หลินซูแข้งขาอ่อน ต้องเอามือข้างหนึ่งจับสะพานเหล็กเอาไว้
กากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นอยู่ใต้เปลือกตาของตนจริงๆ ด้วย!
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “เอาล่ะ เจ้าหลินซูอุทิศตนถวายชีวิต ตั้งใจทำงานอย่างระมัดระวังรอบคอบเพื่อฮ่องเต้มานานหลายปีขนาดนี้ คอยส่งรายงานลับไปยังเมืองหลวงอยู่เป็นประจำ อีกทั้งคราวนี้ยังช่วยข้ากำจัดยอดฝีมือสองคนของทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมบนทะเลสาบ แล้วคืนนี้ก็ยังได้คลายปมแค้นเก่าแก่ในอดีตอีกด้วย”
หลินซูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ได้ยินถ้อยคำใจกว้างนี้ของตู้อิ๋งก็ทั้งโล่งใจ แต่ก็ทั้งไม่กล้าวางใจอย่างแท้จริง กลัวก็เพียงแต่ว่าราชสำนักจะคิดบัญชีย้อนหลัง
ตู้อิ๋งไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก ปล่อยให้หลินซูอกสั่นขวัญผวาไป กลุ่มอิทธิพลในยุทธภพอย่างหลินซูและภูเขาเจิงหรงนี้ก็คือพวกกุ้งหอยปูปลาในบ่อโคลนเละเทะ แต่กลับจำเป็นต้องมี หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ทำงานแทนราชสำนัก เรื่องของการทุ่มเทนั้นย่อมต้องทุ่มเท แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้งานได้ดีอย่างหลินซู แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายมีจุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ถูกกุมอยู่ในมือของเขาตู้อิ๋งและราชสำนัก วันหน้าภูเขาเจิงหรงก็มีแต่จะยิ่งนอบน้อมเชื่อฟัง เวลาทำงานอะไรก็มีแต่จะยิ่งไม่เลือกวิธีการ คนในยุทธภพฆ่าคนในยุทธภพ ราชสำนักก็แค่ต้องทำตัวเป็นชาวประมงที่เก็บเกี่ยวผลกำไร อีกทั้งคาวเลือดยังไม่ต้องแปดเปื้อนติดกาย
ตู้อิ๋งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “คืนนี้พักค้างแรมที่ภูเขาเจิงหรงนี่แหละ”
หลินซูถามเสียงเบา “แล้วพวกคนหนุ่มที่อายุเข้าเกณฑ์?”
ตู้อิ๋งลังเลตัดสินใจไม่ได้
ชายฉกรรจ์โอสถทองของจวนราชครูต้าจ้วนกระตุกมุมปาก พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เจ้าประมุขหลินตัดสินใจเอาเองเถิด”
สายตาของหลินซูฉายแววอำมหิตในฉับพลัน
คนทั้งกลุ่มเดินข้ามสะพานกันไป เข้าไปยังเมืองเล็กที่แสงไฟสว่างโชติช่วง
ตรงหน้าผา เฉินผิงอันห้อยตัวนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ในเมืองเล็กบนยอดเขาของภูเขาเจินหรง ในห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรง บนพื้นนองไปด้วยเลือดสด
หลินซูนั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่บนตำแหน่งประธาน
ชายฉกรรจ์นิสัยเงียบขรึมที่มาจากจวนราชครูของราชวงศ์ต้าจ้วน เจิ้งสุ่ยจู ตู้อิ๋งแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นจินเฟย ขันทีเฒ่าผู้ถือตราควบคุมกองม้า นั่งเรียงกันตามลำดับ
ฝั่งตรงข้ามคือผู้อาวุโสสกุลหลินหลายท่านของพรรคเจิงหรง จากนั้นก็เป็นบุตรสาวโทนของหลินซู และลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนของเขา พวกเขาทุกคนต่างก็ไม่กล้ามองไปฝั่งตรงข้าม
เพราะก่อนหน้านี้ให้ตายอย่างไรเจ้าประมุขหลินซูก็ไม่ยอมนั่งบนตำแหน่งประธาน แล้วก็เป็นเพราะมือกระบี่หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ บอกให้หลินซูรีบนั่ง หลินซูถึงได้นั่งลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ในห้องโถงใหญ่ บุรุษที่อายุประมาณยี่สิบปีล้วนตายกันไปแล้วเกินครึ่ง
ใบหน้าของเจิ้งสุ่ยจูเหมือนถูกผนึกด้วยน้ำค้างแข็ง นางหันหน้ามาเอ่ย “ฆ่าเศษสวะพวกนี้สนุกนักหรือไง?!”
เฝิงอี้แห่งจวนราชครูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าอาจตกปลาใหญ่จากตำหนักเกล็ดทองได้ตัวหนึ่ง”
ในสถานที่ที่ห่างจากห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรงมาอีกช่วงระยะทางหนึ่ง
บุรุษหนุ่มที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนต่อจากอาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงหยันไม่หยุด เขาลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็เด้งออกมาจากใต้ดิน เขาถือกระบี่เดินข้ามประตูใหญ่ของโรงเรียน เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ ตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่อันตรายแห่งนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเกล็ดทองและราชวงศ์ต้าจ้วนเลวร้าย ทั้งสองฝ่ายขาดก็แค่ยังไม่ได้ฉีกหน้าแตกหักกันโดยตรงก็เท่านั้น
ในเมื่อเรื่องนี้ยุติลงแล้ว เขาก็ไม่ถือสาหากจะถือโอกาสสังหารผู้ฝึกลมปราณโอสถทองคนหนึ่งของต้าจ้วน หากเขามองไม่ผิด มือกระบี่หญิงที่อายุยังน้อยคนนั้นเป็นลูกศิษย์ที่หญิงชราขอบเขตแปดผู้นั้นรักใคร่มากที่สุด หากสองคนนี้ตายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียดาบวิเศษที่สามารถสยบเจียวน้ำได้ไปด้วย กลับมีเพียงตู้อิ๋งเท่านั้นที่ไม่ตาย แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยร้อนใจหัวหูไหม้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนได้
ทางฝั่งของหน้าผา เฉินผิงอันปล่อยมือ ปล่อยให้ร่างร่วงดิ่งลงมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
พอขยับเข้าใกล้ด้านล่างสุดของหน้าผา ถึงได้ยื่นมือไปคว้าหน้าผาเอาไว้ ชะลอความเร็วในการร่วงลง พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็เดินช้าๆ จากไปไกล
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการล่าเหยื่อที่แผนการถูกจัดวางไว้อย่างลึกล้ำยาวไกล
แม้จะบอกว่าทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองต้องการ
แต่หากเผยกายอย่างแท้จริง เดินเข้าไปในสถานการณ์นั้น ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไรก็ไม่แน่ว่าอาจยิ่งตายเร็วเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่คิดจะไปมีส่วนร่วม
กากเดนราชวงศ์ก่อนที่หนีออกจากเมืองหลวงมาได้ ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยที่ยึดครองราชย์บัลลังก์ ตู้อิ๋งบุตรบุญธรรมที่สร้างความวุ่นวายให้แก่ยุทธภพ หลินซูพรรคเจิงหรงที่สวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองที่ให้การปกป้องคุ้มครององค์ชายอย่างลับๆ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดของต้าจ้วน ผู้ฝึกตนโอสถทองจวนราชครู เจียวน้ำที่จะทำให้น้ำท่วมกลบทับเมืองหลวงต้าจ้วน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบบางท่านของราชวงศ์ต้าจ้วน กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่ผูกปมแค้นต่อกัน
เฉินผิงอันจากไปไกลทั้งอย่างนี้
ส่วนเมืองเล็กบนยอดเขาที่อยู่ด้านหลังก็จะต้องมีเรื่องราวที่สลับซับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาของแต่ละคน บางคนอาจตายไปโดยที่ยังไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตำหนักเกล็ดทองซึ่งคิดว่าคืนนี้มิอาจมีใครต่อกรกับเขาได้ พลันมีรูเล็กๆ โผล่มาตรงหว่างคิ้ว ก่อนที่เส้นแสงหนึ่งจะเปล่งวาบ ตามมาด้วยโอสถทองในร่างที่ถูกปั่นคว้านจนเละ
ก่อนจะตาย ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำเบิกตากว้าง พึมพำว่า “เซียนกระบี่จีเยว่…”
เพียงไม่นานศพของเขาก็หลอมละลายกลายเป็นกองเลือดกองหนึ่ง
บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง “โอสถทองตัวเล็กๆ ก็กล้ามาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าอย่างนั้นหรือ? ชีวิตหน้าหากยังมีโอกาสไปเกิดใหม่ต้องหัดเรียนรู้เอาจากคนหนุ่มผู้นั้นที่สามารถหนีพ้นหายนะมาได้ถึงสองครั้งเสียบ้าง”
เพียงชั่วพริบตา
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยก็มาหยุดอยู่ข้างกายคนชุดเขียว เดินเคียงบ่าไปด้วยกัน พลางยิ้มเอ่ยว่า “คนต่างถิ่น เจ้าสัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างไร? ลองเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม? หรือว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าเพียงแค่คิดจะชมเรื่องสนุกเท่านั้น? มองดูแล้วเจ้ายังอายุไม่มาก แต่กลับทำอะไรรอบคอบไม่น้อย”
เฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ เท้ายังคงก้าวเดินไม่หยุดนิ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญใช้เหยื่อตัวใหญ่ตกปลาตัวใหญ่ได้ตามสบาย ผู้น้อยไม่กล้าเข้าไปเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยลูบคลำศีรษะ “เจ้าคิดว่ากากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นตายไปแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันตอบ “น่าจะเป็นวิธีขโมยคานเปลี่ยนเสาของตระกูลเซียน มีเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่กลับไม่ใช่เมล็ดพันธ์มังกรที่แท้จริง หลินซูคือบุรุษผู้แข็งแกร่งที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างแท้จริง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเมล็ดพันธ์บัณฑิตผู้นั้นให้ได้ พวกตู้อิ๋งถูกเขาตบตาเสียแล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่าตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นก็เป็นคนเด็ดขาดมากพอ ช่วยเขาปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ส่วนคนหนุ่มผู้นั้นก็ยิ่งมีจิตใจละเอียดรอบคอบ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่หลินซูคนเดียวคงยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้ แต่สำหรับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าแล้ว การต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาล้วนเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ถึงอย่างไรหากเมล็ดพันธ์มังกรของราชวงศ์ก่อนแห่งแคว้นจินเฟยไม่ตายก็ย่อมดีกว่า ดาบวิเศษที่สามารถสยบเผ่าพันธุ์เจียวหลงเล่มนั้นขาดแรงไฟไปอีกนิด ซึ่งนั่นกลับยิ่งเป็นการดี ดังนั้นเดิมทีหากยอดฝีมือที่เก็บตัวสันโดษอย่างแท้จริงอยู่ในพรรคเจิงหรงยอมอยู่เฉยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตายภายใต้กระบี่บินของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า”
“ยอมทำตามอย่างว่าง่าย อะไรที่รู้ก็พูดหมดไม่หมกเม็ด ผ่านพ้นหายนะไปได้อีกรอบแล้ว”
หลังจากผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยพูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจุ๊ปากชื่นชม “น่าสนใจๆ แต่น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
คนหนุ่มชุดเขียวที่สวมงอบผู้นั้นหยุดฝีเท้า ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าอย่าได้ข่มขู่ข้าเลย ข้าเป็นคนขี้ขลาด หากยังปล่อยปราณสังหารอบอวลเช่นนี้ และถ้าต่อสู้กันขึ้นมาข้าต้องสู้อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้แน่ ต่อให้สู้สุดชีวิตก็ยังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องได้แต่ยกอาจารย์และศิษย์พี่ของตัวเองมาพูดถึงแล้ว เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ผู้เฒ่าร่างเล็กตัวแผดเสียงหัวเราะดังลั่น มองคนหนุ่มแล้วพยักหน้ารับ “ฉลาดไม่เบา สมควรแล้วที่มีชีวิตอยู่รอด หล่อเหลาและเจ้าเล่ห์พอๆ กับข้าตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว หากสุดท้ายข้าสามารถสังหารตาเฒ่านั่นได้จริงๆ เจ้าก็มาหาข้าที่ภูเขาวานรคำราม หากมีคนขัดขวางก็บอกไปว่าเจ้ารู้จักผู้เฒ่าแซ่จีคนหนึ่ง ใช่แล้ว เจ้าฉลาดขนาดนี้ อย่าได้คิดจะส่งข่าวไปแจ้งฮ่องเต้สกุลโจวของต้าจ้วนเด็ดขาดเชียว จะได้ไม่คุ้มเสียเอา”
เฉินผิงอันถอนหายใจ
เป็นจีเยว่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแห่งภูเขาวานรคำรามในตำนานคนนั้นจริงๆ เสียด้วย
เฉินผิงอันหันไปมองเมืองเล็กสว่างไสวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเดียวดาย พลันถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่ใหญ่สามารถออกกระบี่ได้รวดเร็วจนถึงขั้นตัดสะบั้นผลกรรมบางอย่างได้เลย?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคิดแล้วก็ตอบว่า “ข้ายังทำไม่ได้”
แล้วคนทั้งสองก็เงียบกันไป
ผู้เฒ่าพลันส่ายหน้ากล่าวว่า “เด็กเช่นเจ้าโชคร้ายไปสักหน่อย ได้มาเจอกับข้าสองครั้งแล้ว แล้วก็เกือบจะตายไปสามครั้ง ยิ่งมองเจ้าก็ยิ่งอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “แค่ชินกับมันก็ดีเอง”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ไปเถอะ คนฝึกกระบี่ อย่าได้ยอมรับชะตากรรมเกินไปนัก แบบนี้สิถึงจะถูก”
และจอมยุทธพเนจรชุดเขียวก็ก้าวยาวๆ จากไปจริงๆ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยลูบคลำศีรษะ มองปิ่นหยกที่อยู่บนมวยผมของคนหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน แล้วจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ นั่นคือพูดถึงบัณฑิตที่กล้ากระทำการขัดต่อเจตนารมณ์สวรรค์อย่างแท้จริงผู้นั้น
สุดท้ายเขาก็อดไม่ไหว โบกชายแขนเสื้อสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา จากนั้นถามว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้นแห่งแจกันสมบัติทวีปงั้นหรือ?”
คนผู้นั้นหันหน้ากลับมาแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
จีเยว่มีสีหน้าเฉยเมย เอาสองมือไพล่หลัง พูดเสียงทุ้มหนัก “อย่าทำให้อาจารย์ของตัวเองต้องขายหน้า”
คนผู้นั้นทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
จีเยว่ยังคงไม่ถอนตราพันธนาการออก เขาพลันยิ้มเอ่ยว่า “ถ้ามีโอกาสก็บอกกับอาจารย์อาจั่วคนนั้นของเจ้าสักคำว่า อันที่จริงวิชากระบี่ของเขา…ไม่ได้สูงส่งขนาดนั้น ปีนั้นเป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ขอบเขตก็ไม่สูงพอ ถึงได้ต้านรับกระบี่ของเขาไม่ได้”
คนหนุ่มมีสีหน้าปั้นยาก
จีเยว่โบกมือ “เตือนเจ้าสักคำ ทางที่ดีที่สุดควรเก็บปิ่นหยกชิ้นนี้ไปซะ เก็บซ่อนเอาไว้ให้ดี แม้จะบอกว่าปีนั้นข้าเป็นดั่งศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลจันทร์ก่อน พอจะมองเห็นเบาะแสของอุบัติการณ์ทางทิศใต้อยู่บ้าง ถึงได้รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยขยับเข้าไปพิศดูใกล้ๆ อย่างละเอียด แม้แต่ข้าก็ยังสัมผัสไม่ถึงความผิดปกติ แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่นขึ้นมาล่ะ? ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ชอบรังแกเด็กรุ่นหลังอย่างข้าหรอกนะ ทุกวันนี้พวกเซียนกระบี่ผายลมสุนัขที่ยังอยู่ในอุตรกุรุทวีป ขอแค่พวกเขามองตัวตนของเจ้าออก ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะอดใจไม่ไหวอยากปล่อยกระบี่ใส่เจ้า ส่วนข้อที่ว่าสังหารเจ้าแล้วจะทำให้อาจารย์อาจั่วของเจ้าโมโหจนต้องขึ้นฝั่งมาเยือนอุตรกุรุทวีปหรือไม่นั้น สำหรับพวกลูกกระต่ายขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตหยกดิบที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหล่านี้ นั่นมีแต่จะเป็นความสุขในชีวิต ไม่กลัวตายเลยสักนิดจริงๆ นี่ก็คือกระแสความนิยมในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา ดี แล้วก็ไม่ดี”
คนหนุ่มหันกลับมาเอ่ยถาม “ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่ออกทะเลไปออกกระบี่ก่อนใคร ก็คืออาจารย์ผู้เฒ่า? เหตุใดข้าเปิดรายงานข่าวภูเขาแม่น้ำมากมาย ถึงได้มีเพียงแค่การคาดเดา ไม่มีบันทึกที่ระบุไว้อย่างแน่ชัด?”
จีเยว่พูดอย่างฉุนปนขัน “เจ้าพวกคนรายงานข่าวที่เหมือนหนูขุดรูอยู่ใต้ดินเหล่านั้น ต่อให้รู้ว่าเป็นข้าจีเยว่ แต่พวกเขาจะกล้าระบุชื่อแซ่ของข้าหรือ? เจ้าลองดูเซียนกระบี่อีกสามคนที่ตามหลังมา มีใครบ้างที่รู้? อีกอย่างวันหน้าเวลาลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ก็ควรต้องระวังตัวสักหน่อย ต้องระวังตัวเหมือนอย่างในคืนนี้ เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าคนชักใยดึงเชือกอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดอย่างพวกมดตัวน้อยตัวนิดเหล่านั้น แท้จริงแล้วเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใดกันแน่ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกคนอย่างตู้อิ๋งมองหลินซู เจ้ามองตู้อิ๋ง ข้ามองเจ้า แล้วใครเล่าจะรู้ว่ามีหรือไม่มีคนที่กำลังมองข้าจีเยว่อยู่หรือไม่? ผู้ฝึกตนบนภูเขากี่มากน้อยที่ตายไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ล่างภูเขาเลย โรคที่รักษายากแค่ไหนก็ยังรักษาได้ มีเพียงคำว่าโง่คำเดียวเท่านั้นที่ไร้ยารักษา”
คนหนุ่มกุมหมัดกล่าวว่า “คำสั่งสอนของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว”
จีเยว่โบกมือ แล้วร่างของเขาก็หายวับไป
เฉินผิงอันเดินออกห่างมาจากยอดเขาเจิงหรง ออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์เพียงลำพังต่อไป
ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอคลื่นลมมรสุมอะไรบ้าง
เข้าสู่ช่วงหน้าฝน
เฉินผิงอันจึงเลือกเดินอ้อมราชวงศ์ต้าจ้วนมุ่งหน้าไปยังแคว้นใต้อาณัติที่อยู่ติดทะเลแห่งหนึ่งโดยตรง
บนสะพานเลียบหน้าผา ฝนเม็ดใหญ่ตกกระหน่ำ เฉินผิงอันก่อกองไฟขึ้นกองหนึ่ง เหม่อมองไปยังม่านฝนด้านนอก พอฝนตก ไอร้อนที่อบอวลอยู่ท่ามกลางฟ้าดินก็ลดหายไปมาก
สายฝนกระหน่ำ พรำเสียงเนิบ ต้นหลิ่วลู่เรียง ใบบัวเกลี้ยงกลม ขุนเขาเขียวขจี หนทางยาวไกล ความคิดล่องไป ความคิดถึงล่องลอย
—–