บัณฑิตชุดเขียวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็พลิ้วกายลงบนเส้นทางชาม้าโบราณทั้งอย่างนั้น ในมือเขาถือพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าควรจะซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล เอ่ยขอบอกขอบใจจอมยุทธใหญ่ จากนั้นจอมยุทธใหญ่ก็จะพูดว่าไม่เป็นไรๆ แล้วจากไปอย่างสง่างาม ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
มือข้างหนึ่งของเขาคว้าจับความว่างเปล่า ไม้เท้าเดินป่าสีเขียวสดปลั่งที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาเสียบไว้บนพื้นข้างทางก็ทะยานขึ้นจากพื้นดิน บินเข้ามาหาเขาด้วยตัวเอง ถูกเขากุมไว้ในกำมือ แล้วก็คล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงชี้ไปยังผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าน่ะ จะว่าเลวก็ไม่เลว จะว่าดีก็ไม่ดี จะว่าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่จะบอกว่าโง่ก็โง่นัก ช่างทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ มิน่าเล่าถึงได้เป็นสหายกับชายชาตรีที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายอย่างจอมยุทธใหญ่หูได้ ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าวันหน้าอย่าได้ไปด่าเขาเลย ข้าว่าเจ้าคบสหายต่างวัยคนนี้ก็นับว่าไม่เสียเปล่า ใครก็อย่าได้กล่าวโทษใคร”
เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่ม “ต่อให้มีนิสัยดีแค่ไหน แต่ถูกกล่อมเกลาอยู่ในครอบครัวเช่นนี้ คาดว่าคงหนีไม่พ้นกลายเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนถัดไปที่เล่นหมากล้อมเก่ง แต่ไม่รู้จักวางตัวเป็นคนอยู่ดี”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เด็กสาว “เกิดจิตใจอิจฉาริษยาต่อญาติสนิทของตน ไม่สมควรเลย”
ต่อมาเขาก็หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า “อันที่จริงก่อนที่เจ้าจะหยุดม้าลากข้าลงน้ำ ความประทับใจที่ข้ามีต่อเจ้านับว่าไม่เลว ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ก็มีแต่เจ้าที่คล้ายว่าจะ…เป็นคนดีที่ฉลาดที่สุด แน่นอนว่าเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นความตาย จึงลองเดิมพันดูสักตั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่เสียเปรียบ หากเดิมพันชนะก็รอดพ้นหายนะไปได้ สามารถหนีออกจากหลุมพรางของคนทั้งสองได้สำเร็จ แต่หากแพ้ ก็หนีไม่พ้นแค่เข้าใจเซียนซือใหญ่ที่มีใจรักหลงในตัวเจ้าไม่แปรเปลี่ยนผิดไป สำหรับเจ้าแล้ว ไม่มีความเสียหายใดๆ ดังนั้นโชคในการเดิมพันของเจ้า…ไม่เลวเลยจริงๆ”
สุดท้ายบัณฑิตชุดเขียวถามว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเราต่างก็แพ้? แล้วข้าจะต้องตาย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลา ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยทำเรื่องให้เดือดร้อนพวกเจ้าทั้งครอบครัว ไม่ได้จงใจจะตีสนิทกับพวกเจ้า ไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินหลายสิบตำลึงนั้นจากพวกเจ้า เรื่องดีไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นดียิ่งกว่าเดิม เรื่องเลวร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเดิม ถูกไหม? เจ้าชื่ออะไรแล้วนะ? สุยอะไร? เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถิด คนอย่างเจ้าต่อให้ฝึกวิชาตระกูลเซียนได้สำเร็จ กลายเป็นคนบนภูเขาเฉกเช่นเฉาฟู่ เจ้าจะดีกว่าเขาจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
คนผู้นั้นเดินออกไปหนึ่งก้าว มองดูเหมือนเป็นก้าวปกติทั่วไป ทว่ากลับขยับห่างไปไกลหลายสิบจั้ง พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
เหรียญทองแดงเหล่านั้นร่วงกราวลงบนพื้นนานแล้ว
สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าเก็บปิ่นทองลงไป ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังผ้าโปร่งบางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นางค่อยๆ เก็บเหรียญทองแดงมาทีละเหรียญ
นางเก็บเหรียญทองแดงใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นยืน สุดท้ายนางค่อยๆ ยกมือขึ้น ยื่นฝ่ามือผ่านผ้าโปร่งบางเข้าไปเช็ดดวงตา พูดเสียงสะอื้นแผ่วเบา “นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ได้ต่างจากเซียนกระบี่ในจินตนาการของข้าเลย เป็นข้าที่พลาดโชควาสนาบนมหามรรคาครั้งนี้ไป…”
ทางฝั่งของตีนเขา
หูซินเหวยหลบอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหน้าผาหินแห่งหนึ่งด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหนีไปให้ไกลอีกหน่อย เพียงแต่ว่านอกภูเขาแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยปกปิดอำพรางตนได้ หูซินเหวยกลัวว่าตัวเองวิ่งไปวิ่งมาจะไปสะดุดตาใครเข้า แล้วต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง
ผลคือจู่ๆ ดวงตาของเขาก็พร่าลาย เข่าของหูซินเหวยอ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เขายื่นมือไปจับหินผา พูดเสียงสั่นว่า “หูซินเหวยคารวะเซียนซือ”
บัณฑิตหนุ่มชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “บังเอิญยิ่งนัก พวกเราสองพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว หนึ่งเท้าหนึ่งหมัดหนึ่งก้อนหิน ครบสามครั้งพอดี ทำไม จอมยุทธใหญ่หูเห็นว่าฐานกระดูกของข้าไม่เลวก็เลยอยากจะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ?”
หูซินเหวยถอนหายใจ “จะฆ่าจะแกง เซียนซือก็บอกมาได้เลย!”
บัณฑิตหนุ่มมีสีหน้าเลื่อมใส “จอมยุทธใหญ่ท่านนี้ช่างมีความกล้าหาญยิ่งนัก!”
หนึ่งฝ่ามือตบลงบนไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าแปลกใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา เจ้ากับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยเรื่องอะไรกัน? การวางแผนใช้อุบายครั้งนี้ของพวกเจ้านี้ แม้จะไม่มีอะไรน่าดูชม แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย ถือเสียว่าช่วยฆ่าเวลาให้ข้าก็แล้วกัน”
ไหล่ของหูซินเหวยเอียงกะเท่เร่ ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้าสู่ไขกระดูก แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงร้อง ได้แต่ปิดปากตัวเองแน่นสนิท รู้สึกเพียงว่ากระดูกหัวไหล่แหลกละเอียดไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ร่างของเขายังค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าช้าๆ อย่างที่ไม่อาจบังคับตัวเองได้ ส่วนคนผู้นั้นกลับเพียงแค่ค้อมเอวน้อยๆ ฝ่ามือยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ สุดท้ายหูซินเหวยคุกเข่าอยู่กับพื้น คนผู้นั้นค้อมเอวยื่นมือมาข้างหน้า ยิ้มตาหยีมองจอมยุทธใหญ่หูที่ชะตาชีวิตรันทดผู้นี้
คนผู้นั้นปล่อยมือ เอาหีบไม้ไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังพิงหน้าผาหิน หยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาดื่ม ก่อนจะวางลงตรงหน้าแล้วกดลง ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังกดอะไรอยู่กันแน่ ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของหูซินเหวยที่ถูกเหงื่อเย็นๆ ไหลมาบดบังการมองเห็น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเบิกตากว้างกลับรู้สึกถึงเพียงความลี้ลับแปลกประหลาดที่ทำให้จิตใจของคนหนาวเหน็บ บัณฑิตผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงการช่วยหาเหตุผลให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตอนอยู่ในศาลา ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ จำต้องดูคอยการเปลี่ยนแปลงเพื่อประเมินสถานการณ์ สังหารพี่ใหญ่สุยที่สมควรแล้วที่ดวงซวย เก็บสตรีสองคนที่ฝั่งตรงข้ามหมายตาเอาไว้ แล้วมอบให้แก่เจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นเพื่อสวามิภักดิ์ ให้ตัวเองได้มีชีวิตรอด ภายหลังอยู่ดีๆ ก็มีลูกเขยที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีโผล่มา ทำให้เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ควันธูปกับเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่งไป กลับกลายเป็นว่าต้องกลายมาเป็นศัตรูกันแทน ยากที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้นพอเห็นข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ทว่าเพียงเพราะข้าไม่ต้องทำอะไรสักอย่างแต่กลับยังมาเดินกระโดดโลดต้นอยู่บนถนนได้ นี่จึงทำให้ไฟโทสะของเจ้าผุดพุ่ง เพียงแต่ว่าไม่ทันกะกำลังของตัวเองให้ดี ลงมือหนักไปสักหน่อย จำนวนครั้งก็มากไปสักหน่อย ถูกต้องไหม?”
หูซินเหวยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่ายหน้ากล่าว “ข้าสมควรตาย”
คนผู้นั้นยกเท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของหูซินเหวย กระดูกเท้าของเขาปริแตก หูซินเหวยก็ได้แต่กัดฟันไม่ส่งเสียงร้อง
จากนั้นคนผู้นั้นก็เตะเข้าที่หน้าผากของหูซินเหวย ศีรษะของฝ่ายหลังฝังแน่นอยู่กับหินหน้าผา
บัณฑิตค้อมเอว ใช้ข้อศอกยันหัวเข่า ยิ้มถามว่า “รู้ว่าตัวเองสมควรตายก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องช่วยหาเหตุผลให้เจ้า”
หูซินเหวยหน้าไร้สีเลือด พูดเสียงสั่นว่า “ขอร้องท่านเพียงเรื่องเดียว เซียนซือจะฆ่าข้าก็ได้ แต่ขอร้องเซียนซือโปรดอย่าทำร้ายคนในครอบครัวข้า!”
บัณฑิตผู้นั้นหรี่ตามองหูซินเหวย หูซินเหวยพยายามเปล่งเสียงเปิดปากพูด “ขอเซียนซือโปรดรับปากด้วย!”
จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้ม “เหตุผลข้อนี้ ข้ารับไว้แล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ จะดีจะชั่วก็ยังพอเหลือกระดูกสันหลังอยู่บ้าง อย่าให้ข้าไม่ทันระวังทำมันหัก คนคนหนึ่งเมื่อคุกเข่านานเข้าจะติดจนกลายเป็นนิสัยเอาได้”
หูซินเหวยโงนเงนลุกขึ้นยืน แต่เขากลับก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา
เวลานี้ไม่ใช่การเสแสร้งทำตัวให้ดูน่าสงสารใดๆ ทั้งสิ้น
นาทีก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ทำให้ไพล่นึกไปถึงว่าในครอบครัวมีคนอยู่มากมายขนาดนั้น พวกเขาอาจต้องเจอกับเปลวเพลิงแห่งตระกูลเซียนที่ไม่มีใครหนีรอดมาได้ เลือดอาจนองเป็นสายน้ำภายในค่ำคืนเดียว คนมากมายนึกจะตายก็ตายไปไม่มีเหลือ
คนผู้นั้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ว่ามาสิ ก่อนหน้านี้เจ้าคุยอะไรกับหยางหยวน?”
หูซินเหวยเอาหลังพิงหินหน้าผา ข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานที่ส่งมาจากสามจุดในร่างกายอย่างศีรษะ หัวไหล่และหลังเท้า ไม่กล้าปกปิดเรื่องใด แข็งใจพูดเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ข้าบอกกับหยางหยวนผู้นั้นว่า เรื่องน้อยใหญ่ทั้งในและนอกตระกูลสุย ข้าล้วนคุ้นเคยดี หลังจบเรื่องสามารถมาถามข้าได้ ตอนนั้นหยางหยวนรับปากแล้ว บอกว่านับว่าข้าฉลาด”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า พยักหน้ารับ “อันที่จริงในแต่ละช่วงเวลา ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนต่างก็เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”
จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าคนหนุ่มที่จิตใจลึกล้ำเกินจะหยั่งผู้นี้เปลี่ยนสีหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกเว้นข้า”
บัณฑิตชุดเขียวทอดสายตามองทัศนียภาพที่ห่างไปไกล เอ่ยถามชวนคุยว่า “เคยได้ยินชื่อตำหนักเกล็ดทองที่ตั้งอยู่ในภูเขาลึกชายแดนของต้าจ้วนไหม?”
หูซินเหวยพยักหน้ารับ “เคยได้ยินพวกผู้อาวุโสหวังตุ้นพูดถึงจวนตระกูลเซียนแห่งนั้นในงานเลี้ยงหนึ่งที่มีจำนวนคนไปร่วมงานน้อยมาก ตอนนั้นข้าได้แต่นั่งอยู่ตำแหน่งปลายแถว แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน และยังรู้สึกเลื่อมใสต่อสามคำว่าตำหนักเกล็ดทองที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นพูดถึงเป็นอย่างยิ่ง เขาบอกว่าเจ้าตำหนักเป็นเซียนบนภูเขาที่ขอบเขตสูงมากคนหนึ่ง ต่อให้เป็นราชวงศ์ต้าจ้วนก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีแค่เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นและเทพีแห่งการต่อสู้เท่านั้นที่พอจะงัดข้อกับเขาได้”
บัณฑิตผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ไม่ถึงขอบเขตเก้าก็กล้าเรียกตัวเองว่าเทพีแห่งการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”
หูซินเหวยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ก็แค่คำเรียกขานอย่างให้ความเคารพที่คนในยุทธภพอย่างพวกเรามีต่อปรมาจารย์หญิงท่านนั้นก็เท่านั้น นางไม่เคยเรียกตัวเองเช่นนี้มาก่อน”
บัณฑิตชุดเขียวดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มียาวิเศษประเภทยารักษาบาดแผลก็รีบเอาออกมาทาซะ อย่าปล่อยให้เลือดไหลจนตาย ข้าคนนี้ไม่มีนิสัยแย่ๆ ที่ชอบช่วยเก็บศพให้คนอื่น”
หูซินเหวยถึงได้รู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ เขารีบทรุดตัวลงนั่ง ควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาแล้วเริ่มกัดฟันทามันลงบนบาดแผล
คนผู้นั้นพลันถามว่า “ยาขวดนี้มีราคาเท่าไร?”
หูซินเหวยรีบเงยหน้าขึ้น ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เป็นยาสูตรลับของหมู่บ้านเซียนฉ่าวแคว้นอู่หลิงพวกเรา หาได้ยากมากที่สุด แล้วก็แพงที่สุด ต่อให้เป็นคนที่มีพรรคเป็นของตัวเองอย่างข้าที่ยังพอจะถือว่ามีช่องทางหาเงินอยู่บ้าง ปีนั้นซื้อยานี้มาสามขวดก็ยังเสียดายเงินแทบตาย แต่เพราะอาศัยว่าเคยได้ดื่มเหล้าร่วมกับผู้อาวุโสหวังตุ้นครั้งนั้น ทางหมู่บ้านเซียนฉ่าวถึงได้ยินดีขายให้ข้าสามขวด”
คนผู้นั้นกล่าว “หาเงินและใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เวลานี้หูซินเหวยรู้สึกว่าต่อให้ลมพัดนกร้องตนก็หวาดผวาไปหมด มารดามันเถอะ งานชุมนุมพืชหญ้านี่เป็นคำอัปมงคลเสียจริง วันหน้าข้าผู้อาวุโสจะไม่เหยียบย่างเข้าไปในราชวงศ์ต้าจ้วน ไม่ไปเยือนงานชุมนุมพืชหญ้ากับมารดามันนั่นอีกเลยตลอดชีวิต
คนผู้นั้นพลันก้มหน้ายิ้มถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าชื่อเสียงของผู้ถวายงานที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทอง มากพอจะทำให้เฉาเซียนซือกับเซียวซูเย่ผู้นั้นตกใจกลัวจนหนีไปได้หรือไม่?”
หูซินเหวยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “น่าจะเพียงพอแล้ว”
แต่แล้วหูซินเหวยก็นั่งแปะลงไปบนพื้น คิดแล้วก็เอ่ยใหม่ว่า “หรืออาจจะไม่แน่เสมอไป?”
บัณฑิตชุดเขียวเองก็ปลดหีบไม้ไผ่ลง แล้วหยิบกระดานหมากและโถใส่เม็ดหมากออกมา เขาเองก็นั่งลงด้วย ก่อนยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าสี่คนในครอบครัวของสุยซินอวี่สมควรตายไหม?”
หูซินเหวยส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “มีอะไรให้สมควรตายกัน ชื่อเสียงในวงการขุนนางของสุยซินอวี่ไม่เลวมาโดยตลอด แล้วก็วางตัวได้ดีพอสมควร ก็แค่ค่อนข้างจะรักในชื่อเสียงของตัวเอง ไม่สนใจผู้อื่น ชอบรักษาตัวรอดหาประโยชน์ใส่ตัวอยู่ในวงการขุนนาง ไม่ได้ทำงานจริงๆ จังๆ สักเท่าไร แต่บัณฑิตที่เป็นขุนนางก็ล้วนเป็นอย่างนี้กันไม่ใช่หรือ? คนที่ไม่รบกวนชาวบ้านไม่ทำร้ายราษฎร ทำความดีบ้างไม่มากก็น้อยอย่างสุยซินอวี่นี้ อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็ถือว่าดีแล้ว แน่นอนว่าข้าจงใจผูกมิตรกับตระกูลสุยก็เพื่อชื่อเสียงของตัวเองในยุทธภพ คนที่ได้รู้จักกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนนี้ ในยุทธภพแคว้นอู่หลิงของพวกเรา อันที่จริงก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน แน่นอนว่าสุยซินอวี่เองก็อยากจะให้ข้าช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ให้เขาได้รู้จักกับผู้อาวุโสหวังตุ้น แต่ข้าจะมีปัญญาไปแนะนำเขากับผู้อาวุโสหวังตุ้นได้อย่างไร ก็เลยได้แต่หาข้ออ้างปฏิเสธไปเรื่อย ผ่านไปหลายครั้งเข้า สุยซินอวี่ก็ไม่พูดถึงอีก ด้วยรู้ว่าข้าลำบากใจ ตอนแรกก็แค่คุยโว้โอ้อวดยกสถานะของตนไปอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นความมีน้ำใจของสุยซินอวี่”
บัณฑิตชุดเขียวไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ว ในมือก็มีกระบี่บินของเซียนในตำนานเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
หูซินเหวยกลืนน้ำลาย
เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเซียนตำหนักเกล็ดทองนั่นจริงๆ หรือ? มองดูเหมือนยังหนุ่ม แต่แท้จริงกลับเป็นเซียนกระบี่ที่มีอายุหลายร้อยปีแล้ว?
ทว่าบัณฑิตผู้นั้นกลับทำเพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งคีบเม็ดหมาก มืออีกข้างใช้กระบี่บินเล่มนั้นแกะสลักลงไป คล้ายว่าจะเขียนชื่อของใครบางคน พอแกะสลักเสร็จก็วางลงบนกระดานหมากเบาๆ
หูซินเหวยครุ่นคิด ดูเหมือนว่าตอนแรกสุดที่เจอกันในศาลา คนตระกูลเซียนตรงหน้าผู้นี้ก็กำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่เช่นกัน ภายหลังสุยซินอวี่ขอประลองฝีมือด้วย เซียนซือผู้นี้ก็ไม่ได้เอาเม็ดหมากสามสิบกว่าเม็ดที่อยู่บนกระดานใส่กลับลงไปในโถ แต่รวบเอามาไว้ข้างกาย มีความเป็นไปได้ว่าหมากบางเม็ดจะสลักชื่อเอาไว้เหมือนอย่างที่เขาทำตอนนี้? ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะกลัวว่ายามที่สุยซินอวี่คีบเม็ดหมากขึ้นมาจะสังเกตเห็นร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ นี่?
คนผู้นั้นคีบเม็ดหมากขึ้นมาอีกครั้งพลางถามว่า “หากตอนนั้นข้าได้ยินไม่ผิด เจ้าคือเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้แห่งแคว้นอู่หลิง?”
หูซินเหวยยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “เป็นที่ขบขันของเซียนซือแล้ว”
คนผู้นั้นพลิกหมากเม็ดที่แกะสลักชื่อลงไปเมื่อครู่กลับด้าน แล้วแกะสลักลงไปอีกสามคำว่าพรรคเหิงตู้ แล้วถึงได้วางลงบนกระดานหมาก
แล้วจากนั้นก็แกะสลักเม็ดหมากอีกสิบกว่าเม็ด ก่อนจะทยอยกันวางลงบนกระดาน
แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งวาบหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา
จากนั้นหูซินเหวยก็สังเกตเห็นว่าเซียนกระบี่ตัวจริงเสียงจริงคนนี้เริ่มเหม่อลอย
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา เห็นได้ชัดว่าเขาคือคนที่เล่นหมากล้อมได้ห่วยแตกซึ่งแม้แต่เขาหูซินเหวยก็ยังสามารถเอาชนะได้อย่างสบายๆ
แต่นาทีนี้ หูซินเหวยกลับรู้สึกเพียงว่าคนที่ ‘เล่นหมากล้อม’ เพียงลำพังตรงหน้าผู้นี้ลึกลับเกินจะหยั่ง ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
เฉินผิงอันวางไม้เท้าเดินป่าอันนั้นพาดไว้บนหัวเข่าแล้วใช้มือถูเบาๆ
สถานการณ์หมากในเมืองเล็กบนยอดเขาเจิงหรงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะคนหรือเรื่องราวก็ล้วนเหมือนหมากแต่ละเม็ดที่หยั่งรากลงบนจุดเสี่ยง หมากทุกเม็ดล้วนแฝงไว้ด้วยความอันตราย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ต่อให้เซียนกระบี่ใหญ่จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำรามผู้นั้นจะไม่ได้ปรากฏตัว ไม่ได้ลงมือสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองอย่างง่ายๆ ด้วยการโจมตีเดียว นั่นก็ถือเป็นสถานการณ์หมากดีเยี่ยมที่มีความมหัศจรรย์อยู่ไม่ขาดตอน
น่าเสียดายก็แต่สถานการณ์หมากกระดานนั้น เฉินผิงอันไม่อาจเดินเข้าไปในเมืองเล็ก ไม่สามารถสืบเสาะเส้นสายทุกเส้นอย่างละเอียดได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าประมุขหลินซู องค์ชายของราชวงศ์ก่อน สายลับของราชสำนักแคว้นจินเฟยที่ถูกจัดตัวให้มาแอบแฝงอยู่ในพรรคเจิงหรง ผู้ฝึกตนเฒ่าแห่งตำหนักเกล็ดทองที่ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องสถานะขององค์ชายเอาไว้ให้ได้ ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้ล้วนจะต้องกลายมาเป็นหมากอันมหัศจรรย์ที่สามารถสำแดงศักยภาพบนกระดานหมากได้ด้วยตัวเอง คือเม็ดหมากที่อาศัยความสามารถความอดทนของตัวเองอย่างแท้จริง จนกลายมาเป็นดั่งคนที่มีชีวิตอยู่บนกระดานหมาก ไม่ได้เป็นดั่งวัตถุไร้ชีวิตอีกต่อไป
ส่วนสถานการณ์หมากในศาลาของวันนี้ ทุกจุดล้วนน่าสะอิดสะเอียนชวนคลื่นเหียน จิตใจของคนขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง ดีเลวพลิกผันแต่กลับไม่มีอะไรทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ ไม่อาจทนรับการหยั่งเชิงเลียบเคียงใดๆ ได้ ไร้ซึ่งประโชน์ จะดีก็ไม่ดี แต่จะเลวก็ไม่เลวไปยังไง
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่เป็นคนเลว? แน่นอนว่าไม่ใช่ คำพูดคำจาและการกระทำล้วนสุภาพสง่างาม ฝีมือในการเล่นหมากล้อมก็ยอดเยี่ยม
เพียงแค่ดีแต่รักษาตัวรอด เชี่ยวชาญในการหลบเลี่ยงหายนะก็เท่านั้น ขนาดหูซินเหวยยังรู้สึกว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าไม่สมควรตาย แต่แน่นอนว่า หูซินเหวยไม่มีทางรู้เลยว่า คำตอบนี้ของเขา บวกกับคำขอร้องก่อนตายก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้สองครั้ง ถือว่าเป็นการชดเชยการ ‘หยั่งเชิง’ สองครั้งจากที่ใช้ทั้งหมัดเท้าและก้อนหินสามครั้งของเขาก่อนหน้านี้ แต่ยังมีอีกครั้งหนึ่ง หากตอบผิด เขาหูซินเหวยก็ยังต้องตายอยู่ดี
—–