใช้หลักการทั่วไปมาวัดอีกแล้ว บวกกับที่ยังมียันต์ฟางชุ่นและกระบี่ให้ใช้ โอสถทองทั่วไปก็คงไม่อาจต้านทานกลเม็ดเด็ดพรายของเฉินผิงอันได้ บวกกับที่เจ้าเด็กนี่ทนมือทนเท้าได้ดีนัก นี่ทำให้จู๋เฉวียนรู้สึกคันไม้คันมือนิดๆ เหตุใดยามที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของราชวงศ์ต้ากวานคนหนึ่งซัดเจ้าหมอนี่กลับเหมือนสตรีที่ใช้เล็บข่วนเสียได้?
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ายังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง แม้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์ของเมืองสุยเจี้ยจะบาดเจ็บเสียหายไปอย่างสาหัส ยันต์ดีๆ ทั้งหมดของข้าแทบจะถูกใช้เกลี้ยง แต่กลับได้ผลประโยชน์มหาศาลในการหล่อหลอมเรือนกาย ประสิทธิผลของมันเทียบกับเรือนไม้ไผ่ของบ้านเกิดแล้วยังดีกว่าเสียอีก เพราะถึงอย่างไรถูกป้อนหมัดอยู่ในบ้าน ข้าก็ยังแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฆ่าข้าตายจริงๆ ก็แค่เจ็บมากหน่อยเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนที่จมอยู่ท่ามกลางทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆที่อาจต้องตายได้จริงๆ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตร่างทองในอีกสองความหมาย ความหมายแรกคือยังไม่สามารถสร้างจิตแห่งวีรบุรุษได้สำเร็จ อีกความหมายหนึ่งก็เนื่องจากข้าเรียนหลายอย่างปะปนกัน กินเยอะแต่กลับเคี้ยวไม่ละเอียด จึงเป็นเหตุให้กระบวนท่าหมัดเวลาที่ใช้ต่อยตีกับคนอื่นยังไม่สามารถถึงระดับที่ว่าดุจดั่งอสนีบาตในฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งหมัดบุกเบิกขุนเขา”
จู๋เฉวียนถามอย่างประหลาดใจ “นี่เจ้ายังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกงั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดของอุตรกุรุทวีปพวกเราถึงไม่ไปตายกันให้หมดเลยเล่า?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใต้หล้านอกจากเฉาสือแล้ว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตยอดเขาทุกคนล้วนต้องไปตายทั้งหมดนั่นแหละ”
จู๋เฉวียนกรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “คนอย่างเฉาสือผู้นี้ ขนาดข้ายังเคยได้ยินมาก่อน ทำไม เจ้าก็รู้จักเขาด้วยงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “ข้าเคยแพ้ให้เขาสามครั้งติดตอนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่”
จู๋เฉวียนเบิกตากว้าง
คราวนี้กลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่ต้องรู้สึกลำบากใจบ้างแล้ว “ค่อนข้างจะน่าอายอยู่สักหน่อย”
สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ลมบนทะเลเมฆลอยโชยมาปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วไสวไปตามสายลม “ไม่เป็นไร บนเส้นทางของการฝึกตน ขอแค่ข้าไม่ถูกเฉาสือทิ้งระยะห่างไปสองขอบเขต ขอแค่ยังต่างกันแค่ขอบเขตเดียว ชีวิตนี้ข้าก็ยังมีหวังที่จะเอาชนะเขาได้!”
จู๋เฉวียนรู้ว่าเขาเข้าใจตัวเองผิดไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธหนุ่มบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถทำให้เฉาสือยอมต่อสู้ด้วยถึงสามครั้ง? ก็เหมือนกับการเล่นหมากล้อมของคนในใต้หล้า เจ้านครจักรพรรดิขาวยินดีเล่นหมากล้อมกับใครหลายตาบ้าง? มีเพียงชุยฉานที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นเท่านั้น แน่นอนว่าคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเขายังคงเป็นบัณฑิตที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวเป็นฝ่ายออกมาจากนครเพื่อเชื้อเชิญเขาเข้าไปพูดคุยกันด้วยตัวเองอย่าง ฉีจิ้งชุน สายของเหวินเซิ่งมีคนน้อยก็จริง ทว่าล้วนร้ายกาจกันทุกคน ตอนนั้นที่ฉีจิ้งชุนต้านรับทัณฑ์ใหญ่อันน่าตะลึงพรึงเพริดนั้น เนื่องจากชายหาดโครงกระดูกตั้งอยู่ทางใต้สุดของอุตรกุรุทวีป ส่วนต้าหลีก็อยู่เหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นจู๋เฉวียนจึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่างจากบนภูเขามู่อี นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ว่ากันว่ามาฝึกเรียนกระบี่เมื่ออายุมากแล้ว ปราณกระบี่ที่ยาวเหยียดของเขาพิฆาตผู้คนไปนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าเขาปลีกตัวไปอยู่นอกมหาสมุทร ห่างไกลจากโลกมนุษย์…ปีนั้นจั่วโย่วเคยมาปรากฎตัวที่ด้านนอกของมหาสมุทรที่อยู่ใกล้กับอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป มีเซียนกระบี่ถึงสี่คนออกไปพบเขา ทว่าสามท่านหลังที่หลังจากประลองกระบี่กับอีกฝ่ายแล้ว แต่ละคนล้วนเงียบงัน มีเพียงเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่เร่งรุดไปขัดขวางก่อนใคร ในฐานะหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พลังการสังหารโดดเด่นที่สุดของทวีป พอย้อนกลับมาเขากลับโหวกเหวกป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งทวีปทราบว่า ‘ขอบเขตหยกดิบอย่าไปนะ อย่างน้อยต้องเป็นเซียนเหรินเท่านั้น!’
เกี่ยวกับเรื่องราวของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง อันที่จริงยังมีอีกเยอะมาก เมื่อเทียบกับสายของหย่าเซิ่งที่ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง สร้างภาพบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่งดงามแล้ว สายของเหวินเซิ่งที่ควันธูปแทบจะขาดสะบั้นจึงเรียกได้ว่ามีลูกศิษย์น้อย แต่เรื่องราวกลับมากมาย และอุตรกุรุทวีปก็น่าจะเป็นทวีปแห่งหนึ่งในใต้หล้านี้ที่มีความรู้สึกอันดีต่อสายของเหวินเซิ่งมากที่สุด
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ต่อสู้เก่ง จู๋เฉวียนรู้สึกเลื่อมใสจั่วโย่วผู้นั้นมากเป็นพิเศษ ไม่พูดมาก เจ้าอารมณ์ จุ๊ๆๆ เทียบกับอุตรกุรุทวีปแล้วยังกุรุทวีปยิ่งกว่า ช่างห้าวหาญยิ่งนัก ได้ยินมาว่าหน้าตาก็หล่อเหลา มองดูแล้วสุภาพสง่างาม…ทว่ากลับเป็นคนที่ต่อสู้เก่ง เก่งจนผู้ฝึกกระบี่ในอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้สึกว่าบุคคลที่เป็นเช่นนี้ คนที่มีนิสัยแปลกแยก อีกทั้งไม่ชอบโลกมนุษย์ กลับไม่ได้เกิดในกุรุทวีป ก็ช่างน่าเสียดายนัก ไม่อย่างนั้นคงได้ประลองฝีมือกันทุกวัน
จู๋เฉวียนหัวเราะร่า เช็ดปาก หากได้เจอกันสักครั้งคงจะยอดเยี่ยมไปเลย
หากเจ้าเด็กข้างกายผู้นี้จะเข้าใจผิดก็ปล่อยเขาเข้าใจผิดไปเถิด ถ้าเขาจะคิดว่านางหัวเราะเยาะที่เขาพ่ายแพ้สามครั้งติดซึ่งเป็นเรื่องน่าขายหน้า ก็เรื่องของเขาแล้ว
เดี๋ยวนะ!
จู๋เฉวียนหันหน้ากลับมาอย่างแข็งทื่อ พูดด้วยสีหน้าดุดัน “เฉินผิงอัน เจ้าบอกว่าใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้านะ?! อาจารย์ฉีคืออาจารย์ฉีคนไหนกันแน่?!”
มารดามันเถอะ ตอนแรกนางถูกพลังอำนาจของเจ้าเด็กนี่สยบเอาไว้ได้ไม่น้อย ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งติดค้างน้ำใจ ลูกศิษย์คือก่อกำเนิดอะไรนั่น แล้วยังมีอาจารย์ครึ่งตัวอะไรที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขานั่นอีก แค่นี้ก็ทำให้สมองของนางคิดตามไม่ทันแล้ว บวกกับที่ตอนนั้นนางเป็นกังวลมากว่าสภาพจิตใจของเจ้าเด็กนี่จะแหลกสลาย เวลานี้ในที่สุดก็คืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ จู๋เฉวียนจึงถามอย่างเดือดดาลว่า “จั่วโย่วเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร?!”
บัณฑิตชุดขาวกะพริบตาปริบๆ “เจ้าสำนักจู๋กำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ? ดื่มเหล้าจนเมาเสียแล้วหรือ?”
จู๋เฉวียนลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมานั่งแปะอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน ถามเบาๆ ว่า “มาปรึกษากันหน่อย วันหน้าเจ้าให้ศิษย์พี่คนนั้นของเจ้า อืม คนที่ใช้กระบี่น่ะ ให้เขามาเป็นแขกที่ภูเขามู่อีข้าได้ไหม? บอกไปว่าคนมีคนอยากเลี้ยงเหล้าเขา หากเขาไม่ยินดีจะขึ้นฝั่งมาหาข้าที่ภูเขามู่อีก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถไปหาเขาบนมหาสมุทรได้ วันหน้าเจ้าเฉินผิงอันช่วยสานสัมพันธ์ นัดหมายสถานที่เหมาะๆ ให้สักแห่ง แล้วเดี๋ยวข้าจะไปเชิญผังซานหลิงให้ไปด้วยกัน ข้าจะยืนอยู่ข้างกายเขา ให้เหล่าผังช่วยวาดภาพคู่ให้พวกเราสองคน โอ้ย แค่คิดก็เขินแล้ว”
เฉินผิงอันนวดคลึงขมับ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
—–