สตรีผู้ดูแลกำลังจะดีใจ แต่พลันรู้สึกว่าเงินเทพเซียนในฝ่ามือของตนเหรียญนี้น้ำหนักไม่ถูกต้อง ปราณวิญญาณก็ยิ่งไม่สอดคล้องกับเหรียญเงินร้อนน้อย จึงก้มหน้าลงมอง แล้วก็กระทืบเท้าด่ามารดาอีกฝ่ายทันที
ที่แท้ก็เป็นแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่ง
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้นได้ออกแรงอย่างสุดกำลัง ทะยานลมข้ามผ่านตลาดมุ่งตรงไปที่นครเหนือเมฆโดยตรงแล้ว
หลังจากสตรีด่าจบ ในใจก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน แล้วจึงหัวเราะออกมา การที่นางถอนขนเล็กๆ เส้นหนึ่งออกมาจากบนร่างไก่เหล็ก (เปรียบเปรยถึงคนขี้เหนียว) ผู้นี้ได้ ต่อให้จะเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายกาจมากแล้ว
นางคือโอสถทองคนหนึ่ง ขอแค่ไม่ใช่เรือข้ามทวีป มีผู้ดูแลเป็นโอสถทองก็เพียงพอแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตนโอสถทองของถ้ำสวรรค์วังมังกรนั้น หากว่ากันแค่สถานะก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งได้เลย
เพราะเบื้องหลังของนาง นอกจากจะมีสำนักแล้ว ยังมีตำหนักนภากาศราชวงศ์ต้าหยวนและ ‘ญาติมิตร’ อยู่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงด้วย
สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิขุนนาง สามีภรรยาด้านล่างภูเขาแล้ว ความสัมพันธ์ด้านการค้าขายที่หาเงินหรือหาเงินก้อนใหญ่เข้ากระเป๋าตัวเองได้ ย่อมเชื่อถือได้มากกว่า
และผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นั้นที่นางรู้จักมานานแล้วก็อนาคตไม่ดี เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรก็มีใบหน้าแก่ชราเช่นนี้แล้ว
ต้องรู้ว่าปีนั้นคนผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่มีนิสัยขี้เหนียว กลับกันยังสง่างามใจกว้าง มีมาดองอาจของวีรบุรุษ
ทว่าเวลาร้อยปีกว่าที่สูญเปล่าไปอย่างไร้ค่า ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็ถูกกาลเวลาลดทอนจนสิ้น
ไม่หล่อเหลาเยาว์วัยเหมือนในอดีต แล้วก็ไม่มีจิตวิญญาณเช่นนั้นอีกแล้ว กลายมาเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าที่วันๆ เดินเข้าออกตามจวนของชนชั้นสูงด้านล่างภูเขา คอยค้นหาสมบัติเงินทองอยู่ในยุทธภพ
แต่นางก็ยังคงชอบเขา
ส่วนข้อที่ว่าชอบแค่บุรุษในอดีตผู้นั้น หรือชอบผู้เฒ่าในทุกวันนี้ไปพร้อมกันด้วย ตัวนางเองก็แยกแยะได้ไม่ชัดแล้ว
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในตลาด แล้วก็เปิดห่อผ้าตั้งแผงอยู่ตรงตำแหน่งว่างแห่งหนึ่งบนถนนที่คึกคักเพราะมีคนสัญจรผ่านไปมาไม่น้อย ในห่อผ้าของเขาได้เตรียมผ้าฝ้ายสีเขียวผืนใหญ่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ฝั่งตรงข้ามและข้างกายต่างก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน บางคนก็กำลังร้องเร่ขายของอย่างสุดความสามารถ บางคนก็รอให้คนที่เต็มใจเดินมาติดกับ บางคนกำลังอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย
เพียงไม่นานก็มีชายหนุ่มหญิงสาวสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะสองคนเดินมาเก็บเงิน หนึ่งวันหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
เฉินผิงอันถามว่าหากอยู่ที่นี่แค่สี่ห้าชั่วยาม จ่ายแค่ครึ่งราคาได้หรือไม่
ผู้ฝึกตนหนุ่มส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกว่าหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะคือราคาเริ่มต้น
เฉินผิงอันจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก ยื่นเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญส่งออกไป ชาดหายโครงกระดูกทางทิศใต้สุดของทวีป น้ำชาอินเฉินที่ขายอยู่ริมลำคลองเหยาเย่ก็มีกฎที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
เฉินผิงอันสอบถามเพิ่มไปอีกสองสามคำว่า หากอยากจะมาเช่าที่ในตลาดหรือซื้อร้านในนครเหนือเมฆแห่งนี้ ราคาคือเท่าไร
ผู้ฝึกตนหนุ่มตอบทีละคำถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร ร้านค้าแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ส่วนการเช่ากับการซื้อก็มีราคาที่ต่างกันออกไป
ถึงท้ายที่สุดร้านผ้าห่อบุญต่างถิ่นที่ลงจากเรือขามฟากมาเสี่ยงดวงผู้นี้ก็ทำเพียงแค่เอ่ยขอบคุณ ไม่เอ่ยถึงเรื่องร้านค้าอีก ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังเอ่ยประโยคอวยพรที่บอกว่าเปิดร้านขอให้รับใชคใหญ่กับผู้ฝึกตนอิสระอายุยังน้อยผู้นี้ด้วย
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิม เริ่มเอาทรัพย์สินของตัวเองออกมาจัดวาง มีภาพเทพหญิงฉบับสำเนาบนกระดาษเทียนไขเล่มเดี่ยวของนครปี้ฮว่า มีของสะสมที่เก็บไว้ในคลังของ ‘ปีศาจใหญ่’ หลายตนในชายหาดโครงกระดูกซึ่งรวมถึงปี้สู่เหนียงเนียงเป็นหนึ่งในนั้น และยังมีผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาจากวังมังกรใต้ทะเลสาบชางอวิ๋นอีกหลายชิ้น ของกระจุกกระจิกรวมกันได้ยี่สิบกว่าชิ้น ล้วนอยู่ห่างจากระดับขั้นของสมบัติอาคมไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่สิ่งที่มากที่สุดยังคงเป็นยันต์ทั้งห้าชนิดที่จัดเรียงอยู่บนผ้าสีเขียวอย่างเป็นระเบียบเหมือนทหารที่จัดขบวนทัพ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มหญิงสาวของนครเหนือเมฆคู่นั้นกำลังเดินเคียงไหล่กันไปบนถนนใหญ่ ค่อยๆ ห่างไปไกลช้าๆ
บุรุษหนุ่มคล้ายจะเป็นผู้ดูแลตลาดแห่งนี้ เขาถึงได้รู้จักกับเถ้าแก่ร้านค้าและร้านผ้าห่อบุญมากมาย เวลาเดินผ่านก็จะต้องเอ่ยทักทาย
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรมาก สิ่งที่ทำมากกว่าคือคอยเหลือบมองบุรุษข้างกาย
ดวงตาของนางกำลังเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ มองภาพนี้อยู่เงียบๆ
เป็นทัศนียภาพที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
นักท่องเที่ยวที่เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ เนื่องจากเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเทียบกับการที่คนธรรมดาไปเดินเที่ยวงานวัดแล้ว ยามที่เดินเข้าออกร้านหรือเดินผ่านแผงลอย ส่วนใหญ่จึงมักจะเงียบขรึมพูดน้อย อีกทั้งยังมีความอดทนเป็นเลิศ แวะไปตามร้านผ้าห่อบุญแทบทุกร้าน แต่จะไม่ยอมเปิดปากถามราคาง่ายๆ ฝีเท้าเนิบช้า บางครั้งที่เจอกับสินค้าถูกใจถึงจะนั่งลงพินิจพิจารณาอย่างละเอียด บางคนที่พอได้ตรวจสอบแล้ว และพอจะแน่ใจอยู่ในใจตัวเองคร่าวๆ แล้ว ก็จะลุกขึ้นเดินจากไปเงียบๆ บางคนก็จะลองหั่นราคาดู โดยทั่วไปแล้วหากเปิดปากก็เป็นการหั่นราคาแบบครึ่งต่อครึ่ง เจ้าของแผงลอยที่นิสัยดีหน่อยก็จะอดทนอธิบายว่าได้วัตถุตระกูลเซียนชิ้นนั้นมาไม่ง่ายอย่างไร หรือไม่ก็พูดถึงประวัติความเป็นมาของพวกมัน เจ้าของแผงที่นิสัยเจ้าอารมณ์หน่อยก็จะไม่ให้ความสนใจเสียเลย อยากซื้อก็ซื้อ ข้าผู้อาวุโสไม่คิดจะปรนนิบัติพวกคนยากจนที่สายตาไม่มีแววอย่างพวกเจ้า
เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ได้ต้อนรับลูกค้าคนหนึ่ง คือผู้เฒ่าที่จูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งมา เขาทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วกวาดตามองวัตถุแต่ละชิ้นที่อยู่บนผืนผ้าสีเขียว สุดท้ายสายตาไปหยุดนิ่งอยู่บนยันต์กระดาษเหลืองสิบแผ่นที่วางเรียงกัน
ผู้เฒ่าเพ่งสายตามองไปยังยันต์ทั้งห้าชนิดนั้น
กระดาษยันต์ธรรมดาอย่างมาก แต่ระดับขั้นของผงชาดกลับไม่เลว
ทว่าระดับขั้นในท้ายที่สุดของยันต์ รวมไปถึงฝีมือในการวาดยันต์
ยันต์ที่แตกต่างกัน ก็มีระดับขั้นสูงต่ำแตกต่างกัน
เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็พอจะประเมินราคาคร่าวๆ อยู่ในใจตัวเองได้ จึงจำเป็นต้องเปิดปากเพื่อต่อรองราคาแล้ว
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้เพียงแค่พาหลานชายออกจากเมืองมาผ่อนคลายอารมณ์ จะได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันเช่นนี้
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปที่ยันต์สายฟ้าแถวหนึ่งแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าของร้าน ยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ขายแยกราคาเท่าไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยันต์สายฟ้าหนึ่งแผ่นสิบเอ็ดเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ซื้อครบทั้งสิบแผ่น หนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ร้านของข้าห้ามต่อราคา”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ยันต์เป็นยันต์ที่ดี เพียงแต่คุณภาพของกระดาษยันต์ค่อนข้างจะด้อยกว่าสักหน่อย ไม่อาจแบกรับอานุภาพทั้งหมดของยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ได้ นี่ลดทอนคุณค่าของมันไปไม่น้อย อีกอย่างราคาก็แพงไปสักหน่อย”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร
อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็น่าจะถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญครึ่งตัว
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้เขาพูดอะไรมากความแล้ว
ผู้เฒ่าจึงถามราคาของยันต์ดินกับยันต์น้ำ ซึ่งราคาก็พอๆ กัน ความต่างของยันต์แต่ละแผ่น ต่างกันแค่ไม่เกินหนึ่งถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น
ยันต์สายฟ้าแพงที่สุด เพราะถึงอย่างไรวิชาอสนีก็ถูกขนานนามให้เป็นบรรพบุรุษของหมื่นอาคมในใต้หล้า แล้วนับประสาอะไรกับที่หนึ่งในรากฐานการหยัดยืนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ก็คือสี่คำว่า ‘คาถาอสนีดั้งเดิม’
แต่หากอิงตามคำบอกของฉีจิ่งหลง ยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์นี้ หากเอามาใช้ร่วมกับกระดาษยันต์หวงซี ถึงจะสามารถขายได้ในราคาที่พอจะสูงขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นหากวาดยันต์ลงบนกระดาษเหลืองที่หาซื้อตามหมู่ชาวบ้านทั่วไปได้ อานุภาพก็จะธรรมดาเกินไป ขนาดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั่วไปก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา
ผลกลับถูกเฉินผิงอันใช้ประโยคที่ว่า ‘ยันต์ที่เจ้าฉีจิ่งหลงรู้สึกว่าไม่ธรรมดา แล้วข้ายังต้องเอาไปเร่ขายในร้านผ้าห่อบุญอีกหรือ’ ตอกกลับไป
สุดท้ายผู้เฒ่าขยับเส้นสายตาออกไป แล้วถามว่า “หากข้าผู้อาวุโสมองไม่ผิด ยันต์สองแผ่นนี้คือยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยอดฝีมือถ่ายทอดให้ เป็นวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายที่ไหน ในโลกมีเพียงตระกูลนี้ตระกูลเดียว ข้าตรากตรำเล่าเรียนมาหลายปีกว่าจะสามารถวาดยันต์ได้สำเร็จ แต่ก็ยังได้แค่รับรองว่าจะประสบความสำเร็จห้าหกในสิบส่วนเท่านั้น สิ้นเปลืองกระดาษยันต์ไปเยอะมาก หากขายในราคาถูก คงผิดต่อผู้อาวุโสยอดฝีมือท่านนั้นน่าดู”
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองเจ้าของแผงหนุ่มที่สวมชุดดำสะพายกระบี่ยาว เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนถามว่า “เจ้าของร้านบอกชื่อยันต์ทั้งสองแผ่นนี้แก่ข้าได้ไหม?”
เฉินผิงอันมั่นใจแล้ว
เป็นคนที่ดูของเป็นจริงๆ
เฉินผิงอันย้อนถาม “ชื่อของยันต์บนโลกมักจะต้องสอดคล้องกับปณิธานของคาถายันต์ เดิมทีนี่ก็เป็นการแพร่งพรายความลับสวรรค์อย่างหนึ่ง ขอถามท่านผู้เฒ่า ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพมาพบเจอกันบนทางคับแคบ จับคู่ต่อสู้กัน จะบอกชื่อกระบวนท่าวิชาหมัดของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้หรือไม่?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่”
เฉินผิงอันเอ่ย “หากท่านผู้เฒ่าซื้อยันต์ ต่อให้จะซื้อแค่อย่างละแผ่น ข้าก็ยินดีจะเปิดเผยความลับของยันต์สองชนิดนี้แก่ท่าน”
ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่ร้านค้าที่ขายยันต์เลย ต่อให้เป็นร้านผ้าห่อบุญที่เตร็ดเตร่ไปทั่วสารทิศอย่างเจ้าของร้าน หากคิดจะขายยันต์ดีๆ ออกไปให้ได้จริงๆ ต่อให้จะแค่เปิดเผยปณิธานที่แท้จริงของยันต์ออกมาเสี้ยวหนึ่ง ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ถึงขั้นต้องปกปิดเอาไว้มากเกินไป”
“ของดีไม่ต้องกลุ้มว่าจะขายไม่ออก”
เฉินผิงอันพูดประโยคนี้จบแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่ว่าอาศัยแววตาที่เฉียบคมนี้ของอาจารย์ผู้เฒ่า ข้าเลยมีข้อเสนอ ท่านแค่ต้องซื้อยันต์หนึ่งแผ่น แล้วข้าจะบอกชื่อของยันต์ทั้งสองแผ่นให้ท่าน”
เด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายผู้เฒ่าคนนั้นเบิกตากว้าง
มารดาข้า เจ้าหมอนี่หน้าหนาจริงๆ
ทว่าผู้เฒ่ากลับพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะซื้อยันต์นี้”
ผู้เฒ่ายื่นมือชี้ไปยังยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ท่านผู้เฒ่าจะไม่ถามราคาก่อนหรือ?”
ผู้เฒ่าเอ่ย “การค้าขายบนโลกใบนี้ เปิดประตูร้านรับความมงคล ข้าเห็นว่าเจ้าของร้านเพิ่งจะเปิดแผงขาย ข้าผู้อาวุโสก็คือลูกค้าคนแรก ต่อให้จะเพียงแค่หวังให้เป็นการประเดิมที่ดี ขายในราคาถูกหน่อยก็สมควรแล้ว เจ้าของร้านคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ราคาเดิมคือสิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพื่อการประเดิมที่ดีนี้ ข้าจะขายแค่สิบเหรียญก็พอ”
ยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน หากปณิธานที่แท้จริงของยันต์สามารถนำมาหักเป็นเงินเทพเซียนได้ แน่นอนว่าต้องได้ราคาสูงกว่ายันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ ยันต์มหานทีไหลสะพัดและยันต์ขยุ้มดินเยอะมาก
แต่วิชาและสมบัติหนักบนภูเขา แต่ไหนแต่ไรมาสมบัติที่ใช้โจมตีก็มักจะมีราคาสูงกว่าสมบัติที่ใช้ในการป้องกันอยู่แล้ว อีกทั้งยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางยังเป็นยันต์พื้นฐานของสายยันต์ในใต้หล้านี้อีกด้วย ดังนั้นจึงยากที่คนขายจะขยับราคาให้สูงขึ้น จึงได้แต่อาศัยการเอากำไรน้อยแต่ขายให้ได้เยอะๆ ชนะที่จำนวน ส่วนใหญ่แล้วผู้ฝึกตนอิสระมักจะต้องการสมบัติในการป้องกันมากกว่า ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลนั้นยินดีจะควักกระเป๋าเงินให้กับยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางมากกว่า เพราะฝ่ายหลังมีจำนวนคนมาก ปริมาณการใช้ก็มากตามไปด้วย
ผู้เฒ่าหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วควักเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญยื่นส่งให้อีกฝ่าย
เฉินผิงอันรับเงินมาแล้ว ก็กำลังจะหยิบยันต์ข้ามสะพานแผ่นหนึ่งขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะคีบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
เจ้าตัวดี
สายตาเฉียบคมจริงๆ
นั่นคือยันต์แผ่นที่มีจิตวิญญาณเข้มข้นที่สุดในบรรดายันต์ข้ามสะพาน ก็คือยันต์แผ่นสุดท้ายในบรรดายันต์ทั้งหมดที่เฉินผิงอันวาด
หางตาของเฉินผิงอันเหลือบมองไปยังจุดอื่นของถนน ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจที่ยิ่งนานก็ยิ่งใช้ได้คล่องบอกกับผู้เฒ่าว่า “ยันต์ที่ผู้อาวุโสซื้อไปมีชื่อว่ายันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน ปณิธานกระบี่ที่ซ่อนอยู่ด้านในนับว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันกับที่สามารถเปิดสิ่งกีดขวางของภูเขาสายน้ำได้ ยังเป็นการสยบขวัญอย่างไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่ง ส่วนยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางอีกชนิดหนึ่งนั้น มีชื่อว่า… ‘ยันต์นำทาง’”
ตอนที่เฉินผิงอันพูดถึงยันต์ชนิดที่สอง เขาได้จงใจละสองคำว่า ‘ป๋ายเจ๋อ’ ไป
เพราะว่าตอนที่ฉีจิ่งหลงถ่ายทอดยันต์ชนิดนี้ให้เขาก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ไม่ได้เรียกออกมาตรงๆ ว่า ‘ป๋ายเจ๋อ’ บอกว่าตามหลักแล้วก็ควรจะให้ความเคารพอีกฝ่ายบ้าง ฉีจิ่งหลงจึงใช้นิ้วมือเขียนสองคำว่าป๋ายเจ๋อแทน
นี่เป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
เพราะผู้ฝึกตนบนภูเขาทุกคนล้วนรับรู้กันว่า ในอดีตป๋ายเจ๋อได้ถูกเหล่าอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อร่วมมือกันสยบกำราบไว้ในหนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองของใต้หล้าไพศาล ต่อให้จะเรียกชื่อป๋ายเจ๋อเป็นหมื่นรอบทุกวัน หรือถึงขั้นทั้งเรียกทั้งด่า ก็ล้วนไม่ถือว่าเป็นการละเมิดข้อห้าม แตกต่างไปจากการเรียกชื่อของอริยะใหญ่ลัทธิขงจื๊อออกมาโดยตรงอย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่ว่าการที่เฉินผิงอันสามารถเป็นเพื่อนกับฉีจิ่งหลงได้
นั่นก็เพราะความรู้ใน ‘เรื่องเล็กน้อย’ เหล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน กฎเกณฑ์สอดคล้องต้องกัน
เฉินผิงอันใช้นิ้วต่างพู่กันเขียนห้าคำว่ายันต์ป๋ายเจ๋อนำทางลงไปกลางความว่างเปล่า
ผู้เฒ่ามองตามแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าของร้านมีคุณธรรม ไม่ได้หลอกข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะซื้อยันต์นำทางอีกหนึ่งแผ่น”
เฉินผิงอันเอ่ย “ราคาเดิมคือสิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ข้าจะให้ราคาเดิมแก่ท่านผู้เฒ่า นั่นคือสิบเหรียญ”
ผู้เฒ่ายิบเงินเกล็ดหิมะอีกสิบเหรียญออกมายื่นส่งให้อย่างไม่ลังเล
เด็กน้อยกระตุกชายแขนเสื้อของท่านปู่ พูดเสียงเบาว่า “ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นหนึ่งราคาสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ยังแพงมากอยู่ดี”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ต่อให้จะหาเงินได้ยากลำบากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะก็พบเห็นได้ง่าย แต่ยันต์กลับหาได้ยาก ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางสองแผ่นนี้ต่อให้เอามาเก็บรักษาไว้ก็ยังถือว่าเป็นความโชคดี”
เฉินผิงอันพูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ท่านผู้เฒ่าช่างมองการณ์ไกลยิ่งนัก”
จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อใหม่ได้อย่างคล่องปาก ไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย “ดังนั้นไม่สู้ท่านผู้เฒ่าซื้อยันต์สายฟ้าสิบแผ่นนี้ไปพร้อมกันรวดเดียวเลยเถอะ ก็ถือว่ายันต์สายฟ้าพวกนี้ได้พบเจอกับผู้สูงศักดิ์แล้ว จะได้ไม่ต้องไปเจอกับคนตาไม่ดี ย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ”
ต่อให้เด็กน้อยจะได้รับการสั่งสอนอย่างดีมาจากทางตระกูลมากแค่ไหน ก็ยังอดไม่ไหวจริงๆ ต้องรีบหันหน้าไปอีกทางแล้วเหลือกตามองบน
ผู้เฒ่าทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นยันต์ทั้งหมดห้าชนิดซึ่งรวมถึงยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางเป็นหนึ่งในนั้น ข้าผู้อาวุโสจะซื้ออีกอย่างละห้าแผ่น ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางสองชนิดนี้เป็นยันต์ที่ดี และข้าผู้อาวุโสเองก็หวั่นไหวจริงๆ ดังนั้นแผ่นละสิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ข้าผู้อาวุโสจึงไม่คิดจะต่อราคา เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญ ยันต์ที่เหลืออย่างยันต์สายฟ้า ยันต์ดินและยันต์น้ำ ไม่ถือว่าดีที่สุด ข้าผู้อาวุโสยินดีจ่ายรวมกันแค่หนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญ”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “หากเฉลี่ยทั้งแผงแล้ว ยันต์แผ่นหนึ่งมีราคาแค่แปดเหรียญเงินเกล็ดหิมะเองหรือ?”
ผู้เฒ่าเอ่ย “เจ้าของร้าน รวมการจ่ายเงินสองครั้งก่อนหลัง เท่ากับว่าข้าผู้อาวุโสซื้อยันต์รวดเดียวถึงยี่สิบเจ็ดแผ่น นี่ไม่ใช่การค้าขายที่เล็กแล้ว คนทั้งถนนใหญ่เส้นนี้ต่างก็มองดูอยู่ ข้าผู้อาวุโสช่วยให้เจ้าของร้านเรียกลูกค้า ที่ข้าพูดนี่ก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “อย่าพูดอย่างนั้น ข้าว่าลูกค้าส่วนใหญ่บนถนนคงเข้าใจว่าพวกเราสองคนเป็นพวกเดียวกันแน่ๆ ช่วยเรียกลูกค้าอะไรที่ว่านั่น เอามาเหมารวมไม่ได้จริงๆ ไม่แน่ว่าอาจทิ้งความประทับใจที่ไม่ดี ถ่วงการค้าของข้าหลังจากนี้อีกก็เป็นได้ ผู้อาวุโส หากว่ากันตามมโนธรรมในใจ ที่ข้าพูดนี่ก็เป็นความจริงเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เด็กน้อยรู้สึกเพียงว่าตัวเองได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นยันต์ที่เหลืออีกสามชนิด ข้าจะเพิ่มให้อีกสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “ท่านผู้อาวุโสมีสายตาดีเช่นนี้ ก็ควรจะมีความใจป้ำของคนทำการค้า นี่ต่างหากจึงจะเหมาะสมกับสายตาและสถานะของท่านผู้เฒ่า”
ผู้เฒ่าตีหน้าเคร่ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเจ้าของร้านยังรังแกคนมีคุณธรรมอยู่เช่นนี้ ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่ซื้อเลยสักแผ่น”
เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “ได้ๆๆ เพื่อคำว่าเปิดร้านต้อนรับมหามงคล ท่านผู้เฒ่ามีคุณธรรม ร้านผ้าห่อบุญเล็กๆ อย่างข้าก็คงต้องตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน ยอมใจกว้างสักครั้งแล้ว ไม่ต้องให้ท่านผู้เฒ่าเพิ่มเงินสิบเหรียญเกล็ดหิมะนั่น ยันต์ยี่สิบห้าแผ่น จะเก็บเงินท่านผู้เฒ่าแค่สองร้อยเจ็ดสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!”
เด็กน้อยไม่ได้รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ใจกว้างเลยสักนิด เขายกสองมือเล็กๆ ขึ้น นิ้วขยับเบาๆ รีบคำนวณราคาอยู่ในใจ ด้วยกังวลว่าไอ้หมอนั่นจะหลอกลวงคนส่งเดช
ยังดี ราคายังคงเป็นราคานี้
เด็กน้อยหดมือกลับมา ก็ยังรู้สึกว่าแพงมากอยู่ดี เพียงแต่ว่าท่านปู่ชอบ รู้สึกว่าถูกชะตา เขาจึงไม่ช่วยต่อราคาให้แล้ว
ไม่อย่างนั้นหากเขาหั่นราคาขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกกลัว
ผู้เฒ่าหยิบเงินร้อนน้อยสามเหรียญออกมาจากในถุงเงิน แล้วก็ใช้เงินเกล็ดหิมะอีกสามสิบเหรียญที่เพิ่มขึ้นมา มาต่อรองราคากับร้านผ้าห่อบุญหนุ่มผู้นั้น เขาซื้อภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มที่ต่อให้เป็นเพียงแค่โครงร่างขาวดำก็ยังเห็นได้ชัดว่าผู้วาดตั้งใจอย่างมากมาหนึ่งฉบับ รวมไปถึงซื้อก้อนชากำแพงดำน้อย คิดว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้กับสหายสนิท
ผู้เฒ่าเลือกยันต์อย่างละห้าแผ่นมาจากยันต์ที่เรียงกันห้าแถว
เฉินผิงอันปล่อยให้ผู้เฒ่าเลือกเองตามใจชอบ
เพียงแต่การเลือกของผู้เฒ่าทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เขาใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจถามเสียงเบา “ท่านผู้เฒ่าสายตาดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่เลือกยันต์หลายๆ แผ่นที่ระดับขั้นดียิ่งกว่า แต่กลับเลือกยันต์ที่จิตวิญญาณเป็นรองกว่า?”
ดูเหมือนผู้เฒ่าจะประหลาดใจอย่างมาก เขายิ้มเอ่ยว่า “คัมภีร์ทำการค้านี้ของเจ้าของร้าน ไม่เหมือนคนทั่วไปเลยจริงๆ นะ”
เฉินผิงอันจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
บนโลกมีความแปลกพิสดารนับร้อยนับพันรูปแบบ แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ยากจะคาดเดามากที่สุด
—-