วันนี้ลู่จัวเดินถือโคมไฟออกตรวจตราหมู่บ้านยามค่ำคืนด้วยตัวเอง เป็นแค่การทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น แม้ว่าเรื่องเล่าลือในยุทธภพจะมีมากมายหลากหลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เคยมีคนที่ไม่รักษากฎบุกเข้ามาในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว
ตรงภูเขาด้านหลัง ศิษย์น้องเล็กยังคงมุมานะฝึกวิชากระบี่
ลู่จัวไม่ได้ส่งเสียงรบกวน เขาเดินจากมาเงียบๆ ระหว่างที่เดินก็ฝึกท่าเดินนิ่งไปด้วย เป็นกระบวนท่าหมัดขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ฝึกมานานหลายปีแล้ว ศิษย์พี่หญิงฟู่โหลวไถและศิษย์พี่ชายหวังจิ้งซานต่างก็ชอบเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อเขา
เพราะวิชาหมัดนี้ไม่ได้เป็นวิชาหมัดที่ถ่ายทอดมาจากหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว แต่เป็นวิชาหมัดแบบหยาบๆ ที่เขาได้มาโดยบังเอิญตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม อาจารย์หวังตุ้นไม่ถือสาที่ลู่จัวฝึกวิชาหมัดนี้ เพราะหวังตุ้นเคยเปิดตำราเล่มนั้นอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีผลร้าย แต่ความหมายก็มีไม่มากนัก ในเมื่อลู่จัวชอบก็ปล่อยให้เขาฝึกหมัดไปตามตำรา และในความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหวังตุ้นและศิษย์พี่ชายหญิงของเขาต่างก็คิดถูกแล้ว ทว่าตัวลู่จัวเองไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาเปล่าก็เท่านั้น
ระหว่างทางที่ลงจากภูเขา ก็เจอกับผู้ดูแลเฒ่าหลังค่อมที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างสุด คล้ายกับกำลังรอคอยตน
ลู่จัวรีบเดินลงภูเขาไปอย่างรวดเร็ว
รูปโฉมของผู้ดูแลเฒ่าผอมเพรียว สวมชุดตัวยาวสีเขียว แต่ผู้เฒ่ามักจะไอบ่อยๆ ราวกับว่าในอดีตได้ทิ้งต้นตอโรคร้ายเอาไว้โดยที่ไม่เคยรักษาให้หายดีได้
ขาข้างหนึ่งของผู้เฒ่ากะเผลกน้อยๆ แต่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
ผู้เฒ่าแซ่อู๋ นามว่าเฝิงเจี่ย เป็นชื่อที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก นอกจากคนรุ่นเดียวกับลู่จัวแล้ว คนหนุ่มสาวและเด็กๆ รุ่นหลังต่างก็ไม่มีใครรู้ชื่อของผู้เฒ่าแล้ว นับตั้งแต่ฟู่โหลวไถลูกศิษย์ใหญ่ของหวังตุ้นมาจนถึงลู่จัวและศิษย์น้องเล็ก ต่างก็ชอบเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่อู๋ ตอนที่ลู่จัวเป็นเด็กหนุ่มแล้วเพิ่งได้เข้ามาในหมู่บ้านวันแรก ผู้ดูแลเฒ่าก็มาทำงานอยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวอยู่ก่อนแล้ว ว่ากันว่าหมู่บ้านมีอายุมากเท่าไร ผู้ดูแลผู้เฒ่าที่อยู่ในหมู่บ้านก็อยู่มานานเท่านั้น
ลู่จัวพูดเสียงเบา “ท่านปู่อู๋ ลมกลางคืนพัดแรง เรื่องการออกมาเดินลาดตระเวนในหมู่บ้านยามค่ำคืนนี้ ให้ข้าทำเองเถอะ”
ผู้เฒ่าโบกมือ แล้วออกเดินลาดตระเวนไปพร้อมกับลู่จัวต่ออีกครั้ง เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลู่จัว ข้าจะพูดกับเจ้าสองเรื่อง เจ้าอาจจะค่อนข้าง…ผิดหวัง อืม ต้องผิดหวังแน่”
ลู่จัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่าผู้ดูแลเฒ่าในคืนนี้แตกต่างไปจากปกติ ในอดีตความรู้สึกที่ผู้เฒ่ามอบให้กับคนอื่นก็คือความชราภาพโรยรา คล้ายแสงเทียนริบหรี่ที่อยู่ท่ามกลางสายลม มีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว อันที่จริงนี่ทำให้ลู่จัวเป็นกังวลอย่างมาก บางทีอาจเป็นเพราะลู่จัวไม่มีความหวังว่าจะได้เดินไปบนยอดเขาของการฝึกวรยุทธแล้ว ดังนั้นถึงได้คิดถึงเรื่องที่นอกเหนือไปจากการเรียนวรยุทธมากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสภาพการณ์ของผู้เฒ่าในช่วงบั้นปลายชีวิต พวกเด็กๆ จะมีโอกาสร่วมสอบเคอจวี่หรือไม่ รสชาติของอาหารมื้อสิ้นปีในหมู่บ้านปีนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมหรือไม่
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “ลู่จัว อันที่จริงเจ้ามีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน อีกทั้งหากในอดีตโชคดีได้เจอกับผู้ถ่ายทอดมรรคา เส้นทางอนาคตของเจ้าก็จะไม่ใช่เล็กๆ น่าเสียดายก็แต่ที่ได้มาเจอกับหวังตุ้นอาจารย์ของเจ้า เลยหันมาเรียนวรยุทธแทน นี่เท่ากับเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรสวรรค์อย่างแท้จริง”
ลู่จัวหัวเราะ กำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร ผู้เฒ่ากลับโบกมือตัดบทคำพูดของลู่จัว “อย่าเพิ่งพูดว่าไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าลู่จัวยังไม่เคยเห็นมาดของเทพเซียนบนภูเขากับตาตัวเองอย่างแท้จริงมาก่อน ฉีจิ่งหลงคนหนึ่ง แน่นอนว่าขอบเขตไม่ต่ำแล้ว เขาเป็นเพียงแค่สหายที่พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพของเจ้า แล้วฉีจิ่งหลงคนนั้นยังเป็นตัวประหลาดน้อยที่ไม่ใช่บัณฑิต แต่กลับปราดเปรื่องรอบรู้ ดังนั้นจึงถือว่าเจ้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องการฝึกตนบนภูเขาจริงๆ มาก่อน”
ลู่จัวไม่อาจหาคำใดมาตอบโต้
ผู้เฒ่าเอ่ยต่อไปว่า “นอกจากนี้พรสวรรค์การฝึกวรยุทธของเจ้าลู่จัวก็ธรรมดาจริงๆ ธรรมดามากๆ ดังนั้นคอขวดในการเรียนวรยุทธของเจ้าคือเป็นด่านกีดขวางทางไปอย่างแท้จริง ตอนนี้เจ้าผ่านมันไปไม่ได้ ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะผ่านไปไม่ได้ชั่วชีวิต”
ลู่จัวถอนหายใจ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ท่านปู่อู๋ ในใจข้ารู้ดียิ่งกว่าใครเลยล่ะ”
ผู้เฒ่าเองก็รู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน “ในหมู่บ้านมีเด็กอยู่มากมาย แต่ข้ากลับถูกใจนิสัยใจคอของเจ้ามากที่สุด ดังนั้นข้าถึงได้ทำให้เจ้าได้ตำราหมัดเล่มนั้นไปโดยบังเอิญ ทว่าใต้หล้านี้มีเรื่องราวมากมายที่น่าจนใจเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าลู่จัวเป็นคนดีแล้วชีวิตจะต้องราบรื่นเสมอไป ช่วงที่เป็นเด็กหนุ่มก็สู้ศิษย์พี่ชายหญิงของเจ้าไม่ได้ พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เจ้าก็ยังได้แต่มองดูศิษย์น้องชายหญิงของเจ้าทิ้งห่างไปไกลเหลือเพียงฝุ่นไว้ด้านหลัง จนกระทั่งแก่ จนกระทั่งตาย ไม่แน่ว่าแม้แต่ลูกศิษย์ของพวกเขา ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้า เจ้าก็อาจจะยังสู้ไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะผิดหวังหรือไม่ แต่ข้าผิดหวังมาก ไม่ได้ผิดหวังในเรื่องของจิตใจคน แต่ผิดหวังกับเรื่องราวทางโลก”
ลู่จัวรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย
ผู้เฒ่าหันหน้ามามองลู่จัวแวบหนึ่ง “ลู่จัว จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้ายินดีหรือไม่ที่จะต้องเป็นคนไร้ความสามารถไปชั่วชีวิต ได้เป็นแค่ผู้ดูแลของหมู่บ้าน ปีแล้วปีเล่าในอนาคต ความมีหน้ามีตา เกียรติยศทั้งหลาย ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้า?”
ลู่จัวขบคิดอย่างละเอียดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านให้ดี”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ดีมาก แล้วเจ้าก็อย่าได้ดูแคลนตัวเอง มีคนอย่างเจ้าคอยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใต้หล้าถึงจะมีความหวังที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม มีวีรกรรมอันเกรียงไกรเกิดขึ้นได้มากมาย เพราะฉะนั้นความผิดหวังน้อยนิดของข้าก่อนหน้านี้จึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง มีลู่จัวหลายๆ คนถึงจะเป็นความหวังของวิถีทางโลกใบนี้ คำพูดวางโตเช่นนี้หลุดออกมาจากปากของตาเฒ่าสกปรกอู๋เฝิงเจี่ยของหมู่บ้าน ดูเหมือนว่าหน้าไม่อายมากเลย ใช่หรือไม่?”
ลู่จัวหัวเราะ ทั้งไม่ยินดีเอ่ยถ้อยคำที่ผิดต่อมโนธรรมในใจของตัวเอง แล้วก็ไม่ยินดีจะทำร้ายจิตใจของผู้เฒ่า จึงได้แต่เลือกพบกันครึ่งทาง “ยังดี”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน เขาในเวลานี้ ไหนเลยจะยังมีท่าทางแก่ชราเสื่อมสภาพอยู่อีก
อินทรียืนเหมือนหลับ พยัคฆ์เดินเหมือนป่วย ก็คือวิธีที่พวกมันใช้จิกคน ขย้ำคน
“ในเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบใหญ่ทางด้านจิตใจของข้าได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรเปลี่ยนมาเดินขึ้นที่สูง ไม่ควรปล่อยให้ปณิธานความฮึกเหิมถูกขัดเกลาไปด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง!”
ผู้เฒ่าเอ่ย “คืนนี้ข้าจะไปจากหมู่บ้าน หลบๆ ซ่อนๆ มานานหลายปี ก็ควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาดเสียที ที่ห้องบัญชีของข้ามีจดหมายทิ้งไว้สองฉบับ ฉบับหนึ่งคือวัตถุหนักบนภูเขา อีกฉบับหนึ่งคือตำราลับตระกูลเซียน ฉบับหนึ่งเจ้านำไปมอบให้หวังตุ้น บอกกับเขาว่า เขาถ่วงเวลาลูกศิษย์อย่างเจ้ามานานหลายปีแล้ว ควรปล่อยมือจากเจ้าได้แล้ว อีกฉบับหนึ่งเจ้าพกไว้ติดตัว ไปหาฉีจิ่งหลง วันหน้าก็ไปฝึกตน ไปเป็นเทพเซียนอยู่บนภูเขา! ขนาดลู่จัวที่ยินดีเป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านไปตลอดชีวิตยังสามารถทำให้วิถีทางโลกมีความหวังมากกว่าเดิมได้ ถ้าอย่างนั้นลู่จัวที่ยินดีเดินขึ้นเขาฝึกตนฝึกกระบี่ แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์ต่อวิถีทางโลกยิ่งกว่า”
ลู่จัวมีหน้าตะลึงลานรับมือไม่ถูก
ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งจับหัวลู่จัว มืออีกข้างหนึ่งกำหมัดต่อยเข้าที่หน้าอกของเขา ทำให้ลู่จัวบาดเจ็บสาหัสทันที จิตวิญญาณแกว่งไกว ทว่ากลับไม่อาจเปิดปากพูดอะไรได้ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด
“อย่างอื่นนั้นดีหมด ก็แค่นิสัยอิดออดชักช้าที่ข้าไม่ชอบใจที่สุด เจ้าลู่จัวไม่ไปช่วงชิงพื้นที่หนึ่งบนยอดเขา หรือจะหลีกทางให้พวกผู้ฝึกลมปราณที่เทียบกับตะพาบสักตัวไม่ได้พวกนั้น?!”
ผู้เฒ่าจ้องมองลู่จัวที่เกือบจะหมดสติแล้วพูดเสียงทุ้มหนัก “แต่หากเจ้าอยากเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน ก็มีแต่ต้องสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะเสียก่อน! จำไว้ว่าเมื่อกัดฟันอดทนผ่านมันไปได้ ทุกอย่างก็ล้วนมีความหวัง หากผ่านไปไม่ได้ ก็สามารถเป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านได้อย่างสบายใจ”
เมื่อผู้เฒ่าปล่อยมือออก ลู่จัวก็ล้มไปกองบนพื้นลุกไม่ขึ้นอีก โคมไฟในมือหล่นร่วงลงพื้นดิน
ลู่จัวกระอักเลือดไม่หยุด
ผู้เฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ชื่ออู๋เฝิงเจี่ยอะไรทั้งนั้น นี่ก็เป็นแค่ชื่อของจอมยุทธคนหนึ่งที่ตายไปตอนท่องยุทธภพยามเป็นเด็กหนุ่ม ปีนั้นเพื่อช่วยขอทานน้อยข้างทางที่ถูกล้อรถบดทับ เขาถึงได้ต้องตายคาที่ เจ้าเป๋น้อยผู้นั้นฝึกวิชาหมัดไม่หยุดมาตลอดชีวิต ก็เพื่อพิสูจน์ให้ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาท่านนั้นรู้ว่า การที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่งสละชีวิตของตัวเองช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่ทั่วร่างมีแต่แผลเหวอะหวะเต็มตัวนั้น คุ้มค่าแล้ว!”
ลู่จัวรู้สึกเพียงว่าลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเฮือกนั้นค่อยๆ สลายหายไป เจ็บปวดจนยากจะทานทน แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันแน่น พยายามรับฟังคำพูดทุกคำของผู้เฒ่าให้ชัดเจน
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาหมัดหยาบๆ ที่ข้าบรรลุมาด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรก็ยังดูธรรมดาในสายตาของคนทั่วไป ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์อะไร ตอนนี้ลองมองย้อนกลับไปดู วิชาหมัดและกระบวนท่าหมัดทั้งหมดที่บันทึกไว้ในตำราดูธรรมดาอยู่มากจริงๆ ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาฝึกวิชาหมัดจนอายุสี่สิบกว่าปี ถึงได้สามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวป่าวประกาศแก่จวนตระกูลเซียนที่เป็นผู้นำของหนึ่งทวีปนั้นว่าข้าจะแก้แค้น ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะหาว่าข้าเป็นมดแดงที่คิดจะเขย่าต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้จักเจียมตน! ดีมาก ถ้าอย่างนั้นรากฐานปณิธานหมัดชุดนั้นของข้าก็อยู่ที่มดแดงย้ายภูเขาลงมหาสมุทร! น่าเสียดายที่เจ้าลู่จัวฝึกตำราหมัดมานานหลายปี แต่กลับยังไม่อาจสำเร็จในขั้นพื้นฐาน ไม่อาจสร้างปณิธานหมัดไว้บนร่างได้ ไม่เป็นไร บนโลกมีเส้นทางสายใหญ่มากมาย แค่เจ้าลู่จัวเป็นคนดีก็พอ จะใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”
สุดท้ายผู้เฒ่าประกอบสองนิ้วแล้วเคาะลงบนหน้าผากของลู่จัวเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหมดสติไป เพราะถึงอย่างไรลู่จัวก็ไม่จำเป็นต้องเรียนวรยุทธเพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงอีกแล้ว จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตวิญญาณเช่นนี้หรือไม่ ไม่มีความหมายอีกแล้ว จิตวิญญาณแผ่กระเพื่อมไม่หยุดนิ่งจึงจะเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกตนบนภูเขาภายภาคหน้า
ผู้เฒ่าที่สวมชุดยาวสีเขียวลุกขึ้นยืน พึมพำกับตัวเองว่า “ชื่อจริงของข้าผู้อาวุโส แซ่กู้นามโย่ว”
ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “ก่อนจะไปต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับเจ้าคนแซ่จีของภูเขาวานรคำรามผู้นั้น ดูเหมือนว่าควรจะไปพบคนหนุ่มผู้นั้นเสียก่อน หากว่าตายไป ก็ถือซะว่าเป็นการคืนตำราหมัดเขย่าขุนเขาให้แก่ข้า หากไม่ตาย…หึหึ ดูเหมือนว่าจะยากอยู่มาก”
ผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น “ข้าเองก็ไม่คิดจะรังแกคนอื่น ในเมื่อเจ้ากำลังช่วงชิงตำแหน่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองกดขอบเขตลงมา ใช้แค่…ขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธมาออกหมัดก็แล้วกัน”
……
บนทุ่งราบกว้าง
เฉินผิงอันรู้สึกผิดปกติมากขึ้นทุกที
อันตรายมหาศาลขุมหนึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
จะหลบก็หลบไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่พ้น
นี่เป็นครั้งที่สองของการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว
ครั้งแรกก็คือตอนที่อยู่ตีนเขาของยอดเขาเจิงหรงแล้วได้เจอกับจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำราม
เฉินผิงอันไม่มีความหวาดกลัวลนลานใดๆ กลับกลายเป็นว่าจิตใจของเขานิ่งสนิทราวผืนน้ำได้ในเสี้ยววินาที
นอกขีดจำกัดการมองเห็นของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าสวมชุดตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม หลับตาทำสมาธิอยู่เป็นนาน
เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก้าวออกมาหนึ่งก้าว
ทุกอย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง
แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที บนพื้นดินก็เหมือนมีสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิมาระเบิดเปรี้ยงปร้าง
บนเส้นเส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
ยันต์ในชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ชุดคลุมอาคมจินหลี่ กระบี่บินสองเล่ม ต่อให้เป็นเจี้ยนเซียน ยามนี้ก็ล้วนถือเป็นของนอกกายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสร้างประโยชน์ใดๆ ได้
เฉินผิงอันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง!
ปณิธานหมัดถูกกลั่นหลอมจนหนาข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เฉินผิงอันเริ่มวิ่งตะบึงเป็นเส้นตรงพุ่งไปด้านหน้า
หากคิดจะถอยหรือหลบเลี่ยง ปณิธานหมัดบนร่างจะลดหายไปส่วนหนึ่ง และโอกาสรอดชีวิตก็จะน้อยลงส่วนหนึ่ง
ปณิธานหมัดลดน้อยลงก็เท่ากับว่ายอมแพ้
ท่องอยู่ในยุทธภพ การยอมแพ้มักจะนำมาสู่ความตายเสมอ
หนึ่งหมัดแลกเปลี่ยนกัน
เฉินผิงอันพลันกระเด็นหวือออกไปหลายสิบจั้ง เขาทิ้งร่างลงบนพื้นกะทันหัน แต่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งแรงกระแทกที่พาร่างถอยกรูดออกไปได้ พื้นรองเท้าถูกครูดหายไปหมด
กระดูกของทั้งร่างราวกับคลายตัวออกจากกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ทว่าปณิธานหมัดที่ปล่อยออกไปกลับถูกตัดสะบั้น!
คนผู้นั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ยังคงก้าวเดินมาด้านหน้าอย่างสบายๆ ราวกับปล่อยให้เฉินผิงอันเปลี่ยนลมปราณบริสุทธิ์ที่แท้จริงเฮือกนั้นได้ตามใจชอบ ตัวเขาพลิ้วกายตามหลังมา ก่อนจะปล่อยหมัดออกมาอีกหนึ่งหมัด
เฉินผิงอันที่เส้นสายตาพร่าเลือนถูกหมัดต่อยแสกหน้าอย่างจังอีกครั้ง
ร่างกระเด็นหวือลอยลิ่วไปอีกรอบ
ไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืนแม้แต่น้อย
ทว่าคนที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวผู้นั้นกลับกระโดดตัวขึ้นสูงกลางอากาศ แล้วปล่อยหมัดลงมาอีกครั้ง
หมัดนี้ต่อยลงบนหัวใจของเฉินผิงอัน
บนพื้นดิน ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์
ร่างของเฉินผิงอันอาบไปด้วยเลือด ล้มไปกองกับพื้น
เลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกทั่วร่าง ช่องโพรงลมปราณ
ล้วนตกอยู่ในสภาพที่ใกล้จะแหลกสลายเต็มที
ผู้เฒ่าที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาผู้นั้นทำเพียงแค่ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ เอาสองมือไพล่หลัง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ไม่ออกหมัดอีก เพียงแค่หลุบตาลงต่ำมองคนเลือดในหลุมผู้นั้น
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่อันที่จริงได้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยื่นนิ้วซ้ายข้างหนึ่งออกมาเบาๆ จากนั้นก็พยายามจะใช้ข้อศอกยันพื้น ดิ้นรนลุกขึ้นยืน
ผู้เฒ่าชุดเขียวที่มีสีหน้าเย็นชาทำเพียงแค่มองการดิ้นรนเล็กๆ น้อยๆ ตามจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้น
จากที่คนหนุ่มผู้นั้นยกศอกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้หลังของตัวเองลอยพ้นจากพื้นดิน แต่ก็ต้องทรุดลงไปเหมือนเดิมทุกครั้ง จนกระทั่งสามารถใช้มือทั้งสองยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืนโงนเงนได้สำเร็จ ก็ต้องเสียเวลาไปถึงครึ่งก้านธูปเต็มๆ
ผู้เฒ่าหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ขอแค่เจ้าสามารถเดินขึ้นมาแล้วปล่อยหมัดใส่ข้าได้ เจ้าก็สามารถรอดชีวิตแล้ว”
คนหนุ่มที่อันที่จริงไม่เหลือจิตสำนึก หลงเหลือเพียงสติปัญญาแห่งชะตาชีวิตเสี้ยวหนึ่งผู้นั้นก้มหน้าค้อมเอวลง สองแขวนแกว่งส่าย เดินโซเซมาเบื้องหน้า
ยี่สิบก้าวก็เดินออกมาจากเนินลาดเอียงของหลุมใหญ่ได้ เหมือนเด็กน้อยที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่ยักษ์เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรท่ามกลางแสงแดดแผดเผา
เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว คนหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดเพิ่งจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น
ผู้เฒ่ากลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ขอโทษที เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี”
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวสีเขียวรองเท้าผ้ายกมือข้างหนึ่งขึ้น เหวี่ยงหมัดต่อยให้คนหนุ่มตรงหน้ากลับลงไปในก้นหลุมอีกครั้ง
ผู้เฒ่าเดินลงหลุมใหญ่ไปทีละก้าว หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “ยิ่งอายุมาก ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งกลัวตายงั้นรึ? มิน่าเล่าหลังจากขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นดั่งดอกราตรีที่เบ่งบานชั่วข้ามคืนผ่านพ้นไปแล้ว ขอบเขตสี่ขอบเขตห้าก็ล้วนไม่อาจช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าว่าเจ้าตายๆ ไปซะเลยจะดีกว่า โชคชะตาบู๊น้อยนิดนั่น ให้ใครดันไม่ให้ ดันมามอบให้คนอย่างเจ้า ข้าผู้อาวุโสยังรู้สึกว่าเป็นเสนียดต่อตำราหมัดของข้าด้วยซ้ำ”
คนที่ปางตายผู้นั้นไร้เสียงตอบรับ
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลง เห็นว่านิ้วของคนผู้นั้นขยับเบาๆ อีกครั้ง
ผู้เฒ่าหัวเราะ
ดีมาก!
นี่เรียกว่าตัวตาย แต่ปณิธานหมัดยังมีชีวิต
ความหมายเล็กๆ น้อยๆ นี้
กลับเป็นความหมายยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจเสแสร้งได้มากที่สุด!
ผู้เฒ่าแผดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสาสมใจ!
—-