หากเป็นเวลาปกติก็ยังดี แต่พอเจอกับเรื่องเช่นนี้ ทรัพย์สมบัติของภูเขาลั่วพั่วมีไม่มากพอ อยู่ดีๆ กลับมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มเข้ามา เมื่อเทียบกับการสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาลั่วพั่วก่อนหน้านี้ที่ต้องเจอกับอุปสรรครอบด้านแล้ว คราวนี้อุปสรรคกลับยิ่งหนักเข้าไปอีก
ก่อนจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ยังมีปัญหายากรออยู่อีก จะยืมเงินอย่างไร ยืมจากใคร ยืมเท่าไร
หลังจากที่ปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว นั่นถึงจะเป็นปัญหาข้อที่ว่าควรจะลงนามสัญญากับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนและจ้งชิวอย่างไร รวมไปถึงหลังจากนั้นก็ยังมีเรื่องยิบย่อยอย่างที่ว่าควรจะแอบเอาสมบัติอาคมอาวุธวิเศษตระกูลเซียนมาแอบจัดวางเอาไว้ หรือจะกระจายวิชาลับการฝึกตนออกไปอย่างไรรออยู่อีก ต่อมาถึงจะเป็นงานพิธีการอีกชุดใหญ่ที่ต้องให้แคว้นหนันเยวี่ยนแต่งตั้งองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำ รวมไปถึงข้อที่ว่าสรุปแล้วภูเขาลั่วพั่วจะได้ผลประโยชน์จากพื้นที่มงคลรากบัวได้อย่างไร เพื่อรับรองว่าจะไม่ใช่การวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา อีกทั้งยังสามารถทำให้พื้นที่มงคลระดับกลางมีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง และในอนาคตจะมีผู้ฝึกตนเซียนดินกลุ่มใหญ่ที่ภูเขาลั่วพั่วสามารถเรียกมาใช้งานได้ปรากฎตัว
และนี่ก็ยิ่งเป็นการบีบให้ภูเขาลั่วพั่วต้องรับสถานะ ‘เทพเทวดาบนสรวงสวรรค์’ เพื่อคอยสร้างกฎระเบียบที่รอบคอบมั่นคงให้แก่พื้นที่มงคลรากบัว
จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อต่างก็เสนอแผนการของตนเองอย่างละเอียด จากนั้นก็ช่วยกันตรวจสอบหาช่องโหว่และแก้ไข
จูเหลี่ยนยังส่งจดหมายไปหาหลูป๋ายเซี่ยงด้วยตัวเองหนึ่งฉบับอย่างที่หาได้ยาก เขาต้องการให้นอกเหนือจากการรวบรวมกลุ่มอำนาจแล้ว อีกฝ่ายจะเริ่มสะสมเงินเทพเซียนได้แล้ว
ส่วนจดหมายฉบับของเว่ยเซี่ยนนั้น แค่ส่งให้ชุยตงซานก็พอ อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ยังต้องส่งให้ชุยตงซานนั่นแหละ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของนายน้อยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
ทางฝั่งของสุยโย่วเปียนที่อยู่ในสำนักกุยหยกต้องใช้กระบี่บินข้ามทวีปที่ผลาญเงินก้อนใหญ่ จูเหลี่ยนจึงอดด่ามารดาอีกฝ่ายคำหนึ่งไม่ได้
เขาบอกกับสุยโย่วเปียนว่าอย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตนของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสำนึกเสียบ้าง หมั่นคอยหาสมบัติอาคมส่งมาให้บ้านเดิมบ่อยๆ
เว่ยป้อที่พอถึงช่วงทำการค้าก็พูดคุยภาษาการค้า บอกว่าเขายินดีจะไปขอยืมเงินจากกองกำลังฝ่ายต่างๆ ที่สนิทสนมคุ้นเคยกับราชสำนักต้าหลี แต่ส่วนแบ่งหลังจากที่พื้นที่มงคลรากบัวได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว จะต้องให้เหมือนกับส่วนแบ่งของท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ที่จำเป็นต้องมี จะขาดไปไม่ได้
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในเวลาปกติ เขายืนกรานหนักแน่นว่านอกจากที่เว่ยป้อจะต้องเอาเงินฝนธัญพืชในจำนวนที่มากพอออกมาแล้ว ผลประโยชน์ของพื้นที่มงคลรากบัว เขาเว่ยป้อจะได้ไปแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่สองส่วนอย่างที่ตัวเว่ยป้อเสนอมา ไม่เพียงเท่านี้ จูเหลี่ยนยังคิดจะขีดเส้นจำกัดเวลาด้วย โดยมีระยะเวลาอยู่ที่หนึ่งพันปี หากหลังจากนั้นเว่ยป้อยังต้องการส่วนแบ่งก็ต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชส่วนต่างมาเพิ่ม ส่วนจำนวนที่แน่ชัด ถึงเวลานั้นค่อยปรึกษากันอีกที
แน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงย่อมช่วยจูเหลี่ยน
ในขณะเดียวกันกับที่เว่ยป้ออาศัยช่องทางต่างๆ ของตนไปขอยืมเงินติดหนี้ผู้อื่นจำนวนมหาศาล ก็ค่อยๆ รับมือกับเจ้าสองคนนี้ไปช้าๆ ด้วย
การกระทำนี้ของเว่ยป้อ ทั้งจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเว่ยป้อทำอะไร ย่อมต้องรู้หนักรู้เบาอยู่แล้ว
เมื่อปรึกษากันถึงความเป็นไปได้รูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับจดหมายจากชุยตงซาน คนทั้งสามกลับมีความคิดสอดคล้องต้องกัน นั่นคือไม่ว่าคนผู้นี้จะออกเงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไร ก็จะไม่ยอมอนุญาตให้เขามามีส่วนแบ่งด้วยเด็ดขาด ต่อให้ชุยตงซานจะใช้ข้ออ้างว่าขอยืมเงินมาเจรจากับภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ได้
วันนี้คนทั้งสามมารวมตัวกันอีกครั้งในลานบ้านขนาดเล็กของจูเหลี่ยน เว่ยป้อถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “คำนวณผลลัพธ์ออกมาแล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เงินฝนธัญพืชสองพันเหรียญ อย่างมากที่สุดก็คือเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญ ถึงจะพอเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้อย่างถูไถ ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าเท่าไรก็ยิ่งเผาผลาญเงินมากเท่านั้น”
จูเหลี่ยนกล่าว “ยังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากตระกูลฟ่านและตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่า”
ตามข้อสรุปที่ได้หลังจากการปรึกษากันของคนทั้งสาม หากสองตระกูลนี้ยินดีให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงิน ทางที่ดีที่สุดควรจะคิดดอกเบี้ยมาด้วย แล้วภูเขาลั่วพั่วก็จะใช้เงินคืนให้พวกเขาตามกำหนดสัญญา แต่หากทั้งสองตระกูลต่างก็ยินดีจะควักเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ ก็สามารถแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไปจากพื้นที่มงคลรากบัวได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีที่ภูเขาลั่วพั่วนำผลเก็บเกี่ยวครึ่งหนึ่งบวกกับเงินต้นปลอดดอกเบี้ยอีกครึ่งหนึ่งค่อยๆ ใช้คืนให้พวกเขา เพียงแต่ว่าคนทั้งสามก็ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว นั่นคือทั้งสองตระกูลต่างก็รู้สึกว่าผลประโยชน์น้อยเกินไป หรือไม่ก็ช้าเกินไป จึงเลือกจะปฏิเสธภูเขาลั่วพั่วอย่างละมุนละม่อม
ตอนนี้หร่วนฉงกลับจากขุนเขาใหม่แห่งหนึ่งของต้าหลีมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว แต่กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นเพื่อนบ้านกันนี้ คนทั้งสามไม่แม้แต่จะคิดถึง ใครก็ไม่ยินดีจะเป็นคนเอ่ยถึง เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ควรจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันมากเกินไป ถึงอย่างไรเฉินผิงอันต่างหากที่ถึงจะเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วที่แท้จริง แผนการต่างๆ จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพการณ์ของเฉินผิงอันเป็นหลัก
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “งั้นก็ให้เว่ยป้อจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกสักครั้งไปเลยสิ ขายุงอย่างไรก็ยังเป็นเนื้อ พอผ่านไปอีกสองวันเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วก็จัดอีกครั้ง แบบนี้ก็เท่ากับว่าได้ขายุงมาสองขาแล้ว”
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “หน้าไม่อายขนาดนี้ ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกระมัง?”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองจูเหลี่ยน ยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าเหมาะหรือไม่?”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าเหมาะอย่างมาก”
เว่ยป้อหัวเราะ “เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะจัดงานเลี้ยง เก็บรวบรวมเอาเงินเทพเซียนและอาวุธวิเศษรูปแบบต่างๆ มาอีกสักครั้ง”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “แต่ว่าหากถึงเวลานั้นแล้วร้านใหม่ที่เปิดบนภูเขาหนิวเจี่ยวเอาของขวัญกราบภูเขาที่ยังไม่ทันหายร้อนออกมาขายในราคาสูง ข้าว่านั่นต่างหากที่เรียกว่าหน้าไม่อายจริงๆ”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ข้าขายเอง เดี๋ยวข้าจะเป็นเถ้าแก่ให้เอง ไม่ต้องให้เทพภูเขาเว่ยป้อออกหน้าเสียหน่อย จะต้องกลัวอะไร อย่างมากก็แค่ให้ภูเขาพีอวิ๋นป่าวประกาศออกไปว่าโจรปล้นบ้านเทพภูเขาเว่ย ของถูกขโมยไปเกลี้ยง”
เว่ยป้อนวดคลึงหว่างคิ้ว “เปิดร้านตั้งแต่ก่อนจัดงานเลี้ยงท่องราตรีไปเลยดีกว่า ถึงอย่างไรก็หน้าไม่อายอยู่แล้ว ก็ให้พวกเขารู้กันไปเลยว่าตอนนี้ข้าขาดเงินอย่างมาก”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้เงินเทพเซียนมาช่วยเพิ่มโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขต การจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สองนี้ก็จะมีความนัยอย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่แน่ว่าของขวัญกราบภูเขาอาจจะไม่แย่กว่าครั้งแรกเลยก็ได้”
จูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามายิ้มให้กัน
จากนั้นคนทั้งสามก็เริ่มทบทวนรายละเอียดในการที่จะทำให้พื้นที่มงคลเลื่อนขั้นเป็นระดับกลางกันอีกครั้ง
คราวก่อนหลังจากที่จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนเข้าไปในแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวด้วยกัน จูเหลี่ยนก็กลับไปเพียงลำพังอีกครั้ง การเปิดปิดประตูของพื้นที่มงคลไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายตามใจชอบ เพราะปราณวิญญาณจะไหลหายไปมหาศาล ง่ายที่จะสร้างบาดแผลสะเทือนถึงเส้นเอ็นและกระดูกให้กับพื้นที่มงคลรากบัว ดังนั้นการเข้าไปในพื้นที่มงคลแห่งใหม่ทุกครั้งล้วนจำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก จูเหลี่ยนไปหาราชครูจ้งชิว และภายใต้การแนะนำของจ้งชิว เขาก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน การพูดคุยกันไม่นับว่าน่าอภิรมย์นัก แต่ก็ไม่ถือว่าตึงเครียดมากเกินไป ภายหลังเป็นจ้งชิวที่เอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เป็นคำถามที่คล้ายจะถามถึงตัวตนของจูเหลี่ยน ด้วยการหยั่งเชิงถามว่าเขาใช่จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ในตำนานคนนั้นหรือไม่ จูเหลี่ยนไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ ทว่าฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนกลับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ความลังเลใจลดน้อยลงไปหลายส่วน
ตอนนี้จูเหลี่ยนเป็น ‘เจ๋อเซียน’ ผู้นั้น ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนย่อมกริ่งเกรงอยู่มาก
แต่หากเจ๋อเซียนที่หล่นลงมาจากฟ้าผู้นี้ คือจูเหลี่ยนคนนั้น ฮ่องเต้หนันเยวี่ยนก็เหลือเพียงความหวาดกลัวแล้ว
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในประวัติศาสตร์มีคนบ้าวรยุทธคนใดบ้างที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารคนทั้งเก้า ฆ่าปรมาจารย์ใหญ่เก้าคนเสียสิ้นซาก สนามรบก็อยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนนี่เอง!
พูดคุยเรื่องการค้ากับคนแบบนี้ ใครบ้างจะไม่กลัว?
สุดท้ายจูเหลี่ยนจึงพูดกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนประโยคหนึ่งว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า วิชาแห่งความเป็นอมตะของด้านนอกไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเจ้าสามารถเทียบเคียงได้ ฮ่องเต้หลายพระองค์ที่ฝึกหลอมโอสถเพื่อให้กลายเป็นเซียนต้องตายไป ก็เพียงแค่เพราะใช้วิธีการไม่ถูกต้องเท่านั้น
ดังนั้นสายตาของฮ่องเต้พระองค์นั้นจึงเปลี่ยนจากหวาดกลัวมาเป็นเร่าร้อน
แม้ว่าราชครูจ้งชิวจะเต็มไปด้วยความกังวลใจ ทว่าตอนนั้นเขากลับไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
คนทั้งสามในลานเรือนหลังเล็กพูดคุยเรื่องใหญ่กันเสร็จแล้ว อันดับต่อมาก็มีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องการฝึกวรยุทธของเผยเฉียน
เสียงร้องแผดดังลั่น เสียงร่ำไห้โหยหวน
ทางฝั่งชั้นสองของเรือน เป็นอย่างนี้แทบทุกวัน
เว่ยป้อค่อนข้างเป็นกังวลว่าสภาพจิตใจของเผยเฉียนจะเปลี่ยนไป ถึงเวลานั้นพอเฉินผิงอันกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?
เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าตนคือคนเฝ้าประตูใหญ่ตรงตีนเขา แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ดูแลใหญ่อย่างจูเหลี่ยนที่ต้องรับผิดชอบ จูเหลี่ยนบอกว่าตัวเองแบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว งั้นก็ให้ผู้อาวุโสชุยเฉิงของเรือนไม้ไผ่เป็นผู้แบกรับไว้แล้วกัน เว่ยป้อได้ฟังแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก
เว่ยป้อลังอยู่นาน ก่อนเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “หากเฉินผิงอันเกิดโทสะจริงๆ ถึงอย่างไรข้าก็หลบอยู่ในภูเขาพีอวิ๋นได้ พวกเจ้าสองคนน่ะจะหนีไปไหนได้?”
เจิ้งต้าเฟิงมองจูเหลี่ยน “จะดีจะชั่วข้าก็อยู่ไกลจากเรือนไม้ไผ่มาหน่อย”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาน่า ไม่มีทางมีปัญหาใหญ่อะไรหรอก หากมีจริงๆ ก็คงไม่มีใครขวางได้อยู่ บางทีหากนายน้อยของข้าอยู่บนภูเขาด้วย เรื่องราวอาจจะดียิ่งกว่านี้ แต่ในเมื่อเขาไม่อยู่ อีกทั้งเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว พวกเราก็ได้แต่นิ่งเฉยรอดูความเปลี่ยนแปลงไปนั่นแหละ”
เว่ยป้อปวดหัวแปลบ จึงขอตัวจากไปเสียเลย
เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็ลงจากภูเขา ไปที่เมืองเล็ก
เขาไปที่ร้านยาตระกูลหยางมารอบหนึ่ง ไม่ได้ไปยืมเงิน แต่ไปถามเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการจัดการดูแลพื้นที่มงคล
ผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงไม่ได้เปิดปากตอบคำถามเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้น เพียงแค่เอ่ยเหน็บแนมว่า “เห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นบ้านของตัวเองจริงๆ หรือไร?”
บุรุษหลังค่อมยิ้มกล่าว “ข้ารู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีมากๆ”
หยางเหล่าโถวจึงเอ่ยว่า “เรื่องเล็กพวกนี้ เจ้าส่งจดหมายไปที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป หลี่หลิ่วจะบอกเจ้าเอง”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ
ก่อนที่เขาจะถามอีกว่า “ยันต์ปราณที่แท้จริงสองตำลึงนั่น ข้าสามารถใช้กับคนอื่นได้หรือไม่?”
หยางเหล่าโถวตอบ “ตามใจเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงจึงลุกขึ้นยืนแล้วจากไป
ที่ด้านหน้าของร้าน ชายหลังค่อมฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พูดเย้าหยอกกับศิษย์น้องหญิงของตัวเองอยู่สองสามคำก็ทำเอาศิษย์น้องอีกคนอัดอั้นตันใจจนนึกอยากจะอัดคน
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว
ยามฟ้าสาง แม่นางน้อยผิวดำเกรียมที่เดิมทีควรจะไปอยู่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่วิ่งตะบึงมาถึงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว นางนั่งอยู่บนขั้นบันไดแล้วแอบปาดน้ำตาทิ้ง
เดินออกไปอีกก้าวก็ถือว่าออกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว
ดังนั้นนางจึงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น
อีกอย่างนางก็รู้ด้วยว่า หากไปเรือนไม้ไผ่สาย มีแต่จะยิ่งต้องเจอกับความลำบากมากขึ้นเท่านั้น
รอจนนางลุกขึ้นยืนช้าๆ คิดจะเดินขึ้นเขาไป
กลับพบว่าพ่อครัวเฒ่ามานั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังตน
เผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้ากลัวว่าข้าจะแอบวิ่งกลับไปที่ร้านตรอกฉีหลงใช่ไหม?! ข้าเป็นคนขี้ขลาดแบบนั้นหรือ?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ข้าไม่คิดว่าการที่เจ้าวิ่งกลับไปตรอกฉีหลงแล้วจะมีอะไรที่ไม่ดี”
เผยเฉียนนั่งแปะกลับลงไปที่เดิม เอาไม้เท้าเดินป่าวางพาดขวาง จากนั้นก็ยกสองมือกอดอก โทสะผุดพุ่งเดือดดาล
จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังยิ้มกล่าวว่า “หากกลัวว่านายน้อยจะผิดหวัง ข้าว่าไม่มีความจำเป็นเลย อาจารย์ของเจ้าไม่มีทางผิดหวังในตัวเจ้าเพียงเพราะเจ้าฝึกหมัดได้แค่ครึ่งทางก็ล้มเลิกกลางคัน และยิ่งไม่มีทางโกรธเจ้า วางใจเถอะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก มีเพียงเจ้าแอบอู้จนถ่วงเวลาการคัดตัวอักษร นั่นต่างหากที่จะทำให้เขาผิดหวัง”
น้ำตาของเผยเฉียนไหลพรั่งพรูออกจากกรอบดวงตา
ทุกครั้งที่ถูกเฉินหรูชูแบกออกมาจากเรือนไม้ไผ่แล้วตื่นขึ้นมาในอ่างยาสมุนไพร ไม่ว่าจะเจ็บหนักแค่ไหนนางก็ต้องไปคัดตัวอักษรให้ได้ แต่จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือน เรือนกายที่สั่นสะท้าน จะทำให้สองมือไม่สั่นได้อย่างไร?
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ว่านางจะกัดฟันยืนหยัดแค่ไหน ไม่ว่าจะใช้วิธีมากมายเท่าไร ยกตัวอย่างเช่นมัดพู่กันติดมือเอาไว้ แต่นางก็ยังไม่สามารถเขียนตัวอักษรที่เป็นระเบียบได้สักตัว ตอนนี้จึงติดหนี้ไว้มากมายแล้ว
จูเหลี่ยนพูดกับแผ่นหลังบอบบางนั้นอีกว่า “แต่เรื่องของการเกียจคร้านนั้น แบ่งได้เป็นสองประเภท ความเกียจคร้านด้านจิตใจเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หากนอกเหนือจากการฝึกหมัดแล้วเจ้าสามารถชดใช้ที่หนี้ติดค้างไว้ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขี้เกียจที่แท้จริง กลับกันอาจารย์ของเจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าเจ้าทำถูกแล้ว เพราะอาจารย์ของเจ้าคิดมาโดยตลอดว่า ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ตัวเองทำได้ไม่ดี บางครั้งจะมีใจแต่ไร้กำลังบ้างก็ไม่ใช่ความผิดอะไร รอจนมีใจมีกำลังแล้ว และยังสามารถชดเชยส่วนที่ขาดหายไปได้ ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก”
เผยเฉียนเช็ดหน้า ลุกขึ้นยืนเงียบๆ แล้ววิ่งขึ้นเขาไป
จูเหลี่ยนนั่งอยู่ที่เดิม หันหน้ามองตามไป
วันหนึ่งในขณะที่จูเหลี่ยนกำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว ถือว่าแตกต่างไปจากความไม่ตั้งใจในเวลาปกติ เพราะวันนี้เขาจัดเตรียมอาหารตามฤดูกาลขึ้นอย่างประณีตตั้งใจ
ก็เพราะตรงหน้าประตูห้องครัวมีแม่นางผิวดำเกรียมที่ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ สองไหล่ลู่ห้อยตก สีหน้าขาวซีด เดินโซเซมาจนถึงที่นี่แล้วก็บอกว่า วันนี้นางรู้สึกอยากอาหาร
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเตรียมจะให้รางวัลกับร่างกายของถ่านดำน้อยผู้นี้สักหน่อย
——