หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว จวนเถี่ยชางก็ยังคงเป็นกองกำลังด้านล่างภูเขาในราชสำนักของโลกมนุษย์ สำหรับกฎเกณฑ์ที่ใช้ในวงการขุนนาง พวกเขาย่อมคุ้นเคยดียิ่งกว่าใคร ยิ่งเป็นเช่นนี้ สำหรับพวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ทำอะไรรวดเร็วฉับไว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตรงไปตรงมาด้วยแล้ว อันที่จริงหากคิดจะรับมือก็ไม่ได้ยากเลย
แล้วก็เพราะว่าสกุลเว่ยที่เป็นสามตระกูลใหญ่ของราชวงศ์ต้ากวานมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ จึงกลับกลายเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มักจะตายไปก่อนวัยอันควร ทว่าตัวอ่อนแม่ทัพบู๊มีน้อยนักหรือ? ไม่น้อยเลย ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ตอนเป็นขุนนางในเมืองหลวงก็ยังดีอยู่ แต่พอต้องไปเป็นขุนนางประจำแต่ละพื้นที่ เป็นขุนนางผู้ช่วยของเจ้าเมืองหรือเป็นนายอำเภออะไรพวกนั้น ยามที่พวกจิ้งจอกเฒ่าในวงการขุนนางคิดจะเล่นงานพวกเขาก็เรียกได้ว่ามีวิธีสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบลึกลับอำพราง หรือแบบที่ทำให้คนสะอิดสะเอียน ปั่นหัวจนพวกเขาหัวหมุน ไม่ต่างจากเอามีดทื่อแร่เนื้อ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้สกุลเว่ยจึงปกป้องเว่ยป๋ายอย่างสุดกำลังความสามารถ ถึงขั้นได้ยินเสียงนกร้องเสียงลมพัดยังขวัญผวา เพราะกลัวว่าจู่ๆ วันใดคุณชายน้อยจะตายไปกะทันหัน หลังจบเรื่องแม้แต่ตัวศัตรูที่สังหารเขาก็ยังควานหาไม่เจอ
แต่ในอดีตทุกครั้งที่คุณชายน้อยออกเดินทาง กลับกลายเป็นว่าปลอดภัยมากที่สุด เส้นทางถูกกำหนดไว้แน่นอน มีองค์รักษ์ข้ารับใช้คอยติดตาม มีตระกูลเซียนให้การรับรองต้อนรับ ด้วยเหตุนี้ยังสามารถล่อกองกำลังฝ่ายตรงข้ามที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำออกมาได้ จากนั้นก็สืบสาวเบาะแสไป ทำให้จวนเถี่ยชางถือโอกาสกวาดล้างภัยร้ายที่ซ่อนอยู่อย่างลับๆ ไปได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นในราชสำนัก บนภูเขาหรือในยุทธภพก็ล้วนมีครบหมด
มีเพียงครั้งนี้ที่เป็นเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง
ตอนนี้เรือข้ามฟากยังคงอยู่ในอาณาเขตของแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ต้ากวาน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมไว้หน้าจวนเถี่ยชางและสวนน้ำค้างวสันต์แม้แต่น้อย ก่อนจะลงมือ มีเสียงผู้คนกระซิบกระซาบวิจารณ์กันมากมาย ต่อให้ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้จะไม่รู้ถึงตัวตนอันสูงศักดิ์ของคุณชายน้อย ก็น่าจะฟังเข้าใจได้บ้างแล้ว
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับชี้ไปที่โต๊ะ “ผู้ดูแลใหญ่เรือข้ามฟาก พวกเราคือคนที่เคยทำการค้ากันมาแล้วถึงสองครั้ง จะเกรงใจระมัดระวังตัวเช่นนี้ไปไย นั่งลง ดื่มชาเสียสิ”
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับกวาดไปบนโต๊ะง่ายๆ ถ้วยชาก็ไถลไปถึงริมขอบโต๊ะด้านหน้าผู้ดูแลเรือ ถ้วยชาอีกครึ่งหนึ่งลอยพ้นขอบโต๊ะออกไป ทำให้ถ้วยชาส่ายไหวน้อยๆ จะตกมิตกแหล่ จากนั้นเขาก็ยกกาน้ำชาขึ้น ผู้ดูแลรีบเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว สองมือจับถ้วยชาใบนั้นไว้ ค้อมเอวลง เมื่อยื่นถ้วยชาออกไปแล้ว รอให้เซียนกระบี่ชุดขาวรินชาให้เรียบร้อย เขาถึงได้นั่งลง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เอ่ยคำพูดประจบสอพลอที่เกินความจำเป็นแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่หน้าร้อน เรือข้ามฟากลำนี้ของตนก็มีเรื่องมากมายให้กลัดกลุ้มเสียแล้ว
คำว่าการค้าสองครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ย หนึ่งคือเรื่องที่เขาควักเงินจ่ายค่าโดยสารเรือลำนี้ อีกหนึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นรายงานข่าวที่ซื้อไป
บัณฑิตชุดขาวยกถ้วยชาขึ้นจิบเนิบนาบ แล้วจึงวางลงบนโต๊ะเบาๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คลี่พัดเปิดออก พัดเบาๆ เอาลมเย็นเข้าสู่ตัว
เว่ยป๋ายถึงได้ยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ แล้ววางลงรวดเร็วตามอีกฝ่ายไป ส่วนคนดูแลเรือข้ามฟากกลับยกถ้วยชาช้าๆ และดื่มเร็วๆ ตามหลังเว่ยป๋าย จากนั้นก็วางถ้วยชาประคองถือไว้บนฝ่ามือสองข้าง ไม่วางมันลงกับโต๊ะ
บัณฑิตชุดขาวยิ้มกล่าว “ความเข้าใจผิดบางอย่าง คุยกันอย่างตรงไปตรงมาก็รู้เรื่องแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ควรจะปรองดองกันจึงจะบังเกิดทรัพย์สิน”
เว่ยป๋ายรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย เมื่อรินเต็มแล้ว มือหนึ่งถือถ้วย อีกมือหนึ่งประคองรองเอาไว้ ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ได้ออกมาท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำทั้งที คราวนี้เป็นจวนเถี่ยชางของพวกเราที่ล่วงเกินผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ผู้น้อยขอใช้น้ำชาต่างสุรา บังอาจดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งถ้วยได้หรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวพยักหน้ารับ
เว่ยป๋ายกระดกดื่มจนหมด
หน้าผากของผู้ดูแลเรือมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา
ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเขาถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
บัณฑิตชุดขาวหันหน้าไปมองผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น “เทพธิดาท่านนี้คือ?”
เว่ยป๋ายวางถ้วยชาลงแล้วยิ้มบางๆ ตอบว่า “คือบุตรีโทนของเซียนซือถังแห่งเรือนเย่ฉ่าวสวนน้ำค้างวสันต์ ถังชิงชิง”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้เทพธิดาถังคือคนแรกในห้องที่คิดจะมาเปิดประตูต้อนรับแขกสินะ สาวงามมีพระคุณยิ่งใหญ่ คุณชายเว่ยอย่าได้ทำผิดต่อนางเชียว”
เว่ยป๋ายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แค่รอให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตอบตกลงเท่านั้น”
บัณฑิตชุดขาวอืมรับหนึ่งที แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แต่ข้าคาดว่าทางฝั่งของเรือนเย่ถังอาจยังพูดได้ง่าย เพราะบุตรเขยที่ดีอย่างคุณชายเว่ย ใครบ้างจะไม่ชอบ เพียงแต่ทางฝั่งของแม่ทัพใหญ่เว่ยนั่นต่างหากที่น่าจะผ่านด่านได้ยาก เพราะถึงอย่างไรบนภูเขากับล่างภูเขาก็ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายังต้องดูที่บุพเพวาสนา ตีคู่ยวนยางให้แยกจากไม่ใช่เรื่องดี แตงที่ฝืนเด็ดก่อนเวลาก็ย่อมไม่หวาน”
แม่งเอ๊ย ข้าเว่ยป๋ายได้ถอนหายใจโล่งอกอีกคราหนึ่งแล้ว
ส่วนถังชิงชิงก็ถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งใจนิดๆ
ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่ยืนอยู่ในห้องไม่ว่าจะเป็นของจวนเถี่ยชางหรือสวนน้ำค้างวสันต์ต่างก็มึนงงไม่เข้าใจ นอกจากตอนแรกที่ยังทำให้คนที่มองดูอยู่สัมผัสได้ถึงปราณสังหารที่ซุ่มซ่อนอยู่ได้เลือนๆ แล้ว เวลานี้ทำไมมองดูแล้วเหมือนคนที่กำลังคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเลยเล่า?
บัณฑิตชุดขาวพลันเอ่ยว่า “เทพธิดาถังน่าจะรู้จักผู้อาวุโสซ่ง ซ่งหลานเฉียวกระมัง?”
ถังชิงชิงรีบตอบ “ย่อมรู้จัก เจ้าของเรือซ่งคือศิษย์พี่ของบิดาข้า ล้วนเป็นผู้ฝึกตนรุ่นตัวอักษรหลานของสวนน้ำค้างวสันต์”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ก่อนหน้านั้นข้าเคยได้นั่งเรือข้ามฟากของผู้อาวุโสซ่ง พวกเราถูกชะตากันอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นสหายต่างวัย ดูท่าเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้คงต้องรบกวนเรือนเย่ฉ่าวเสียแล้ว”
ถังชิงชิงยิ้มหวาน “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาเยือนเรือนเย่ฉ่าว นับเป็นเกียรติของพวกเรา”
ต่อให้เป็นเว่ยป๋ายก็ยังรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ควันธูปครั้งนี้ของถังชิงชิงไม่ได้
บัณฑิตชุดขาวพลันถามว่า “คุณชายเว่ย เซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ผ่านทางมาก่อนหน้านี้พูดจาไม่มีต้นไม่มีปลาย แถมยังบอกว่าจะเลี้ยงน้ำชาข้า เขาเป็นใครชื่อแซ่อะไรหรือ?”
เว่ยป๋ายกล่าว “หากผู้น้อยมองไม่ผิด น่าจะเป็นบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอู นามว่าหลิ่วจื้อชิง เซียนกระบี่หลิ่ว”
ถังชิงชิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูผู้นี้ ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องไปยังน้ำพุบนภูเขาแห่งหนึ่งที่เขาซื้อจากสวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเรามาได้หลายปี เพื่อเอาน้ำมาต้มชา”
บัณฑิตชุดขาวกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ข้าเคยอ่านเจอเนื้อหาส่วนนี้จากในตำรา ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ ของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนั้น ที่แท้เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ก็คือหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูนี่เอง เลื่อมใสในชื่อเสียงของเขามานานแล้ว หากรู้แต่แรก ก่อนหน้านั้นคงทำหน้าหนาทักทายเซียนกระบี่หลิ่วสักสองสามคำ พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์จะได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้บ้าง”
เว่ยป๋ายคลี่ยิ้มเป็นปกติ
ทว่ามุมปากของหญิงชรากลับกระตุกอยู่สองที
น้ำชาอ้อมหมู่บ้านในมือที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าดื่มหมดถ้วยนั้นไม่ขม ทว่าในใจของผู้ดูแลเรือข้ามฟากกลับขมขื่นยิ่ง
นายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้ เจ้าใช้หนึ่งกระบี่ฟันบ่อสายฟ้าตำหนักจินอูของคนเขา หลิ่วจื้อชิงยังมาเชื้อเชิญเจ้าไปดื่มชาอย่างกระตือรือร้น ท่านผู้อาวุโสยังจะต้องการชื่อเสียงน้อยนิดแค่นี้อีกหรือ? พวกเราช่วยทำตัวเป็นคนตรงไปตรงมากันหน่อยได้ไหม ขอร้องนายท่านเซียนกระบี่โปรดพูดมาตรงๆ เลยเถอะ อย่าได้ทรมานจิตใจคนเช่นนี้ต่อไปจะได้หรือไม่?
บัณฑิตชุดขาวหันหน้ามา “ดูเหมือนท่านยายผู้นี้จะรู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอให้ดื่มชาของเซียนกระบี่หลิ่ว?”
หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “มิกล้า เซียนกระบี่ทั้งสองท่านนั่งดื่มน้ำชาตรงข้ามกันริมน้ำพุกลางผืนป่า นี่ย่อมกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่งดงาม ปีนี้สมุดเล็กๆ ของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนั้นก็สามารถจัดพิมพ์ได้ใหม่แล้ว”
บัณฑิตชุดขาวค้างอยู่ในท่าผินหน้าน้อยๆ นั่น
สีหน้าของหญิงชรายิ่งแข็งทื่อมากขึ้นทุกที
บัณฑิตชุดขาวพลันหรี่ตาลงเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าราชวงศ์ล่างภูเขามีคำกล่าวว่านายถูกหมิ่นเกียรติบ่าวต้องตาย”
หญิงชราหน้าตึง
บัณฑิตชุดขาวเอ่ยอีกว่า “เกี่ยวกับเรื่องเล่าอันงดงามนั้น ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าที่ราชวงศ์ต้ากวานก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปีนั้นคุณชายเว่ยกำลังยืมชมทัศนียภาพอยู่บนทะเลสาบหิมะ เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งข้ามสะพานหินโค้งมา ข้างกายมีสาวใช้เยาว์วัยหน้าตางดงามที่คลี่ยิ้มอ่อนหวาน คุณชายเว่ยจึงถามนางว่ายินดีผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนกับเด็กหนุ่มหรือไม่ บอกว่าวิญญูชนย่อมทำให้คนอื่นสมปรารถนา สาวใช้ไม่พูดจา ครู่หนึ่งต่อมาก็มีหญิงชราทะยานข้ามทะเลสาบนำกล่องไม้มามอบให้เด็กหนุ่ม ขอถามท่านยายหน่อยว่า ในกล่องไม้คือวัตถุสิ่งใด? ข้ามาจากสถานที่ยากจน จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่าเป็นของล้ำค่าชนิดใดถึงได้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีได้ถึงขนาดนั้น”
หญิงชราได้เตรียมใจรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
ก็แค่สู้ตายสุดชีวิตเท่านั้น ลากคุณชายน้อยแห่งจวนเถี่ยชางและถังชิงชิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ให้ตายไปด้วยกัน ถึงเวลานั้นนางก็อยากจะรู้นักว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะไปดื่มน้ำชาของหลิ่วจื้อชิงได้อย่างไร!
ทว่าบัณฑิตชุดขาวกลับหันหน้ากลับไปแล้ว “มิน่าเล่าควันธูปของวัดแถบนี้ถึงได้โชติช่วงนัก”
ร่างของเว่ยป๋ายเกร็งเครียด เค้นรอยยิ้มเอ่ยว่า “ทำให้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
บัณฑิตชุดขาวลุกขึ้นยืนช้าๆ สุดท้ายเพียงใช้พัดพับตบไหล่ของผู้ดูแลเรือข้ามฟาก และตอนที่เดินสวนไหล่ไปเขาก็เอ่ยว่า “อย่าให้มีการค้าครั้งที่สามเลย เดินทางตอนกลางคืนบ่อยเกินไป ก็ง่ายที่จะพบเจอคน”
ถังชิงชิงอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง
ไม่ใช่ต้องพูดว่าพบเจอผีได้ง่ายหรอกหรือ?
บัณฑิตชุดขาวเดินตรงไปที่หน้าประตูห้อง ชูแขนขึ้นโบกพัดพับที่หุบเข้าด้วยกันแล้ว “ไม่ต้องไปส่ง”
ประตูห้องยังคงเปิดด้วยตัวเอง และปิดลงด้วยตัวเองอีกครั้ง
เว่ยป๋ายได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ผีเดินตอนกลางคืนเลยง่ายที่จะเจอคนงั้นหรือ?
หลังจากความเงียบงันอันเนิ่นนานผ่านพ้นไป
เว่ยป๋ายที่พอจะแน่ใจได้แล้วว่าคนผู้นั้นสามารถเดินไปกลับบนเรือข้ามฟากได้ครบหนึ่งรอบแล้ว ถึงได้ยิ้มกล่าวกับหญิงชราว่า “อย่าได้ถือสา ยอดฝีมือบนภูเขามักจะไม่หวาดเกรงอะไรเช่นนี้ พวกเราก็ได้แค่อิจฉาเท่านั้น”
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ทว่าในใจของเว่ยป๋ายกลับแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา
เจ้าจะไม่ถือสาจริงอย่างที่ปากว่าหรือไม่ ข้าไม่สน
เพราะข้าถือสามากๆ!
เมื่อครู่ที่หญิงแก่อย่างเจ้าเผยจิตสังหารบางๆ ออกมาเสี้ยวหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นจิตสังหารที่มีต่อเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น แต่ข้าเว่ยป๋ายไม่ใช่คนโง่!
หมากัดคนก็ดี คนตีหมาก็ช่าง ไหนเลยจะดุร้ายอำมหิตได้เท่าหมากัดหมาที่กะจะกัดกันให้ตายไปข้าง
หลังจากบัณฑิตชุดขาวกลับไปถึงห้องของตัวเองแล้ว
ก็เริ่มเดินนิ่งหกก้าว
เขาพลันหยุดเดิน มายืนตรงริมหน้าต่าง ม่านราตรีเยื้องกรายมาเยือน จึงกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนราวระเบียงเรือ ทอดฝีเท้าเดินเนิบช้า
เดินอยู่อย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน
ยามที่พระอาทิตย์ดวงโตลอยพ้นเหนือขอบมหาสมุทร เฉินผิงอันหยุดยืนอยู่บนราวระเบียงตรงหัวเรือ ทอดสายตามองไปไกล ชุดคลุมอาคมสีขาวอาบย้อมอยู่ท่ามกลางแสงอรุโณทัย ประหนึ่งองค์เทพร่างทองที่เยื้องกรายจากฟ้าลงมาสู่พื้นดิน
……
ท่ามกลางแสงสนธยา หน้าประตูเรือนหลังหนึ่งของตรอกฉีหลงเขตการปกครองหลงเฉวียน
แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งหิ้วมานั่งตัวเล็กมานั่งหน้าประตู สือโหรวที่อยู่ในร้านเหลือบตามามองความเคลื่อนไหวภายนอกบ้างเป็นบางครั้ง
เผยเฉียนมักจะมานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ตรงหน้าประตูเป็นประจำ สือโหรวรู้ว่าที่นางทำอย่างนั้นก็เพราะคิดถึงอาจารย์ของนางแล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวไปยังอุตรกุรุทวีป แรกเริ่มก็ยังมีจูเหลี่ยนคอยจับตามองนางอยู่ที่โรงเรียน ใช้เวลาประมาณสิบวัน ในที่สุดเผยเฉียนก็เคยชินกับชีวิตของการเรียน ไม่คิดจะกระโดดกำแพงโดดเรียนออกมาอีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ มีครั้งหนึ่งจูเหลี่ยนไปสอบถามสถานการณ์ล่าสุดจากอาจารย์ของที่โรงเรียน ผลคือเขาต้องทั้งดีใจและเป็นกังวล ดีใจก็เพราะเผยเฉียนไม่ได้ต่อยตีกับใครในโรงเรียน แม้จะด่าใครก็ยังไม่เคย กังวลก็เพราะพวกอาจารย์เองก็จนใจกับเผยเฉียนมากเหมือนกัน เพราะแม่นางน้อยแทบไม่เคยมีความเคารพใดๆ ให้กับตำราของอริยะปราชญ์เลย ตอนที่เรียนหนังสือ นางจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งติดหน้าต่างอย่างสำรวมแล้ววาดคนจิ๋วไว้ตรงมุมหนังสือทุกหน้า พอเลิกเรียนก็เก็บตำราอย่างว่องไว มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปได้ข่าวมาจากไหนลองไปเปิดตำราทั้งหมดของเผยเฉียนดู ก็เห็นว่านางวาดครบทุกหน้าไม่มีตกหล่นจริงๆ คนจิ๋วพวกนั้นถูกวาดอย่างหยาบๆ หัวกลมๆ หนึ่งหัวกับกิ่งไม้เล็กๆ ห้ากิ่ง น่าจะเป็นร่างกายและแขนขาทั้งสี่ พอปิดหนังสือลงแล้วลองเลิกมุมหนังสือออกดูก็จะเหมือนกำลังมองภาพวาดเทพเซียนอยู่อย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่คนจิ๋วที่ปล่อยหมัดก็ต้องเป็นคนจิ๋วที่มีเส้นมาเพิ่มหนึ่งเส้น น่าจะถือว่ากำลังฝึกกระบี่
ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมีโทสะ เขาสอบถามถึงการบ้านของเผยเฉียน ต้องการให้นางท่องบทหนึ่งในตำรา คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยกลับท่องได้ไม่มีตกหล่นสักคำ อาจารย์ผู้เฒ่าจึงได้แต่ยอมเลิกรา เพียงแต่เตือนนางว่าห้ามวาดยันต์ไล่ผีลงบนตำราของอริยะปราชญ์อีก ภายหลังก็ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยไปหาซื้อตำรานอกเหนือจากของในโรงเรียนมาจากที่ไหน การบ้านยังคงทำได้ไม่ดีไม่เลว ส่วนคนจิ๋วก็ยังคงมุมานะวาดอยู่เหมือนเดิม
—–