เวลาเลิกเรียน บางครั้งเผยเฉียนก็จะไปหยิบเอามดตัวหนึ่งมาจากใต้ต้นไม้ แล้วมาวางลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวหิมะแผ่นหนึ่ง เอาแขนข้างหนึ่งขวางไว้ด้านหน้าโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือพู่กันเดี๋ยวก็ตวัดแนวขวาง เดี๋ยวก็ตวัดแนวนอน ขัดขวางเส้นทางการหลบหนีของมด นางสามารถขีดเขียนจนเต็มแผ่นกระดาษ จนกระดาษเหมือนกลายมาเป็นเขาวงกต มดที่น่าสงสารตัวนั้นก็ได้แต่เดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแล้ว เนื่องจากคุณชายเฉินจากลำธารหลงเหว่ยเคยกำชับอาจารย์ทุกคนว่า ให้ปฏิบัติต่อเผยเฉียนเหมือนกับเด็กในเขตการปกครองหลงเฉวียนทั่วไป ดังนั้นเด็กนักเรียนไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือเด็กโตจึงรู้แค่ว่าถ่านดำน้อยผู้นี้มีบ้านอยู่ในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง จะเปิดปากพูดก็ต่อเมื่ออาจารย์ถามเท่านั้น ทุกครั้งเวลาอยู่ในโรงเรียนนางแทบไม่เคยพูดคุยกับใคร ตอนเช้าที่เข้าเรียนและตอนเย็นหลังเลิกเรียนนางจะชอบไปเดินทางขั้นบันไดของตรอกฉีหลง แถมยังชอบเบี่ยงตัวเดินในแนวขวาง สรุปแล้วก็คือเป็นคนผู้หนึ่งที่ประหลาดมาก พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็ไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับนางมากนัก
เมื่ออยู่ในโรงเรียนนานวันเข้าก็เริ่มมีข่าวบางอย่างแพร่ออกมา บอกว่าถ่านดำน้อยคือพวกหลงใหลในทรัพย์ ทุกวันยามอยู่ในร้านยาสุ้ยจะต้องทำการค้ากับคนอื่น ช่วยทางร้านหาเงิน น่าจะไม่มีพ่อแม่ ถึงได้มาอยู่กับตาเฒ่าสกปรกที่เป็นเถ้าแก่ร้านคนนั้น
นอกจากนี้ก็มีเด็กนักเรียนบางส่วนพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่าเมื่อก่อนเคยเห็นกับตาว่าเจ้าถ่านดำน้อยชอบไปทะเลาะกับห่านสีขาวตัวใหญ่ในตรอก แล้วก็มีเด็กนักเรียนที่เป็นเพื่อนบ้านในตรอกฉีหลงบอกว่าทุกวันตอนเช้าตรู่ที่ต้องไปโรงเรียน เผยเฉียนจะต้องจงใจเลียนแบบไก่ขัน หนวกหูมาก ร้ายจริงๆ นอกจากนี้ยังมีคนบอกว่าหลังจากที่เผยเฉียนรังแกห่านใหญ่สีขาวไปแล้วก็ยังจะไปทะเลาะกับไก่ตัวผู้ตัวใหญ่ที่อยู่ทางเหนือสุดของเมืองเล็กด้วย แถมยังพูดเสียงดังว่าจงมากินเท้าลมหมุนของข้าอะไรสักอย่างนี่แหละ หรือไม่บางครั้งก็นั่งลงออกหมัดใส่ไก่ตัวใหญ่ นางบ้าไปแล้วหรือไร
หลังจากครั้งหนึ่งที่จูเหลี่ยนไปโรงเรียน พอกลับร้านมาก็ได้มาพูดคุยกับเผยเฉียน ในที่สุดเผยเฉียนก็ไม่วาดคนจิ๋วลงในหนังสือ แล้วก็ไม่สร้างบ้านให้มดบนกระดาษเซวียนจื่ออีก
แต่หลังเลิกเรียนนางจะไปนั่งอยู่ในมุมเงียบๆ แห่งหนึ่ง เอาดินผสมน้ำปั้นคนจิ๋ว จากนั้นก็จัดขบวนทัพ บัญชาการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอง นางปั้นคนจิ๋วได้ถึงสามสิบสี่สิบตัว ทุกครั้งที่ต่อสู้กันเสร็จ นางก็จะส่งสัญญาณถอนทัพ เอาคนจิ๋วเหล่านั้นไปซ่อนไว้บริเวณใกล้เคียงอย่างมิดชิด
สือโหรวเห็นแล้วก็ไปพูดคุยกับจูเหลี่ยนเป็นการส่วนตัว จูเหลี่ยนบอกแค่ว่าเรื่องนี้ปล่อยนางไป ไม่ต้องไปยุ่ง
แต่สองเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง เรื่องแรก คือมีวันหนึ่งเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้วก็วิ่งไปทำหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการณ์กองทัพบนสนามรบอย่างฮึกเหิม ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมา
สือโหรวถาม เผยเฉียนก็ทำท่าอัดอั้น ยืนอยู่บนม้านั่งด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เอาศีรษะวางพาดไว้บนโต๊ะ บอกว่าหลายวันก่อนหน้านี้มีฝนตกหนัก เหล่าทหารของสองกองทัพจึงล้มตายกันหมดแล้ว
นี่ทำให้สือโหรวรู้สึกกลัดกลุ้มกังวลใจเล็กน้อย ด้วยความฉลาดของเผยเฉียน ไหนเลยจะยอมให้สมบัติของตัวเองเปียกน้ำฝนจนเสียหายได้ แต่ภายหลังจูเหลี่ยนก็ยังคงพูดว่าให้ปล่อยนางไป
ทว่าเรื่องที่สอง แม้แต่จูเหลี่ยนเองก็ยังต้องขมวดคิ้ว พอได้ข่าวจากสือโหรวก็เดินทางออกจากภูเขาลั่วพั่วมาที่ตรอกฉีหลงทันที
สือโหรวบอกกับเขาว่ามีวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เผยเฉียนแบกห่านขาวตัวใหญ่ที่ตายไปแล้วกลับมายังตรอกฉีหลงด้วย จากนั้นก็ไม่รู้ว่านางเอาห่านขาวตัวนั้นไปฝังไว้ที่ไหน
ตอนนั้นเผยเฉียนนั่งคัดตัวอักษรอยู่ในห้องเพียงลำพัง
จูเหลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของร้าน สือโหรวบอกว่าเผยเฉียนไม่ยอมเล่าอะไรเลย เป็นนางที่ไปสืบข่าวมาด้วยตัวเอง
ระหว่างทางที่เผยเฉียนกลับร้านหลังเลิกเรียนได้ถูกสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งขวางทางเอาไว้ บอกว่าต้องเป็นเผยเฉียนที่ทุบห่านขาวของนางจนตายอย่างแน่นอน นางด่าเผยเฉียนด้วยถ้อยคำหยาบคายเสียงดัง ตอนแรกเผยเฉียนบอกว่านางไม่ได้เป็นคนทำ สตรีผู้นั้นก็ยังลงไม้ลงมือเอากับนาง เผยเฉียนหลบมาได้ก็พูดแค่ว่าไม่ใช่ฝีมือของนาง ถึงท้ายที่สุดเผยเฉียนจึงเอาเงินเก็บของตัวเองออกมา เป็นเศษเงินสองเม็ดกับเงินเหรียญทองแดงทั้งหมดที่อดออมสะสมมาอย่างยากลำบากถุงหนึ่ง นางยกให้กับสตรีผู้นั้นไปทั้งหมด บอกว่านางสามารถซื้อห่านขาวตัวใหญ่ที่ตายนั่นมาได้ แต่นางไม่ได้เป็นคนตีมันตาย
สือโหรวกลัดกลุ้มยิ่งนัก ถามจูเหลี่ยนว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะพูดคุยกับเผยเฉียนหรือไม่
ตอนนั้นจูเหลี่ยนยืนหันหลังให้โต๊ะคิดเงิน หันหน้าไปมองยังถนนของตรอกฉีหลง บอกว่าใช่ว่าจะคุยกันไม่ได้ แต่คงไม่มีประโยชน์ เผยเฉียนมีนิสัยอย่างไร นางเชื่อฟังแค่ใคร ใช่ว่าเจ้าสือโหรวจะไม่รู้เสียหน่อย
สือโหรวจึงเสนอความเห็นบอกว่าตนจะไปพูดคุยกับสตรีคนนั้นด้วยตัวเอง แล้วค่อยใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ หาตัวเด็กเกเรของโรงเรียนคนนั้นมา ให้ทั้งสองฝ่ายมาขอโทษเผยเฉียน
ผลคือจูเหลี่ยนที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอกลับสบถด่า บอกว่าจะมีประโยชน์กับผายลมอะไร นี่มันใช่วิธีแก้ปัญหาหรือ?
ทำเอาสือโหรวตกใจจนหน้าซีดเผือด
แต่สุดท้ายจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูร้านเป็นนานก็ทำเพียงแค่กลับไปยังภูเขาลั่วพั่วเงียบๆ ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นมาเผยเฉียนก็ไม่มีจุดใดที่ทำให้คนอื่นไม่วางใจอีก นางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอย่างว่าง่าย ออกเช้ากลับเย็น ตรงเวลาตรงสถานที่เสมอ พอมีเวลาว่างก็จะมาช่วยทำงานที่ร้าน คัดหนังสือ เดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนาง แต่ความวางใจเช่นนี้กลับยิ่งทำให้สือโหรวไม่วางใจ
สือโหรวอยากให้เผยเฉียนตบสตรีคนนั้นให้ล้มคว่ำ หรือไม่ก็ทะเลาะกับอาจารย์บางคนในโรงเรียนยังดีเสียกว่า
แต่เผยเฉียนกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง
นาทีนั้นสือโหรวถึงได้ตระหนักว่า ที่แท้ไม่เพียงภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน จะกลายเป็นภูเขาลั่วพั่วสองแห่งเท่านั้น
แต่มีหรือไม่มีเขาอยู่ข้างกายเผยเฉียน ก็ยิ่งกลายเป็นเผยเฉียนสองคน
ยังดีที่เผยเฉียนยังคงทำเหมือนวันนี้ นางยังคงยกม้านั่งไปนั่งตรงหน้าประตู แทะเมล็ดแตงอยู่เพียงลำพัง พึมพำพูดอะไรบางอย่างกับตัวเอง บางครั้งก็เงยหน้ามองไปยังสุดตรอกของถนน
เผยเฉียนในเวลานี้ สือโหรวมองแล้วค่อนข้างคุ้นเคย
วันนี้เผยเฉียนเพิ่งจะยกม้านั่งเดินกลับมาที่เรือนด้านหลัง กะว่าจะฝึกวิชากระบี่มารคลั่งที่ใกล้จะสมบูรณ์แบบเต็มทีเสียหน่อย ผลคือได้ยินเสียงพ่อครัวเฒ่าตะโกนอยู่หน้าร้านว่า “เจ้าตัวขาดทุน! เจ้าตัวขาดทุนรีบออกมาเร็วเข้า!”
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าวิ่งออกไปอย่างเดือดดาล “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอยากโดนตีใช่ไหม?!”
รอจนเผยเฉียนเดินไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นว่าข้างกายของพ่อครัวเฒ่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนกอดอกอยู่บนธรณีประตู ใบหน้าขึงตึง จ้องเผยเฉียนตาเขม็ง
เผยเฉียนอึ้งตะลึง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่ใครกัน? ลูกสาวนอกสมรสที่พ่อครัวเฒ่าอย่างเจ้าไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอกหรือ? ในที่สุดเจ้าก็ตามตัวเจอแล้วพากลับมา?”
จูเหลี่ยนด่าคำหนึ่งว่าลูกสาวกับผีเจ้าสิ ก่อนจะตบศีรษะของแม่นางน้อยที่ยืนอยู่บนธรณีประตูเบาๆ “นางชื่อโจวหมี่ลี่ อาจารย์ของเจ้าส่งมาจากอุตรกุรุทวีป”
เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ สายตาเป็นประกายระยิบระยับ “อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เก็บเงินได้ แม้แต่เด็กก็ยังเก็บมาได้ด้วย!”
แม่นางน้อยชุดดำยู่หน้าและคิ้วบางๆ ของตัวเอง เอียงศีรษะ เพ่งสายตามองไปยังถ่านดำน้อยที่ตัวไม่สูงสักเท่าไร
เผยเฉียนเบิกตากว้าง จากนั้นก็ยิ้มตาหยี “ตอนกลางคืนข้าจะเลี้ยงปลานึ่งเจ้าเอง ดีไหมล่ะ?”
พูดจบแล้วเผยเฉียนก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งต่างมีด ใช้ฝ่ามืออีกข้างแทนเขียง แล้วยกมือที่ทำเป็นมีดนั้นสับลงไปรัวๆ จนคนมองตาลาย ปากยังส่งเสียงป๊อกๆๆ ตามเสียงสับ พอทำเสร็จก็ทำท่ากดลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน พูดเสียงหนักว่า “วิชามีดของข้านับเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองแค่อาจารย์นิดเดียวเท่านั้น!”
จากนั้นนางก็กางสองมือออก “เจ้าเคยกินปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ไหม? เคยกินปูตัวใหญ่ขนาดนี้ไหม?”
โจวหมี่ลี่ไม่กล้ายกสองแขนกอดอกอีกต่อไป นางยู่หน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดวงตากลอกเร็วจี๋
สือโหรวหัวเราะ ไม่เสียแรงที่เป็นภูตน้ำน้อยตัวหนึ่ง
โจวหมี่ลี่พลันบังเกิดความคิดดีๆ จึงพูดด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่ค่อนข้างติดขัดว่า “อาจารย์ของเจ้าฝากให้ข้านำความมาบอก บอกว่าเขาคิดถึงเจ้ามาก”
ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนพลันส่องประกายจ้า แม่นางน้อยชุดดำรีบกระโดดลงจากธรณีประตูทันที นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าที่วางเอียงๆ พิงไหล่เอาไว้ขึ้นมาอีกครั้ง เดินอาดๆ ขยับเข้าไปใกล้ธรณีประตู สายตาที่มองแม่นางน้อยชุดดำเรียกได้ว่า…มีเมตตา นางยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของอีกฝ่าย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตัวไม่สูงเท่าไรนะ เป็นฟักแคระที่โตมาหลายร้อยปีอย่างเสียเปล่า ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่มีทางดูแคลนเจ้า ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์ ข้าย่อมไม่ใช่คนที่ตัดสินคนเพียงเปลือกนอก!”
โจวหมี่ลี่เรียนภาษาทางการต้าหลีมาตลอดทาง แม้ว่ายังพูดได้ไม่คล่องปาก แต่ก็ฟังรู้เรื่อง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าก็ยกโจวหมี่ลี่ให้เจ้าดูแลแล้ว นี่คือความต้องการของคุณชาย เจ้าล่ะคิดอย่างไร? หากไม่เต็มใจ ข้าก็จะพาโจวหมี่ลี่กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก ใช้หางตาเหล่มองพ่อครัวเฒ่า “ฟ้าใหญ่ดินใหญ่ แน่นอนว่าต้องเป็นอาจารย์ข้าที่ใหญ่ที่สุด วันหน้าก็มอบเจ้าฟักแคระตัวเล็กนี่ให้ข้าดูแลแล้วกัน ข้าจะพานางไปกิน…”
โจวหมี่ลี่รีบตะโกนทันที “ขอแค่ไม่กินปลา ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
เผยเฉียนยิ้มตาหยีพลางลูบศีรษะของแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเด็กดีจริงๆ”
จูเหลี่ยนจากไปแล้ว
สือโหรวนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินด้วยอารมณ์เบิกบาน
หลังจากนั้นมาที่ร้านในตรอกฉีหลงก็มีแม่นางน้อยชุดดำเพิ่มมาอีกคน
จากนั้นหมาตัวนั้นก็มักจะวิ่งมาบ่อยๆ ทุกวันเวลาประมาณโรงเรียนเลิก โจวหมี่ลี่ก็จะไปนั่งอยู่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับมันเพื่อรอรับเผยเฉียนกลับตรอกฉีหลง
วันนี้เผยเฉียนวิ่งตะบึงออกมา พอมองเห็นโจวหมี่ลี่ที่กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอกกับหมาพื้นบ้านที่นอนหมอบอยู่กับพื้น เผยเฉียนก็ทรุดตัวลงนั่งยอง เอื้อมมือไปจับปากของหมาตัวนั้นแล้วบิด “บอกมา วันนี้มีคนรังแกฟักน้อยหรือไม่?”
หมาตัวนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นภูตแล้วมีใจนึกอยากตายขึ้นมาตะหงิดๆ
ข้าผู้อาวุโสจะพูดได้อย่างไรเล่า
เผยเฉียนสะบัดข้อมือบิดหัวของหมาไปอีกทาง “ไม่พูด?! คิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ?!”
โจวหมี่ลี่กล่าวอย่างขลาดๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไม่มีใครรังแกข้าหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ปล่อยมือออกแล้วตบหัวสุนัขหนึ่งที “เจ้าทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงประสาอะไร หากเจ้ายังไม่รู้จักพัฒนาฝีมือตัวเอง ไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรอยู่แบบนี้ ตรอกฉีหลงก็คงต้องมีแต่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างเดียวแล้ว!”
โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง เขย่งปลายเท้า สองมือจับไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น
พวกเขาวิ่งผ่านตรอกซอกซอยกลับตรอกฉีหลงไปด้วยกัน ทว่าขณะที่วิ่งตะบึงลงไปตามขั้นบันไดกลับมีชุดขาวร่วงลงมาจากท้องฟ้า ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกสะบัดส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บ ก่อนจะพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยท่าไก่ทองยืนขาเดียว แขนข้างหนึ่งวางขวางไว้เบื้องหน้า มืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วชี้ฟ้า “คิดจะผ่านทางสายนี้ไป ก็จงจ่ายค่าผ่านทางมาก่อน!”
สุนัขพื้นบ้านตัวนั้นหางลู่ หันหัวกลับได้ก็เผ่นหนีทันที
โจวหมี่ลี่ตื่นเต้นเล็กน้อย นางกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ใครกัน? ดุร้ายมากเลย”
นางกลับไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนเลวที่ชั่วร้ายอะไร เพียงแค่มองแล้วรู้สึกว่าสมองน่าจะมีปัญหา แถมตัวยังสูงขนาดนี้ หากอีกฝ่ายอาศัยว่ามีแรงมากกว่ามาทำร้ายนางกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ แบบนั้นก็คงคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ไม่ได้แล้ว
แต่นางกลับเห็นว่าเผยเฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “เป็นมารร้ายที่ชื่อเสียงความอำมหิตเลื่องลือไปทั่วยุทธภพ รับมือได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือในยุทธภพมากน้อยเท่าไรที่ต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขา ขนาดข้าจัดการกับเขายังค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย เจ้าเองก็ยืนอยู่ข้างหลังข้าไว้แล้วกัน วางใจเถอะ ตรอกฉีหลงแห่งนี้เป็นถิ่นของข้า จะไม่ยอมให้คนนอกมาวางอำนาจเด็ดขาด! คอยดูข้าตัดหัวสุนัขของเขาทิ้งเถอะ!”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับแรงๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
—–