หลิวจื้อเม่าอืมรับหนึ่งที “อันที่จริงวิธีการควบคุมเถียนหูจวินที่เจ้าใช้เมื่อก่อนก็ไม่เลว เพียงแต่ว่ามันเหมือน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ชี้ไปยังจานกับแกล้มสองสามใบที่วางอยู่บนโต๊ะ “ดื่มแต่เหล้าอย่างเดียว ไม่มีกับแกล้ม รสชาติก็จะแย่กว่าเดิมเยอะมาก ใช้ทั้งพระเดชพระคุณไปพร้อมกัน พูดเหมือนง่าย แต่ทำเข้าจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย เจ้าสามารถลองเรียนรู้ดูจากจางเย่พี่น้องเก่าแก่ของข้า นี่คือมโนธรรมอันดีงามที่มีไม่มากของอาจารย์แล้ว และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อเทียบกับการละโมบหวังให้ประหยัดแรงกายแรงใจ แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยวิธีการแบบเดียวกัน ไม่ว่ากับใครก็ใช้วิธีเผด็จการ ใช้ผลประโยชน์มาล่อลวง ควันธูปของภูเขาลูกหนึ่งย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “ข้าวแบบเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ แน่นอนว่าต้องแยกประเภทในการล่อลวง ชื่อเสียง เงินทอง สมบัติอาคม โชคในการฝึกตน ตกปลาคือความรู้ที่ยิ่งใหญ่วิชาหนึ่ง”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะร่าเสียงดัง “มิน่าเล่าข้าที่อยู่บนเกาะกงหลิ่วถึงได้ยินว่าทุกวันนี้เจ้าชอบไปตกปลาที่ริมทะเลสาบ ต่อให้จะได้ผลเก็บเกี่ยวไม่มาก แต่ก็ยังไปบ่อยๆ”
เรื่องที่ทำให้หลิวจื้อเม่าอารมณ์ดี ไม่ใช่เรื่องยิบย่อยเล็กน้อยที่มองดูเหมือนเรื่องล้อเล่นเช่นนี้
แต่เป็นเพราะในที่สุดกู้ช่านก็เข้าใจการกะน้ำหนักและกำลังไฟ เข้าใจหลักการแสดงความจริงใจได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ใช่ว่าพอถอดชุดคลุมอาคมคราบเจียวหลงที่หรูหรางดงามตัวนั้น เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวเนื้อหยาบอย่างทุกวันนี้ แล้วทุกคนจะพากันเชื่อว่าเขากู้ช่านเปลี่ยนนิสัยสันดาน กลายไปเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ได้จริงๆ หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็บอกได้แค่ว่าเมื่อเทียบกับในอดีต กู้ช่านได้เติบโตขึ้น แต่โตขึ้นไม่มาก และยังเคยชินที่จะมองเห็นคนอื่นเป็นคนโง่ ถึงท้ายที่สุดจะมีจุดจบอย่างไร? ฟ่านเยี่ยนจากนครน้ำบ่อที่แสร้งทำตัวเป็นคนโง่คนหนึ่งก็แค่หาจุดอ่อนในใจของเขากู้ช่านได้พบ ปีนั้นจึงสามารถปั่นหัวเขากู้ช่านเล่น ชักจูงเขาได้เหมือนจูงสุนัข
ในเมื่อหลิวจื้อเม่ายอมมอบ ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ ไปให้ แน่นอนว่าตอนที่จากไปก็สามารถเอากลับคืนมาได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นต่อจากนี้ หลิวจื้อเม่าจึงยังจะมีการทดสอบทางสภาพจิตใจอย่างหนึ่งให้แก่กู้ช่าน
เถียนหูจวินที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าเกาะซูหลินที่ในอนาคตอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ก่อกำเนิดทั่วไปผู้นั้น ก็เป็นเพียงแค่กลับแกล้มหนึ่งจานบนโต๊ะอาหารคืนนี้ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
ทว่าสกัดคงคาเจินจวินท่านนี้ไม่ได้รีบร้อน
นี่เขาก็เพิ่งจะเริ่มดื่มเหล้าเองไม่ใช่หรือ
หลิวจื้อเม่าพูดชวนคุยว่า “ฟ่านเยี่ยนเป็นผู้บงการแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังนครน้ำบ่อมาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าคงมองออกกระมัง?”
กู้ช่านยิ้มจืดเจื่อน “อาจารย์ ข้าไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามองออกแล้วหรือไม่ว่าฟ่านเยี่ยนมีพรรคพวกอยู่ในราชสำนัก? ไม่ใช่กวนอี้หรานหลานชายสายตรงของเจ้ากรมขุนนางผู้เฒ่าของต้าหลี แล้วก็ไม่ใช่ซูเกาซานที่ยกทัพบุกเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งได้ก่อนผู้นั้นด้วย”
กู้ช่านคิดแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะพยายามอดทนกับเขาให้มากหน่อยก็แล้วกัน”
หวังว่าถึงเวลานั้นเขาฟ่านเยี่ยนกับพ่อแม่ของเขาจะยังสุขภาพแข็งแรงดี ทางที่ดีที่สุดคือตระกูลยังร่ำรวยรุ่งโรจน์
หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่อว่า “หยวนหยวนเกิดในครรภ์ที่ดี พ่อแม่ต่างก็เป็นโอสถทองทั้งคู่ ที่พึ่งของเกาะกู่หมิง หรือจะพูดให้ถูกก็คือที่พึ่งของพ่อแม่หยวนหยวนก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้น แต่เขากลับถูกเด็กหนุ่มชุดขาวที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำกับหร่วนซิ่วแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนไล่ฆ่าไปไกลเป็นหมื่นลี้ จากนั้นก็ไปตายอยู่บนเส้นชายแดน ตามหลักแล้วเกาะกู่หมิงควรจะจบเห่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับดีนัก ได้ตำแหน่งผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้งไปอยู่ในมือ แล้วก็ได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาของต้าหลีเป็นฝ่ายออกให้ด้วย”
สำหรับเจ้าอ้วนน้อยที่มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวนผู้นั้น กู้ช่านไม่ได้รู้สึกเคียดแค้นสักเท่าไร คนที่เอาความฉลาดมาอวดไว้บนหน้าให้คนอื่นดู จะฉลาดได้สักเท่าไรกันเชียว?
การขับเรือตามกระแสลมของเกาะกู่หมิงไม่ถือว่าเป็นวิธีการที่ร้ายกาจอะไรจริงๆ เพราะไม่ว่าใครก็ทำเป็นทั้งนั้น
ขอแค่เจ้าหมอนี่ไม่มาหาเรื่องตนอีก ก็ให้เขามาเป็นแขกผู้มีเกียรติของเกาะชิงเสียได้อย่างไม่มีปัญหา
ส่วนคำพูดแปลกแปร่งระหายหูที่หยวนหยวนคอยพึมพำอยู่ด้านหลัง น้ำลายเล็กน้อยแค่นั้นจะหนักได้สักกี่จิน?
เขากู้ช่านถูกคนใช้ถ้อยคำทิ่มแทงจิตใจ นับแต่เด็กจนโต สิ่งที่เคยได้ยินมา มีน้อยนักหรือ?
ตอนนี้กู้ช่านไม่คิดจะทบทวนใจตัวเองเพื่อฆ่าคนอีกแล้ว
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้
และคำว่า ‘ตอนนี้’ ที่ว่านั้น อาจเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง
เพราะเขารู้หลักการเหตุผลข้อหนึ่ง นั่นคือในช่วงเวลาที่เจ้าทำได้เพียงทำลายกฎเกณฑ์ แต่ไม่มีกำลังพอจะสร้างกฎขึ้นมาใหม่ เจ้าก็ต้องเคารพกฎก่อน ระหว่างนี้ ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ขอแค่ยังไม่ตาย มันก็จะกลายมาเป็นผลเก็บเกี่ยวที่มองไม่เห็นในทุกครั้ง เพราะเขากู้ช่านสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าเดิม การกระทบกระทั่งทุกอย่าง การชนกำแพง และการกินน้ำแกงประตูปิดในแต่ละครั้ง ล้วนเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
หลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “หันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาวช่างเป็นคนที่โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
แรกเริ่มหันจิ้งหลิงไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้านที่อยู่ในอาณาเขตการดูแลของตัวเอง หนีมาหลบภัยที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเสียนอ๋อง (อ๋องผู้มีคุณธรรม) จากนั้นก็ได้สวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร คาดว่าสองปีมานี้เจ้าเด็กนี่นอนหลับก็คงยังหัวเราะจนตื่นจากความฝันได้ องค์ชายอีกคนที่ผู้คนฝากความหวังไว้มากอย่างหันจิ้งซิ่นกลับต้องไปตายอยู่ในชานป่านอกเมืองหลวง ดังนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างหันจิ้งหลิงผู้นี้จึงนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ส่วนหวงเฮ้อที่ประคับประคองพี่น้องอย่างหันจิ้งหลิงให้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์มังกรก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน เป็นรองเจ้ากรมพิธีการตั้งแต่อายุยังน้อย การแต่งตั้งห้าขุนเขาใหม่ของแคว้นสือหาวก็ล้วนเป็นเขาคนเดียวที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้ โดยที่เจ้ากรมพิธีการไม่กล้าบ่นอะไรสักคำ ว่ากันว่าพอไปถึงจวนที่ว่าการ ใต้เท้าเจ้ากรมยังเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้เขาด้วยตัวเอง บิดาของหวงเฮ้อก็ยิ่งถูกกล่าวขานให้เป็นฮ่องเต้ผู้หยัดยืนในราชสำนักแคว้นสือหาว ไม่มีชุดคลุมสีเหลืองอยู่บนกาย แต่สามารถพกดาบเข้ามาในท้องพระโรงได้
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคดีก็เป็นหนึ่งในความสามารถเหมือนกัน”
เจ้าคนที่หลงระเริงลำพองตนอย่างหวงเฮ้อผู้นี้ บางทีไม่ต้องให้เขาลงมือเอง สักวันก็ต้องถูกหันจิ้งหลิงที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มผู้นั้นจัดการจนมีสภาพอเนจอนาถเอง
แต่กู้ช่านก็ยังหวังว่าหวงเฮ้อจะตกมาอยู่ในกำมือของตน
เพราะปีนั้นหลังจากที่กู้ช่านตกอับ ไอ้หมอนี่เป็นเพียงคนเดียวที่กล้าขึ้นมาบนเกาะชิงเสียแล้วเรียกร้องให้เปิดประตูห้องแห่งนั้น
กู้ช่านกำลังรอโอกาส
อีกทั้งเมื่อโอกาสนี้มาถึงมือ ทุกอย่างจะต้องสมเหตุสมผล สอดคล้องกับกฎเกณฑ์
หลังจากที่หลิวจื้อเม่าไล่พูดชื่อทุกคนไปหมด
ท่าทีคร่าวๆ ที่กู้ช่านมีต่อทุกคน สกัดคงคาเจินจวินผู้นี้ก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ แล้วเช่นกัน
ยังคงจดจำความแค้นเหมือนเดิม
แต่เมื่อเทียบกับการทำอะไรตามแต่ใจ ฆ่าคนส่งเดชอย่างในอดีตแล้ว ตอนนี้กู้ช่านสามารถเรียบเรียงลำดับเรื่องราวได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่สามารถอดทนข่มกลั้น กลับกันเมื่อต้องอยู่ในสภาวะจำศีลดั่งคนที่พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ต้องก้มหัวยอมให้กับทุกเรื่องอย่างทุกวันนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเคียดแค้น กลับกันยังยินดีที่จะแบกรับความยากลำบากนี้ไว้
ดีมาก
แบบนี้ก็จะยิ่งมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน และมีชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางทางตันที่มีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้ที่อดทนได้ดีที่สุด สุดท้ายรสขมต้องกลายเป็นหวานชื่น
นี่ก็คือการฝึกตนอีกอย่างหนึ่ง
หลิวจื้อเม่าไม่เคยกังวลว่าบนเส้นทางการฝึกตนภายนอกของกู้ช่านจะมีอุปสรรคไม่ราบรื่น
เจ้าเด็กนี่เกิดมาก็เพื่อเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่แพ้ให้แก่หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วอีกด้วย!
หลิวจื้อเม่ารินเหล้าให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย พลางถามว่า “ภูตผีวัตถุหยินที่เหลือเหล่านั้น จะจัดการอย่างไร? หากเรื่องนี้พูดไม่ได้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูด”
กู้ช่านเพิ่งจะยกถ้วยเหล้าขึ้นมา เวลานี้จึงวางมันลงอีกครั้ง เงียบไปพักหนึ่งก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ หากพวกเขาที่ตายไปเป็นผีมีทิฐิเดียวที่ยึดมั่นคือการแก้แค้น ก็ง่ายมาก ข้าจะให้โอกาสพวกเขาได้แก้แคน อาจารย์ท่านเองก็น่าจะรู้แล้ว อาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ติดกับนครอวิ๋นโหลว เจ้าสำนักเจียงเตรียมจะแยกเกาะหลายแห่งที่มีโชคชะตาน้ำภูเขาเชื่อมโยงกันออกมามอบให้ข้ากู้ช่าน ถึงเวลานั้นข้าจะสร้างภูเขาสำหรับผู้ฝึกตนผีไว้ที่นั่นหนึ่งแห่ง วัตถุหยินทุกตนล้วนสามารถฝึกตนได้ ขาดเงินในการฝึกตน? ข้ากู้ช่านออกให้! ขาดตำราลับ? ข้าจะไปหาตำราที่เหมาะสมมาให้พวกมัน เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าสามารถแก้แค้นได้แล้วก็แค่บอกมาได้เลย นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องและความปรารถนาส่วนใหญ่ ขอแค่เป็นสิ่งที่ข้ามีความสามารถ ทำได้เรื่องหนึ่งก็จะทำให้เรื่องหนึ่ง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้พวกวัตถุหยินส่วนใหญ่กำลังรอโอกาสแล้วค่อยลงมือ ไม่เป็นไร ขอแค่พวกมันยินดีเปิดปากก็พอ”
หลิวจื้อเม่าพลันหัวเราะ “หากปีนั้นเฉินผิงอันต่อยหนึ่งหมัดหรือแทงหนึ่งกระบี่ให้เจ้าตาย สำหรับพวกเจ้าสองคนแล้ว จะเป็นทางเลือกที่ผ่อนคลายยิ่งกว่าหรือไม่?”
กู้ช่านก้มหน้าลง ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาถือค้างไว้ ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เฉินผิงอันไม่ใช่คนแบบนั้น ข้าเองก็ไม่ยินดีจะตายเร็วขนาดนั้น”
ตอนที่แหงนหน้าดื่มเหล้า สีหน้าของเด็กหนุ่มกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลิวจื้อเม่าส่งยิ้มไปให้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของหลิวจื้อเม่าราวกับแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเกาะเหล่านั้นจะตกไปเป็นของใคร เขาหลิวจื้อเม่าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย!
หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การทดสอบสภาพจิตใจของกู้ช่านเป็นครั้งสุดท้ายจึงมีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาแล้ว
แต่หลิวจื้อเม่าที่ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ยังคงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าทางออกของเกาะชิงเสียอยู่ตรงไหน? ไม่ต้องรีบร้อน ดื่มเหล้าแล้วค่อยๆ คิดไป”
กู้ช่านวางถ้วยเหล้าลง เช็ดปากตัวเอง ค้อมตัวยื่นมือไปคีบปลาเล็กตากแห้งของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ส่งไปขายไกลตามงานเลี้ยงของชนชั้นสูงขึ้นมาตัวหนึ่ง หลังจากขบเคี้ยวอย่างละเอียดแล้ว ก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หนึ่ง ข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบน สอง ข้าหาที่พึ่งของต้าหลีได้เจอ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นเจ้าประมุขของแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นที่กุมอำนาจอย่างแท้จริง สาม อาศัยที่พึ่งนี้ได้ไปพบกับฮ่องเต้ต้าหลี กลายมาเป็นหมากที่เขาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อใช้ถ่วงดุจกับสำนักเจินจิ้งก่อน”
สายตาของหลิวจื้อเม่าฉายประกายเรืองรอง “ไม่มีข้อสี่หรือ?”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
หลิวจื้อเม่าซักถามต่อ “การกระทำเช่นนี้ของเจ้า สำหรับข้าที่เป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานสำนักเจินจิ้ง สำหรับเจียงซ่างเจินเจ้าสำนักเจินจิ้งที่แบ่งเกาะให้เจ้าแล้ว จะไม่เท่ากับว่าทำตัวเป็นคนเนรคุณอย่างนั้นหรือ?”
กู้ช่านหันหน้าไปมองนอกห้องด้วยสีหน้าสุขุม “ค่ำคืนอันยาวนาน สามารถดื่มเหล้าได้หลายถ้วย กินกับแกล้มได้หลายจาน วันนี้เพียงแค่พูดเรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนเนรคุณ แต่รอจนปีหน้าที่ทำเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะก็ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างการพูดและการทำ ยังมีการค้าอีกมากมายที่สามารถทำได้ ไม่แน่ว่าวันใดข้ากู้ช่านอาจตายไปง่ายๆ ก็เป็นได้”
ทุกครั้งหลิวจื้อเม่าจะดื่มเหล้าไม่มาก แต่ยกถ้วยอยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้เหล้าถ้วยสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกเขายกดื่มจนหมด
พูดได้ถึงขั้นนี้ ย่อมไม่ใช่การแสดงความจริงใจแบบปกติทั่วไปแล้ว
การเดินทางมาในคืนนี้ ไม่เสียเที่ยว
คิดไม่ถึงว่ากู้ช่านเห็นว่าหลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าหมดแล้ว สุราในถ้วยก็ไม่เหลืออีก เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบกาเหล้าของตัวเองมารินให้ผู้เฒ่าอีกหนึ่งถ้วย
หลิวจื้อเม่าไม่ได้ห้ามปราม
หลังจากนั่งลงแล้ว กู้ช่านก็ยกเหล้าถ้วยสุดท้ายของเขาขึ้นมา พูดกับผู้เฒ่าว่า “พูดถึงแค่เรื่องราว ไม่พูดถึงจิตใจ ข้ากู้ช่านต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ปีนั้นพาข้าออกมาจากตรอกหนีผิง ทำให้ข้ามีโอกาสได้ทำเรื่องมากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงคืนนี้ ได้พูดมากมายเช่นนี้”
หลิวจื้อเม่ายกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับกู้ช่านแรงๆ แล้วต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในถ้วยตัวเองจนหมด
หลิวจื้อเม่าลุกขึ้นยืน กู้ช่านก็ลุกขึ้นตาม
คนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกไปยืนเคียงไหล่กันนอกห้องหลัก หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าวว่า “ตอนเยาว์วัยไม่หาเรื่องสนุก ตอนเป็นหนุ่มไม่หาความบันเทิง ช่างเป็นการเสียเวลาเปล่า”
กู้ช่านส่ายหน้า เอ่ยว่า “ตอนเป็นเด็กหนุ่มล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ช่วงเวลาดีๆ จะมีได้กี่มากน้อย”
หลิวจื้อเม่าร้องเอ๊ะหนึ่งทีคล้ายจะแปลกใจ หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “อ่านตำราไม่น้อยเลยหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “รายงานภูเขาสายน้ำ หนังสือเบ็ดเตล็ดล่างภูเขา ไม่ว่าอะไรก็ยินดีอ่านให้มากหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็แค่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนมาไม่กี่วันเท่านั้น รู้สึกเสียดายไม่น้อย จากตรอกหนีผิงมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงไม่ได้เอาอะไรมาด้วยมากนัก จึงอยากจะอาศัยรายงานและตำราต่างๆ มารับรู้เรื่องของฟ้าดินภายนอกให้มากขึ้นอีกนิด”
หลิวจื้อเม่าชำเลืองตามองพัดไม้ไผ่ที่อยู่ตรงเอวของเขาแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เป็นของดี”
กู้ช่านปลดพัดพับลง ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า พูดด้วยสายตาใสกระจ่าง “หากอาจารย์ชอบก็เอาไปเถอะ”
ตอนที่ของชิ้นนี้เผยตัวก็หมายความว่ากู้ช่านตัดสินใจดีแล้วว่าจะเก็บมันไว้หรือจะสละมันไป
หลิวจื้อเม่าโบกมือ “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ ใครมอบให้เจ้า?”
กู้ช่านตอบ “เพื่อนของเพื่อนคนหนึ่ง”
เพื่อนของเพื่อน แต่กลับไม่ใช่เพื่อนของเขา
ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นหลิวเสี้ยนหยาง
แต่กู้ช่านกลับไม่เคยเห็นหลิวเสี้ยนหยางเป็นเพื่อน
เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก หลิวเสี้ยนหยางเป็นเพียงเพื่อนของคนผู้นั้น ต่อให้กู้ช่านเองก็ยังต้องยอมรับว่า หลิวเสี้ยนหยางคือคนดี…ที่ไม่มีจิตใจชั่วร้ายเพียงไม่กี่คนของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด
แต่กู้ช่านกลับยังคงไม่เห็นหลิวเสี้ยนหยางเป็นเพื่อน
กู้ช่านไม่ชอบนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาไม่สนใจใครของหลิวเสี้ยนหยางอย่างยิ่ง แล้วยังชอบเอาแม่ของเขามาล้อเล่น ดังนั้นจึงมีหลายครั้งที่กู้ช่านไล่ตีหลิวเสี้ยนหยางด้วยน้ำมูกน้ำตานองหน้า
และถึงท้ายที่สุดก็มักจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่หัวเราะร่ายอมรับผิดแต่โดยดี
จากนั้นเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่เต็มหน้าก็จะเดินกลับตรอกหนีผิงอย่างอ่อนระโหยโรยแรงไปพร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง
เดินไปเดินมา เจ้าเด็กขี้มูกยืดผู้นั้นก็มักจะค่อยๆ คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ไม่เหลือความกลัดกลุ้มกังวลใดๆ อีก
—-