เฉินผิงอันหดมือกลับมา “มีปราณสังหารเข้มข้นขนาดนี้ สมควรฝึกตนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลงแล้ว”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปทำเสียงถุยหนึ่งที “ต่อให้เขาคนแซ่หลิวร้ายกาจกว่าเจ้าขุนเขาอาจารย์ของข้า แล้วอย่างไร? ข้าก็จะต้องเปลี่ยนสำนักเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ?! อีกอย่างน่ะ ไอ้หมอนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหนอนหนังสือ วันหน้าฝึกตนอยู่กับเขา ทุกวันจะต้องเรียกเจ้าคนนิสัยจู้จี้อืดอาดเช่นนี้ว่าอาจารย์ ข้าล่ะกลัวว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่อาจฝึกตนเป็นเซียนกระบี่ครึ่งตัวอะไรได้เลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วอาจารย์ของเจ้าหวังให้เจ้าติดตามฉีจิ่งหลงไปฝึกตนมากกว่า?”
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็พอจะเดาได้ อาจารย์ดีต่อข้า นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าปากก็จะเรียกเจ้าคนแซ่หลิวว่าอาจารย์ แต่ในใจของข้า ชั่วชีวิตนี้จะรับอาจารย์เป็นอาจารย์คนเดียวเท่านั้น”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ด้วยกลัวว่าไอ้หมอนี่จะเอาตนไปนินทากับหลิวจิ่งหลง แล้วถึงเวลานั้นตนจะต้องลำบาก
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ยามเดินอยู่บนถนนกับเขากลับรู้สึกอยากจะพูดความในใจออกมาเยอะๆ
คงเป็นเพราะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินไป หากไม่พูดออกมาก็คงอัดอั้นในใจ เด็กหนุ่มคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นตนคงต้องอึดอัดตายเป็นแน่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้ ดีแล้ว แล้วก็ถูกต้องแล้ว แต่วันหน้าเมื่อเปลี่ยนความคิดก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าในตอนนี้คิดผิด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น “เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้ กล้าพูดหลักการเหตุผลใหญ่โตเช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไม คิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ก็เลยร้ายกาจมากนักรึ? เลยคิดจะเจ้ากี้เจ้าการกับข้าแล้วใช่ไหม?!”
นิสัยนี้
ไม่ถือว่าดีเลยจริงๆ
เฉินผิงอันพูดอย่างไม่ถือสา “ใครบ้างที่พูดจามีเหตุผลไม่ได้? ข้าร้ายกาจกว่าเจ้า แต่กลับยังยินดีจะใช้เหตุผลกับเจ้า นี่เป็นเรื่องไม่ดีหรือ? หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว หรือไม่ก็ซ้อมเจ้าปางตาย บีบให้เจ้าต้องลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอนให้ข้ามีเหตุผล แบบนั้นถึงจะดียิ่งกว่า?”
เด็กหนุ่มปวดหัวเล็กน้อย เขาชูมือขึ้นทันที “หยุดเลยๆ อย่ามาไม้นี้เชียว อาจารย์เจ้าภูเขาของข้าถูกเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นกวนใจแบบนี้นานเป็นครึ่งๆ วัน ถึงได้บอกให้ข้าหอบเสื่อไสหัวออกมา แล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าพูดมากด้วย”
เฉินผิงอันหัวเราะ บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีเหล้าหมักข้าวเหนียวเพิ่มมาสองกา “ดื่มเหล้าหรือไม่?”
ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาบ รับเหล้ากาหนึ่งมาทันที พอเปิดจุกออกก็กรอกเหล้าใส่ปากอึกใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างรังเกียจว่า “ที่แท้เหล้าก็รสชาติแบบนี้เอง ไม่เห็นจะอร่อย”
เฉินผิงอันเพียงแค่เดินเนิบช้าพลางพูดไปโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเขา “ในเมื่อดื่มแล้วก็เก็บเอาไว้ดื่มให้หมด ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หากเจ้ากล้าโยนทิ้งข้างทางตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็จะสอนหลักการเหตุผลกับเจ้าแทนฉีจิ่งหลงก่อน อีกทั้งยังจะเป็นหลักการเหตุผลที่เจ้าไม่ค่อยยินดีจะฟังด้วย”
ใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยแววดูแคลน จุ๊ปากเอ่ยว่า “เห็นไหม ถึงท้ายที่สุดก็ยังใช้กำลังมาข่มคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ฉีจิ่งหลงยังไม่กลับมา จงดื่มเหล้าของเจ้าไปให้ดี หากไม่ผิดไปจากที่คาด ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งในอนาคต ต่อให้วันใดเจ้าจะอยากดื่มเหล้าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางได้ดื่มแล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่หลิวก็เคยบอกกับข้าว่า ห้ามปล่อยให้เจ้ายุให้ดื่มเหล้าเด็ดขาด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเสียหน่อย”
เด็กหนุ่มชูมือขึ้น มองเหล้ากานั้นที่อยู่ในมือ ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่กล้าโยนทิ้งไปตามใจ จากนั้นจึงจิบเหล้าข้าวหมักอีกหนึ่งอึก อันที่จริงรสชาติของมันก็ไม่เลว ไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกมีดเผาไฟกรีดลำไส้เลยแม้แต่น้อย
ดูท่าตนคงเกิดมาเป็นคนประเภทที่ดื่มเหล้าได้
ไม่เสียแรงที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด!
เขาพลันถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้เจ้าพูดกับคนแซ่หลิวสักคำ บอกไปว่าเจ้ายินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
เด็กหนุ่มจึงเริ่มพูดโน้มน้าวคนชุดเขียวผู้นี้บอกว่าเขาต้องเห็นแก่ความดีของอีกฝ่าย วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน รอจนเขากลับไปถึงภูเขาเกอลู่ ได้จุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์ ถูกรับกลับคืนเข้าสู่สำนักอีกครั้ง วันหน้าสามารถช่วยเขาสังหารศัตรูโดยไม่คิดเงินได้…
เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”
เด็กหนุ่มไม่ได้มีนิสัยที่ว่าใครถามอะไรก็ตอบหมด แต่เรื่องของชื่อนี้ เป็นเรื่องที่เขาภูมิใจยิ่งกว่าการที่ตัวเองเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดเสียอีก เด็กหนุ่มจึงหัวเราะหยันเสียงเย็นเอ่ยว่า “อาจารย์เป็นคนตั้งชื่อให้ข้า แซ่ป๋าย ชื่อโส่ว! เจ้าวางใจเถอะ ไม่ถึงร้อยปี อุตรกุรุทวีปจะต้องมีเซียนกระบี่ที่ชื่อป๋ายโส่ว (หัวขาว) อย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังฉายาของตัวเองในอนาคตหน่อยแล้ว เป็นเซียนกระบี่หัวขาวอะไรนั่น คงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร”
เด็กหนุ่มใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่พูดจามีเหตุผล!
เขาจึงพยักหน้า “ขอบใจมาก!”
เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น เด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไปครู่ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ เขาจึงยกกาเหล้าชนกับอีกฝ่ายอย่างว่องไว จากนั้นต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
ป๋ายโส่วเช็ดปาก ตอนนี้เขารู้สึกไม่เลว ตนน่าจะถือว่ามีความกล้าหาญของวีรบุรุษและมาดของเซียนกระบี่บ้างแล้วกระมัง
เฉินผิงอันหัวเราะเบาๆ “เรื่องอื่นเจ้าล้วนฟังอาจารย์ของเจ้า แต่เรื่องของการดื่มเหล้านี้ หากเซียนกระบี่ไม่เป็นคนทำ ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
ป๋ายโส่วพยักหน้ารับแรงๆ “แม้ว่าช่วงแรกเริ่มเจ้าจะเป็นคนที่น่ารำคาญไปบ้าง แต่ตอนนี้ข้ามองเจ้าแล้วถูกชะตาขึ้นเยอะ เจ้าชื่อว่าอะไร?! เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าชีวิตนี้ของข้าป๋ายโส่วจดจำชื่อของคนได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เจ้าดูอย่างคนแซ่หลิวผู้นั้นสิ ข้าเคยเรียกชื่อเขาเต็มๆ ไหม? ไม่เคยล่ะสิ”
เฉินผิงอันตอบ “ข้าชื่อเฉินคนดี”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว!”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “เจ้าก็ตีข้าซะสิ?”
ดวงตาของป๋ายโส่วกลอกไปมา “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่สิ เจ้าก็ตีข้าสิ?”
ป๋ายโส่วอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ต้องกระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ
นี่คือเรื่องอัปยศอย่างใหญ่หลวงเรื่องที่สองนับตั้งแต่ที่เขาป๋ายโส่วลงจากภูเขามา
เฉินผิงอันหันหลังกลับไปมอง
ฉีจิ่งหลงที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางน่าจะมาถึงนานแล้ว แล้วก็เดินพวกเขาสองคนมานานมากแล้ว
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างระอาใจ “ยังยุคนให้ดื่มเหล้าไม่สาแก่ใจพอหรือไง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มือกระบี่ทุกคนน่าจะจำคนที่ยุให้ตัวเองดื่มเหล้าได้”
ฉีจิ่งหลงถาม “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนยุให้เจ้าดื่มล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “แรกเริ่มสุดคือมือกระบี่คนหนึ่ง ภายหลังคืออาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่ง”
อย่าเห็นว่าตอนอยู่กับเฉินผิงอัน ป๋ายโส่วคำหนึ่งก็เจ้าคนแซ่หลิว สองคำก็เจ้าคนแซ่หลิว เวลานี้พอฉีจิ่งหลงมาอยู่ข้างกายจริงๆ เขากลับเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ราวกับว่าไอ้หมอนี่ยืนอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังถือกาเหล้าที่ยังดื่มไม่หมดกานั้นเอาไว้ ต่อให้จะไม่ได้ดื่มแล้ว แต่ก็ยังผิดอยู่ดี
ตอนนั้นเจียวหลงบนบกแห่งอุตรกุรุทวีปทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ปล่อยให้เจ้าขุนเขาอาจารย์ของเขาป๋ายโส่วส่งกระบี่ออกไปสองครั้ง!
ค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งที่มองดูเหมือนถูกวาดขึ้นลวกๆ ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มองไม่เห็นกระบี่บิน หลังจากอาจารย์ของตนปล่อยสองกระบี่ออกไปแล้วก็ไม่เหลือแม้แต่อารมณ์ที่จะออกกระบี่เป็นครั้งที่สาม!
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ข้าคิดว่าจะกลับไปปิดด่านที่สำนักแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “รีบๆ ฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะได้ไปหาเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นหากช้าเกินไป ข้าก็อาจไปจากอุตรกุรุทวีปแล้ว ข้าไม่เดินทางย้อนกลับมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะหรอกนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้ายินดีดื่มเหล้า ข้าก็สามารถลองคิดดูใหม่ได้”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “พอเลย”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าไปเมืองหลวงต้าจ้วนมาหรือ?”
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย กู้โย่วยังไม่ทันไปถึงเมืองหลวงต้าหลีก็ได้ส่งข่าวไปบอกทางนั้นก่อนแล้วว่า ให้จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำรามไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจแล้ว คนทั้งสองไปตัดสินเป็นตายกันที่ริมแม่น้ำอวี้ซีได้เลย ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องการเข่นฆ่าแบบนี้สักเท่าไร ก็เลยไม่ได้อยู่ที่นั่นต่อ แต่อีกไม่นานกู้โย่วและจีเยว่ก็น่าจะใกล้ได้ประมือกันแล้ว”
เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจ เริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง
ป๋ายโส่วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งมีอะไรร้ายกาจกัน จีเยว่เป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่เชียวนะ ข้าว่านี่คงเป็นเรื่องแค่สองสามกระบี่เท่านั้น”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มให้ “เจ้าว่าสภาพข้าตอนนี้อนาถมากหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพยักหน้ารับ “บาดแผลเหวอะหวะเต็มร่าง แน่นอนว่าต้องอนาถมาก เป็นอย่างไรล่ะ? วิธีการอันร้ายกาจของผู้ฝึกตนภูเขาเกอลู่พวกเราทำให้เจ้าจดจำได้ฝังใจเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันกับฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มให้กัน
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว หรือว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้?
ฉีจิ่งหลงพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง พวกเราไปหายอดเขาเงียบๆ สักแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาภาพหนึ่ง แล้วเจ้าก็จะยิ่งเข้าใจอุตรกุรุทวีปมากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีความเห็นต่าง
ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้
คนทั้งสามยืนอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งด้วยกัน
เมืองหลวงต้าจ้วน ริมแม่น้ำอวี้ซี
จีเยว่ยืนอยู่ริมฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
ผู้เฒ่าชุดเขียวลักษณะเหมือนคนของลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญเจ้าเรียกกระบี่ได้ตามสบาย”
จีเยว่พยักหน้า “ข้าเชื่อในในคุณธรรมของเจ้ากู้โย่ว”
อุตรกุรุทวีปในค่ำคืนนี้
นับตั้งแต่บนภูเขาของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งที่ในอดีตได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว
ที่ผู้ฝึกในสำนักพากันเรียกกระบี่บินให้ทะยานขึ้นสู่ม่านฟ้าอย่างพร้อมเพรียงก่อนผู้ใด
ประหนึ่งสายรุ้งขาวปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ผุดขึ้นจากผืนแผ่นดิน
ต่อมาก็คือป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศเหนือ แสงกระบี่เจิดจ้าสะดุดตาอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
แล้วก็ตามมาด้วยสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ฉีจิ่งหลงอยู่ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต่างก็พากันบังคับกระบี่ภายใต้การนำของเจ้าสำนัก แสงกระบี่ร่วมกันกรีดผ่าม่านราตรี ส่องสว่างอาณาเขตของตลอดทั้งสำนัก ฟ้าดินเจิดจ้าประหนึ่งเวลากลางวัน
มีนักพรตผู้เฒ่าบรรพจารย์ท่านหนึ่งของยอดเขาจื่อเสวียนเรียกกระบี่ไม้ท้อที่เวลาปกติมักจะใช้แค่กำจัดปีศาจปราบมารชิ้นนั้นออกมา
จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามที่อยู่ริมแม่น้ำอวี้ซีของราชวงศ์ต้าจ้วนที่ต่อให้กำลังจะเปิดศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังต้องบังคับกระบี่ให้ลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าก่อน เพื่อใช้สิ่งนี้มาเซ่นไหว้คนบนเส้นทางเดียวกันบางคนที่รบตายอยู่ห่างไปไกล
ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มีลี่ไฉ่เป็นผู้นำ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในสำนักล้วนออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียงกัน
ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีสำนักพีหมา นอกจากผู้ฝึกกระบี่หลายท่านที่เรียกกระบี่ออกมาแล้ว จู๋เฉวียนเจ้าสำนักที่เอามือกดด้ามดาบก็ยังให้ผังหลันซีที่อยู่ข้างกายบังคับกระบี่เล่มยาวให้ทะยานขึ้นฟ้าเพื่อทำการเซ่นไหว้
ผูหรางวิญญาณวีรบุรุษแห่งชายหาดโครงกระดูกก็ชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน เกาเฉิงเป็นคนปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้พันธนาการแห่งฟ้าดินแหลกสลาย เพียงแค่เพื่อให้กระบี่นั้นของผูหรางบินได้สูงยิ่งกว่าเดิม!
ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเซียนกระบี่ที่รบตายท่านนั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันออกกระบี่อย่างไม่มีข้อยกเว้น
แล้วก็เป็นเช่นนี้
เสาลำแสงปราณกระบี่แต่ละเส้นที่ส่องสว่างไม่เท่ากันพากันทยอยส่องแสงขึ้นบนอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป
ท่ามกลางม่านราตรีของใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าในหมู่มวลมนุษย์ย่อมมีแสงไฟมากกว่า
แต่ไม่เคยทำให้อุตรกุรุทวีปเป็นเช่นนี้ ไม่เคยมีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนี้พากันออกกระบี่อย่างพร้อมเรียงราวกับแสงไฟที่ถูกจุดให้สว่างไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินใหญ่ในเวลาเดียวกัน
ในอาณาเขตแคว้นฝูฉวี บนยอดเขาสูงที่ไร้นามแห่งหนึ่ง
ฉีจิ่งหลงเองก็เริ่มออกกระบี่
ครั้งนี้เป็นการออกกระบี่อย่างสุดกำลังความสามารถ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อว่า ‘กฎเกณฑ์’ เล่มนั้นผุดทะยานขึ้นจากพื้นดิน แสงกระบี่ประหนึ่งสายรุ้งที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง
ฉีจิ่งหลงเอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองเส้นยาวเล็กบางแต่ละเส้นที่ผุดขึ้นบนพื้นแผ่นดินของโลกมนุษย์เหล่านั้น
ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ของหนึ่งทวีปที่กำลังเซ่นไหว้คนบนเส้นทางเดียวกันผู้นั้นอยู่ไกลๆ ขณะเดียวกันก็ใช้สิ่งนี้มาแสดงความเคารพต่อมหามรรคาร่วมทางของผู้ฝึกกระบี่คนรุ่นเดียวกับข้าเส้นนั้น
เขาพลันหันหน้ามามองเฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างแล้วยิ้มเอ่ยว่า “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ? หากถูกคนมีใจเห็นเข้า ก็เท่ากับว่าเปิดเผยวิชาก้นกรุของตัวเอง การเดินทางของเจ้าหลังจากนี้อาจจะเจอกับปัญหาใหญ่มากกว่าเดิม”
แต่อันที่จริงฉีจิ่งหลงกลับรู้คำตอบอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ในมือของเฉินผิงอันถือกระบี่ยาวไว้อยู่แล้ว
ชื่อกระบี่คือเจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่)
เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้น เอ่ยเบาๆ ว่า “ยอมคิดเรื่องมากมายที่คนอื่นไม่ยินดีจะคิด ก็ไม่ใช่เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องบางเรื่องหรอกหรือ?”
อาภรณ์สีเขียวของคนผู้หนึ่งโบกสะบัดไม่หยุดนิ่งอยู่บนยอดเขา ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างพลิ้วไหวส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
เด็กหนุ่มป๋ายโส่วที่เดิมทีก็รู้สึกแสบตาเพราะแสงกระบี่เส้นนั้นของฉีจิ่งหลงอยู่แล้ว เวลานี้เขาได้ฝืนลืมตาขึ้นตามจิตใต้สำนึก ถึงได้ไม่พลาดภาพเหตุการณ์เหล่านั้น
เมื่อคนผู้นั้นตะโกนเบาๆ ว่า “ไป”
ระหว่างฟ้าดินก็มีแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปราณกระบี่อันไพศาลพุ่งทะยานสู่ม่านฟ้า
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแสงกระบี่สีขาวหิมะและสีเขียวมรกตอีกสองเส้นที่ทยอยกันพุ่งออกจากช่องโพรงลมปราณของคนผู้นั้น พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
เมื่อฉีจิ่งหลงเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับมา
เฉินผิงอันก็ชูฝักกระบี่ขึ้น เจี้ยนเซียนดิ่งลงมาจากท้องฟ้า สอดกลับเข้าฝักเสียงดังเคร้ง
จากนั้นก็ถูกมือกระบี่ชุดเขียวที่มาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปสะพายไว้ด้านหลังเบาๆ
นาทีนี้เด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่มีนามว่าป๋ายโส่วรู้สึกว่าบุรุษชุดเขียวมอบเหล้ากานั้นให้ตนดื่มก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน
ฉีจิ่งหลงทะยานลมกลับทางเหนือ ป๋ายโส่วเองก็สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้เช่นกัน
ป๋ายโส่วหันหน้าไปมอง เห็นว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ที่เดิม ทำท่าแหงนหน้าดื่มเหล้าให้เขาดู ป๋ายโส่วพยักหน้ารับอย่างแรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครเอ่ยคำใด
คิดไม่ถึงว่าฉีจิ่งหลงจะเอ่ยว่า “เรื่องดื่มเหล้า แม้แต่คิดก็อย่าได้คิดเลย”
ป๋ายโส่วพูดอย่างขุ่นเคือง “คนแซ่หลิว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ข้าจะแอบหนีไปแล้วนะ ไปหาเพื่อนของเจ้าแล้วให้เขาเป็นอาจารย์ของข้า!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “เจ้าจะลองทำดูก็ได้ เขาต้องไล่เจ้ากลับมาแน่นอน”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างกังขา “ทำไมล่ะ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “เสียดายเงินค่าเหล้า”
ป๋ายโส่วหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าหลอกใครกัน เขาจะขี้เหนียวขนาดนั้นเลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ขี้เหนียวยิ่งกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก”
ป๋ายโส่วทอดถอนใจ “ถือว่าข้าตาบอดไป ถึงได้คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์”
ป๋ายโส่วพลันถามว่า “ถ้าอย่างนั้นที่เจ้าไม่อนุญาตให้ข้าดื่มเหล้า เพราะกังวลว่าจะถ่วงเวลาการฝึกกระบี่ หรือว่าเสียดายเงิน?”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “ทั้งคู่”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “คนแซ่หลิว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สู้เขาไม่ได้เลย!”
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มถาม “ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าตัวเองดีกว่าเขา?”
ป๋ายโส่วที่อัดอั้นอย่างหนักอดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดอย่างเกี้ยวกราดว่า “เจ้ากับเพื่อนของเจ้าล้วนมีสันดานแบบนี้! มารดาเถอะ ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าข้าตกลงไปในรังโจรหรืออย่างไร”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
ป๋ายโส่วถอนหายใจหนึ่งที
ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง
ทางฝั่งของยอดเขา เฉินผิงอันที่ในที่สุดก็กลับมาสะพายกระบี่อีกครั้งเริ่มเดินลงจากเขาไปช้าๆ กำลังคิดว่าฉีจิ่งหลงกับลูกศิษย์คนใหม่ที่เขาเพิ่งรับมาน่าจะกำลังพูดถึงตนในด้านดีๆ ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนใจกว้าง มือเติบใจป้ำอะไรทำนองนั้น
—-