ผู้เฒ่าแซ่สุยตวัดตามองบัณฑิตที่น่าสงสารเร็วๆ ครั้งหนึ่ง ยังดีที่เขาไม่มีท่าทีว่าจะขอยืมเงินจากตน ไม่อย่างนั้นหายนะจะถูกชักนำมา ตนคงต้องเปิดปากด่าอีกฝ่ายเพื่อตัดความสัมพันธ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แบบนั้นจะเป็นการทำลายความสุภาพสง่างามมากเกินไป และจะทำลายภาพลักษณ์ผู้มีเมตตาปราณีในสายตาของเด็กรุ่นหลังทั้งหลาย
ไม่รู้ว่าเหตุใดมารเฒ่าหยางหยวนที่กลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งถึงได้โบกมือ ยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแหบพร่าเหมือนเสียงยามที่ใช้หินลับมีด “ช่างเถิด แค่ข่มขู่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอ ให้บัณฑิตรีบไสหัวไปซะ เจ้าเด็กนี่ยังถือว่าพอจะมีปณิธาน มีความกล้าหาญอยู่บ้าง เทียบกับพวกบัณฑิตที่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แล้วกลับดีกว่ามาก อย่าว่าแต่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมก็กลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัวอะไรเลย ต่อให้ในมือมีมีดก็ยังไม่กล้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงต้องยกมีดฟันให้บัณฑิตหนุ่มคนนั้นตายไปก่อนถึงจะสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”
ชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าดุร้ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำท่าจะยกเท้าเตะ บัณฑิตหนุ่มก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน วิ่งอ้อมผ่านทุกคนออกไปจากทางเส้นเล็กจนดินโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อน
ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ
ทว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับใบหน้าแดงก่ำ เพราะฟังความนัยในถ้อยคำของตาเฒ่าผู้นั้นออก เขาจึงหงุดหงิดไม่สบอารมณ์
สตรีสวมหมวกคลุมหน้าเห็นว่าตรงสุดปลายทางสายเล็ก คนหนุ่มชุดเขียวหยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับมามองแล้วคลี่ยิ้มมีเลศนัยที่นางไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป
ทางฝั่งของหน้าประตูศาลา หยางหยวนชี้ไปยังคนหนุ่มถือพัดที่อยู่ข้างกาย สายตามองไปทางสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “นี่คือศิษย์รักของข้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งภรรยา แม้ว่าเจ้าจะมีหมวกคลุมหน้าบดบังรูปโฉม อีกทั้งยังมวยผมทรงสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ลูกศิษย์ของข้าไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ เลือกวันดีไม่สู้เลือกวันสะดวก พวกเราสองครอบครัวมาดองเป็นทองแผ่นเดียวกันดีไหม? อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้วางใจได้ แม้ว่าพวกเราจะเป็นคนในยุทธภพ แต่พื้นฐานครอบครัวไม่เลว สินสอดทองหมั้นมีแต่จะสมบูรณ์ยิ่งกว่ายามที่ลูกหลานอัครเสนาบดีของหนึ่งแคว้นสู่ขอภรรยา หากไม่เชื่อก็ลองถามองค์รักษ์พกดาบผู้นี้ของเจ้าดู มีฝีมือดีขนาดนี้ เขาก็น่าจะมองตัวตนของข้าผู้อาวุโสออกแล้ว”
ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าเขียวคล้ำ
หูซินเหวยมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หลังจากใคร่ครวญหาถ้อยคำอยู่พักหนึ่งก็พูดกับผู้เฒ่าว่า “พี่ใหญ่สุย ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสหยาง หยางหยวน มีฉายาว่าเจียวแม่น้ำขุ่น คือปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นจินเฟยในอดีต”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงที่สั่นสะท้านเบาเหมือนเสียงยุง “หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นไม่ใช่ว่าถูกเจ้าประมุขหลินของพรรคเจิงหรง จอมยุทธใหญ่หลินฆ่าตายไปแล้วหรอกหรือ?”
ต่อให้เสียงของเด็กหนุ่มจะเบาแค่ไหน ตัวเขาเองอาจจะนึกว่าคนอื่นไม่ได้ยิน แต่เมื่อดังเข้าหูยอดฝีมือในยุทธภพอย่างพวกหูซินเหวยและหยางหยวนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ถ้อยคำรุนแรง’ ที่ได้ยินอย่างชัดเจน
หูซินเหวยหันหน้ามาตะคอกอย่างเดือดดาล “สุยเหวินฝ่า ห้ามพูดจาเหลวไหล! รีบขอโทษผู้อาวุโสหยางเดี๋ยวนี้!”
เด็กหนุ่มจึงประสานมือคารวะขออภัยอีกครั้ง
วันนี้เขาต้องขอโทษคนอื่นเป็นครั้งที่สองแล้ว
หยางหยวนผายมือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มกล่าวว่า “ไปคุยกันข้างในเถอะ หน้าตาเล็กน้อยเพียงเท่านี้ หวังว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะยังมีมอบให้กันบ้าง”
ผู้เฒ่าแซ่สุยผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ ไม่ได้เปิดฉากเข่นฆ่ากันทันทีก็ดีแล้ว ภาพเหตุการณ์นองเลือดนั้น ในตำรามักจะกล่าวถึงเป็นประจำ ทว่าผู้เฒ่าไม่เคยเห็นเองกับตาจริงๆ มาก่อน
ในเมื่ออีกฝ่ายรู้จักตน เรียกตนว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่า ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะมีโอกาสพลิกเปลี่ยน
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวด้านใต้ผนังของศาลาตรงข้ามกัน มีเพียงผู้เฒ่าหยางหยวนกับลูกศิษย์สะพายกระบี่คนนั้นที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวซึ่งหันหน้าเข้าหาประตู ร่างของผู้เฒ่าโน้มเอียงมาด้านหน้าเล็กน้อย ค้อมเอวกำหมัดไว้หลวมๆ ไม่มีท่าทางดุร้ายอย่างที่มารร้ายในยุทธภพสมควรมีแม้แต่น้อย เขายิ้มมองไปยังสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่ยังไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว รวมไปถึงเด็กสาวที่อยู่ข้างกายของนาง แล้วผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยไม่ถือสา สามารถดองเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ถึงสองต่อ ในบ้านของข้ายังมีหลานชายที่เป็นเด็กดีอยู่อีกคนหนึ่ง ปีนี้เพิ่งจะเต็มสิบหกพอดี เขาไม่ได้ติดตามข้ามาท่องอยู่ในยุทธภพด้วย แต่เล่าเรียนจนมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่แท้จริง หาใช่ว่าข้าโป้ปดไม่ การสอบเคอจวี่ของแคว้นหลันฝางในปีนี้ หลานชายคนนั้นของข้าก็สอบติดเป็นจิ้นซื่อระดับสอง แซ่หยางนามรุ่ย ไม่แน่ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยอาจจะเคยได้ยินชื่อของหลานชายข้ามาก่อน”
จากนั้นผู้เฒ่าก็หันไปยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ของตน “ไม่รู้ว่ารุ่ยเอ๋อร์ของข้าจะถูกใจสตรีคนใด ฟู่เจิน เจ้าคิดว่ารุ่ยเอ๋อร์จะเลือกใคร จะทะเลาะกับเจ้าหรือไม่?”
ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่รีบเอ่ยว่า “ไม่สู้รับคนที่อายุมากหน่อยเป็นภรรยาเอก คนที่อายุน้อยกว่ารับเป็นอนุภรรยา”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “แต่มันไม่ถูกต้องตามหลักมารยาทน่ะสิ”
ลูกศิษย์คนนั้นยิ้มกล่าวว่า “คนในยุทธภพอย่างพวกเราไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องให้แม่นางน้อยใหญ่ทั้งสองนี้ทนรับความอยุติธรรมสักหน่อย เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไปเสียเลย แต่งให้กับหยางรุ่ยที่มีทั้งความสามารถ หน้าตาหล่อเหลา แถมยังชาติตระกูลดี หากไม่เป็นเพราะแคว้นหลันฝางไม่มีองค์หญิงหรือเสี้ยนจู่ที่อายุเหมาะสม ป่านนี้เขาก็คงได้เป็นราชบุตรเขยไปนานแล้ว แม่นางทั้งสองแต่งให้กับหยางรุ่ยของพวกเรา นับเป็นความโชคดีที่ใหญ่เพียงใด แค่นี้ก็น่าจะรู้จักพอได้แล้ว”
หูซินเหวยสะกดกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นอยู่เต็มทรวง “ผู้อาวุโสหยาง อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแคว้นอู่หลิงของพวกเรา!”
หยางหยวนยิ้มกล่าว “หากเป็นหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงที่มานั่งอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่เข้ามาในศาลาหลังนี้แล้ว บังเอิญยิ่งนัก ตอนนี้หวังตุ้นน่าจะอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วน แน่นอนว่าพวกเราคนกลุ่มใหญ่ที่เดินอาดๆ ข้ามอาณาเขตเข้ามา หากต้องมีคนตายจริงๆ พวกมือปราบที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งหลายของแคว้นอู่หลิงย่อมต้องสืบเสาะจนหาเบาะแสพบอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยจะต้องช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง บัณฑิตให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นที่สุดแล้ว เรื่องน่าเกลียดในบ้านย่อมไม่เอาไปแพร่งพรายข้างนอก”
หูซินเหวยถอนหายใจหนึ่งที หันหน้าไปมองผู้เฒ่าแซ่สุย “พี่ใหญ่สุย เอาอย่างไร?”
ผู้เฒ่าแซ่สุยมองไปยังผู้เฒ่าอีกคนที่แข็งแรงกระปรี้กระเปร่าแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหยางหยวนจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปในแคว้นอู่หลิงของพวกเราได้จริงๆ”
หยางหยวนเพียงยิ้มรับ จากนั้นหันมาถามหูซินเหวยว่า “จอมยุทธใหญ่หูล่ะว่าอย่างไร? ไม่เพียงแต่ต้องเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยง อาจจะยังต้องลากสำนักและคนในครอบครัวมาซวยด้วย เพียงแค่เพื่อปกป้องสตรีสองคน ขัดขวางไม่ให้พวกเราสองบ้านแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน? หรือว่าจะรู้อะไรควรไม่ควรเสียหน่อย วันหน้าที่รุ่ยเอ๋อร์ของข้าได้แต่งงาน เจ้าในฐานะแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งมาส่งมอบของขวัญอวยพรให้ถึงบ้าน จากนั้นข้าก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่กลับคืนไปให้?”
ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่คนนั้นหัวเราะหึหึ “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก สตรีก็ย่อมว่านอนสอนง่ายกว่าเดิม”
หยางหยวนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คำพูดไม่น่าฟัง แต่เหตุผลนั้นถูกต้อง”
ผู้เฒ่าแซ่สุยเอ่ยอ้อนวอน “จอมยุทธใหญ่หู! ในช่วงวิกฤตอันตรายเช่นนี้ อย่าทอดทิ้งพวกเราเลยนะ!”
หูซินเหวยมีสีหน้าซับซ้อน ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย
หยางหยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่บัณฑิตหนุ่มคนนั้นไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องใช้ถ้อยคำของบัณฑิตอย่างพวกเจ้ามาด่าบ้านญาติดองอย่างพวกเจ้าสองสามคำแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เขาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ทางปล่อยให้บ้านญาติดองต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน ฆ่าได้ก็คงต้องฆ่า นิสัยของข้านี้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าในอดีตเยอะมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่บ้านมีรุ่ยเอ๋อร์เพิ่มเข้ามา สำหรับบัณฑิตอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าในท้องจะมีตำราอริยะปราชญ์เข้าไปอยู่สักกี่เล่ม ข้าก็ล้วนเคารพนับถืออย่างมาก”
สตรีสวมหมวกม่านพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าสามารถอยู่ต่อได้ ปล่อยพวกเขาไป จากนั้นพวกเราก็รีบเดินทางไปที่แคว้นหลันฝางทันที ต่อให้จะมีใครไปแจ้งทางการ แต่ขอแค่พวกเราข้ามชายแดน เข้าไปในแคว้นจินเฟยแล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”
หยางหยวนส่ายหน้า “ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ ครั้งนี้ที่พวกเรามาเยือนแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้า การหาสะใภ้ให้รุ่ยเอ๋อร์เป็นเพียงผลพลอยได้ ยังมีธุระบางอย่างที่จำเป็นต้องทำอีก ดังนั้นการตัดสินใจของจอมยุทธใหญ่หูจึงสำคัญอย่างมาก”
หูซินเหวยพลันถามว่า “ต่อให้ข้าพยักหน้าตกลงอยู่ในศาลาแห่งนี้จริง แต่พวกเจ้าจะวางใจได้จริงหรือ?”
หยางหยวนยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องไม่วางใจ”
หูซินเหวยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง บิดเอวแล้วปล่อยหมัดต่อยเข้าแสกหน้าผู้เฒ่าแซ่สุย
อย่าว่าแต่ผู้เฒ่าที่อ่อนแอคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ไม่อาจทนรับหมัดที่ปล่อยอย่างเต็มแรงของหูซินเหวยได้
แต่นาทีถัดมา หูซินเหวยกลับถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งมาขัดขวางการออกหมัด เขาพลันหดมือกลับเข้ามาทันที
ที่แท้เบื้องหน้าผู้เฒ่าแซ่สุยมีกระบี่วางพาดขวางอยู่
คนที่ออกกระบี่ก็คือลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้น มือกระบี่หนุ่มเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือกระบี่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ “ยอดฝีมือของแคว้นอู่หลิงช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ ก็มีแค่หวังตุ้นคนเดียวเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ เลื่อนสู่อันดับสิบคนใหม่ล่าสุดของต้าจ้วน แม้จะบอกว่าหวังตุ้นอยู่อันดับรั้งท้ายสุด แต่แน่นอนว่าต้องสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ในแคว้นอู่หลิงได้แน่นอน”
หยางหยวนขมวดคิ้ว “มัวพูดจาเหลวไหลอยู่ทำไม”
คนหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร บนใบหน้าจึงมีปราณดุร้ายเสี้ยวหนึ่งวูบผ่าน เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ประกายแสงกระบี่เปล่งวาบ ในศาลาหลังเล็ก เมื่อฝนใหญ่ตกผ่านไป เดิมทีไอร้อนก็ลดหายไปได้หลายส่วน และเมื่อมือกระบี่หนุ่มออกกระบี่ก็ยิ่งมีไอเยือกเย็นเข้าเกาะกุมหัวใจและผิวหนังผู้คน
หูซินเหวยถอยร่นไปหลายก้าว คำรามอย่างเดือดดาล “ผู้อาวุโสหยางคิดจะทำอะไร?!”
เผชิญหน้ากับแสงกระบี่เฉียบคมที่ประกายแสงเจิดจ้าตัดสลับอยู่เต็มศาลา หูซินเหวยยังเปิดปากเอ่ยถามได้ ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขาสูงกว่าลูกศิษย์ของหยางหยวนหนึ่งระดับ
มือกระบี่หนุ่มที่ต้องสูญเสียสาวงามที่แม้ไม่เห็นหน้าแต่ก็มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ลำพังเพียงแค่ได้ยินนางพูดหนึ่งประโยคก็รู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างคล้ายเป็นเหน็บชา แน่นอนว่าแล้วว่าต้องเป็นโฉมสะคราญคนหนึ่ง ต่อให้หน้าตาสู้รูปร่าง และเสียงที่มีเสน่ห์ไม่ได้ แต่ก็คงไม่แย่ไปกว่ากันสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังเป็นคุณหนูของตระกูลปัญญาชนแห่งแคว้นอู่หลิง คิดดูแล้วคงมีท่วงทำนองที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะกลับกลายเป็นว่าได้ดีเจ้าเด็กหยางรุ่ยผู้นั้นไป เดิมทีมือกระบี่หนุ่มก็สะสมโทสะไว้เต็มท้องอยู่แล้ว เวลานี้หูซินเหวยยังกล้าแบ่งสมาธิมาเอ่ยคำถาม ยามที่เขาออกกระบี่ใส่อีกฝ่ายจึงยิ่งดุดันรวดเร็วกว่าเดิม
สุยเหวินฝ่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหลบอยู่ข้างกายของผู้เฒ่าแซ่สุย เด็กสาวสุยเหวินอี๋ที่ตัวสั่นก็อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของอาหญิงนาง
สตรีสวมหมวกผ้าคลุมใบหน้าเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว”
หยางหยวนค้อมเอวลงต่ำจนเรือนกายเหมือนวานร เขาดีดปลายเท้า แล้วเรือนร่างที่ปราดเปรียวก็พุ่งทะยานออกมา สบจังหวะช่องว่างปล่อยสองหมัดต่อยลงบนหน้าอกของหูซินเหวยที่หลบหนึ่งกระบี่มาได้อย่างหวุดหวิดเต็มแรง ทำให้หูซินเหวยกระเด็นออกไปนอกศาลาแล้วตกกระแทกลงบนพื้นอย่างจัง เขากระอักเลือดไม่หยุด ดิ้นรนอยู่สองทีก็ยังลุกไม่ขึ้น
หยางหยวนหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ เมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นเช่นนี้ ยี่สิบปีให้หลังก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มารดามันเถอะ ไอ้พวกจอมยุทธใหญ่ฝ่ายธรรมะในยุทธภพที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม แต่ละคนฉลาดไม่แพ้กัน ปีนั้นเป็นตนที่โง่เกินไป ถึงได้ไม่มีที่หยัดยืนในยุทธภพแคว้นจินเฟยทั้งๆ ที่มีความสามารถอยู่เต็มตัว แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะได้รับโชคหลังเจอกับเคราะห์ ไม่เพียงแต่สามารถสร้างพรรคแห่งใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วันที่ชายแดนของสองแคว้นได้ ยังได้ไปผูกมิตรรู้จักกับยอดฝีมือที่แท้จริงสองคนในวงการขุนนางแคว้นหลันฝางและบนภูเขาแคว้นชิงสือด้วย
มือกระบี่หนุ่มกำลังจะพุ่งตัวออกไปจ้วงแทงหัวใจและศีรษะของจอมยุทธใหญ่หูซ้ำหลายๆ ที
ทว่ากลับถูกหยางหยวนยื่นมือมาขัดขวางเอาไว้ ตอนที่หูซินเหวยเบี่ยงหน้าไปเช็ดคราบเลือด ริมฝีปากของเขาขยับเบาๆ หยางหยวนเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
และเวลานี้เอง บนทางสายเล็กก็มีม้าสองตัวมุ่งหน้ามาช้าๆ เมื่อเจอกับ ‘ความขัดแย้งในยุทธภพ’ ครั้งนี้กลับไม่มีท่าทีว่าจะชะลอม้าให้หยุดลง
บนม้าตัวหนึ่งคือผู้เฒ่าพกดาบสวมชุดสีดำ บนม้าอีกตัวคือบุรุษอายุประมาณสามสิบกว่าปี
ทว่ายามที่ม้าทั้งสองควบผ่านศาลา ผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองกลุ่มคน เพียงแค่ควบม้าผ่านไปอย่างเดียว
ผู้เฒ่าแซ่สุยกลับตะโกนขึ้นว่า “จอมยุทธทั้งสองท่านช่วยด้วย! ข้าคือสุยซินอวี่อดีตรองเจ้ากรมโยธาธิการของแคว้นอู่หลิง คนชั่วพวกนี้คิดจะชิงทรัพย์เอาชีวิตข้า!”
บุรุษที่อ่อนวัยกว่าผู้นั้นพลันบังคับหัวม้าให้หันกลับ ถามอย่างตกตะลึงระคนแปลกใจ “ใช่ท่านลุงสุยหรือไม่?”
สุยซินอวี่แคว้นอู่หลิงผู้มีชื่อเสียงด้านการปกครองและการเล่นหมากล้อมมากกว่าการเป็นขุนนางอึ้งตะลึง จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างแรง
หยางหยวนยิ้มกล่าว “ญาติบ้านดอง เจ้าก็ช่างไม่กลัวว่าจะทำให้คนบริสุทธิ์ที่ผ่านทางมาต้องตายเปล่าเลยจริงๆ ตอนนี้ข้าเริ่มเสียใจที่เสนอเรื่องการแต่งงานทั้งสองครั้งนี้แล้ว สวรรค์เท่านั้นกระมังที่จะรู้ว่าวันใดจะถูกญาติบ้านดองอย่างเจ้าขายหรือไม่”
บุรุษพลิกตัวลงจากหลังม้า ประสานมือคารวะ พูดด้วยเสียงสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “ผู้น้อยเฉาฟู่คาวระท่านลุงสุย! ปีนั้นเพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์ภัย กลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงท่านลุงสุย ผู้น้อยจึงได้แต่จากไปโดยไม่ลา แต่สุดท้ายก็ยังทำให้แม่นางสุยต้องเดือดร้อนอยู่ดี”
นอกจากหยางหยวน คนทั้งกลุ่มซึ่งรวมถึงลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อว่าฟู่เจินต่างก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ละคนเริ่มอกสั่นขวัญแขวน
เฉาฟู่ผู้นี้คือบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่อยู่ในแคว้นหลันฝางและแคว้นชิงสือ อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธปลายแถวที่ซัดเซพเนจรมาถึงแคว้นหลันฝาง กลายมาเป็นลูกศิษย์เอกของเทพเซียนบนภูเขาแคว้นชิงสือท่านหนึ่ง แม้จะบอกว่าบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้น ชื่อเสียงของผู้ฝึกตนไม่อาจข่มขวัญผู้คนได้มากพอ พวกชาวบ้านก็อาจจะไม่เคยได้ยินเสมอไป ทว่าถึงอย่างไรพวกพรรคทั้งหลายที่พอจะมีรากฐานอยู่ในยุทธภพต่างก็รู้ชัดเจนดี ผู้ฝึกตนที่สามารถหยัดยืนไม่ล้มลงอยู่บนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นได้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีจวนตระกูลเซียนมีศาลบรรพจารย์ด้วยแล้ว ล้วนไม่มีใครที่รับมือได้ง่าย
เวลาหลายสิบปีมานี้ เฉาฟู่ลงจากเขามาฝึกประสบการณ์อยู่ในยุทธภพหลายครั้ง ว่ากันว่าข้างกายจะต้องมีผู้ปกป้องมรรคาติดตามมาด้วย เฉาฟู่แทบไม่เคยลงมือด้วยตัวเอง ทว่าชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของเฉาฟู่กลับเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นหลันฝางและแคว้นชิงสือ ว่ากันว่าฮองเฮาที่มีความงามระบือไกลของแคว้นหลันฝางผู้นั้น ในอดีตยังเคยเป็นศิษย์พี่หญิงของเขา
ด้วยเหตุนี้สิบปรมาจารย์ใหญ่และสี่สาวงามที่ราชวงศ์ต้าจ้วนคัดเลือกออกมาจึงมีสองคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉาฟู่ คนหนึ่งก็คือศิษย์พี่หญิงที่เป็น ‘สาวงามดอกกล้วยไม้’ เป็นหนึ่งในสี่สาวงาม คนที่เหลืออีกสามสาม สองคนได้เป็นสาวงามมานานแล้ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายของราชครูต้าจ้วน เด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านของแคว้นชิงหลิ่วที่อยู่ทางเหนือสุด ถูกแม่ทัพใหญ่ชายแดนคนหนึ่งเก็บซ่อนเลี้ยงดูไว้ ด้วยเหตุนี้แคว้นใกล้เคียงยังเคยท้ารบกับชายแดนของแคว้นชิงหลิ่ว ว่ากันว่าก็เพื่อจะลักพาตัวเอาสาวงามที่เป็นภัยล่มเมืองผู้นี้ไป
อีกคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกรักแห่งสวรรค์ซึ่งมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างเฉาฟู่ผู้นี้ ก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่อยู่อันดับนำหน้าหวังตุ้นบนรายชื่อใหม่ของต้าจ้วน มือดาบที่มีนามว่าเซียวซูเย่ ทั้งเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่เลื่อนสู่ขอบเขตหลอมจิตในตำนาน แล้วก็ยังเคยร่ำเรียนแก่นของวิชาอสนีที่ใช้เพียงมือเดียวก็สามารถกำราบปีศาจกำจัดมารร้ายมาจากอาจารย์ของเฉาฟู่ ดาบพกประจำกายที่ห้อยอยู่ตรงเอวซึ่งมีนามว่า ‘เมฆหมอก’ เล่มนั้นก็ยิ่งเป็นดาบอาคมตระกูลเซียนที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน สยบกำราบภูตผีได้ถ้วนทั่ว
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผู้เฒ่าชุดดำที่หยุดม้าหันหน้ากลับมาตามเฉาฟู่ก็คือเซียวซูเย่แล้ว
—–