กระบี่จงมา – ตอนที่ 524.4 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกี่ยวกับเป้าประสงค์ของสามลัทธิ ท่านหลิวมีความเข้าใจอย่างไร?”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “บางอย่างก็ยังตื้นเขินอยู่มาก ลัทธิพุทธไม่ยึดติดสิ่งใด ต้องการให้ทุกคนวางมีดในมือลง แล้วเหตุใดถึงมีการแบ่งแยกเถรวาทกับมหายาน? ในช่วงเวลาที่วิถีทางโลกไม่ค่อยดี การข้ามผ่านตัวเองอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ ต้องข้ามผ่านคนอื่นด้วย ลัทธิเต๋าแสวงหาความสงบสุข หากคนบนโลกมนุษย์สามารถสงบสะอาด ไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ แน่นอนว่าโลกต้องสงบสุข ทุกผู้ทุกคนไร้ทุกข์ไร้กังวลได้นานเป็นพันเป็นหมื่นปี น่าเสียดายที่มรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าสูงส่งเกินไป ดีนั้นก็ดีจริงอยู่ แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของผู้คนเปิดออก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด คนฉลาดกระทำเรื่องที่ฉลาดมีมากขึ้นทุกที มรรคกถาย่อมต้องว่างเปล่า ลัทธิพุทธยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดจนแทบจะกลบทับห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ น่าเสียดายที่ภิกษุผู้ถ่ายทอดพระธรรมไม่ได้เข้าใจหลักพระธรรมอย่างเที่ยงแท้ทุกคนเสมอไป ในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าไร้คนนอก ต่อให้หมาและไก่ได้บินขึ้นสรรค์ไปด้วย แต่จะพาไปได้มากน้อยแค่ไหน? มีเพียงลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่ยากลำบากมากที่สุด หลักการเหตุผลในตำราสลับซับซ้อน แม้จะบอกว่าโดยภาพรวมแล้วเป็นเหมือนร่มเย็นของต้นไม้ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่สามารถทำให้คนร่มเย็นได้ก็จริง แต่หากเงยหน้ามองไปจริงๆ กลับดูเหมือนว่าทุกที่ล้วนมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ง่ายที่จะทำให้คนร่วงตกลงไปยังเมฆหมอก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ท่านหลิวไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางของการฝึกตน ท่านแสวงหาคำว่า ‘หมื่นอาคมบนโลกมิอาจพันธนาการข้า’ หรือว่า ‘ทำตามใจปรารถนาได้โดยที่ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “อย่างแรกยากที่จะแสวงหาสาเหตุ และตัวข้าเองก็ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร ดังนั้นจึงเป็นอย่างหลัง ก่อนหน้านี้ท่านเอ่ยคำว่า ‘จิตดั้งเดิมไม่เปลี่ยน หลักการเหตุผลแปรเปลี่ยน’ ประโยคนี้ลึกกินใจของข้า คนเราล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง วิถีทางโลกก็กำลังเปลี่ยนแปลง แม้แต่ประโยคโบร่ำโบราณที่พวกเราเอ่ยว่า ‘ไม่สะทกสะท้านดุจขุนเขา’ แต่อันที่จริงขุนเขาก็กำลังแปรเปลี่ยน ดังนั้นประโยคนี้ของท่านที่บอกว่าทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎ จึงเป็นขอบเขตที่อริยะสมควรมีซึ่งลัทธิขงจื๊อเชิดชูมาโดยตลอด น่าเสียดายที่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นั่นก็ยังเป็นความอิสระที่มีขอบเขตอย่างหนึ่ง หันกลับมามองผู้ฝึกตนมากมายบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ใกล้กับยอดเขาก็ยิ่งพยายามแสวงหาความอิสระอย่างสมบูรณ์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ว่าข้ารู้สึกว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นคนเลว ไม่มีคำพูดที่ง่ายดายขนาดนี้ ในความเป็นจริงแล้วคนที่สามารถมีอิสระได้อย่างสมบูรณ์อย่างแท้จริงก็ล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ทั้งนั้น”

ฉีจิ้งหลงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้แข็งแกร่งที่ได้เสวยสุขกับอิสระอย่างเต็มที่พวกนี้ ทุกคนล้วนมีจิตใจที่หนักแน่นอย่างถึงที่สุด มีตบะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้น หรือควรจะพูดว่าทั้งด้านการฝึกจิตใจและพละกำลังล้วนถึงขีดสุดทั้งสิ้น”

หลังจากได้รับคำตอบ เฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่งที่ตอนนั้นเขาไม่สามารถถามมันได้จากสุยจิ่งเฉิง “หากจะบอกว่าวิถีทางโลกคือโต๊ะเก้าอี้ที่โยกคลอนหละหลวมตัวหนึ่ง ผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่ในขอบเขตของโต๊ะและเก้าอี้นั้นแล้ว ควรจะทำอย่างไร?”

ฉีจิ่งหลงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ประคับประคองมันไปก่อน หากมีใจแล้วก็มีกำลัง ถ้าอย่างนั้นก็สามารถค่อยๆ เอาตะปูตัวสองตัวตอกลงไปอย่างระมัดระวัง หรือไม่ก็นั่งลงด้านข้างแล้วซ่อมแซมมัน”

อารมณ์ของฉีจิ่งหลงพลันบังเกิด เขามองไปยังผืนน้ำที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นอมตะไม่ต้องตาย อันที่จริงเป็นเรื่องที่ร้ายกาจมากเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแค่คนดีที่ถึงจะใช้เหตุผลได้

อันที่จริงคนเลวก็ทำได้เหมือนกัน หรืออาจถึงขั้นเชี่ยวชาญกว่าด้วยซ้ำ

เพื่อหลีกเลี่ยงศึกและให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอด เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นถึงได้บังคับทะเลเมฆ วางท่าว่าจะปล่อยให้น้ำท่วมกลบทับอาณาเขต

เฉินผิงอันที่กังวลว่าจะเดือดร้อนผู้บริสุทธิ์จึงได้แต่หยุดมือ

นี่ก็คือเหตุผลของเจ้าแห่งทะเลสาบ เฉินผิงอันจำเป็นต้องฟัง

ตอนที่สุยจิ่งเฉิงอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมของศาลา นางเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะติดตามพวกเขามา หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อับจน เขาจะลงมือช่วยเหลือ

นี่ก็คือเหตุผลที่สุยจิ่งเฉิงกำลังอธิบาย

เฉินผิงอันก็กำลังฟังอยู่เช่นกัน

ในศาลา รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่และหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นคือคนสองคนที่สถานะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าต่างก็เอ่ยถ้อยคำที่ความหมายคร่าวๆ เหมือนกันออกมาตามจิตใต้สำนึก

สุยซินอวี่เอ่ยว่า ‘ที่นี่คืออาณาเขตของแคว้นอู่หลิง’ เป็นการเตือนพวกโจรในยุทธภพกลุ่มนั้นว่าอย่าได้ก่อเรื่อง นี่ก็คือการคาดหวังการปกป้องอย่างที่มองไม่เห็นจากกฎเกณฑ์

และกฎเกณ์ที่ว่านี้ได้ซ่อนแฝงบารมีอำนาจ คุณธรรมในยุทธภพของฮ่องเต้และราชสำนักแคว้นอู่หลิงเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังยืมใช้หมัดของหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอู่หลิงโดยที่มองไม่เห็นอีกด้วย

ในอาณาเขตของแคว้นจินเฟย เหตุการณ์ก่อนและหลังในเมืองเล็กบนยอดเขาภูเขาเจิงหรง เฉินผิงอันเลือกที่จะนิ่งดูดายสองครั้ง ไม่ได้สอดมือเข้าแทรก เซียนกระบี่คนหนึ่งก็มองเขาอยู่เงียบๆ เท่ากับว่าเป็นการยอมรับเหตุผลของเขาเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีชีวิตรอดมาสองครั้ง

ตอนที่อยู่ในเมืองสุยเจี้ยก่อนหน้านี้ องค์เทพร่างทองในศาลเทพอัคคีท่านหนึ่งที่ทั้งๆ ก็รู้ดีว่าไร้ความหมายใดๆ แต่ก็ยังเลือกที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเพื่อช่วยเหลือเฉินผิงอัน เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันทำ เทพอัคคีรู้สึกว่าเหตุผล มีกฎเกณฑ์

หมัดของตู้เม่าแห่งใบถงทวีปใหญ่หรือไม่? แต่เมื่อเขาคิดจะออกไปจากใบถงทวีป เขาเองก็จำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์เหมือนกัน หรือควรจะพูดว่าต้องมุดลอดช่องว่างของกฎเกณฑ์ถึงจะเดินทางมาถึงแจกันสมบัติทวีปได้

หมัดของหูซินเหวยคนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงเล็กหรือไม่? แต่ก่อนที่จะต้องตาย เขาเองก็เลือกจะใช้กฎเกณฑ์ที่ว่าตนเองทำผิดไม่เดือดร้อนคนในครอบครัว เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? นั่นก็เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ที่จริงแท้แน่นอนของแคว้นอู่หลิง ในเมื่อหูซินเหวยพูดอย่างนี้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์นี้มีการใช้กันมาปีแล้วปีเล่า ใช้ปกป้องสตรี เด็กและคนชราจำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพ คนใหม่ในยุทธภพที่ฉายประกายคมกริบทุกคน เหตุใดถึงต้องประสบพบเจอแต่อุปสรรค ต่อให้สุดท้ายจะเข่นฆ่าจนเปิดเส้นทางเลือดให้กับตัวเองได้เส้นหนึ่ง แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากกว่าไม่ใช่หรือ? เพราะว่านี่เป็นการตอบแทนอย่างเงียบเชียบที่กฎเกณฑ์มีต่อหมัดของพวกเขา และพวกคนในยุทธภพที่โชคดีจนได้เดินขึ้นบนยอดเขาเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องกลายไปเป็นคนแก่ที่ถูกปกป้อง กลายมาเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เฝ้าปกป้องกฎเกณฑ์โดยอัตโนมัติ

ด้านหน้ามีศาลาชมทิวทัศน์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมตลิ่ง

เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดกล่าวว่า “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้าแล้ว”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็ต้องขอบคุณท่านเฉินด้วยที่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า แววตาใสกระจ่าง พูดอย่างจริงใจว่า “เรื่องราวหลายอย่าง ข้าคิดได้ แต่ก็พูดได้ไม่กระจ่างแจ้งเท่าท่านหลิว”

ฉีจิ่งหลงโบกมือ “จะคิดอย่างไร กับทำอย่างไร ยังคงเป็นเรื่องสองเรื่อง”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “เลี้ยงเหล้าท่านได้ไหม?”

ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า”

เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้น่าสนใจยิ่งกว่าการที่คนทั้งสองพูดคุยกันด้วยถ้อยคำที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ แล้วก็ต่ำลงมาในดินโคลนเสียอีก

เฉินผิงอันรั้งแขนคนผู้นั้นเอาไว้ “ไม่เป็นไร ขอแค่ได้ลองดื่มเหล้าสักครั้ง วันหน้าฟ้าดินก็ไร้พันธนาการแล้ว”

ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ช่างเถิดๆ หากไม่ได้จริงๆ ท่านเฉินดื่มเหล้า ส่วนข้าก็ดื่มชาแทน”

คนทั้งสามมาถึงศาลาริมน้ำที่ใช้ก้อนหินล้อมทับ วางโครงสร้างอยู่บนลำคลองสายใหญ่

คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกัน สายลมจากผิวน้ำพัดโชยมาเป็นระลอก สุยจิ่งเฉิงถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่นอกศาลา ไม่ได้เข้าไปข้างในด้วย

ฉีจิ่งหลงอธิบายว่า “ข้ามีสหายคนหนึ่งชื่อว่าลู่จัว เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ข้า บอกว่าข้าอาจจะคุยกับท่านได้รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นข้าก็เลยลองมาเสี่ยงดวงที่นี่”

เฉินผิงอันปลดงอบวางไว้ด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านกับนักพรตหญิงคนนั้นเปิดศึกกันบนยอดเขาตี่ลี่ เหตุใดถึงตีกันได้? ข้านึกว่าพวกท่านสองคนจะถูกชะตากันเสียอีก ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าเกิดศึกตัดสินเป็นตายเช่นนี้”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ก็แค่เข้าใจผิดกันเท่านั้น นางเจอกับผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่ลงเขาไปทำเรื่องชั่ว นึกอยากจะสังหารให้สิ้นซาก ข้ารู้สึกว่ามีบางคนที่ความผิดไม่ถึงโทษตาย ก็เลยขัดขวางไว้ จากนั้นก็เลยมีการนัดรบกันบนภูเขาตี่ลี่ อันที่จริงก็แค่เรื่องเล็ก เพียงแต่ว่าต่อให้เรื่องเล็กจะเล็กแค่ไหน ระหว่างข้ากับนาง ต่างก็ไม่มีใครยินดีถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ก็เลยเริ่มเกิดเค้าโครงของการช่วงชิงบนมหามรรคาขึ้นมาซะอย่างนั้น เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”

ฉีจิ่งหลงถาม “ทำไม นางคือเพื่อนของท่านงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยไปฝึกประสบการณ์ด้วยกันในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง”

ฉีจิ่งหลงพูดหยอกล้อ “ท่านคงไม่คิดจะซ้อมข้าเพื่อระบายความแค้นให้กับสหายหรอกนะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใครบอกว่าเพื่อนจะต้องทำเรื่องที่ถูกต้องตลอดชีวิตด้วยเล่า”

ต่อให้จะเป็นผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาที่เขาเคารพอย่างถึงที่สุด ปีนั้นตอนที่อยู่ในวัดร้าง ก็ยังใช้ประโยคที่ว่า ‘สังหารภูตผีบนภูเขาร้อยตน อย่างมากสุดก็แค่ไม่เป็นธรรมสำหรับคนคนหนึ่ง หากขนาดนี้แล้วยังไม่ออกกระบี่ หรือจะให้ทิ้งหายนะเอาไว้’ เป็นเหตุผล เพราะคิดจะสังหารปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นด้วยหนึ่งกระบี่ไม่ใช่หรือ?

ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้ลงมือขัดขวาง ทั้งยังขวางหนึ่งกระบี่ของผู้อาวุโสซ่งเอาไว้ได้

ส่วนกู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลักการเหตุผลหลายอย่างจะทำให้จิตใจคนสงบสุข แต่ก็มีหลักการเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้คนต้องแบกรับภาระเดินโซซัดโซเซ

โชคดีที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไม่ได้อยู่ด้วย ทว่าคำสอนทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่ากลับอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวมากมายซับซ้อน แต่มีก่อนหลัง เล็กใหญ่และดีเลว ในใจเฉินผิงอันมีไม้บรรทัดที่สามารถวัดได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังเดินชนโน่นชนนี่ โซซัดโซเซมุ่งหน้าไปอยู่ดี

นอกศาลาริมน้ำมีเค้าลางว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง ไอหมอกขมุกขมัวบนผิวน้ำลอยอวลขึ้นเป็นแถบๆ

ฉีจิ่งหลงบอกว่าไม่ดื่มเหล้าดื่มแต่ชา แต่นี่เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เพราะเขาไม่เคยมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ลงมาจากภูเขาจะมีเพียงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ติดตามมาด้วยเท่านั้น

เฉินผิงอันเห็นว่าเขาไม่ยินดีดื่มเหล้าก็รู้สึกว่าความสามารถในการโน้มน้าวให้คนอื่นดื่มของตนยังดีไม่พอ จึงไม่ได้บังคับฝืนใจผู้อื่นให้แหกกฎของตัวเอง

ฉีจิ่งหลงมองไปบนผิวน้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความมืดนำพาฝนปรอย เมฆทะมึนรวมตัวหนายากแยกจาก”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า หันหน้าไปมอง “ฟ้าหลังฝนย่อมปรากฏขึ้นเสมอ”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ แล้วเงยหน้าเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้วน่ะสิ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ศาลาเล็กๆ ก็มีอยู่สองคน ไม่แน่ว่าบวกกับข้างนอกศาลาก็เป็นสามคน แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะยังต้องกลัวอะไร”

สุยจิ่งเฉิงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม มือสองข้างวางไว้บนหัวเข่าเบาๆ เวลานี้ดวงตาของเขากระจ่างใส ยื่นมือออกมา “เอาเหล้ามา!”

เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้ นั่งขัดสมาธิ ยิ้มสดใสเอ่ยว่า “เหล้ากานี้ถือเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้แก่การฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนของท่านหลิวก็แล้วกัน”

“ศึกบนภูเขาตี่ลี่กับนาง ข้าได้รับผลประโยชน์มหาศาล พอจะมีความหวังอยู่บ้างจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงเองก็นั่งขัดสมาธิเลียนแบบคนผู้นั้น เขาจิบเหล้าหนึ่งคำแล้วขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่ถูกแล้วจริงๆ ด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้ท่านดื่มอีกสักสองสามกาแล้วยังไม่ชอบดื่ม ก็ถือว่าข้าแพ้”

ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่กลับยอมดื่มอีกสองคำเล็กๆ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ปีนี้ท่านหลิวอายุเท่าไร?”

ไม่รู้ว่าเหตุใด พอได้พบกับผู้ฝึกกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้นี้ถึงได้คิดถึงราชครูจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่ายังมีเด็กน้อยในตรอกเล็กอย่างเฉาฉิงหล่างด้วย

ถึงอย่างไรเฉาฉิงหล่างก็เป็นคนที่ปีนั้นเขาอยากพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวด้วยมากที่สุด

ฉีจิ้งหลงยิ้มกล่าว “หากไปอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็เป็นผู้เฒ่าอายุแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงที่อยู่นอกศาลาอึ้งตะลึง ผู้อาวุโสเคยอธิบายขอบเขตคร่าวๆ ของเทพเซียนบนภูเขาให้นางฟังมาก่อน นี่เขาเป็นครึ่งขอบเขตหยกดิบที่อายุน้อยขนาดนี้เชียวหรือ?!

แปลกแต่ก็ไม่แปลก

เพราะ ‘บัณฑิต’ ที่อยู่ในศาลาคือเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป ผู้ฝึกกระบี่หลิวจิ่งหลง

คนคนหนึ่งที่เคยทำให้หยางหนิงเจินผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเกือบจะต้องสิ้นหวัง

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ร้ายกาจๆ”

ฉีจิ่งหลงมีสีหน้าปั้นยาก ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เขาเช็ดปากยิ้มกล่าว “เจ้าที่เป็นคนอายุไม่ถึงสามสิบปี พูดแบบนี้คิดจะด่ากันหรือไง?”

สุยจิ่งเฉิงเหมือนกลายไปเป็นปีศาจจิ้งจอกที่พบเจอระหว่างทางตนนั้น นางอึ้งค้างเหมือนถูกฟ้าผ่า ก่อนจะหันหน้าไปมองในศาลา ถามอย่างเหม่อลอยว่า “ผู้อาวุโสบอกว่าตัวเองอายุสามร้อยปีไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ข้าเคยพูดหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงหน้าตึง พูดเสียงหนักว่า “อย่างน้อยก็สองครั้ง!”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แบบนี้ไม่ค่อยดีแล้ว”

ฉีจิ่งหลงก็ดื่มเหล้าตามไปด้วย มองมือกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วชำเลืองตามองสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่อยู่ด้านนอก เขาเองก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ค่อยดีแล้วจริงๆ”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset