ร่างของเทพหญิงชุดขาวและองค์เทพชุดเขียวสององค์ต่างก็สลายหายไปแล้ว
อีกห้าวันต่อมา ม่านน้ำจะยังปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หากผ่านไปสิบวันแล้วสถานที่แห่งนี้ยังมีคนเหลือเกินห้าคน ก็จะมีทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมาสังหารทุกคน
หวนอวิ๋นค้นพบว่ายันต์ที่ตัวเองซ่อนไว้ในฝ้าเพดานแหลกสลายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำของที่แห่งนี้ได้ปิดทางออกจวนเซียนไปแล้ว
ทางฝั่งของสะพานโค้งหยกขาว ผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนจากฝ่ายต่างๆ ที่เป็นดั่งปลาและมังกรปะปนกันหันมามองหน้ากันเอง
ก่อนหน้านี้กว่าที่หวนอวิ๋นจะรวบรวมใจคนที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานี้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมในเสี้ยววินาทีอีกครั้งแล้ว
กลับมาเป็นทรายกระจัดกระจายถาดหนึ่ง
ต่อให้เป็นคนทั้งหกก็ยังพากันชักเท้าถอยหนี ทิ้งระยะห่างจากคนข้างกายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มีเพียงป๋ายปี้ที่ยืนเคียงไหล่กับจานชิง สื่อสารกันอยู่เงียบๆ
ทันใดนั้นฟ้าดินก็เงียบสงัด หากมีเข็มสักเล่มตกลงพื้นก็คงได้ยินกันทั่ว
ชายหนุ่มหญิงสาวของนครเหนือเมฆอารมณ์หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวถามว่า “ศิษย์พี่ เจินเหรินผู้เฒ่าหวนจะปกป้องพวกเราได้หรือไม่?”
บุรุษยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “บางทีการที่เจินเหรินผู้เฒ่าไม่ยินดีฆ่าพวกเราก็ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้ว”
หญิงสาวหน้าเผือดสีทันใด
บุรุษกล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงอย่างไรหวนอวิ๋นก็ไม่ใช่คนบ้านเดียวกับเรา ตอนนี้คนที่พวกเราสามารถเชื่อใจได้มีเพียงผู้ถวายงานสวี่เท่านั้นแล้ว”
ครู่หนึ่งต่อมาคนทั้งสองก็ร่วมกันพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตัน พยายามจะฝ่าสถานการณ์ตายตอนนี้ไปให้ได้ น่าเสียดายที่ยังไม่อาจหาวิธีการที่เหมาะสมได้เจอ
ผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผู้ปกป้องมรรคาที่แท้จริงของพวกเขาสองคน พลิ้วกายมาหยุดข้างกายคนทั้งสอง พูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่สู้มอบกระบอกพู่กันหยกขาวให้ข้า ข้าจะช่วยดึงดูดความสนใจไปจากทุกคนเอง”
บุรุษมอบวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล พูดอย่างซาบซึ้งว่า “รบกวนผู้ถวายงานสวี่แล้ว”
ผู้ถวายงานเฒ่าเก็บกระบอกพู่กันหยกขาวไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วทะยานจากไป
หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ
บุรุษส่ายหน้า บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องพูดอะไร
แม้จะบอกว่าสตรีไม่รอบคอบและสุขุมได้เท่าศิษย์พี่ของนาง แต่การที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจ้าเมืองเสิ่นเจิ้นเจ๋อตลอดมา จะดีจะชั่วนางก็ยังพอรู้ว่าการส่งมอบวัตถุฟางชุ่นออกไปตอนนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
บุรุษใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่ไม่มอบมันให้เขา ตอนนี้พวกเราก็กลายเป็นสองศพแล้ว อีกห้าวันต่อมา หากพวกเราและผู้ถวายงานสวี่คนนี้ล้วนสามารถมีชีวิตรอดจนถึงวันนั้น ก็รอไปก่อนเถอะ วัตถุฟางชุ่นต้องกลับคืนสู่เจ้าของเดิมเป็นแน่”
สตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “รอให้ม่านน้ำหายไปก่อน แล้วค่อยไปแย่งกลับมา?”
บุรุษยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงเล่า?”
สตรีน้ำตาร่วงดุจดอกสาลี่ถูกพรมด้วยสายฝน
บุรุษช่วยเช็ดน้ำตาให้นางด้วยท่าทางอ่อนโยน ไม่ได้เอ่ยอะไร
ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะไม่มีอะไรจะให้พูดต่างหาก
ใต้ต้นไผ่เขียวด้านหลังภูเขา ตี๋หยวนเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด เงยหน้าชำเลืองตามอง ไม่มีความคิดจะหาเรื่องผู้เฒ่าชุดดำแม้แต่น้อย แต่คิดว่าจะไปหลบให้ได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี
ตี๋หยวนเฟิงวิ่งตะบึงลงภูเขาไปอย่างไม่ลังเล แล้วก็เลือกที่จะอ้อมตำหนักแห่งนั้นไป
เฉินผิงอันไถลตัวลงมาจากต้นไผ่ ตอนที่เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนพระราชวังก็พบว่าหวงซือไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นักพรตซุนปลดห่อสัมภาระน้อยใหญ่สองใบวางไว้ข้างเท้า
เขาไม่กล้าทิ้งห่อสัมภาระแล้วเผ่นหนี ด้วยกังวลว่าจะถูกคนปล่อยหมัดสะเปะสะปะต่อยตาย ถึงเวลานั้นต่อให้ตนมีร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว เขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ไม่มีฝีมือมากพอจริงๆ
นักพรตซุนได้แต่เดิมพันว่าคนกลุ่มถัดไปที่จะมาพบเขา เมื่อได้ของไปแล้วจะยอมเลิกรา เอาแค่ทรัพย์สินไม่เอาชีวิตกัน
เวลานี้ต่อให้เขาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์จริงๆ จะมีประโยชน์หรือ? มีประโยชน์กะผายลมอะไร
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้แล้ว ในใจก็คิดว่าในที่สุดนักพรตเฒ่าก็ทำตัวฉลาดได้สักที ไม่คิดจะทิ้งสมบัติแล้วชักเท้าเผ่นหนี
นักพรตซุนน้ำตาคลอ ท่าทางน่าสงสาร มองสหายเฉินที่ยืนอยู่บนกำแพงแล้วโบกมือ “ไปเถอะๆ หนีไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รักษาตัวด้วย”
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไปได้โยนยันต์สามแผ่นส่งไปให้อีกฝ่าย ล้วนเป็นยันต์แบกศิลาที่ใช้อำพรางตัวทั้งสิ้น
มอบยันต์โจมตีให้ ไม่มีความหมายสักเท่าไร
หลังจากใช้เสียงในใจบอกประโยชน์ของยันต์ชนิดนี้แก่นักพรตซุนแล้ว เฉินผิงอันก็วิ่งตะบึงลงจากภูเขาไป
นักพรตซุนรับยันต์มาแล้ว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บนกำแพงก็ไม่เหลือร่องรอยของสหายเฉินผู้นั้นอีก แล้วเขาก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “ความจริงใจมักพบเจอในยามยากจริงๆ”
เฉินผิงอันแค่หวังว่านักพรตซุนที่ยอมสละสมบัติและโชควาสนาที่ได้มาจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไว้ได้ชั่วคราว
หลังจากนั้น อันที่จริงก็คือโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่ง
พื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นก็มีสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร หลังจากที่ต่อสู้กันจนฟ้ามืดดินมัวแล้ว ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานผู้นั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ก็ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดมาจนถึงท้ายที่สุด หากไม่เป็นเพราะไม่สามารถขึ้นไปบนหัวกำแพงได้ตรงตามเวลา ไม่อย่างนั้นก็ยังจะได้โชควาสนาในการบินทะยานสู่ใต้หล้าไพศาลไปเสียเปล่าๆ ด้วยซ้ำ
ส่วนที่บอกว่าสุดท้ายแล้วจะมีคนรอดชีวิตห้าคน และยังมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้ามาเยือน ถูกยอดฝีมือขอบเขตบินทะยานอะไรนั่นรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ เฉินผิงอันไม่เชื่อแม้แต่น้อย
บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งที่มองดูเหมือนเป็นโชควาสนา เนื่องจากเกี่ยวพันกับสมบัติอาคม ส่วนใหญ่มักจะล่อลวงใจคนได้ดีที่สุด ตรงไปตรงมามากที่สุด ดูเหมือนว่าใครที่ได้โชควาสนาไปมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนมากเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันพอจะแน่ใจได้คร่าวๆ แล้วว่า ยิ่งเป็นผู้บรรลุมรรคาที่ขอบเขตสูงเท่าไร ก็จะยิ่งมองฐานกระดูก คุณสมบัติ นิสัยใจคอ โชควาสนาของลูกศิษย์ไม่ให้ขาดไปแม้แต่อย่างเดียวมากเท่านั้น
การรับลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานยุคบรรพกาลคนหนึ่ง โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้สืบทอด มีหรือจะดูแค่ที่ว่าสมบัติที่คนรุ่นหลังได้ไปจากภูเขาของเขามีมากหรือน้อย
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปราณสังหารในทุกหนทุกแห่ง หากบอกว่าการช่วงชิงสมบัติและโชควาสนาก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าทุกคนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่บนเส้นทางการฝึกตน ต่างคนต่างมีรางลูกคิดเป็นของตัวเอง ก็ยังถือว่าพอจะสมเหตุสมผล ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าดินและลมของที่แห่งนี้ถูกต้องเที่ยงตรงหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็เท่ากับว่าบีบให้ทุกคนต้องเข่นฆ่ากันเอง ราวกับว่าทุกคนที่อยู่ข้างกายล้วนสมควรตายทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความเป็นไปได้ว่าจงใจล่อลวงจิตใจคน ปล่อยให้คนสี่สิบกว่าคนที่เหลืออยู่นี้เข่นฆ่ากันเอง คนผู้นั้นจะได้เป็นเฒ่าประมงที่รับผลประโยชน์ไปครอง
แล้วยังมีการระเบิดแตกกะทันหันของกระพรวนเจดีย์วิเศษของนักพรตซุนที่ปูเป็นพื้นฐาน เฉินผิงอันจึงถึงขั้นเดาออกเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังสถานที่แห่งนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง เพียงแต่ติดที่กฎเกณฑ์เก่าแก่บางอย่างจึงไม่อาจกระทำการได้ตามใจปรารถนา ก็เหมือนการดำรงอยู่ของปราณกระบี่ที่แหลมคมเสี้ยวนั้นที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าก็คือพันธนาการและการงัดข้ออย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันพลันนึกถึงบนสนทนาระหว่างเขากับชุยฉานบนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วในปีนั้นขึ้นมา
ชุยฉานแน่ใจในสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าอย่างถึงที่สุด ตอนนั้นเฉินผิงอันก็อยากถามราชครูของต้าหลีแล้วว่า เหตุใดถึงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแก่คนบางคน หรือป่าวประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ไปโดยตรง
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ถามออกไป จากนั้นตัวเขาเองก็มีคำตอบให้กับตัวเอง
พูดไปแล้วก็ไม่มีคนฟัง ฟังไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
เฉินผิงอันไม่ได้ออกห่างไปจากสิ่งปลูกสร้างแถบที่นักพรตซุนอยู่ไกลนัก
เขากำลังใคร่ครวญอยู่เรื่องหนึ่ง
ควรจะใช้เจี้ยนเซียนผ่าม่านฟ้าออกไปทันทีดีหรือไม่?
นี่คือทางเลือกที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะตัดสินความเป็นความตาย
เพราะสำหรับความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อซากปรักแห่งนี้ หลังจากที่ภาพเหตุการณ์หลอกผีหลอกเจ้านั้นปรากฏขึ้น ก็ได้ยกระดับขอบเขตของ ‘เทพเทวา’ ของที่แห่งนี้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกเบื้องหลังผู้นั้นให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ การที่ตอนนั้นตนสามารถหนีรอดออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้สำเร็จ เป็นการกระทำที่ฉุกละหุกไม่มีลางบอกเหตุ เกาเฉิงที่อยู่นครจิงกวานจึงรับมือไม่ทัน แต่ท่านผู้นั้นของที่นี่ บางทีอาจจะเริ่มจับตามองเขาเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงมีความคิดอย่างหนึ่งที่ถือเป็นการพบกันครึ่งทาง
เลียนแบบปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานของพื้นที่มงคลดอกบัว หลบซ่อนตัวอยู่ตลอดจนถึงกำหนดสิบวัน ถึงเวลานั้นจะเป็นโชคหรือเคราะห์ ความตั้งใจของคนที่อยู่เบื้องหลังจะดีหรือร้าย ก็ล้วนจะเป็นเหมือนน้ำลดหินผุด
จะต้องออกกระบี่หรือไม่ก็คงจะรวดเร็วฉับไวกว่าตอนนี้มากนัก
หวงซือเดินออกมาจากหัวมุมหนึ่ง พูดอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าสนใจความเป็นความตายนักพรตซุนขนาดนี้เชียวหรือ? กังวลว่าข้าจะปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เซียนซือเรือนเทพสายฟ้าตายขนาดนั้นเชียว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าเดาดูสิ?”
หวงซือกระตุกมุมปาก “ไม่สู้เจ้ากับข้าร่วมมือกันโจมตีศัตรูให้ถอยร่น?”
เฉินผิงอันถาม “ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นตัวถ่วงรึ?”
ในใจหวงซือยิ่งเกิดความกังขา สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้ามีขอบเขตอะไรกันแน่? เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เชี่ยวชาญวิถีแห่งยันต์ หรือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้าล่ะ?”
หวงซือยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจ “ถือว่าพอจะเป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองได้อย่างถูไถ ยังมีแค้นใหญ่ที่ไม่ได้ชำระ เพราะฉะนั้นจะตายไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มองข้าเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งแล้วกัน อืม เป็นเซียนดินโอสถทองได้อย่างถูไถ”
หวงซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถอยออกไปจากภูเขาลูกนี้ก่อน แล้วพวกเราก็พยายามร่วมมือกันล้อมสังหาร เป็นอย่างไร? แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ว่าสภาพการณ์ของเจ้าและข้าในตอนนี้ คิดไปในทางเลวร้ายสักหน่อยก็ไม่ผิด”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่เลียนแบบนักพรตซุนที่มอบสมบัติออกไปโดยตรง?”
หวงซือหัวเราะหยันกล่าวว่า “ทำไม คิดจะเดิมพันให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้นมีจิตใจของพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ? หรือหวังว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระจะเปลี่ยนสันดาน ทำตัวเป็นคนดีที่ไม่สนความเป็นความตายของตัวเอง?”
เฉินผิงอันลูบคลึงปลายคาง คล้ายกำลังใคร่ครวญว่าควรจะร่วมมือกับหวงซืออย่างจริงใจ พากันข้ามผ่านด่านยากนี้ไปดีหรือไม่
หวงซือเอ่ยเร่ง “เวลาไม่คอยใคร โอกาสพลาดไปแล้วก็ไม่หวนคืนมาอีก หากพวกเราสองคนยังเสียเวลาต่อไป อันตรายก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าดีกว่า กลัวว่าจะถูกเจ้าแอบต่อยอีกครั้ง กระดูกแก่ๆ ของข้ารับความทรมานพวกนี้ไม่ไหวหรอก”
หวงซือส่ายหน้า “เจ้าต้องตายก่อนข้าแน่นอน”
พูดจบหวงซือก็ถอยหลังไปหลายก้าว เงาร่างหายวับไปตรงหัวมุม
เฉินผิงอันถึงได้แปะยันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนร่าง หาพื้นที่เงียบสงบ สวมชุดสีเขียวธรรมดาชุดหนึ่งไว้บนกาย ชุดคลุมอาคมสามตัวกับชุดเขียวธรรมดาอีกหนึ่งตัว ทำให้ร่างของเขาดูอ้วนหนาอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อยู่ในภูเขาอากาศก็จะยิ่งเย็น ต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อย นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เฉินผิงอันเปลี่ยนหน้ากากผู้เฒ่าบนใบหน้าเป็นหน้ากากของเด็กหนุ่ม แล้วก็ใช้กระบวนท่าหมัดวานรของจูเหลี่ยนทำให้ร่างโก่งงอลงเล็กน้อย ตัวจึงดูเตี้ยลงจากเดิม จากนั้นก็เอาห่อสัมภาระสองใบที่สะพายอยู่บนร่างฝังไว้ใต้ดิน ส่วนเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ถูกปลดเอาไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น
นาทีนี้ นอกจากที่ในอนาคตเฉินผิงอันอยากจะซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาเพิ่มอีกสองเล่มแล้ว เขาก็นึกอยากซื้อวัตถุฟางชุ่นเพิ่มอีกชิ้นหนึ่งด้วย
หลังจากนี้เฉินผิงอันคิดว่าจะเดินเลียบลำคลองตีนเขาวกกลับไปที่ด้านหน้าภูเขา จากนั้นก็หาโอกาสไปดูตรงสะพานโค้งหยกขาว ไม่ต้องรีบร้อนเดินทาง
ต้นไม้ถือกำเนิดในไพร กับไม้เด่นที่กลับคืนสู่ไพร
คือหลักการสองอย่าง
ในเมื่อเฉินผิงอันพูดหลักการเหตุผลข้อนี้กับกู้ช่านตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ ถ้าอย่างนั้นตัวของเฉินผิงอันเองก็มีแต่จะยิ่งทำได้ราบรื่นคล่องแคล่วมากกว่า
เลือกจับคู่เดินทางกับนักพรตซุน หรือการกระทำใดๆ ก็ตามหลังจากนี้ ล้วนเป็นการลงแรง เป็นการทุ่มเทบนหลักการเหตุผลข้อนี้ทั้งสิ้น
ชุยตงซานเคยเอ่ยประโยคหนึ่งที่ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง
เหตุผลเส้นหนึ่งที่มีปลายสองด้าน เมื่อถูกลูบให้เรียบ ขบให้แตก คิดจนเข้าใจแล้ว ก็เหมือนว่าหลังจากสองฝ่ายต่อสู้กันเสร็จแล้ว สุดท้ายได้หล่นลงตรงกลาง นั่นต่างหากจึงจะเป็น ‘การรู้แจ้ง’ เสี้ยวหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นเหตุผลก็ไม่ใช่เหตุผล พอเอาไปไว้ในโลกมนุษย์ที่อยู่นอกท้องของตัวเองก็จะกลายเป็นเพียงผายลมสุนัข มีแต่เสียงคร่ำครวญทอดอาลัย
ปีนั้นระหว่างที่ทั้งสองคนเดินทางอยู่ในต้าสุยด้วยกัน อันที่จริงชุยตงซานได้เอ่ยคำพูดหยอกล้อที่มองดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจแบบนี้อยู่เยอะมาก เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะตอนที่พูด ชุยตงซานมีท่าทีไม่ยี่หระกับโลกใบนี้ ทำตัวเอ้อระเหยมากเกินไป เฉินผิงอันจึงไม่ได้ฟังเข้าหูสักเท่าไร
ภายหลังมาย้อนนึกดู
ที่แท้ลูกศิษย์ก็กำลังสอนหลักการเหตุผลให้แก่อาจารย์
——