จากนั้นก็เข้าสู่พื้นที่อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นอู่หลิง ไม่ว่าจะผ่านโบราณสถานหรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งใด ผู้อาวุโสล้วนจะต้องหยุดม้าลงไปเที่ยวชม บางครั้งยังจะสลักตัวอักษรที่อยู่บนกรอบป้าย กลอนคู่และป้ายศิลาของสถานที่เหล่านั้นลงบนแผ่นไม้ไผ่ด้วย
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ก็เคยเจอกับจอมยุทธหนุ่มสาวที่ออกมาท่องยุทธภพอยู่ไม่น้อย พวกเขาควบม้าตะบึงสวนทางไปกับรถม้า
ชายแขนเสื้อของหนุ่มสาวและแผงขนหน้าผากม้าต่างก็โบกสะบัดไปตามสายลม
แล้วก็เคยเดินทางผ่านหมู่บ้านในชนบท เคยมีกลุ่มเด็กที่เล่นกันอย่างสนุกสนานพากันกระโดดข้ามลำธารหนึ่งสาย ต่อให้เป็นเด็กหญิงท่าทางอ่อนแอก็ยังถอยหลังไปหลายก้าวแล้วกระโจนพุ่งตัวไปด้านหน้า
มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินอาดๆ มายืนอยู่ข้างลำธารสายเล็ก แต่กลับไม่ได้วิ่งตะบึงกระโดดข้ามไป เขาเพียงแกว่งแขน พยายามจะออกแรงอยู่ที่เดิมเพื่อดีดร่างข้ามไปอีกฝั่ง ผลคือร่วงจ๋อมลงไปในธารน้ำโดยตรง
ตอนนั้นรถม้าหยุดอยู่ห่างมาไม่ไกล สุยจิ่งเฉิงมองใบหน้าด้านข้างของผู้อาวุโส พอเขาเห็นภาพนี้ดวงตาก็หรี่ลง รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
รถม้าอ้อมผ่านเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวของหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพแคว้นอู่หลิง
ตลอดทางมานี้เนื่องจากไม่ได้จงใจอ้อมผ่านเมืองและอำเภอต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนจะเข้าไปด้านในทั้งสิ้น ดังนั้นข่าวคราวบางส่วนที่แพร่ไปทั่วยุทธภพจึงล้วนได้ยินมาหมด
หวังตุ้นเลื่อนขั้นเป็นสิบคนในอันดับใหม่ล่าสุด แม้ว่าจะอยู่รั้งท้ายสุด แต่กระนั้นก็ยังคงทำให้แคว้นอู่หลิงมีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองแห่งแคว้นได้
เพราะลำพังเพียงแค่ราชวงศ์ต้าจ้วนก็มีมากถึงห้าคนแล้ว ว่ากันว่ายังมีปรมาจารย์อายุมากที่ไม่เผยโฉมมานานอีกหลายคน แคว้นชิงสือมีเพียงเซียวซูเย่คนเดียวที่อยู่ในอันดับเก้า แคว้นจินเฟยที่ผู้คนกล้าแกร่ง กองกำลังแคว้นรุ่งเรืองกลับไม่มีใครติดอันดับสักคน แคว้นหลันฝางก็ยิ่งไม่ต้องคิด ดังนั้นต่อให้จะอยู่รั้งท้ายสุด แต่นี่ก็ยังถือว่าเป็นเกียรติยศอันใหญ่หลวงของผู้อาวุโสหวังตุ้น และยิ่งทำให้บนใบหน้าของคนแคว้นอู่หลิงที่เป็นแคว้น ‘ขนบธรรมเนียมบุ๋นอ่อนแอไร้ผู้กล้า’ ทุกคนรู้สึกมีหน้ามีตา
ฮ่องเต้แคว้นอู่หลิงยังตั้งใจส่งทูตคนหนึ่งออกจากเมืองหลวงเพื่อนำกรอบป้ายหนึ่งกรอบมามอบให้
เพราะฉะนั้นสุยจิ่งเฉิงจึงเดาได้เลยว่า หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวในเวลานี้จะต้องมีมิตรสหายนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง มีผู้คนที่มาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นเคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้สกุลโจวแคว้นต้าจ้วนแล้วหรือไม่ แล้วได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนกลับมาจากเมืองหลวงต้าจ้วนหรือยัง
ส่วนข่าวที่เกี่ยวกับสุยจิ่งเฉิงก็ยิ่งไม่น้อยไปกว่าการติดอันดับของหวังตุ้น ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในยุทธภพที่พอพูดถึงเรื่องนี้ แต่ละคนน้ำลายแตกฟอง พวกสตรีข้างกายพวกเขาที่ออกมาท่องยุทธภพด้วยกัน ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
ทุกครั้งสุยจิ่งเฉิงจะต้องแอบลอบมองเขา แต่หากเขาไม่ได้ดื่มเหล้ากินข้าวอยู่ในเหลาสุราเงียบๆ ก็จะทำเพียงแค่ดื่มน้ำชาคุณภาพแย่ตามร้านน้ำชาข้างทางเพื่อดับกระหายเท่านั้น
นี่ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แล้วก็มีบางครั้งที่พบเจอกับกลุ่มปัญญาชนที่มาร่ำสุรากันตามภูเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียง
มีคนชูจอกเหล้าขึ้นสูงร้องตะโกนว่า ‘อยู่ในป่าคือต้นไม้ยักษ์ ออกจากภูเขาคือหญ้าต้นเล็ก’ ด้วยน้ำตาที่อาบใบหน้า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็อารมณ์โศกเศร้าตามกันไป แล้วก็มีคนลุกขึ้นรำกระบี่ นี่คงจะพอถือว่าเกิดจิตใจอันฮึกเหิมได้บ้างแล้ว
รถม้าค่อยๆ ขับผ่านมา
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “หากผู้มีชื่อเสียงจับกลุ่มชุมนุมกันตามภูเขาเขียวสายน้ำไหล ผู้อาวุโสรู้หรือไม่ว่าจะไม่ขาดคนสองประเภทไหนมากที่สุด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ไหนเจ้าลองเล่าให้ฟังสิ”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าวว่า “งานชุมนุมของปัญญาชนเหล่านี้จะต้องมีคนที่สามารถเขียนบทกวีที่เป็นที่นิยม ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะมีจิตรกรเอกที่สามารถวาดภาพซึ่งหน้าตาโดดเด่นอีกสักคนหนึ่ง หากมีเพียงหนึ่งในสองก็สามารถทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ แต่หากมีครบทั้งสองก็จะกลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่เล่าสืบขานต่อกันไปเป็นพันปี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผลมาก วันหน้าข้าจะต้องเอาคำกล่าวนี้ไปบอกสหายคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขียนมันลงไปในบันทึกภูเขาแม่น้ำ”
สุยจิ่งเฉิงที่สวมหมวกคลุมใบหน้าปิดปากหัวเราะ นางนั่งเบี่ยงตัวอยู่นอกห้องโดยสาร สองขาแกว่งเบาๆ
ขยับเข้ามาใกล้หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแล้ว เฉินผิงอันจึงขายรถม้าในราคาถูกกว่าที่ซื้อมาในอำเภอแห่งหนึ่ง
ขอห้องสองห้องจากในโรงเตี๊ยม เมื่อขยับเข้าใกล้เมืองก็เห็นได้ชัดว่ามีคนในยุทธภพเพิ่มมากขึ้น น่าจะเป็นพวกคนที่มาแสดงความยินดีที่หมู่บ้านภูเขาเพราะได้ยินข่าว
จำต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ควันธูปในยุทธภพสามารถสร้างได้ด้วยการวิ่งไปเยือน ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของสหายหลายคนที่สามารถสร้างได้ด้วยการดื่มเหล้าบนโต๊ะสุรา
การที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพจนกลายเป็นพวกผู้อาวุโส หากไม่เป็นเพราะมีวรยุทธเลิศล้ำ ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหนก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นนิสัยของผู้กล้า ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่าที่วรยุทธไม่เก่งกาจ แต่กลับเจ้าเล่ห์มากกลอุบาย ชื่อเสียงของคนกลุ่มนี้ก็จะดีมากเหมือนกัน ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังที่เข้าใจวิธีการในยุทธภพก็จะอาศัยการอดทน อดทนให้พวกผู้อาวุโสระดับสองเหล่านี้พากันตายไป เก้าอี้แต่ละตัวว่างลง พวกเขาก็จะถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์กลายไปเป็นผู้อาวุโสแห่งยุทธภพที่ได้นั่งบนเก้าอี้ เพียงแต่ว่าการลืมตาอ้าปากด้วยวิธีนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกคนหนุ่มสาวที่พอจะมีประกายจึงมักจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนเก่าแก่ในยุทธภพสักเท่าไร
แต่ฟังจากคำกล่าวของสุยจิ่งเฉิง ผู้อาวุโสหวังตุ้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองถนนที่ผู้คนเบียดเสียดจอแจอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ไปเคาะประตูห้องด้านข้าง บอกว่าจะไปนั่งในร้านสุราของอำเภอสักหน่อย อยากจะดื่มเหล้าสักสองสามกา
สุยจิ่งเฉิงนำหมวกมาสวมใหม่อีกครั้ง นางเดินออกมาจากธรณีประตูด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย บอกว่าอยากจะไปนั่งดื่มเหล้าข้างทางด้วย ในอดีตนางแค่เคยอ่านเจอมาจากนิยายในยุทธภพเท่านั้น ในนิยายบอกว่าเวลาถึงงานเลี้ยงฉลองของยุทธจักร เหล่าผู้กล้าจะมารวมตัวกันกินเนื้อชิ้นใหญ่ดื่มเหล้าชามโต นางจึงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง อยากจะไปลองดูสักหน่อย
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวางนาง
คนทั้งสองไปถึงร้านเหล้าที่คึกคักซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน เพราะคนของโต๊ะหนึ่งคิดเงินจากไปถึงได้มีที่นั่ง เฉินผิงอันสั่งเหล้ามาหนึ่งกาแล้วรินให้นางหนึ่งถ้วย
สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมหน้า ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าจึงได้แต่ก้มหน้าลงไป แล้วเลิกมุมหนึ่งของม่านคลุมหน้าขึ้น
โต๊ะในร้านเหล้าตั้งอยู่ห่างกันไม่มาก ผู้คนส่วนใหญ่ส่งเสียงพูดคุยครึกครื้น บ้างก็เล่นทายหมัด (เป่ายิงฉุบ) บนโต๊ะสุรา บ้างก็พูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจในยุทธภพ โต๊ะยาวที่อยู่ด้านหลังสุยจิ่งเฉิงเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เขามองหน้าและยิ้มให้กับสหายที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็จงใจยื่นมือออกมาเล่นทายหมัด แต่แสร้งทำเป็นเหวี่ยงมือมาด้านหลังหวังให้ปัดหมวกของสุยจิ่งเฉิงร่วงลง เพียงแต่สุยจิ่งเฉิงกลับโน้มตัวมาด้านหน้า หลบมาได้พอดี ชายฉกรรจ์คนนั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทว่าสุดท้ายแล้วก็อดทนข่มกลั้นไว้ไม่ไหว สตรีผู้นี้มองดูแล้วเรือนร่างงดงามมากจริงๆ หากไม่ได้เห็นสักครั้งจะไม่เท่ากับว่าเสียเปรียบครั้งใหญ่เลยหรือ เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขาได้ลงมือทำอะไรก็มีกลุ่มคนในยุทธภพกลุ่มใหม่มาถึง พวกเขาแต่งตัวอย่างหรูหราควบม้ากันมาเป็นกลุ่ม พอพลิกตัวลงจากหลังม้าก็ไม่คิดจะผูกม้าให้เรียบร้อย แต่กวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นคู่ชายหญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันและยังมีโต๊ะยาวสองตัวว่างอยู่ อีกทั้งดูจากท่านั่งหันข้างของสตรีผู้นั้นที่ราวกับว่านางก็คือสุราเลิศรสที่สุดของอำเภอแห่งนี้แล้ว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งก็เดินตรงไปนั่งแปะลงบนโต๊ะยาวระหว่างสตรีสวมหมวกม่านกับบุรุษสวมชุดเขียว แล้วจึงกุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “ข้าน้อยหลูต้าหย่งแห่งพรรคห้าทะเลสาบ เหล่าสหายให้เกียรติตั้งฉายาให้ว่า ‘เจียวพลิกแม่น้ำ’!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เลื่อมใสมานานๆ ยินดีที่ได้พบๆ”
จอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้ยังมีสหายมาด้วยกันอีกสามคน เขายิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่ถือสาหากจะนั่งด้วยกันกระมัง? คนในยุทธภพไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ นั่งเบียดๆ กันหน่อยก็ได้…”
เพียงแต่ว่าเขากำลังจะกวักมือเรียกคนอีกสามคนใหม่มานั่ง แน่นอนว่าต้องมีคนที่ได้นั่งม้านั่งยาวตัวเดียวกับสตรีสวมหมวก ยกตัวอย่างเช่นเขาที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว กะว่าจะยกม้านั่งที่ตนนั่งอยู่ตอนนี้ให้สหาย ส่วนตัวเองจะไปนั่งเบียดกับนาง คนในยุทธภพล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ยึดหลักกฎเกณฑ์คร่ำครึที่ว่าชายหญิงไม่ใกล้ชิดกันอะไรนั่น
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะยิ้มตอบว่า “ถือสิ”
แต่เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธใหญ่หลูคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนเรียบร้อย ชายร่างกำยำได้กลิ่นหอมเย็นที่ยั่วยวนใจคนยิ่งกว่ากลิ่นหอมของสุราลอยมาก็เตรียมจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวนั้นอย่างผึ่งผาย
เพียงแต่ว่านาทีถัดมา ไม่เพียงแต่จอมยุทธใหญ่ผู้นี้ที่หยุดการกระทำลง พวกคนที่มุงดูเหตุการณ์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยินคำว่า ‘ถือสิ’ อย่างชัดเจนก็ไม่ได้หัวเราะครืนเสียงดัง แต่ละคนลอบกลืนน้ำลาย และยังมีบางคนที่กระดกก้นขึ้นเตรียมจะเผ่นหนีเพื่อความปลอดภัยแล้ว
เพราะว่ามีกระบี่บินสีเขียวมรกตขนาดเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งลอยห่างอยู่จากหว่างคิ้วของชายร่างกำยำผู้นั้นเพียงไม่กี่ชุ่น
คนชุดเขียวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วตอนนี้เจ้าถือสาที่จะนั่งเบียดกับข้า ดื่มเหล้าด้วยกันหรือไม่?”
ไม่ถือ?
ถือ?
เหตุใดหลูต้าหย่งถึงรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะตอบอย่างไรก็ล้วนไม่ถูกต้องนะ?
สหายในยุทธภพอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังหลูต้าหย่ง แต่ละคนยืนนิ่งอยู่กับที่ ตามองจมูกจมูกมองใจ ดูท่าแล้วคงไม่ค่อยสนิทกับจอมยุทธใหญ่หลูเจียวพลิกแม่น้ำผู้นี้สักเท่าไร
เฉินผิงอันโบกมือ หลูต้าหย่งและสามคนที่อยู่ด้านหลังก็เผ่นแน่บทันที
ลูกค้าคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าหวาดผวาพรั่นพรึง เตรียมจะชักเท้าเผ่นหนีเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่า ‘เซียนกระบี่’ ที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้งผู้นั้นจะเอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า “คิดเงินก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”
ผลคือลูกค้าหลายโต๊ะพากันโยนเงินก้อนไปที่โต๊ะคิดเงินโดยตรง แล้วจึงก้าวเร็วๆ จากไป
นอกจากเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงแล้วก็ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่อีก
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นว่าพละกำลังไม่เพียงพอ หลังจากกวาดตามองรอบด้านแล้ว กระบี่บินที่ลอยอยู่กลางอากาศจึงโงนเงนร่วงลงมาบนผิวโต๊ะ และถูกเขาเก็บไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว
สุยจิ่งเฉิงกระตุกมุมปาก
เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาโดยไม่คาดฝัน อีกทั้งยังได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาอย่างเจ้าไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมเลยหรือ? พวกจอมยุทธในยุทธภพล้วนจดจำแค้นได้ดีที่สุด อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องจับกลุ่มสามัคคีกัน ช่วยคนสนิทไม่ช่วยคนมีเหตุผล ช่วยคนอ่อนแอไม่ช่วยคนแข็งแกร่ง”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “มียอดฝีมือนอกโลกอย่างเถ้าแก่เฝ้าอยู่ในร้านเหล้า ก็น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่มากนัก”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้านี่ก็ช่างสายตาดีซะจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เช่นกันๆ”
สุยจิ่งเฉิงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าปลดหมวกลงได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สุยจิ่งเฉิงจึงปลดหมวกคลุมหน้าลง ในที่สุดก็สามารถดื่มเหล้าได้อย่างสงบเสียที
ผู้เฒ่าร้องโอ้โหขึ้นมา “ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก ชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยพบเจอสตรีที่งดงามกว่าเจ้ามาก่อน พวกเจ้าสองคนคงจะเป็นคู่รักเทพเซียนบนภูเขาสินะ? มิน่าเล่าถึงกล้ามาท่องในยุทธภพเช่นนี้ เอาเถอะ วันนี้พวกเจ้าดื่มเหล้าได้ตามสบาย ไม่ต้องควักเงินจ่าย ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็อาศัยใบบุญของพวกเจ้าได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันกำลังจะยกถ้วยขึ้นดื่มเหล้า พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเถ้าแก่มือก็ชะงักค้าง ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่พูดอะไร เพียงกระดกเหล้าดื่มคำใหญ่
ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นของสุยจิ่งเฉิงมีรอยยิ้มแฝงอยู่
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองจุดที่ห่างไปไกลแล้วถอนหายใจ มองแผ่นหลังของคนชุดเชียวแล้วกล่าวว่า “แนะนำเจ้าว่าควรบอกให้เมียเจ้าสวมหมวกเสียเถอะ วันนี้ตาเฒ่าหวังไม่อยู่ในหมู่บ้าน หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ข้าจะช่วยพวกเจ้าได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่อาจช่วยพวกเจ้าไปได้ตลอดทาง หรือพวกเจ้าจะรอให้ตาเฒ่าหวังกลับมาจากเมืองหลวงต้าจ้วน แล้วไปตีสนิทกับเขาก่อน ถึงจะกล้าจากไป? ข้าจะบอกกับพวกเจ้าตามตรงแล้วกัน ตาเฒ่าหวังชอบมาดื่มเหล้าที่ร้านข้าเป็นประจำ ข้าจึงรู้นิสัยของเขาดีที่สุด ทัศนคติที่เขามีต่อเทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าย่ำแย่มาโดยตลอด ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมพบหน้าพวกเจ้าหรอก”
สุยจิ่งเฉิงมองสีหน้าของผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกลั้นยิ้ม ก่อนจะอธิบายกับเถ้าแก่ผู้เฒ่าว่า “ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ พวกเราไม่ใช่คู่รักเทพเซียนอะไรทั้งนั้น”
ผู้เฒ่างอสองนิ้วเคาะเข้าที่ดวงตาของตัวเอง “คิดว่าข้าตาบอดหรือไง?”
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางน่าสงสารประมาณว่าข้าเองก็จนใจมากเหมือนกัน
แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเพียงแค่หันหน้าไปมองผู้เฒ่าแล้วยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงออกจากยุทธภพมาแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้านล่ะ?”
ทั่วทุกมุมของถนนเริ่มมีคนมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่องแล้วชี้ไม้ชี้มือใส่ทางร้านเหล้า
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าอยู่ในยุทธภพไม่รอดน่ะสิ ถึงได้หอบเสื่อไสหัวจากมา คนบนภูเขาอย่างเจ้าก็คือเทพเซียนมีชีวิตที่ไม่รู้จักความทุกข์ยากของชาวบ้านจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอีกว่า “หากข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้มาเจอผู้อาวุโสในร้านแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้นหากเจอกับเรื่องในวันนี้แล้วลุกขึ้นอย่างเดือดดาล ผลคือถูกซ้อมจนร่อแร่ปางตาย ข้าควรจะข่มกลั้นทนรับความอัปยศปล่อยให้อีกฝ่ายรังแกหรือไม่?”
ผู้เฒ่านอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน จิบเหล้าหนึ่งคำแล้วเกาหัว ก่อนจะวางถ้วยเหล้าลงเบาๆ “ก็ต้องอดทนน่ะสิ ขอแค่มีชีวิตอยู่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีโอกาสทวงคืนกลับมาจากคนอื่นและสถานที่แห่งอื่นไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง ชูถ้วยเหล้าขึ้นสูงแล้วกระดกดื่มจนหมด
ผู้เฒ่ายังคงจิบเหล้าคำเล็กอยู่เหมือนเดิม “แต่ว่า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นสิ่งที่ผิด”
เพียงไม่นานบนหลังคาเรือนต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้าก็มีคนมานั่งดูจนเต็ม
เซียนกระบี่ในตำนาน มามองสักหน่อยก็ถือเป็นประสบการณ์ในยุทธภพที่สามารถเอาไปคุยกับคนอื่นได้ทั้งชีวิตแล้ว
แต่ว่าถึงแม้คนที่มามุงดูจะมีมาก แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อหาเรื่องซวยใส่ตัว ส่วนจอมยุทธใหญ่หลูผู้นั้นที่แม้ว่าจะเรียกพรรคพวกมาแล้วหลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน แต่กลับไม่ได้เสียสติ กลับกันยังดีอกดีใจ พูดกับคนอื่นว่าตนได้เห็นมาดของเซียนกระบี่กับตาตัวเองมาก่อน คุยโม้จนน้ำลายแตกฟอง บอกว่ากระบี่บินเล่มนั้นลอยห่างจากหว่างคิ้วของตนไม่ถึงหนึ่งชุ่น! อันตรายยิ่งนัก ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดแล้ว ผู้อาวุโสเกรงใจ แต่เขากลับไม่เกรงใจ จึงไม่มีท่าทีว่าจะจ่ายเงิน
เพียงแค่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ยเบาๆ ว่า “คารวะผู้อาวุโสหวังตุ้น”
ผู้อาวุโสยิ้มกล่าว “ข้าก็บอกแล้วว่าเจ้าสายตาดี ทำไม ไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าเหตุใดถึงได้ชอบสวมหน้ากากมาแสร้งทำเป็นตาแก่ขายเหล้าอยู่ที่นี่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบคนแต่กลับอยู่อันดับรั้งท้าย หากไม่มาซ่อนตัว ดื่มเหล้าดับทุกข์เสียบ้าง แล้วจะให้วันๆ ต้องคอยพบเจอกับคนที่มาเอ่ยคำอวยพร แล้วยังต้องแสร้งยิ้มแย้มพูดว่าที่ไหนกันๆ แค่บังเอิญโชคดีๆ อย่างนั้นหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงรีบลุกขึ้นยืน แล้วยอบตัวคารวะผู้อาวุโสหวังตุ้นที่ตนเลื่อมใสมานาน
ผู้เฒ่าโบกมือ “แม้จะบอกว่าบุรุษของเจ้ามองดูแล้วไม่เลว แต่ตัวเจ้าเองก็ยังต้องตั้งใจฝึกตนให้มาก บุรุษในใต้หล้าล้วนไม่มีใครที่ดีสักคน ขอแค่เกิดเรื่องก็ล้วนชอบด่าพวกเจ้าว่ามีความงามเป็นหายนะ”
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองผู้อาวุโส
เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การฝึกใจของข้าประสบผลสำเร็จ วันนี้ไม่ใช่เมื่อวาน”
เพียงแต่เขาชำเลืองตามองหมวกม่านบนโต๊ะแวบหนึ่ง
สุยจิ่งเฉิงจึงรีบหยิบมาสวม
หวังตุ้นพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนคงไม่ใช่เซียนกระบี่ต่างถิ่นกับสุยจิ่งเฉิงกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าเพราะเรื่องของสาวงามตระกูลสุย เซียวซูเย่ที่อยู่ในอันดับเก้าถึงได้ตายด้วยน้ำมือเซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่ง ศีรษะของเขาถูกคนพาไปที่แคว้นชิงสือแล้ว โชคดีที่ต่อให้ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องหาซื้อรายงานตระกูลเซียนฉบับหนึ่งมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ขาดทุนก้อนใหญ่หรอกหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสช่างสายตาดี”
หวังตุ้นร้องโอ้โหหนึ่งที แล้วเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมานั่งแปะลงบนม้านั่งยาวของโต๊ะคนทั้งสอง “นั่งๆๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหน ข้าหวังตุ้นเลื่อมใสผู้ฝึกตนบนภูเขามานานมากแล้ว โชคดีที่ได้พบๆ”
—–