กู้โม่ขอบเขตประตูมังกร หรงช่างจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง พากันหันไปมองคนหนุ่มที่เพิ่งออกจากด่านคนนั้น
กู้โม่รู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจเล็กน้อย การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป ภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เกินไป นี่ไม่สมเหตุสมผล
หรงช่างที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดยืนอยู่สูงกว่า มองได้ไกลกว่า เขาไม่เพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น ยังรู้สึกตื่นตะลึงอีกด้วย
ฉีจิ่งหลงไม่ได้หันกลับมา เขาเก็บฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสร้างขึ้นลงไป ยามที่ลงมือไม่เห็นกระบี่บิน ยามที่หยุดมือก็ยังคงมองไม่เห็นกระบี่บิน
ฉีจิ่งหลงหันไปพูดกับหรงช่างว่า “เสียมารยาทแล้ว”
หรงช่างมีชาติกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง มีเซียนกระบี่อย่างลี่ไฉ่เป็นอาจารย์ หากลูกศิษย์ในสำนักคิดจะไม่มีนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาเสียเลยก็นับว่าเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดติดใจอะไร ยิ้มกล่าวว่า “ได้สัมผัสกับกระบี่บินของท่านหลิวกับตัวเอง นับเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด วันหน้าหากมีโอกาส ควรจะหาสถานที่เหมาะๆ มาประมือกันให้เต็มที่สักครั้ง”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ใช่ที่ภูเขาตี่ลี่ก็พอ”
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง ตอนที่เดินสวนไหล่กับสุยจิ่งเฉิง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง”
จิตใจสุยจิ่งเฉิงพลันสงบลงได้
ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของผู้อาวุโสจะทำให้จิตใจของนางสงบได้มากกว่าการออกกระบี่ของท่านหลิวเสียอีก
ต่อให้ตอนนี้นางจะรู้แล้วว่า อันที่จริงผู้อาวุโสเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง ตบะและขอบเขตต่างก็ล้วนสู้ฉีจิ่งหลงไม่ได้ก็ตาม
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง “ขอบคุณมาก”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “หากจะขอบคุณข้าจริงๆ แค่อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้าดื่มเหล้าก็พอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้เลย”
จากนั้นฉีจิ่งหลงก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง เรื่องวงในที่รู้ได้แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางพูด การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันจำเป็นต้องมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่อาจวอกแวกเสียสมาธิ ดังนั้นบทสนทนาระหว่างพวกฉีจิ่งหลงสี่คน เฉินผิงอันจึงไม่รู้ชัดเจนสักเท่าไร แต่แสงกระบี่ที่พุ่งทะยานอยู่ริมบ่อบัวนี้ เขายังพอจะรับสัมผัสได้อย่างพร่าเลือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาทีที่ฉีจิ่งหลงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา เวลานั้นต่อให้จิตใจของเฉินผิงอันจะจมจ่อมอยู่กับการหล่อหลอม แต่ก็ยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามันใกล้ชิดสนิทสนมกับสภาพจิตใจของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการหลอมวัตถุของเขา กลับกันยังคล้ายกับว่าเป็นการช่วยคุมหลังอย่างหนึ่งที่ฉีจิ่งหลงมีต่อเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับสุยจิ่งเฉิง “เจ้ากลับเข้าห้องไปก่อน เรื่องบางอย่าง หากเจ้ารู้ก่อนเวลากลับจะไม่ใช่เรื่องดี ข้ากับท่านหลิวจำเป็นต้องพูดคุยกับเทพธิดากู้และเซียนกระบี่หรงอีกสักหน่อย จำไว้ว่าอย่าแอบฟัง นี่เกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของมหามรรคาเจ้า อย่าทำเป็นเล่น”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ แล้วเดินดิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไป
พอมองเห็นภาพนี้ อารมณ์ของหรงช่างก็หนักอึ้งเล็กน้อย
หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงปิดประตูลงเบาๆ ไม่ต้องรอให้เฉินผิงอันพูดอะไร ฉีจิ่งหลงก็จัดวางค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เพื่อตัดขาดเสียงและภาพในบริเวณใกล้เคียงกับห้องของสุยจิ่งเฉิง
เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกที่คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล
ทั้งรวดเร็วและมั่นคงอย่างถึงที่สุด
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยเตือนฉีจิ่งหลง ตอนที่เสียงปิดประตูดังขึ้นและฉีจิ่งหลงกำลังวาดยันต์ เฉินผิงอันได้หันมาเอ่ยถามเซียนซือบนภูเขาสองคนที่จับมือกันเดินทางมาตามหาสุยจิ่งเฉิงแล้ว “ข้ากับท่านหลิวสามารถนั่งคุยกับพวกเจ้าได้หรือไม่ เรื่องนี้อาจจะไม่ได้คำตอบในทันทีทันใด”
กู้โม่พยักหน้ารับ “ตามใจ”
เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่อยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง ฉีจิ่งหลงเองก็นั่งลงตามไปด้วย แต่ขยับออกมาเล็กน้อย ไม่ได้นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉีจิ่งหลงก็แค่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดคุยด้วยเหตุผลดีๆ ออกกระบี่แล้วก็เก็บกระบี่
เมื่อคนทั้งสองนั่งลง อารมณ์ของหรงช่างก็ดิ่งวูบลงอีก บุรุษชุดเขียวสองคนนี้ เหตุใดถึงมีจิตใจที่สอดประสานเชื่อมโยงถึงกันได้ดีเพียงนี้? คนทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว เพียงแค่ดูจากตำแหน่งที่นั่งก็มีความหมายประมาณว่า ‘เจ้าคือกฎ ข้าคือระเบียบ’ แล้ว
เกี่ยวกับ ‘เซียนกระบี่โอสถทอง’ แซ่เฉินผู้นั้น ตลอดทางที่ตามหาสุยจิ่งเฉิงนี้ นอกจากข่าวคราวที่หลุดรอดมาจากรายงานภูเขาแม่น้ำ หรงช่างกับกู้โม่ยังเคยสืบเสาะหาข้อมูลอย่างลึกซึ้งมาก่อนรอบหนึ่ง ทว่าเบาะแสส่วนใหญ่ล้วนซับซ้อนยุ่งเหยิง กลับยิ่งชวนให้สับสนมึนงงเข้าไปอีก
ส่วนหลิวจิ่งหลง ไม่จำเป็นต้องให้คนทั้งสองไปตรวจสอบอะไรให้มากความเลย
เจียวหลงบนบกที่อยู่ติดอันดับสามของคนหนุ่มสาวสิบคนของอุตรกุรุทวีป หลิวจิ่งหลง คือลูกรักแห่งสวรรค์ที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็วของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งทิศเหนือ
ตอนนี้เซียนกระบี่สองคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้ไปอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัวแล้ว สำหรับตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่แค่พูดจาไม่เข้าหูกันก็พร้อมจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายแห่งนี้ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก ภูเขาใหญ่ที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นรากฐานในการหยัดยืนย่อมมีศัตรูคู่อาฆาตอยู่ไม่น้อย
แต่ไม่มีใครกล้าดูแคลนสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่มีผู้ฝึกกระบี่เฝ้าพิทักษ์ พวกที่ตบะไม่สูงพอ คือไม่กล้า ส่วนพวกที่ตบะสูงพอ ก็ไม่ยินดี
เซียนกระบี่ทั้งสองท่านที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนึ่งในนั้นคือเจ้าสำนักไท่ฮุย ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลิวจิ่งหลง ส่วนอีกคนหนึ่งมีอาวุโสมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของหลิวจิ่งหลงเช่นกัน ผู้ที่ได้รับโชควาสนานี้คือศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งของหลิวจิ่งหลง แต่ในอันดับสิบคนของอุตรกุรุทวีปกลับไม่มีนางเป็นหนึ่งในนั้น เพราะตอนที่หลิวจิ่งหลงขึ้นภูเขามา นางก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองแล้ว หลังจากที่หลิวจิ่งหลงมีชื่อเสียงขึ้นมา นางกลับยังไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ ต่อให้สำนักกระบี่ไท่ฮุยจะปิดข่าวไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ยังคงมีข่าวลือเล็กๆ แพร่ออกไป บอกว่าผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ทางสำนักฝากความหวังไว้สูงผู้นี้เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก และยังคงเป็นหลิวจิ่งหลงที่ลงมือด้วยตัวเอง ใช้อาการบาดเจ็บสาหัสของตัวเองเป็นค่าตอบแทน จึงช่วยให้นางรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้
หันกลับมามองผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลิวจิ่งหลง เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เนื่องจากมีขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ จึงตกอยู่ในสภาพการณ์น่าสงสารที่มหามรรคาเสื่อมสลายก่อนเวลาอันควร จึงจากโลกนี้ไปนานแล้ว
ตอนนี้มาย้อนนึกดู เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง แต่ปีนั้นหากย้อนกลับมาดู กลับกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมาก เพราะหลิวจิ่งหลงไม่ได้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดตามความหมายที่แท้จริง ช่วงแรกเริ่มของการฝึกตนหลังจากที่หลิวจิ่งหลงขึ้นเขามา ภูเขาแห่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย หรือแม้กระทั่งในสำนักของตัวเองก็แทบไม่มีใครที่คาดคิดได้ว่าเส้นทางการฝึกตนของหลิวจิ่งหลงจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างพรวดพราดเช่นนี้ หลังจากที่หลิวจิ่งหลงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์กลางทางอย่างที่หาได้ยากเหมือนขนหงส์เขากิเลน มีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่สนิทสนมกับทางสำนักกระบี่ไท่ฮุยมานานหลายปีเคยเกิดความกังวลใจ กลัวว่านิสัยของหลิวจิ่งหลงจะนุ่มนวลเกินไป เรียกได้ว่าขัดกับจุดประสงค์แห่งวิถีกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยสิ้นเชิง ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายเป็นบุคคลที่เป็นเสาหลักของสำนัก แน่นอนว่าเรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยยอมแหกกฎรับหลิวจิ่งหลงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องจนถูกต้องไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เฉินผิงอันมองไปทางผู้ฝึกตนหญิงสายของไท่เสียผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนต่างถิ่น พวกเจ้าน่าจะตรวจสอบจนรู้แน่ชัดแล้ว แต่ในความจริงแล้วข้ามาจากแจกันสมบัติทวีป เรื่องที่ได้ช่วยเหลือสุยจิ่งเฉิงไว้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น”
หรงช่างถาม “ช่วยเล่าให้ละเอียดได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงเล่าเหตุการณ์ในศาลาให้ฟังอย่างคร่าวๆ ส่วนในเรื่องของการดูคนฝึกฝนจิตใจนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แค่บอกการกระทำในท้ายที่สุดของทุกคน
ไม่พูดถึงหรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ขนาดกู้โม่ที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก็ยังไม่กังวลว่าคนผู้นี้จะโกหก
เพราะว่าข้างกายของคนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มีหลิวจิ่งหลงนั่งอยู่
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังสามารถเล่าเรื่องโป้ปดมดเท็จได้เป็นฉากๆ จริงเท็จไม่แน่นอน วางแผนฆ่าคนตายโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
แต่หลิวจิ่งหลงถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางทำเช่นนั้น
เป็นเหตุให้คนที่สามารถกลายมาเป็นเพื่อนของหลิวจิ่งหลงได้ก็น่าจะไม่ใช่คนแบบนั้นเช่นกัน
นี่ก็คือเหตุผลที่มองไม่เห็น คือกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปลักษณ์
ขอแค่หลิวจิ่งหลงนั่งอยู่ตรงนั้น ต่อให้เขาจะไม่เอ่ยอะไรเลยก็ตาม
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยคาดเดาไปในทางที่เลวร้ายที่สุด นั่นก็คือเจ้าหลอกสุยจิ่งเฉิง ขณะเดียวกันก็ทำให้นางยอมมอบใจติดตามเจ้าไปฝึกตน เพราะถึงอย่างไรประสบการณ์ทางโลกของสุยจิ่งเฉิงก็ยังตื้นเขินนัก อีกทั้งบนร่างยังมีสมบัติหนัก จึงคิดจะใช้วิธีชั้นต่ำที่ย่ำยีวัตถุสวรรค์อย่างตำหนักเกล็ดทอง แต่อันที่จริงพอพวกเรามารู้เรื่องในภายหลัง กลับไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าดูเหมือนภาพเหตุการณ์ที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ต่างหากที่ทำให้ปวดหัวได้มากที่สุด”
หรงช่างฟังจบแล้วก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คิดไม่ถึงว่าท่านเฉินจะเดาโชควาสนาของการสืบทอดมรรคาที่อยู่เบื้องหลังสุยจิ่งเฉิงออกมาตั้งแต่แรกแล้ว และยังมอบทางเลือกที่โน้มเอียงมาทางพวกเราให้แก่นาง ดูท่าข้าคงใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนเสียแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เล่าสถานการณ์ทางฝั่งข้าจบแล้ว พวกเจ้าสามารถพูดเรื่องทางฝั่งของพวกเจ้าได้แล้วหรือไม่?”
หรงช่างสบตากับกู้โม่ ต่างก็รู้สึกลำบากใจกันไม่น้อย
กู้โม่พลิ้วกายลงบนเรือลำน้อยแล้วนั่งขัดสมาธิ ไม่มีใครคาดคิดได้ว่านางจะปัดความรับผิดชอบด้วยการเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หรง เจ้าเล่าให้พวกเขาฟังก็แล้วกัน ข้าไม่ถนัดเรื่องที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว”
หรงช่างจนใจ อันที่จริงกู้โม่ทำอย่างนี้ก็ไม่อาจพูดได้ว่านางไร้คุณธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของสุยจิ่งเฉิงนั้น เดิมทีก็เป็นไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋เซียนซือที่กำลังช่วยเหลือเซียนกระบี่ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ของเขา หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ กำลังช่วยเจ้าของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงในอนาคต เพราะลี่ไฉ่จะต้องออกเดินทางไกลไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างแน่นอน การที่นางยังอยู่ต่อในอุตรกุรุทวีปก็เพื่อรอให้ไท่เสียหยวนจวินออกจากด่าน แล้วจะจับมือกันเดินทางไปสังหารปีศาจใหญ่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน ตอนนี้หลี่อวี๋เซียนซือโชคร้ายจากโลกนี้ไปแล้ว อาจารย์ก็คงจะยังต้องไปภูเขาห้อยหัวเพียงลำพัง และอาจารย์ก็ได้ข้อสรุปมานานแล้วว่า ผู้ที่จะเฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงในอนาคต ไม่ใช่เขาหรงช่าง ต่อให้เขาจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนได้ก็ยังคงไม่ใช่เขา แล้วก็ไม่ใช่ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มีพรสวรรค์และตบะที่ไม่เลวเหล่านั้น เป็นได้แค่ศิษย์น้องหญิงเล็กของหรงช่างที่ ‘ปิดด่านมาแล้วสามสิบปี’ คนนั้น
ซึ่งก็คือ ‘สาวงามตระกูลสุย’ ของแคว้นอู่หลิง
สำหรับเรื่องนี้หรงช่างไม่มีปมในใจใดๆ ยิ่งไม่มีความเห็นต่าง
เชื่อว่าผู้ฝึกกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงทุกคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ก็กลัวว่าจะถูกเจ้าสำนักลี่ไฉ่ตบตายด้วยฝ่ามือเดียวอย่างไรล่ะ
สายของไท่เสีย หลี่อวี๋เชี่ยวชาญวิชาคาถาที่มหัศจรรย์อยู่หลายอย่าง ว่ากันว่านางได้รับการสืบทอดมรรกถาที่แท้จริงมาจากฮว่อหลงเจินเหริน
ร่างจริงของศิษย์น้องหญิงเล็กปิดด่านเพื่อบรรลุมรรคาอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจริงๆ แต่ภายใต้การร่ายวิชาอภินิหารของไท่เสียหยวนจวิน ศิษย์น้องหญิงเล็กได้ใช้ลักษณะที่คล้ายคลึงกับจิตหยินออกนอกร่างเดินทางไกลไป ‘จุติ’ ครึ่งตัวกลายเป็นสุยจิ่งเฉิง อีกทั้งยังไม่ทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของสุยจิ่งเฉิงแม้แต่น้อย สามารถพูดได้ว่าสุยจิ่งเฉิงที่อยู่ในห้องยังคงเป็นทายาทของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่ แต่กลับไม่ใช่ทั้งหมด สรุปก็คือนี่เป็นขอบเขตที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่หรงช่างแค่ครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกปวดหัวแล้ว ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ศิษย์น้องหญิงเล็กจะอาศัยสิ่งนี้มาฝึกปรือวิชากระบี่ได้อย่างไร หรงช่างก็คร้านจะคิดให้มากความแล้ว
ปีนั้นลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมาก ราวกับว่ายังมีเรื่องมากกว่านั้นที่ถูกเก็บงำไว้ แต่สรุปก็คือสิ่งที่หรงช่างจำเป็นต้องทำก็แค่ลบเลือนเหตุไม่คาดฝันเล็กๆ ที่เกิดขึ้นกับสุยจิ่งเฉิงซึ่งถูกชักนำมาจากเหตุไม่คาดฝันใหญ่ที่เกิดจากการจากไปของไท่เสียหยวนจวินนั้นทิ้งไป รั้งสุยจิ่งเฉิงไว้ที่อุตรกุรุทวีป รอให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์เดินทางข้ามทวีปกลับมายังบ้านเกิด เขาหรงช่างก็จะได้รับกระบี่จากอาจารย์หลังจากที่ท่านกลับคืนมายังสำนักน้อยลงหนึ่งครั้ง ส่วนตำหนักเกล็ดทอง เฉาฟู่อะไรนั่น เมื่อก่อนข้าผู้อาวุโสไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันมาก่อน ข้าหรงช่างรังเกียจด้วยซ้ำว่าหากตัวเองออกกระบี่แล้วจะทำให้มือสกปรก
หลังจากหรงช่างใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ยินดีจะพูดให้มากความ บุรุษชุดเขียวสองคนตรงหน้านี้ชอบใช้เหตุผล แล้วก็เชี่ยวชาญการใช้เหตุผล แต่หากจะมองพวกเขาเป็นคนโง่เพราะเรื่องนี้ นั่นก็เป็นเขาหรงช่างที่โง่เสียเอง บางทีหากตนเปิดเผยเบาะแสบางส่วนออกไป อาจจะทำให้พวกเขาคว้าจับเส้นสายเอาไว้ได้ แล้วกระตุกดึงความจริงที่มากกว่าเดิมออกมา ไม่แน่ว่าคนนอกสองคนนี้อาจจะมองได้ยาวไกลและลึกซึ้งยิ่งกว่าหรงช่างก็ได้ ไม่แน่เสมอไปว่าอีกฝ่ายจะใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เอาอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมีอยู่สองเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด หากฝึกกระบี่ไม่ได้ ก็เป็นเพราะโง่เง่าเกินไป
แต่ถึงอย่างไรลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์มองใครก็เห็นว่าเป็นคนทึ่มที่เรียนกระบี่ได้ไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่แล้ว
ทุกครั้งขอแค่อาจารย์ตีคนด้วยโทสะก็มักจะอดหลุดคำพูดติดปากประโยคหนึ่งออกมาไม่ได้ว่า “สมองทึบขนาดนี้ก็ควรต้องฝึกกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตายเข้าสิ ยังจะกล้ามีหน้ามาขี้เกียจอีกหรือ?”
เหตุผลแบบนี้จะพูดคุยกันได้อย่างไร?
—–