ป๋ายโส่วอัดอั้นอยู่ในใจ
เด็กหนุ่มไม่ได้อยากจะเข้าใจกฎเกณฑ์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยและของเจ้าคนแซ่หลิวเลยสักนิด เพราะเขารู้ดีว่าจะต้องไร้รสชาติจืดชืด แล้วก็คร่ำครึตายตัว น่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดแน่นอน
เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกับผายลมอะไร เป็นเซียนกระบี่ทำบ้าอะไร
ไหนเลยจะสนุกสนานสาแก่ใจได้เหมือนกับเป็นนักฆ่าของภูเขาเกอลู่?
คนในยุทธภพยังต้องพูดถึงความองอาจกล้าหาญและบุญคุณความแค้นอะไรนั่น แต่นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลับไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ รับเงินมาแล้วก็ฆ่าคนแทนคนอื่น ความเป็นความตายต้องรับผิดชอบเอาเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นอิสระเสรีที่แท้จริง
ฉีจิ่งหลงเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะรับฟังหรือไม่ ข้าก็จะต้องบอกกับเจ้าไว้ว่า ขอแค่เจ้ารักษากฎ ไม่ว่าในอนาคตเจ้าจะออกกระบี่ใส่ใคร แพ้ก็ดี ถูกคนซ้อมก็ช่าง เมื่อกลับมาอยู่กับข้า ก็แค่บอกข้าสักคำ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลแทนเจ้าเอง พูดจนกว่าจะเข้าใจกันได้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงจะหยุด”
ป๋ายโส่วยกสองมือขึ้นกอดอก “น้อยๆ หน่อย ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างข้า หากฝึกวิชากระบี่ขึ้นมา จะพ่ายแพ้ให้คนอื่นได้หรือ?! ก็ได้ หากเป็นเซียนกระบี่ข้าคงเอาชนะไม่ได้ แต่หากเป็นคนวัยเดียวกัน เจ้าลองให้พวกเขามากระโดดโลดเต้นต่อหน้าข้าดูสิ ข้าแค่ฟันกระบี่ลงไปง่ายๆ อีกฝ่ายก็มีจุดจบน่าสงสารที่ต้องถูกหั่นเป็นแปดชิ้นแล้ว”
“รอให้เจ้าได้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริงเมื่อไหร่ ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมาพูดจาวางโตแบบนี้แล้ว”
ฉีจิ่งหลงพูดกลั้วหัวเราะ “ส่วนเรื่องที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยอธิบายเหตุผล เพราะการออกกระบี่ของตัวเจ้าเองก็คือเหตุผล แน่นอนว่าย่อมดีกว่า”
แม้ว่าใบหน้าของป๋ายโส่วจะเต็มไปด้วยความไม่ยี่หระ เพียงแค่ใช้หางตาชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของคนแซ่หลิว
ทว่าในใจของเด็กหนุ่มกลับยังคงรู้สึกแปลกๆ
เหมือนช่วงที่อากาศหนาวเหน็บเกินจะทานทนตอนที่ยังเป็นเด็ก แล้วเด็กคนหนึ่งที่เสื้อผ้าขาดวิ่นได้ตากแสงแดดที่อบอุ่นซึ่งมองไม่เห็นสัมผัสไม่เจอ
แต่ความรู้สึกเช่นนี้ผ่านมาเพียงวูบเดียวแล้วก็หายไป
ป๋ายโส่วพลันตะโกนขึ้นว่า “หากข้าท่องกฎเกณฑ์ของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุยอะไรนั่นได้คล่องแล้ว เจ้าต้องอนุญาตให้ข้าดื่มเหล้า ตกลงไหม?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “ไม่มีเงิน”
ป๋ายโส่วพูดอย่างขุ่นเคือง “ในกระเป๋าไม่มีเงิน เจ้าก็ไม่รู้จักเชื่อเงินมาจากเฉินคนดีผู้นั้นหรือไง?”
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กลัวว่าจะถูกยุให้ดื่มเหล้า เดี๋ยวจะไม่คุ้มกัน”
เงินซื้อเหล้าที่ซื้อมาหนึ่งกาก่อนหน้านี้ เขายังยืมมาจากกู้โม่สายไท่เสีย
ทุกครั้งที่ฉีจิ่งหลงออกจากสำนักเดินทางไกล เขาไม่เคยพกของไม่จำเป็นอย่างพวกทรัพย์สินเงินทองจริงๆ
กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง แก่นตะวันจันทรา ปราณวิญญาณฟ้าดิน ล้วนเป็น ‘ธัญพืชทั้งห้า’ ของผู้ฝึกตน
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุดในใต้หล้า ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้ชุดอาคม หรือสมบัติหนักในการโจมตีใดๆ
ตอนนั้นที่ยืมเงินนาง โชคดีที่ประโยคหนึ่งมารออยู่ตรงปากแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป ไม่อย่างนั้นจะยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิม
เดิมทีฉีจิ่งหลงอยากพูดว่าวันหน้าหากเดินทางผ่านภูเขาไท่เสียแล้วค่อยคืนเงินให้
เพียงแต่ว่าเวลาชั่วประกายไฟแลบ เขาก็คิดได้ว่า หากตนพูดไปแบบนั้น แน่นอนว่าจะต้องทำให้นางเข้าใจผิดคิดว่าตนมีเจตนาไม่ดี และอยากจะฉวยโอกาสนี้ใกล้ชิดนางกู้โม่อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่พูดจะดีกว่า แค่จำไว้ในใจก็พอ
หลังจากนั้นฉีจิ่งหลงมาย้อนนึกดูก็ยิ่งรู้สึกว่า อย่างตนน่าจะพอถือว่าหลังจากเข้าใจเหตุการณ์หนึ่งได้อย่างถ่องแท้แล้วก็จะเข้าใจเรื่องประเภทเดียวกันไปได้อีก เมื่อปัญญาด้านหนึ่งเปิดโล่งก็เปิดโล่งไปทุกด้าน
ป๋ายโส่วถามว่า “คนแซ่หลิว สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเจ้ามีแม่นางที่หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราบ้างหรือไม่? อืม แม่นางสวยๆ ที่อายุพอๆ กับข้าน่ะ!”
ฉีจิ่งหลงถาม “ทำไมหรือ?”
ป๋ายโส่วถอนหายใจ “พวกนางมาเจอกับข้าก็ช่างน่าสงสารจริงๆ เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมาหลงใหลคลั่งใคล้ในตัวบุรุษที่ไม่มีทางชื่นชอบพวกนาง”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
ป๋ายโส่วพูดอย่างหนักแน่น “ก็เจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่อเฉินคนดีนั่นไงล่ะ!”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่จากนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เพื่อยุให้คนอื่นดื่มเหล้า เจ้าหมอนั่นก็ใช้ทุกวิถีทางที่มีจริงๆ นั่นต้องเรียกว่าเอาคุณธรรมใส่ลงไปในกาเหล้าหมดแล้ว แค่อึกเดียวก็ดื่มได้หมด ดังนั้นเขาจึงถามว่า “เขาบอกกับเจ้าแบบนี้จริงๆ หรือ?”
ป๋ายโส่วจึงเริ่มใส่เสริมเติมแต่ง
ฉีจิ่งหลงหัวเราะ ดูท่าคงไม่ใช่แล้ว
ป๋ายโส่วรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เจ้าคนแซ่หลิวรู้ได้อย่างไรนะว่าเจ้าหมอนั่นไม่ได้เป็นคนสอนตน
ฉีจิ่งหลงทอดสายตามองไปไกล “อีกเดี๋ยวตามข้าไปพบอาจารย์สองท่าน เจ้าจำไว้ว่าพูดให้น้อยฟังให้มาก”
ป๋ายโส่วตบศีรษะตัวเอง
ตอนนี้พอได้ยินคำว่า ‘อาจารย์’ เขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
บนทะเลเมฆสีทองชั้นหนึ่ง มีผู้ฝึกตนสองคนยืนเคียงบ่ากัน
คนหนึ่งคือบุรุษวัยกลางคน เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ตรงเอวห้อยป้ายหยก
อีกท่านหนึ่งคือผู้ฝึกตนเฒ่าหลังค่อม สะพายกระบี่เล่มยาวไว้ด้านหลัง
ฝ่ายแรกคืออริยะของสำนักศึกษา อีกทั้งยังเป็นอริยะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตรกุรุทวีปทุกวันนี้ด้วย มีนามว่าโจวมี่ มาจากสถานศึกษาหลี่จี้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่าลือกันว่าผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาได้มอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ให้แก่ลูกศิษย์ผู้นี้
แล้วก็เป็นคนผู้นี้ที่พอออกจากสำนักศึกษามาแล้วก็ซ้อมผู้ฝึกตนใหญ่ที่ปากพล่อยสองคนจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แล้วตวาดสั่งสอนเสียงดังอย่างเดือดดาลว่า ‘เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง’ ผู้ฝึกตนใหญ่ทั้งสองท่านยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่พูดว่าเข้าใจแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าโดนซ้อมอีกรอบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ้งประโยคว่า ‘ทะลุปรุโปร่งกะผายลมสุนัขน่ะสิ’ ไว้ให้
แต่ฉีจิ่งหลงก็รู้ว่า ความรู้ของอริยะลัทธิขงจื๊อนั้นต้องยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังไม่ได้แค่มุ่งเรียนเฉพาะสาขาวิชา ยังเข้าใจความรู้ของพุทธเต๋าอย่างทะลุปรุโปร่ง เคยถูกใครบางคนให้คำชื่นชมว่า ‘มีความรู้แน่นหนา แม้แต่ลมก็มิอาจเล็ดลอดผ่าน นอบน้อมอ่อนโยน คือผู้มีความสามารถที่แบกรับหน้าที่สำคัญได้’ อันที่จริงคำวิจารณ์สิบหกตัวอักษรนี้ หากมีแค่สิบสองตัวอักษรก็คงไม่มีใครรู้สึกกังขา น่าเสียดายก็แต่เพราะสี่คำว่า ‘นอบน้อมอ่อนโยน’ ถึงได้ทำให้ผู้คนพากันถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับบัณฑิตของสถานศึกษาหลี่จี้ผู้นี้ ลองคิดตามดู ลูกศิษย์ของสถานศึกษาที่ใกล้จะได้ไปรับหน้าที่เป็นอริยะของสำนักศึกษาในแคว้นอื่น แต่กลับถูกอาจารย์ของตนมอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ให้ จะใกล้เคียงกับคำว่านอบน้อมอ่อนโยนได้จริงๆ หรือ?
แต่ว่าตัวโจวมี่เองกลับรู้สึกภาคภูมิใจในคำวิจารณ์สี่คำนั้นมากที่สุด อีกสิบสองคำที่เหลือ เขากลับไม่เคยยอมรับ
ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่สะพายกระบี่อีกท่านหนึ่งนั้น นามว่าต่งจู้ คือผู้ฝึกกระบี่ที่สถานะลดลงมาสู่ขอบเขตหยกดิบ คือผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้อดีตเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยก่อสำนักตั้งพรรค ยังคงภาคภูมิใจในสถานะผู้ฝึกตนอิสระของตน เวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมามีอาการบาดเจ็บสาหัสติดตัวตลอดเวลา จำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ในภูเขาของตัวเอง ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ออกจากภูเขามาก็เท่ากับว่าต้องเจอกับหายนะ เขาถึงไม่ได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเสียที มีคำเล่าลือบอกว่าแท้จริงแล้วเซียนกระบี่ต่งจู้ก็คือผู้ถ่ายทอดมรรคาของหวงซีผู้ฝึกตนอิสระหนุ่ม เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เคยบอกว่าใช่ แล้วก็ไม่เคยบอกว่าไม่ใช่ ปล่อยให้โลกภายนอกคาดเดากันไปเอง เนื่องจากหวงซีไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ภูเขาส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าข่าวลือเรื่องนี้เหลวไหลสิ้นดี
ก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะประมือกับหวงซีก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าพอได้ประมือกันอย่างแท้จริงแล้ว ฉีจิ่งหลงกลับเริ่มไม่แน่ใจนัก
เพราะหวงซีคือผู้ฝึกกระบี่ที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม
การที่ตอนนั้นหวงซียินดีเปิดเผยสถานะผู้ฝึกกระบี่ของตน แต่ไม่ได้หนีไปโดยตรง แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะคู่ต่อสู้มีชื่อว่าหลิวจิ่งหลง
ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉีจิ่งหลงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ใครแม้เพียงครึ่งคำ
ฉีจิ่งหลงพาเด็กหนุ่มมาพลิ้วกายหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง
ฉีจิ่งหลงประสานมือสองข้างคารวะ
ต่งจู้ไม่เห็นเป็นสำคัญ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มดีๆ คนหนึ่งที่มีความหวังว่าจะได้เดินขึ้นสู่บนยอดเขา เรียนรู้อะไรดันไม่เรียน ดันจะไปเลียนแบบบัณฑิต
เห็นแล้วขัดหูขัดตาเสียจริง
หากไม่เป็นเพราะโจวมี่แห่งสำนักศึกษาค้นพบร่องรอยของฉีจิ่งหลง แล้วยืนกรานว่าจะต้องพูดคุยกับเขาให้จงได้ เขาต่งจู้ก็คร้านจะมาเปลืองน้ำลายพูดกับเจียวหลงบนบกอะไรนี่
หากคิดจะคบค้าสมาคมกันจริงๆ ก็ต้องรอให้ฉีจิ่งหลงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบเสียก่อน เขาต่งจู้ถึงจะไปท้าประชันกระบี่กับสำนักกระบี่ไท่ฮุย!
ป๋ายโส่วเกลียดพิธีการยิบย่อย การปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นเขาทำกับตัวเองที่วุ่นวายอะไรพวกนี้เป็นที่สุด เด็กหนุ่มจึงขยับมาหลบด้านหลังฉีจิ่งหลง ทำตัวเป็นหุ่นไม้ไปเสียเลย พวกเจ้าไม่รู้จักข้า ข้าก็ไม่รู้จักพวกเจ้า จะต้องทักทายปราศรัยกันไปทำไม
ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจเด็กหนุ่ม
ทุกอย่างรอให้ไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยก่อนค่อยว่ากัน
โจวมี่อริยะแห่งสำนักศึกษามองปราดๆ ก็คืออาจารย์ในโรงเรียนทั่วไปดีๆ นี่เอง เพียงแต่ว่ารูปโฉมสุภาพสง่างามเท่านั้น โจวมี่พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ตอนนี้เซียนกระบี่สองท่านของสำนักกระบี่ไท่ฮุยต่างก็ไม่ได้เฝ้าพิทักษ์อยู่บนภูเขา อีกทั้งเจ้าเองก็ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ถึงเวลานั้นหากมีสามคนมาท้าประลองกระบี่ ต้องการให้ข้าช่วยคุมหลังให้เจ้าหรือไม่? หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนใช้ขนบธรรมเนียมเช่นนี้จงใจไปกดข่มสำนักกระบี่ไท่ฮุยของเจ้า”
ฉีจิ่งหลงประสานมือคารวะอีกครั้ง พอยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าขุนเขาโจวมาช่วยคุมหลังให้ สามกระบี่ก็สามกระบี่ ต่อให้มีผู้อาวุโสเซียนกระบี่มีใจที่เห็นแก่ตัว แต่หากข้าขวางไม่อยู่ก็คือขวางไม่อยู่ ไม่อาจโทษคนบ่นฟ้าได้”
โจวมี่หันหน้ามายิ้มกล่าว “ตาเฒ่าต่ง เป็นอย่างไรเล่า?”
ต่งจู้แยกเขี้ยว “ใช้ได้ นับรวมข้าไปอีกคน บวกกับลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง คนสุดท้ายนั่นต่างหากถึงจะอันตรายมากที่สุด”
ต่งจู้หันหน้ามาพูดกับคนหนุ่มชุดเขียว “ไม่ต้องขอบคุณ ยามที่ข้าผู้อาวุโสไปถามกระบี่ (เปรียบเปรยถึงการท้าประลอง/ท้าทาย เพราะในภาษาจีนไม่ได้ใช้คำว่าท้าทายตรงๆ แต่ใช้คำว่าถามแทน จึงแปลเป็นคำว่าถามกระบี่เพื่อให้ได้ความหมายตามที่ผู้แต่งต้องการ) ก็ไม่มีทางออมมือให้แน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าร้องไห้เรียกหาพ่อหาแม่เสียล่ะ ข้าผู้อาวุโสไม่เคยไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอก”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “นอบน้อมไม่สู้ยอมรับชะตา ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็ไม่เอ่ยขอบคุณแล้ว”
โจวมี่ยิ้มอย่างชอบใจ
ต่งจู้ลูบคลำปลายคาง “เด็กอย่างเจ้านี่มันน่าโดนฟันได้ขนาดนี้เลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสโปรดรอให้ข้าฝ่าทะลุขอบเขตก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
เด็กหนุ่มเงี่ยหูตั้งใจฟัง เขาที่หลบอยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง พึมพำอยู่ในใจ “ฟันเขาเลยๆ อย่าเอาแต่พูดสิ ฟันเจ้าคนแซ่หลิว ข้าจะได้หนีไปได้สักที”
โจวมี่ยิ้มกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงได้รับเด็กเช่นนี้มาเป็นลูกศิษย์ได้?”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “จิตใจดั้งเดิมไม่เลวร้าย เพราะสอนยากถึงจำเป็นต้องสั่งสอนให้ได้ดีมากที่สุด”
โจวมี่อืมรับหนึ่งที “เหตุผลนี้ไม่ผิด”
ป๋ายโส่วถอนหายใจ
ต่งจู้เองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นกำลัง
อันที่จริงหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มนี้ หากมาอยู่ด้วยกัน คาดว่าคงคุยกันถูกคออย่างมาก
โจวมี่เอ่ย “ฉีจิ่งหลง มาพบเจ้าครั้งนี้ก็เพื่อถามเรื่องช่วยคุมหลังตอนเจ้าฝ่าทะลุขอบเขต ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็ประหยัดแรงกายไปได้พอดี”
ฉีจิ่งหลงลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนถามว่า “เจ้าขุนเขาโจว ขอข้าถามผลของเรื่องเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
โจวมี่ยิ้มกล่าว “เจ้าก็สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ? ทำไม มีความเกี่ยวข้องกับสองคนนั้น?”
ฉีจิ่งหลงนึกถึงเจ้าคนที่โดนหมัดของกู้โย่วไปสามหมัดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ก็พอเกี่ยวข้องอยู่บ้าง”
โจวมี่เอ่ย “คุยไปเดินไป ข้าจะได้ถือโอกาสนี้พูดถึงความเข้าใจจากการอ่านตำรากับเจ้า ทำให้ตาเฒ่าต่งรำคาญใจ ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่ได้เดินทางมาในครั้งนี้”
ต่งจู้ระอาใจเป็นอย่างยิ่ง
นิสัยร้ายๆ เช่นนี้ของโจวมี่ ดันมาถูกปากเขาต่งจู้พอดี รนหาที่ชัดๆ
ต่งจู้ไม่ยินดีจะพูดคุยเรื่องหลักการความรู้กับเจ้าคนที่อ่านตำรามาไม่น้อยสองคนนี้
เขาจึงชำเลืองตามองเด็กหนุ่มผู้นั้น
เด็กหนุ่มเองก็ชำเลืองตามองเขา
ต่งจู้จึงถลึงตาใส่ “โอ้โหแหะ เจ้าลูกกระต่ายน้อย เคยได้ยินชื่อของเซียนกระบี่ใหญ่ต่งหรือไม่?”
เด็กหนุ่มถลึงตากลับ “รู้แล้วทำไม ข้ามีพ่อมีแม่มีบรรพบุรุษ ไม่ได้เป็นญาติกับเจ้าเสียหน่อย”
ต่งจู้จุ๊ปากพูด “เจ้าตะพาบน้อยใจกล้าไม่เบาเลยนะ”
ป๋ายโส่วเลิกคิ้ว “รอให้ข้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ แน่จริงเจ้าก็มาถามกระบี่กับข้าดูสิ? ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เองว่าใครกันแน่ที่ใจกล้า”
ต่งจู้ตบหัวเด็กหนุ่มหนึ่งที ตบจนฝ่ายหลังหน้าทิ่มลงพื้น แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “รู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ก็เหมือนเด็กที่ยังใส่กางเกงเปิดก้น แล้วเลียนแบบยอดฝีมือด้านความรัก บอกว่าตัวเองมีสตรีอิงแอบแนบชิดซ้ายขวา? ใครเป็นคนสอนเจ้า? หลิวจิ่งหลงอาจารย์ของเจ้างั้นหรือ?”
ป๋ายโส่วลุกขึ้นยืน ไม่ได้ป่าวร้องว่าจะฆ่าตาแก่นั่นให้ตาย เขาไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อนที่น้ำเข้าสมองจริงๆ สักหน่อย ชายชาตรีต้องยืดได้หดได้สิ
ป๋ายโส่วแค่นเสียงเย็นในลำคอ “คนแซ่หลิวไม่ใช่อาจารย์ของข้าหรอกนะ ชีวิตนี้ข้ามีอาจารย์แค่คนเดียว แต่ว่าข้ายังมีสหายร่ำสุราที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากข้าอย่างแท้จริงอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าเฉินคนดี! เจ้าแน่จริงก็ไปหาเขาสิ รังแกข้าแล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสอีกได้ยังไง กระบี่เดียวของเขาก็ทำให้เจ้าร้องไห้เรียกหาพ่อหาแม่ กุมหัววิ่งหนีเป็นหนูวิ่งผ่านถนนได้แล้ว!”
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามา ขมวดคิ้วกล่าว “ป๋ายโส่ว!”
ป๋ายโส่วพูดท่าทางหงอยซึมทันที “ก็ได้ ตอนนี้เฉินคนดียังสู้ผู้อาวุโสไม่ได้”
……
บนเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันเก็บรายงานภูเขาแม่น้ำเหล่านั้นลงไปแล้ว ยังคงไม่เจอผลลัพธ์ที่ตัวเองอยากรู้ ความเคลื่อนไหวทางเมืองหลวงของต้าจ้วนแห่งนั้น รายงานฉบับใหม่ไม่มีการพูดถึงแม้แต่คำเดียว
ศึกระหว่างกู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางกับจีเยว่เซียนกระบี่ภูเขาวานรคำราม ยังไม่อาจรู้ได้ว่าคนทั้งสองเป็นหรือตาย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉีจิ่งหลงพูดถึงเรื่องนี้ ได้บอกว่ากู้โย่วเป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบมาตลอดชีวิต ศึกครั้งนี้ไม่มีทางเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบอย่างแน่นอน เขาไม่มีทางพาตัวไปตายที่แม่น้ำอวี้ซี ไปช่วยชำระล้างกระบี่ให้แก่จีเยว่
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงระเบียงบนหัวเรือของเรือข้ามฟาก อ่านรายงานภูเขาแม่น้ำเหล่านั้น ใช่ว่าจะไร้ผลเก็บเกี่ยวไปเสียทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นตอนเที่ยงของอีกสิบวันข้างหน้า บนภูเขาตี่ลี่ก็จะมีศึกใหญ่เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายที่มาตัดสินเป็นตายกันบนภูเขาลูกนี้ต่างก็มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งคือหวงซีผู้ฝึกตนอิสระที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ อีกท่านหนึ่งคือซิ่วเหนียงสตรีผู้ฝึกยุทธ คนทั้งสองต่างก็อยู่ในสิบอันดับคนรุ่นเยาว์ของอุตรกุรุทวีป อีกทั้งลำดับยังใกล้เคียงกัน คนหนึ่งลำดับที่สี่ คนหนึ่งลำดับที่ห้า เกี่ยวกับสาเหตุการเข่นฆ่าครั้งนี้ รายงานภูเขาสายน้ำสองฉบับก่อนหลังต่างก็มีการบันทึกที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็บอกว่าหวงซีหันกลับมาทำอาชีพเก่าจึงไปเจอกับผู้ฝึกยุทธหญิงที่ชื่อแปลกคนนั้นในยุทธภพโดยบังเอิญ บ้างก็บอกว่าคนทั้งสองลงมือต่อกันเพื่อแย่งชิงสมบัติหนักตระกูลเซียนในถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่อาจรู้แพ้ชนะ จึงนัดต่อสู้กันบนภูเขาตี่ลี่
ศึกนี้โดดเด่นสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ต้องชักนำเส้นสายตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจำนวนมากให้มองมาอย่างแน่นอน
สามารถจินตนาการได้เลยว่า ภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกับภูเขาตี่ลี่ซึ่งถูกสำนักฉงหลินกว้านซื้อเอาไว้แล้วสร้างจวนตระกูลเซียนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้จะต้องมีคนไปอยู่กันอย่างเนืองแน่นแน่นอน
ในร้านซวีเฮิ่นบนเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาลำนั้น เฉินผิงอันได้ซื้ออาวุธวิเศษที่เชื่อมโยงกับภูเขาตี่ลี่ซึ่งคล้ายกับการมองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ คือเครื่องกระเบื้องที่ล้างพู่กันเคลือบสีเป็นประกายแวววาว แม้จะบอกว่าซื้อมา แต่สุดท้ายถึงได้รู้ว่าสามารถบันทึกลงในบัญชีของภูเขาพีอวิ๋นได้
และในรายงานภูเขาสายน้ำเหล่านั้นยังมีข่าวบางอย่างเกี่ยวกับแจกันสมบัติทวีปอีกด้วย อีกทั้งบทความนั้นยังไม่ใช่เล็กๆ
นี่แสดงให้เห็นว่า สำหรับแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่เดิมทีใครก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หลังจากกีบเท้าของกองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีกำลังจะเหยียบย่ำจากจุดเหนือสุดไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุด ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นก็เริ่มให้การยอมรับทวีปที่เล็กที่สุดและอยู่ห่างไกลที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้แล้ว
เจ้าของที่แท้จริงของกองทัพม้าเหล็ก ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะที่หลังจากที่ไปท้ารบเทียนจวินเซี่ยสือแล้วก็เร่งเดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่
ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง
จากนั้นก็เป็นหม่าขู่เสวียนของภูเขาเจินอู่ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็สังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่แข็งแกร่งของราชวงศ์จูอิ๋งไปถึงสองคน รายงานของอุตรกุรุทวีปจึงขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์แห่งแจกันสมบัติทวีป ต่อมาคนผู้นี้ก็ได้ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวทำให้กองทัพม้าเหล็กไห่ฉ่าวล่มสลาย ทำให้ตระกูลที่ผูกปมแค้นกับเขาต้องได้รับความอัปยศ ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งโชคดีรอดตายมาได้ และกลับกลายมาเป็นสาวใช้ข้างกายของหม่าขู่เสวียน ในสายตาของคนเขียนรายงานภูเขาสายน้ำฉบับหนึ่ง หม่าขู่เสวียนคือบุคคลที่ได้รับความรักจากสวรรค์มากเป็นพิเศษ เขาไม่ควรเกิดมาในแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น ควรจะเป็นเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงสตรีเจ้าสำนักชิงเหลียงที่มาลงหลักปักฐาน ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในอุตรกุรุทวีป นั่นต่างหากจึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ในเมื่อถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเจียวหลงที่สามารถพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร เอาแต่มาส่ายหางอยู่ในบ่อเล็กๆ ที่น้ำตื้นจนมองเห็นก้นบึ้งอย่างแจกันสมบัติทวีปนี้ จะไม่น่าเสียดายมากหรอกหรือ
—-