หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “เจ้าอยากให้ข้าช่วยดูแลเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน? ทำไม มีลูกศิษย์ของเจ้าอยู่ในกลุ่มที่ต้องออกจากเมืองไปฝึกประสบการณ์ด้วย?”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว ทั้งสองคนต่างก็อยู่ในสภาวะคอขวดของการฝ่าทะลุขอบเขต จำเป็นต้องเดินทางไปในครั้งนี้”
หวนอวิ๋นกล่าว “พอดีกับที่ช่วงนี้ ถ้ำสวรรค์ที่ถูกปิดผนึกกลับมาเผยกายบนโลกอีกครั้ง คาดว่านี่น่าจะเป็นโชควาสนาของลูกศิษย์ทั้งสองของเจ้าแล้ว ห้ามปล่อยผ่านไปเด็ดขาด ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา มีความเกี่ยวพันกับลูกศิษย์มากเกินไป หากอยู่ใกล้เกินกลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อถอนหายใจ
บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่ได้มีแค่เรื่องดีอย่างการชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามจนเต็มอิ่ม ต่อให้จะเป็นโชควาสนาของการฝ่าทะลุขอบเขตที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันก็ยังซุกซ่อนปราณสังหาร ทำให้คนป้องกันอย่างไรก็ไม่เป็นผล อีกทั้งยังมีประสบการณ์และกฎเกณฑ์มากมายที่ยอดฝีมือผู้อาวุโสต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยชีวิต
หวนอวิ๋นเอ่ย “ก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาที่ไม่เคยทำมานานสักหนหนึ่ง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อลุกขึ้นคารวะ
หวนอวิ๋นไม่ได้หลบเลี่ยง
หวนจู้เด็กน้อยที่ว่าง่ายรู้ความรีบวิ่งหลบออกไปแล้ว
ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ปกป้องมรรคาเพียงแค่ชั่วระยะทางหนึ่งบนเส้นทางการฝึกตน แต่ก็ยังเป็นผู้ปกป้องมรรคา
เสิ่นเจิ้นเจ๋อที่ปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ทำการคารวะด้วยพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่อผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่งของลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองคน ถือว่าสมเหตุสมผล ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนคนสนิทของเสิ่นเจิ้นเจ๋อคนหนึ่งเร่งรุดมาที่เรือนรับแขก แล้วหยิบยันต์ที่ไม่ว่าจะต่อรองราคาอย่างไรก็ไม่เป็นผลออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “เจ้านคร คนผู้นั้นยืนกรานว่าจะเก็บยันต์สายฟ้าแผ่นสุดท้ายนั้นไว้ให้ได้ ให้ตายก็ไม่ยอมขาย”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อหันหน้าไปมองหวนอวิ๋น เดาเอาว่าในเรื่องนี้อาจมีข้อพิถีพิถันที่คนนอกอาจไม่รู้ แต่หวนอวิ๋นกลับเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนน้อยคนนั้นมีนิสัยประหลาด เก็บยันต์แผ่นหนึ่งเอาไว้ไม่ยอมขาย น่าจะไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อหยิบยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพานแผ่นหนึ่งในนั้นออกมา ใช้สองนิ้วถูเบาๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ก็แพงมากๆ ด้วย สุดท้ายเขาเก็บยันต์ทั้งหมดไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “สามารถเอาไปมอบให้ลูกศิษย์ได้พอดี และนครเหนือเมฆก็ยังเก็บไว้ได้สองแผ่น”
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ขอข้าแนะนำสักคำนะ อาจจะไม่มีความหมายอะไร แต่ยันต์แผ่นอื่นๆ ทางที่ดีที่สุดนครเหนือเมฆควรจะใช้ให้ประหยัดหน่อย อย่าได้เอาไปใช้สิ้นเปลืองส่งเดช ส่วนข้อที่ว่านครเหนือเมฆควรจะออกเงินเพื่อซื้อยันต์อีกปึกหนึ่งมาเพิ่มหรือไม่ ข้าว่าอย่าดีกว่า ไม่อย่างนั้นยิ่งซื้อจะยิ่งขาดทุน”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อคร้านจะใคร่ครวญความหมายที่ลึกซึ้ง
วันนี้มาเยี่ยมเยียนหวนเจินเหรินก็ถือว่าได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการแล้ว
หวนอวิ๋นยิ้มถาม “ข้าตามความเคลื่อนไหวของการเซ่นกระบี่ที่แคว้นฝูฉวีนั้นอยู่ พอจะมีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ บ้างหรือไม่?”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อส่ายหน้า “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน แล้วพริบตาเดียวก็หายไป คิดดูแล้วจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ใกล้กับจุดเซ่นกระบี่มากกว่าก็น่าจะได้แค่มั่นใจว่าคนหนึ่งในนั้นคือหลิวจิ่งหลง ส่วนเซียนกระบี่อีกคนนั้น กลับไม่มีเบาะแสใดๆ แคว้นฝูฉวีก็ดี สองแคว้นเหนือใต้ที่มีอาณาเขตเชื่อมต่ออยู่กับแคว้นฝูฉวี บวกกับแคว้นสุ่ยเซียวของพวกเราก็ช่าง ต่างก็ไม่มีใครหาเบาะแสได้พบ แต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ระดับนี้ นครเหนือเมฆของพวกเราไม่มีปัญญาจะไปตีสนิทด้วย ไม่เหมือนจวนไช่เฉวี่ยที่มีเทพธิดาหน้าตางดงามซึ่งเคยรู้จักกับหลิวจิ่งหลง”
หวนอวิ๋นเอ่ยสัพยอก “คำพูดประโยคนี้เหมือนจะอิจฉานะ”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา “นั่นก็คือความสามารถของเจ้าจวนซุนชิง ยังจะไม่ยอมให้นครเหนือเมฆของข้าอิจฉาบ้างเลยหรือ?”
หวนอวิ๋นจึงไม่เอ่ยหยอกล้อเจ้านครเหนือเมฆผู้นี้อีก
มีทั้งศึกภายในและศึกภายนอก จะมาบ่นต่อหน้ากับสหายเก่าสักสองสามคำก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์
ศึกภายในก็คือเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆไม่อาจเทียบกับซุนชิงที่พรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีรูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นได้ นอกจากนี้จวนไช่เฉวี่ยยังมีช่องทางการหาเงิน เส้นทางการเงินกว้างขวาง หากคิดตัดสินใจอย่างเด็ดขาดจริงๆ อาศัยเงินเทพเซียนก็สามารถผลักดันเซียนดินโอสถทองคนที่สองออกมาได้ หันกลับมามองนครเหนือเมฆ การเงินฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ ตอนนี้ยังไม่มีขอบเขตประตูมังกรสักคนเดียว ส่วนศึกภายนอกนั้น จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ไม่ว่าภูเขาลูกใดที่เปิดประตูทำการค้าล้วนต้องพบเจอทั้งนั้น
การที่หวนอวิ๋นเจินเหรินตัดสินใจทำเช่นนี้ ทำไมจะไม่ใช่เพราะมองสภาพการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของนครเหนือเมฆออก หลังผ่านไปหกสิบปีถึงได้รีบมาลงหลักปักฐานที่นี่ เพื่อช่วยเสิ่นเจิ้นเจ๋อ ‘เสริมสร้างบารมี’?
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “หากเซียนกระบี่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นก็เป็นสหายของนครเหนือเมฆของข้าเหมือนอย่างหวนเจินเหริน โอสถทองที่ไร้ค่าอย่างข้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว”
หวนอวิ๋นส่ายหน้า “อย่าได้ท้อถอย ตามคำกล่าวของลัทธิเต๋าพวกเรา หากสังหารตัวเองตายอยู่ในประตูหัวใจที่เป็นบ้านตัวเอง แล้วยังไม่รู้ตัว มหามรรคาก็จะต้องขาดสะบั้นจริงๆ แล้ว”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อได้แต่ยิ้มขมขื่น
เหตุผลเขาก็เข้าใจ แต่แล้วอย่างไรเล่า
……
ทางฝั่งถนนใหญ่ของตลาด
เฉินผิงอันนั่งเอามือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อตลอดเวลา เวลานี้เขาเงยหน้ามองสีท้องฟ้า คำนวณเวลาคร่าวๆ หากคนผู้นั้นยังไม่มาก อย่างมากสุดอีกเกือบครึ่งชั่วยาม ตนจะเก็บแผงแล้ว
เรือข้ามฟากไม่รอคอยคนนี่นะ
บนผ้าสีเขียวผืนใหญ่ ยันต์ห้าสิบแผ่นเหลือเพียงยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์วางอยู่แผ่นเดียวอย่างโดดเดี่ยว
ส่วนของกระจุกกระจิกอย่างอื่นก็ขายไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่พอรวมกันแล้วกลับเป็นเงินแค่เจ็ดสิบกว่าเหรียญเกล็ดหิมะเท่านั้น
ของที่ได้กำไรก้อนใหญ่อย่างแท้จริง ยังคงเป็นยันต์พวกนั้น
ร้านผ้าห่อบุญของผู้ฝึกตนอิสระ สามารถทำการค้าได้อย่างรุ่งเรืองเช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากจริงๆ
ส่วนผู้ฝึกตนที่เห็นได้ชัดว่าออกมาจากนครเหนือเมฆผู้นั้น เมื่อเทียบกับท่านผู้เฒ่าที่มาซื้อคนแรกสุด ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือว่าวิธีในการทำการค้า ตบะก็ยังห่างชั้นอยู่ไกลนัก
แล้วก็เพราะเฉินผิงอันเป็นคนที่ค้าขายอย่างยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแค่เขาเพิ่มราคาอีกสักหน่อย คิดจะหาเงินร้อยกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะเพิ่มมาจากอีกฝ่าย ก็ง่ายดายอย่างมาก
ในเรื่องของการค้าขายนั้น คนขายชอบเห็นคนซื้อจำเป็นต้องซื้อ แม้ว่าจะพยายามปกปิดไว้อย่างสุดความสามารถ แต่กลับอำพรางความคิดนั้นไว้ไม่อยู่
เห็นได้ชัดว่านี่เท่ากับว่าเตรียมเอาเงินไปมอบให้คนขาย
เฉินผิงอันนั่งอาบแดดของต้นฤดูหนาว หรี่ตางีบหลับ
บนถนนใหญ่มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่เป็นผู้โดยสารเรือข้ามฟากเหมือนกันเริ่มเก็บแผงแล้ว คนส่วนใหญ่การค้าไม่ได้คึกคักนัก บนใบหน้าจึงไม่มีความปิติยินดีใดๆ
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแสร้งทำเป็นเดินเตร่แวะเวียนเข้าร้านผ้าห่อบุญอยู่หลายร้าน จากนั้นก็เดินอิดออดมาถึงร้านของเฉินผิงอัน เขาไม่ได้นั่งลง แต่ยิ้มถามว่า “ทำไม ขนาดนี้แล้วยังขายไม่ออกอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม เจ้าเก็บเงินบนถนนได้แล้วหรือ? ก็เลยคิดจะมาซื้อไป? จะลดให้เจ้าเจ็ดส่วนรวมยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ด้วย เป็นอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์อัดอั้นอย่างหนัก
เฉินผิงอันเองก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
ชายฉกรรจ์จึงทรุดตัวลงนั่ง จับๆ พลิกๆ สิ่งของพวกนั้น ทว่ากลับไม่แม้แต่จะมองยันต์แผ่นนั้น
บางครั้งชายฉกรรจ์ก็ถามราคาของสิ่งของกระจุกกระจิกเหล่านั้น เจ้าของแผงก็ตอบทุกคำถาม เพียงแต่ว่าไม่พูดอะไรมาก ดูท่าคงใกล้จะม้วนผ้าเก็บแผงแล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ชายฉกรรจ์ก็กัดฟัน ถามว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ขายยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ไม่ออก ถ้าอย่างนั้นก็ลดราคาให้ข้า ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งของชายฉกรรจ์ การตัดเย็บแน่นหนา แต่ว่าผ่านการเสียดสีมาอย่างหนัก ฝีมือการเย็บไม่ถือว่าดีสักเท่าไร เทียบกับที่ขายอยู่ในร้านไม่ได้ แค่ดูออกว่าตั้งใจทำก็เท่านั้น เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ ออกมาอยู่นอกบ้านกลับสวมรองเท้าผุๆ ขาดๆ แบบนี้ ไม่อายบ้างหรือไร?”
ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึง หดเท้ากลับมาตามจิตใต้สำนึก จากนั้นก็พูดอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้ามายุ่งอะไรกับรองเท้าที่ข้าผู้อาวุโสสวมด้วย?! รองเท้าแค่สวมได้ก็พอแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก!”
เฉินผิงอันเองก็พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าหัดมีความเคารพให้ข้าผู้อาวุโสเสียบ้าง เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่เล็กๆ คนหนึ่งก็กล้าพูดจาวางโตแบบนี้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตถ้ำสถิตด้วยหรือ?!”
ชายฉกรรจ์อึ้งไปอีกรอบ แล้วก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย ชำเลืองตามองชุดคลุมสีดำบนร่างของอีกฝ่าย หากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้สวมชุดคลุมอาคมกันทุกคน ตนเองไม่อาจไปมีเรื่องกับอีกฝ่ายได้ ชายฉกรรจ์จึงยิ่งจนใจ เลยคิดว่าจะยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้
ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ ไม่มีเหตุผลให้ต้องมาทนรับการเหยียดหยามจากคนอื่น
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ คนผู้นั้นจะเอ่ยว่า “ข้าจะเก็บแผงแล้ว วันนี้โชคไม่เลว เพิ่งเปิดร้านก็มีโชค ไม่คิดจะเก็บยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ไว้แล้ว หวังว่าเริ่มต้นดีแล้วจะมีจุดจบที่ดีด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายโชคลาภครั้งถัดไป นี่เรียกว่ามีไปมีมา ดังนั้นของที่เจ้าซื้อไปก่อนหน้านี้ หากข้าจำไม่ผิดคือห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เจ้าขายคืนให้ข้า ข้าก็จะลดราคายันต์สายฟ้าที่มีค่าควรเมืองซึ่งร้อยปียากจะพานพบสักครั้งแผ่นนี้ให้เจ้า ตกลงไหม?”
ความคิดในหัวของชายฉกรรจ์ตีกันอยู่พักใหญ่
เขาก้มหน้าลงมองรองเท้าคู่เก่าบนเท้า ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินซื้อ เพราะรองเท้าหุ้มแข้งในโลกมนุษย์ที่ต่อให้จะแพงแค่ไหน แต่จะมีค่าแค่สักกี่ตำลึงกันเชียว?
เพียงแต่ว่าเมื่อต้องออกเดินทางไกล ก็มักจะมีสิ่งที่ต้องให้ระลึกถึงเสมอ
โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระอย่างเขาที่ขอบเขตต่ำเตี้ย สายน้ำขุนเขามีแต่อันตราย แต่ละปีที่ผ่านพ้นไปก็ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง หากในใจไม่มีสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนให้หวนคิดถึงอยู่สักหน่อย ชีวิตก็คงยิ่งยากลำบากมากกว่านี้
ชายฉกรรจ์โบกมือ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ช่างเถิด”
เฉินผิงอันเอามือสองข้างสอดกลับไปในชายแขนเสื้อ ผงกปลายคางชี้ไปยังยันต์สายฟ้าแผ่นนั้น “เอาเถอะ หาเงินเป็นเรื่องเล็ก แต่โชคลาภเป็นเรื่องใหญ่ ลดให้เจ้าห้าส่วน ขายเป็นเงินแปดเหรียญเกล็ดหิมะ”
ชายฉกรรจ์ถาม “เจ็ดเหรียญได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบรับฉับไว “ไสหัวไปเลย”
ชายฉกรรจ์รีบทรุดตัวลงนั่งยอง คว้าเอายันต์สายฟ้าที่พอจะสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของปราณวิญญาณบางเบาแผ่นนั้นมา ตอนที่ควักเงิน เขาพลันหยุดชะงัก ถามว่า “คงไม่ใช่ของปลอม ยันต์ที่ขายให้ข้าตอนนี้เป็นยันต์ปลอมหรอกนะ?”
เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี เพิ่มอีกคำหนึ่ง “ไสหัวไปให้พ้นๆ”
ชายฉกรรจ์ชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง เบิกตากว้างตรวจสอบยันต์สายฟ้าแผ่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถึงได้โยนเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญออกไป พอลุกขึ้นได้ก็เดินจากไปทันที เดินออกไปได้สิบกว่าก้าวแล้วก็พลันชักเท้าเผ่นหนี
คงจะกังวลว่าร้านผ้าห่อบุญนั่นจะเปลี่ยนใจ
ถึงคราวที่เฉินผิงอันต้องบ่นพึมพำบ้าง เขาเก็บเงินเกล็ดหิมะแต่ละเหรียญขึ้นมา ลองชั่งน้ำหนักอยู่อย่างละเอียด ล้วนเป็นของจริง ไม่ใช่เงินปลอม
เก็บแผงแล้ว ห่อสัมภาระก็เบาขึ้นเยอะมาก
ย้อนกลับไปที่เรือข้ามฟาก
เฉินผิงอันคิดว่าจะเป็นร้านผ้าห่อบุญต่อในสถานที่ใหม่ พอไปถึงห้องจึงก้มหน้าก้มตาเขียนยันต์อย่างไม่หยุดพัก
เรื่องของการฝึกตน
จะเกียจคร้านได้อย่างไร!
ทว่าหลังจากที่วาดยันต์ได้สิบกว่าแผ่น ทางฝั่งของจวนน้ำก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
เฉินผิงอันจึงได้แต่หยุดพู่กัน
เป็นช่วงเวลาที่เรือข้ามฟากจะออกเดินทางอีกครั้งพอดี ยังมีทัศนียภาพอีกแห่งหนึ่งของนครเหนือเมฆที่ไม่อาจพลาดได้
ขอแค่มีเรือข้ามฟากมาจอดใกล้กับทะเลเมฆ นครเหนือเมฆก็จะมีการกระทำเช่นนี้ น่าจะเป็นการหาเงินเทพเซียนเล็กๆ น้อยๆ มาจากเรือข้ามฟากพวกนี้
เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง มีเรือยันต์ธรรมดาสามลำที่ผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆโดยสารมา คนบนเรือเหวี่ยงแหใหญ่ออกไปจับปลาบินชนิดหนึ่งที่ชอบจิกกินก้อนเมฆโดยเฉพาะอยู่บนทะเลเมฆที่พิเศษผืนนี้
และตัวของปลาบินก็สามารถเอามาขายเป็นเงินได้
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ชื่นชมภาพเหตุการณ์นั้น
ก็เหมือนกับการหว่านแหตามภูเขาเขียวน้ำใสของชาวประมงบนเรือ เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้คือทะเลเมฆสีขาวก็เท่านั้น
หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็เริ่มออกจากอาณาเขตของแคว้นสุ่ยเซียว มาหยุดอยู่ในอาณาเขตของแคว้นเป่ยถิงที่แคบยาวและตั้งอยู่ติดกับน้ำ ระหว่างนี้ก็ยังผ่านภูเขาแก้บนที่มีควันธูปลอยอ้อยอิ่ง แต่กลับไม่มีวัดวาอารามอยู่แม้แต่แห่งเดียว
ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาบนโลกที่หากมีการขอพร ก็ต้องมีการแก้บน
สถานที่หลายแห่งที่เดิมทีมีการจุดธูปอาจอยู่ห่างไกลจากบ้านไปเป็นพันลี้ ผู้เฒ่าที่ซื่อสัตย์จริงใจหลายคน เป็นเพราะร่างกายเสื่อมโทรมแก่ชรามากแล้ว หรืออาจมีโรคติดตัว ไม่อาจเดินทางไกลได้ ก็จะไหว้วานลูกหลานหนุ่มสาวในตระกูลให้มาที่ภูเขาแก้บนซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เพื่อมาจุดธูปกราบไหว้องค์เทพ
ภูเขาแก้บนของอุตรกุรุทวีปไม่ได้มีเพียงแค่ลูกเดียว
หันกลับมามองแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป กลับไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้
เฉินผิงอันไม่ได้ถูกน้ำมันหมูบดบังจิตใจ เวลานี้เป็นร้านผ้าห่อบุญแล้วจึงลงจากเรือไปจุดธูป ทั้งไม่มีคำขอ แล้วก็ไม่ต้องมาแก้บน เป็นเพียงแค่การจุดธูปกราบไหว้ภูเขาด้วยความเคารพเท่านั้น
ด้านหลังของภูเขาแก้บนมีน้ำตกที่ไหลย้อนกลับอยู่เส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันจ้องมองอยู่นานก็ยังไม่อาจใคร่ครวญหาเหตุผลใดๆ ออกมาได้
ทางฝั่งของบ่อน้ำลึกยังมีน้ำพุชูเซียว (ออกจากฝัก) อยู่แห่งหนึ่ง
ทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่หรือมือดาบมาชักดาบชักกระบี่ออกจากฝักอยู่ริมน้ำ น้ำพุก็จะพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศสูงเหมือนเป็นการตอบรับ
แน่นอนว่าหากมีลมปราณที่เปี่ยมล้น ตะโกนเสียงดังมากพอ ก็จะมีน้ำพุลอยขึ้นมาเช่นกัน
แต่ว่าลักษณะจะไม่เหมือนกัน อีกทั้งน้ำพุยังแตกฉานซ่านเซ็น ไม่เป็นภาพเหตุการณ์ที่สายน้ำ ‘ลอยเป็นเส้นขึ้นสู่ฟากฟ้า’ เหมือนกับยามออกกระบี่หรือชักดาบออกจากฝัก
ตอนที่เฉินผิงอันมองดูน้ำพุที่ไหลย้อนกลับนี้ เขาก็คอยเหลือบมองน้ำพุแต่ละเส้นที่ถูกเสียงตะโกนของคนบีบให้ออกมาเป็นระยะด้วย
ปราณกระบี่ในฝักเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังเกิดริ้วคลื่นแผ่วเบา
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดว่า “พวกเราสองพี่น้องอย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ได้ไหม? จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรมีมาดของอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งบ้าง ถูกไหม?”
เจี้ยนเซียนเล่มนั้นถึงได้สงบลงได้
สาเหตุคงเป็นเพราะคำพูดของเขาเปลี่ยนจากอาวุธกึ่งเซียนไปเป็นอาวุธเซียนกระมัง?
เฉินผิงอันกลัดกลุ้มเล็กน้อย หรือว่าฮวงจุ้ยของภูเขาลั่วพั่วจะถูกตนพาเสียเข้าจริงๆ?
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
เป็นเพราะตนสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเผยเฉียน จูเหลี่ยนได้? หรือหากเปรียบเทียบใกล้ยิ่งกว่านั้น คงต้องเป็นตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีกระมังที่ถือว่าเชี่ยวชาญในเรื่องนี้?
เฉินผิงอันจุดธูปแล้ว และก็ได้เห็นน้ำตกที่ไหลย้อนทวนกระแสกับน้ำพุชูเซียวแล้ว จึงย้อนกลับไปที่เรือข้ามฟาก
เขายังลังเลอยู่เรื่องหนึ่ง
ควรจะลงจากเรือไปกลางทาง แล้วออกไปตามหาสมบัติเป็นครั้งแรกในชีวิตดีหรือไม่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก มีผู้ฝึกตนซุบซิบกันเรื่องถ้ำสวรรค์ตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ถูกค้นพบใหม่ในแคว้นเป่ยถิง แต่ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไป เพราะลำพังเพียงแค่นครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยของแคว้นสุ่ยเซียว และยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายของอีกหลายแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นเป่ยถิงเป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงผู้ฝึกตนอิสระที่การข่าวว่องไวบางส่วน จะต้องเคลื่อนไหวกันนานแล้วแน่นอน จากบทสนทนาของผู้ฝึกตนเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเขากริ่งเกรงมากที่สุดก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่เหมือนหมาเร่ร่อนขุดดินหาอาหารพวกนั้น แต่ละคนเพื่อเงินแล้วก็ไม่เคยเสียดายชีวิต หากเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ ส่วนใหญ่หากไม่มีคนตายก็ต้องบาดเจ็บ ไม่คุ้มกัน
นอกจากนี้โชควาสนาตระกูลเซียนที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเปิดเผยเป็นสาธารณะเช่นนี้ ยังจะเรียกว่าโชควาสนาได้อย่างไรอีก?
เฉินผิงอันลองคำนวณดู เรือข้ามฟากที่มุ่งหน้าไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกรนั้นมีเส้นทางการเดินทางที่แน่นอน ประมาณหนึ่งเดือนหนึ่งครั้ง แล้วก็จะต้องผ่านท่าเรือดอกท้อของจวนไช่เฉวี่ยและนครเหนือเมฆ รวมไปถึงท่าเรือพ่อปู่ลำคลองของแคว้นเป่ยถิง ดังนั้นหากลงจากเรือก็จะเสียเวลาไปประมาณหนึ่งเดือน
สุดท้ายตอนที่ไปถึงท่าเรือพ่อปู่ลำคลอง เฉินผิงอันก็เลือกลงจากเรือ
การเดินทางครั้งนี้ ถือเสียว่าเลียนแบบบัณฑิตของแคว้นลู่จิ่วที่ใช้ชื่อปลอมว่าหลู่ตุนผู้นั้น ลองเข้าภูเขาลึกไปตามหาเซียนดูสักรอบ
การเยี่ยมเยือนภูเขาอย่าง่ายๆ ครั้งหนึ่งที่ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายชนะ กลับทำให้เฉินผิงอันตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเคยชินกับคำว่าไม่แสวงหาสิ่งนอกกายมานานแล้ว
ส่วนเส้นทางที่แน่ชัดของการไปเยือนภูเขาไร้นามลูกนั้น ไม่ยากที่จะรู้ได้
ย่อมต้องมีผู้ฝึกตนเป็นคนนำทาง
เขาแปะยันต์แบกศิลาวิชาลับสืบทอดของตำหนักขวานผีแผ่นหนึ่งลงไปบนร่าง บวกกับที่ตอนนี้อาการบาดเจ็บฟื้นตัวไปพอสมควรแล้ว แม้ว่าจะยังไม่กลับคืนสู่จุดสูงสุด แต่หากต้องกินหมัดของผู้อาวุโสกู้อีกสามหมัดก็ยังพอจะไม่ตายได้
เฉินผิงอันอำพรางตัวตน ขึ้นเขาลงห้วยอย่างเงียบเชียบ หากจูเหลี่ยนกับเผยเฉียนมาเห็นเข้า ต้องชื่นชมจากใจจริงคำหนึ่งว่าทำตัวลับๆ ล่อๆ ได้แนบเนียนอย่างแน่นอน
กลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันนั่งพักอยู่บนกิ่งไม้สูง
เขาพลันลืมตาขึ้น ได้รับกระบี่บินส่งข่าวมาจากฉีจิ่งหลง
เนื้อความในจดหมาย ยังคงมีตัวอักษรไม่มาก
แค่สองประโยค
ทั้งกู้โย่วและจีเยว่ต่างก็ตายแล้ว
กู้โย่ววาดยันต์กักกระบี่บรรพกาลแผ่นหนึ่งไว้ตรงหัวใจ ผนึกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของจีเยว่ไว้ชั่วขณะหนึ่ง ใช้ชีวิตแลกชีวิต
เฉินผิงอันป้อนเงินเทพเซียนเหรียญหนึ่งใส่กล่องกระบี่แล้ว กระบี่ส่งข่าวก็จากไปในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันเอามือรองไว้ใต้ท้ายทอย เงยหน้ามองเส้นทางที่กระบี่บินบินจากไปไกล
เส้นทางการกลับคืนสู่ทิศเหนือของฉีจิ่งหลงยาวไกล เพราะฉะนั้นกระบี่บินส่งข่าวเล่มนี้จึงง่ายที่จะไปแล้วไม่หวนกลับคืน
ดังนั้นนี่จึงเป็นกระบี่บินครั้งสุดท้ายก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขต
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ อันที่จริงเรื่องบางเรื่องเขาคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวัง จึงได้แต่นั่งเหม่ออยู่เงียบๆ แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า
——