เฉินผิงอันย้อนกลับไปยังเรือนในนครเหนือเมฆพร้อมกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
เขาวาดยันต์รอยหิมะลงบนกำแพงเรือนไปรอบหนึ่ง ป้องกันโจรเล็กๆ ได้ แต่ป้องกันเทพเซียนที่บรรลุมรรคาไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
เดินเข้ามาในลานบ้าน เฉินผิงอันสะบัดชุดเขียวเบาๆ สลายกลิ่นสุราทั่วร่าง เดินเข้ามาในสถานที่ฝึกตนที่ผู้ถวายงานสวี่อยู่อาศัยตลอดทั้งปี นั่งลงบนเบาะใบหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินได้ เฉินผิงอันเอากลอนคู่นั้นมาแขวนไว้บนผนังด้านหลัง เดิมทีเป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า แต่พอมีกลอนบทนี้ก็มีกลิ่นอายของ ห้องหนังสือเพิ่มขึ้นมาได้หลายส่วน เฉินผิงอันคิดว่าวันหน้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จะเอากลอนคู่นี้ไปแขวนไว้ที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ จะไม่มีทางเอาไปขายเด็ดขาด จะเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล เหมือนกับเทียบอักษรแบบหวัดที่เสี้ยนเว่ย (ตำแหน่งขุนนางใต้บังคับบัญชานายอำเภอ คอยดูแลเรื่องความสงบปลอดภัย ในอำเภอ) คนนั้นเขียนหลังจากเมามาย
เฉินผิงอันหยิบแผ่นไม้พุทราสีชาดของลัทธิเต๋าแผ่นนั้นออกมา จำเป็นต้อง รีบหลอมมันให้สำเร็จก่อน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณคนใดที่ได้ไปก็สามารถ เปิดประตูเข้าไปด้านในได้ตามสบาย ลำพังเพียงแค่หลอมเล็กให้กลายเป็นภาพมายา เก็บเข้าไปในช่องโพรงลมปราณนั้น ไม่ได้มีความหมายมากนัก
การหล่อหลอมวัตถุบนโลก หลอมเล็กกลายเป็นมายา อย่างเงินเทพเซียนในมือ ย่อมมีไปมีมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลอมกลางจะเหมือนการสร้างศาลบรรพจารย์ ของสำนักบนภูเขา เป็นการหยั่งรากลงบนช่องโพรงลมปราณอย่างแท้จริง ส่วนการหลอมใหญ่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตน
ก่อนจะหลอมวัตถุจื่อชื่อ เฉินผิงอันเอาสมบัติสามชิ้นออกมาชื่นชมให้สบายตาสบายใจ
ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักน้ำ เฉินผิงอันใช้ยันต์ทำการค้ากับนักพรตซุนสามครั้ง
เทวรูปหยวนจวินไม้แกะสลักที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ให้ความรู้สึกงดงามดั่งลมพัดน้ำไหล
พัดทรงกลมเล่มหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุด ภาพที่ปักลงบนตัวพัดคือภาพของสตรีในห้องส่วนตัวคนหนึ่งที่ถือพัดกลมไว้ในมือ สตรีเรือนกายสะโอดสะองในภาพวาดกำลังหยอกล้อนกขมิ้นตัวหนึ่งที่อยู่บนกิ่งไม้
ข้องราชามังกร ทั้งยังเป็นคู่ แบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘ชนเจียว’ ‘ซ่อนผาน’ (ผานหลง มังกรขดตัว)
เฉินผิงอันคิดว่าจะมอบเทวรูปไม้แกะสลักให้หลี่ไหว
ส่วนพัดทรงกลมนั้นจะมอบให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู บนภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงคนที่ยุ่งที่สุดในทุกๆ วันไม่ใช่ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยน แล้วก็ไม่ใช่เฉินยวนจีที่มุมานะ ฝึกวิชาหมัด ยิ่งไม่ใช่เจิ้งต้าเฟิงที่ทุกวันเอาแต่นั่งอาบแดดอาบแสงจันทรา มีเพียงเด็กหญิงอย่างเฉินหรูชูคนเดียวเท่านั้น เฉินผิงอันถึงขั้นเชื่อมั่นว่า ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วยังคงอยู่ เฉินหรูชูก็จะยุ่งทำงานง่วนแบบนี้ต่อไป หิ้วถังน้ำ ถือผ้าเช็ดโต๊ะ ตรงเอว ห้อยกุญแจเป็นพวงที่ส่งเสียงกระทบกันเบาๆ ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน นางจะต้องเอ่ยทักทายชุยเฉิงบนเรือนไม้ไผ่ ยื่นเมล็ดแตงส่งให้เผยเฉียน รดน้ำใส่กระถางดอกไม้ เช็ดเรือนไม้ไผ่จนสะอาดมันวับ แล้วก็จะต้องไปเยือนเมืองเล็กทุกๆ ช่วงเวลาที่กำหนดไว้เพื่อซื้อของจำเป็นมาจากในเมือง
ในสายตาเฉินผิงอัน นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร?
ใหญ่นักล่ะ
หากใครที่ไม่ใช่คนตาบอด ก็ควรจะมองเห็น และเก็บมาใส่ใจ
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนสำนักอื่นนอกภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนเลย ต่อให้เป็นบนภูเขาลั่วพั่วบ้านของตัวเอง ใครกล้ารังแกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ก็ลองดูสิ?
นี่ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันลำเอียง แต่ในสายตาของเฉินผิงอัน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคือบุคคลที่ไม่มีทางทำความผิดมากที่สุดไม่ว่าใครก็เปรียบเทียบไม่ได้ แม้แต่ ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
นี่จึงเป็นเหตุให้เขาพูดคุยเรื่องฟ้าดินและใจคนกับนักพรตซุน
ถึงได้ยอมรับฟังเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยของจินซานผู้ฝึกตนอิสระ
เฉินผิงอันรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง แต่เป็นความสบายใจสองอย่างที่แตกต่างกัน
เฉินผิงอันหยิบข้องสานไม้ไผ่ใบเล็กขึ้นมาหนึ่งใบ กรงไม้ไผ่อีกใบที่เชื่อมกันอยู่ จึงแกว่งส่ายตามมาเบาๆ ด้วย
ตอนนี้ที่ส่ายไปส่ายมาอยู่บนมือของตัวเองคือภูเขาเงินภูเขาทองสมชื่ออย่างแท้จริง
จะจัดการกับข้องราชามังกรคู่นี้อย่างไร อันที่จริงเฉินผิงอันยังตัดสินใจไม่ได้ หนึ่งเพราะข้องราชามังกรคู่นี้เสียหายอย่างหนัก หากคิดจะซ่อมแซมย่อมต้องใช้ เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ สองเพราะวัตถุอย่างข้องราชามังกรนั้น แม้จะบอกว่า มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด สามารถจับพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกได้ มีวิชาในการสยบกำราบมาตั้งแต่กำเนิด แต่กลับมีข้อที่ต้องพิถีพิถันเยอะมาก ไม่ค่อยเหมือนกับสมบัติมากมายที่สามารถนำมาใช้โจมตีได้ หากไม่มีวิชาเซียนเฉพาะใช้ควบคู่ไปด้วย ก็มีความเป็นไปได้ว่าข้องราชามังกรนี้จะเป็นซาลาเปาไส้เนื้อที่ขว้างหมาไปแล้ว ไม่กลับคืนมา
เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังคงตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ดูไปทีละก้าว
ในเมื่อตอนนี้มีวัตถุจื่อชื่อเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกเงินส่วนเกินอีก ถ้าอย่างนั้นกระบี่จำลองวัตถุแห่งชะตาชีวิตเซียนกระบี่ที่ภูเขาชังกระบี่สร้างขึ้นต้อง ได้เข้ามาอยู่ในมือสองเล่มอย่างแน่นอน
หากราคาถูกกว่าที่คิดว่า สามเล่มก็ยังได้
พอไปถึงถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นก็ยืนยันราคาของข้องราชามังกรให้แน่ใจก่อน แล้วค่อยดูว่ามีคนหลอกง่ายที่ความร่ำรวยพวยพุ่งทะลุฟ้าหรือไม่
วัตถุที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบประเภทนี้ จะมาพูดเรื่องเงินซ่อมแซมกับข้าทำไม?
แต่ข้องราชามังกรหากไม่ต้องขายได้ก็จะไม่ขาย
เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของของขวัญนั้น หากจะเอาจำนวนไปหลอกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนตลอดทุกครั้งก็คงไม่เข้าท่านัก
เฉินผิงอันเริ่มสงบจิตใจหลอมวัตถุจื่อชื่อที่เป็นแผ่นป้ายแผ่นนั้น
เรื่องนี้ไม่รีบร้อน แล้วก็ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ในก้าวเดียว
สองชั่วยามผ่านไป เฉินผิงอันก็หยุดมือในด่านหนึ่งของการหลอม สวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งไว้บนร่าง หันไปหลอมปราณวิญญาณที่ซ่อนแฝงอยู่ในชุดคลุมอาคมแทน ปล่อยจิตใจจมจ่อมอยู่กับการหล่อหลอม
โดยไม่รู้ตัวก็มาถึงยามจื่อแล้ว เฉินผิงอันลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ แล้วโบกมือสลายมันไป
ตามคำพูดที่ลี้ลับประโยคนั้นของชุยตงซาน ฟ้าดินขนาดเล็กในร่างกายมนุษย์ มนุษย์ธรรมดาในโลกล้วนต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยหลายชีวิต
การฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณนั้นก็ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องขจัดสิ่งสกปรกเหลือส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ อาศัยปราณวิญญาณของฟ้าดินมาหล่อหลอมเส้นเอ็น กระดูก บุกเบิกช่องโพรงลมปราณ ขัดเกลาจิตวิญญาณ ล้วนเป็นส่วนที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนทั้งสิ้น
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตน เป็นคน แต่ก็ไม่ใช่คน
นี่ไม่ใช่แค่คำข่มขู่อย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันตั้งใจพาดวงจิตไปสำรวจช่องโพรงลมปราณ
จวนวารียังคงไม่ได้ปิดประตู กระแสน้ำที่แฝงไว้ด้วยปราณวิญญาณชะตาน้ำ เส้นนั้นไหลริกๆ นี่ยังเป็นเพียงแค่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเฉินผิงอันดื่มหยดน้ำที่ปลายใบไผ่สีเขียวไปอย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันได้ดูดซับโชคชะตาน้ำอิฐเขียว ที่เข้มข้นยิ่งกว่ามาเลยด้วยซ้ำ พวกเด็กๆ ชุดเขียวยิ่งทำงานกันอย่างมานะฮึกเหิม ภาพวาดฝาผนังสายน้ำที่เป็นภาพเค้าโครงขาวดำถูกพวกเด็กๆ ชุดเขียววาดให้เกิดเป็นสีสันเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
บ่อน้ำขนาดเล็กที่อยู่ด้านใต้ตราประทับอักษรน้ำแห่งนั้นก็ดูเหมือนว่าปากบ่อเล็กๆ ได้ขยายใหญ่ไปแล้วหลายส่วน น้ำก็ลึกมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะเอาอิฐเขียวของอารามเต๋ามาหลอมกลาง แล้วนำมาปูพื้นของจวนน้ำดีหรือไม่ ต่อให้จะเป็นอิฐเขียวที่ไม่มีโชคชะตาน้ำอยู่ แม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่าตัววัสดุของอิฐเขียวเองก็มีค่าอย่างมาก
แรกเริ่มเฉินผิงอันคิดว่าวันหน้าจะพามันกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน อิฐเขียวสามสิบหกก้อนที่ถูกดูดดึงปราณวิญญาณไปจนเกลี้ยงสามารถนำมาปูเป็นทางเส้นเล็กหกเส้น นำมาใช้ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขาได้พอดี
ตัวเขาเอง เผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง เฉินยวนจี
แน่นอนว่ายังมีหลูป๋ายเซี่ยงที่เขาถูกชะตามากอีกด้วย
ส่วนเว่ยเซี่ยนนั้นก็ช่างเถิด
สุยโย่วเปียนก็ช่างนางเหมือนกัน ไปอยู่ที่สำนักกุยหยกของใบถงทวีปแล้ว เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งหันไปฝึกตน อยากจะกลายเป็นเซียนกระบี่หญิง ที่ถือกระบี่บินทะยานอยู่ในใต้หล้าไพศาล
แต่หากอิฐเขียวสามารถเป็นดั่งบุปผาที่ปักลงบนผ้าแพรให้กับจวนน้ำได้ ถ้าอย่างนั้น อิฐเขียวหกก้อนในนั้นที่ถือว่าเป็นของเฉินผิงอันก็สามารถนำมาหลอมกลางได้
ตราประทับอักษรน้ำลอยอยู่กลางอากาศ บนพื้นปูด้วยอิฐเขียว บนผนังมีภาพวาดฝาผนัง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จวนน้ำของบ้านตนก็สามารถเรียกได้ว่ามี ภาพปรากฎการณ์ที่ไม่เล็กแล้ว
กระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่นคงต้องเก็บไว้ก่อนชั่วคราว เพราะประวัติความเป็นมาของมันไม่แน่ชัด
ตอนนั้นขนาดหวงอวิ๋นก็ยังไม่กล้าให้ข้อสรุปที่แน่ชัด แค่แน่ใจว่าพวกมันต้องมีมูลค่าควรเมืองอย่างแน่นอน หากมีต้นกำเนิดเดียวกับหอแก้วของนครจักพรรดิขาวที่อยู่ในแผ่นดินกลางแห่งนั้น นั่นต้องยิ่งน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
เล่าลือกันว่าวัตถุที่มีค่ามากที่สุดของหอแก้วหลังนั้น นอกจากเสาคานใหญ่ที่เป็นแก้วมรกตยี่สิบต้นแล้ว ก็คือกระเบื้องแก้วที่อยู่บนหลังคานั่นเอง
เฉินผิงอันเก็บดวงจิตกลับมา ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ไปฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
คิดไม่ถึงว่าจะมีแขกมาเยี่ยมเยือนอย่างรีบร้อน
คืออู่ชวินผู้คุมกฎแห่งศาลบรรพจารย์จวนไช่เฉวี่ย นางไม่ปกปิดความปิติยินดีบนใบหน้าแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันจึงพาอู่ชวินไปที่ศาลาบนยอดเขาจำลองหลังนั้น การเดินทางมาเยือนครั้งนี้ของอู่ชวินก็เพื่อนำชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของจวนไช่เฉวี่ยมามอบให้ เฉินผิงอัน
อู่ชวินบอกว่าหลังจากที่เจ้าจวนขนฝ้าเพดานชิ้นนั้นกลับไปที่จวนไช่เฉวี่ย มันก็เข้ากับภูเขาสายน้ำของบ้านพวกนางได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่เพียงแต่ทำให้ภูเขาสายน้ำมั่นคง ยังสามารถรวบรวมปราณวิญญาณจากแปดทิศมาได้ด้วย นี่ยังไม่ทันได้ หล่อหลอมเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เอาไปวางไว้ในศาลบรรพจารย์ชั่วคราวก็มีสัญญาณ ที่มหัศจรรย์เช่นนี้แล้ว
หลังจากหล่อหลอมไปแล้ว นั่นจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ? เรียกได้ว่ามันคือวัตถุอันเป็นรากฐานที่ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนสำนักใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้ ดังนั้นการค้าที่นครเหนือเมฆครั้งนี้ นางซุนชิงได้กำไรมาอย่างมหาศาล มโนธรรมในใจไม่อาจสงบลงได้ จึงจำเป็นต้องเอาชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งมาเป็น ของชดเชย หากเซียนกระบี่เฉินไม่รับไว้ ก็ได้เหมือนกัน ถึงอย่างไรนางซุนชิงก็แสดงความเกรงใจไปแล้ว หากเซียนกระบี่เฉินก็ยังจะเกรงใจด้วย ถ้าอย่างนั้นนางก็ ไม่เกรงใจแล้ว
เฉินผิงอันพูดติดต่อกันว่าไม่เกรงใจ ข้าไม่เกรงใจ แล้วรับชุดคลุมอาคมที่หรูหรางดงามและยังมีระดับยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดชิ้นนั้นเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือลักษณะของชุดคลุมอาคมจวนไช่เฉวี่ยชิ้นนี้มีกลิ่นอายของสตรีหนักไปหน่อย ไม่เหมือนชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะของผีสาวเมืองฟูนี่ตัวนั้น ที่เขาเฉินผิงอันสามารถสวมใส่ได้
อู่ชวินไม่ได้รั้งอยู่นานนัก แค่ทิ้งใบชาไว้หลายโถใหญ่ บอกว่านี่ก็คือกำแพงดำน้อยที่เหลืออยู่ของปีนี้ของจวนไช่เฉวี่ยแล้ว
สุดท้ายอู่ชวินยิ้มกล่าวว่า “หากเซียนกระบี่เฉินจะนำไปขาย ก็โปรดขายในราคาสูง ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อชื่อเสียงของกำแพงดำน้อยแห่งจวนไช่เฉวี่ย”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “รบกวนบอกเจ้าสำนักซุนสักคำ ข้าจะเก็บกำแพงดำน้อยโถหนึ่งไว้มอบให้คนอื่น”
อู่ชวินยิ้มอย่างเข้าใจ นางพยักหน้ารับแล้วทะยานลมจากไป
อู่ชวินเพิ่งจากไป เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็มาเยือน
เฉินผิงอันที่เพิ่งจะนั่งลงจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนรอต้อนรับอีกครั้ง
เจ้านครเหนือเมฆท่านนี้ยิ้มกล่าว “อู่ชวินคงไม่ได้มาเชิญให้ท่านเฉินไปเป็นผู้ถวายงานของภูเขาหรอกกระมัง? ไปไม่ได้นะ ไปไม่ได้ มีแต่เสียงเจื้อยแจ้ว ชวนให้คนเวียนหัวตาลาย มีแต่จะถ่วงเวลาการฝึกตนของท่านเฉิน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จวนไช่เฉวี่ยไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น”
หลังจากนั่งลงแล้ว เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็เอ่ยว่า “ท่านเฉิน ในเมื่อจวนไช่เฉวี่ยมีตาแต่ ไร้แววเช่นนี้ ไม่สู้ท่านเฉินแขวนชื่อไว้ที่สำนักข้าดีกว่าไหม? นอกจากจะได้ เงินเทพเซียนของผู้ถวายงานทุกปี เรือนแห่งนี้ รวมไปถึงถนนซู่อวี้ทั้งเส้นของ นครเหนือเมฆแล้ว ร้านค้าน้อยใหญ่สามสิบสองร้านล้วนจะเป็นของท่านเฉินทั้งหมด”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากตอบรับเจ้านคร แต่เป็นเพราะไม่อาจตอบรับได้จริงๆ”
การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป มีภัยและเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย
เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานชายหาดโครงกระดูก คนเบื้องหลังที่จ่ายเงินจ้างนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ รวมถึงการตายของไหวเฉียน
เฉินผิงอันไม่ยินดีจะลากคนที่มากกว่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เดินทางไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง มีเพียงหมัด กระบี่และสุราอยู่เคียงข้าง สบายใจกว่ามาก
เสิ่นเจิ้นเจ๋อจึงไม่เอ่ยอะไรมากอีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้านคร แม้ว่าจะไม่อาจตอบรับเจ้า กลายมาเป็นผู้ถวายงานที่นอนรับเงินค่าเช่าของนครเหนือเมฆได้ แต่ความหวังดีของเจ้านคร ข้ารับไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่ข้ารู้สึกว่าถึงเวลาที่เหมาะสม ย่อมต้องเป็นฝ่ายมาขอถนนซู่อวี้ทั้งสายจากนครเหนือเมฆเอง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
ต่อให้เขาเสิ่นเจิ้นเจ๋อรอได้ไม่ถึงวันนั้น ก็ไม่เป็นไร นครเหนือเมฆยังมีสวีซิ่งจิ่ว
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเป็นคนฉับไวตรงไปตรงมาคนหนึ่ง
เขาไม่ได้อยู่นานนัก หลังจากพูดคุยธุระจบก็จากมาทันที
เฉินผิงอันจึงถือโอกาสนี้ขอรายงานภูเขาสายน้ำส่วนหนึ่งมาจากนครเหนือเมฆ เก่าใหม่ล้วนไม่เป็นไร
เสิ่นเจิ้นเจ๋อตอบรับทันที บอกว่าเดี๋ยวจะให้สวีซิ่งจิ่วนำมาให้
เฉินผิงอันเดินวนอ้อมโต๊ะหินอยู่ในศาลา ฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง คล้ายหลับแต่ไม่หลับ ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่าง
หลังจากฝึกหมัดได้สองชั่วยามก็กลับห้องไปพักครู่เล็กๆ เขานั่งลงบนเบาะใบนั้นแล้วเริ่มหลอมปราณวิญญาณอีกครั้ง
ขยับเข้าใกล้ช่วงเที่ยงวัน เฉินผิงอันก็หยิบวัตถุวิเศษที่ได้รับมาจากท่าเรือ สำนักพีหมาชิ้นนั้นออกมา เอาวางไว้บนโต๊ะหินในศาลามันคือที่ล้างพู่กัน กระเบื้องเคลือบซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับรากฐานภูเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ ดังนั้นหากทางฝั่งของภูเขาตี่ลี่คลายตราผนึกออกก็จะมีภาพเหตุการณ์บนภูเขาเหมือนบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้ำปรากฎขึ้น ขอแค่ผู้ฝึกตนไม่ได้ออกไปจากอุตรกุรุทวีปก็ล้วนสามารถเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนภูเขาตี่ลี่ได้อย่างชัดเจน หากอยู่ห่างไกลไปอีกทวีปหนึ่ง ก็จะเห็นเป็นภาพที่พร่าเลือนอย่างมาก
แม้เฉินผิงอันจะสร้างจวนน้ำขึ้นมาได้แล้ว แต่อันที่จริงกลับไม่มีวิชาน้ำติดกาย เขาจึงได้แต่หยิบเอายันต์มหานทีไหลสะพัดแผ่นหนึ่งออกมาบีบให้แตกเบาๆ ทันใดนั้นก็มีน้ำเอ่อเต็มที่ล้างพู่กัน ไอน้ำลอยอบอวล
เพียงชั่วพริบตาเหนือที่ล้างพู่กันก็มีหินเขียวราบเรียบขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งลอยขึ้นมา นี่ก็คือภูเขาตี่ลี่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตรกุรุทวีป ผู้ฝึกตนทั้งทวีปล้วน รู้จักดียิ่งกว่าขุนเขาใหญ่ของราชสำนักต่างๆ
บนภูเขาเขียวที่ราบเรียบนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่ปรากฏตัว
มองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์ด้านนอกภูเขา เห็นเป็นเพียงหมอกขาวโพลนเหมือนตอนอยู่ในซากปรักจวนเซียนแห่งนั้น นี่ก็คือเส้นแบ่งขอบเขตที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เดิมทียังนึกอยากจะเห็นภูเขาชมศึกลูกที่สำนักฉงหลินซื้อไว้สักหน่อย
และสำนักการค้าที่ถูกขนานนามว่า สองแขนเสื้อมีลมเย็นสำนักฉงหลิน ขอบเขตหยกดิบพลังสังหารไร้เทียมทาน แห่งนี้ก็คือหนึ่งในเป้าหมายที่เฉินผิงอัน อยากคบค้าสมาคมด้วยมากที่สุดในการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะเลื่อมใสเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบที่ ‘เซียนกระบี่ ยอมแพ้ห้าขอบเขตบน’ ท่านนั้น แต่เป็นเพราะสำนักฉงหลินที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้คือผู้ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตในถ้ำสวรรค์หลีจูรายใหญ่ที่สุดจากต่างทวีป ในปีนั้น ไม่มีหนึ่งใน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางเป็นฝ่ายไปประจบเอาใจสำนักฉงหลิน
ร้านผ้าห่อบุญของเฉินผิงอันไม่ได้เป็นอย่างเสียเปล่า จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายมาหาเขาด้วยตัวเอง ทั้งสองฝ่ายจะเจอหน้ากันที่ไหนอย่างไร สมเหตุสมผลแค่ไหน ล้วนจำเป็นต้องให้เฉินผิงอันวางแผนไปทีละก้าว ปูพื้นไปอย่างระมัดระวัง กะแรงไฟ ให้ดี
สำนักที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อซึ่งปล่อยให้ผู้ฝึกตนทั้งทวีปพูดจาเย้ยหยันเหน็บแนม ได้ตามใจ หมายความว่าอีกฝ่ายมีความอดทนเป็นเลิศ ขณะเดียวกันกับที่อดทน ก็ไม่แน่ว่าเวลาทำอะไรย่อมไม่มีเส้นบรรทัดฐาน นี่ต่างหากจึงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
สวีซิ่งจิ่วหอบเอารายงานภูเขาสายน้ำปึกใหญ่มาเยี่ยมเยียน ยิ้มกล่าวว่า “ท่านเฉินก็กำลังดูศึกที่ภูเขาตี่ลี่เหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันรับรายงานมา ยิ้มเอ่ยทักทาย “หากไม่ยุ่งก็นั่งลงดูด้วยกันเถอะ”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนออกมาสองกา ยื่นส่งให้สวีซิ่งจิ่วหนึ่งกา คนทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ต่างคนต่างดื่มเหล้าไปช้าๆ
ศึกบนภูเขาตี่ลี่ ในกลุ่มสิบคนรุ่นเยาว์ของอุตรกุรุทวีป หวงซีผู้ฝึกตนอิสระและ ผู้ฝึกยุทธซิ่วเหนียงลำดับขั้นอยู่ใกล้กันมาก คนหนึ่งอันดับที่สี่ คนหนึ่งอันดับที่ห้า
ช่วงนี้ในรายงานภูเขาสายน้ำฉบับหนึ่งมีเรื่องการคาดเดาใหม่มากๆ เกี่ยวกับสาเหตุที่คนทั้งสองเปิดศึกเป็นตายกัน บ้างก็บอกว่าคนทั้งสองเปลี่ยนจากรักเป็นแค้น แล้วก็มีคนบอกว่าชีวิตนี้หวงซีอายุไม่มาก แต่กลับฆ่าคนมากมาย ไม่ทันระวัง จนลามมาฆ่าญาติสนิทอย่างผู้ฝึกยุทธซิ่วเหนียง
สวีซิ่งจิ่วหยิบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาโยนใส่ที่ล้างพู่กันบนโต๊ะเบาๆ เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป กลายมาเป็นปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่ผสานรวมเข้าไปในโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ สมบัติอาคมวัตถุวิเศษบนโลกที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้เช่นนี้ล้วนมีวิชาอภินิหาร ‘กินเงิน’ เหมือนกันทั้งหมด
คราวก่อนหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับนักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงจับคู่ต่อสู้กัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ติดอยู่ตรงคอขวด อันที่จริงขนาดของภูเขาตี่ลี่มีอิทธิพลไม่น้อย หลังจากศึกหนึ่งผ่านไป ปราณวิญญาณของ ภูเขาตี่ลี่ก็เสียหายอย่างหนัก หากห้าขอบเขตบนเข่นฆ่ากันขึ้นมา คาดว่าคงเป็นดั่งปลาวาฬกลืนกินปราณวิญญาณฟ้าดินอย่างแน่นอน ทว่าภูเขาตี่ลี่ก็ยังคงมี ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าสาเหตุต้องเป็นเพราะมีผู้ฝึกตนที่ คอยชมศึกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันโยนเงินเทพเซียนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
สวีซิ่งจิ่วลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเฉิน วันหน้าหากข้า มีโอกาสลงจากภูเขาออกเดินทางไกล สามารถไปเยี่ยมเยือนท่านหลิวที่สำนักกระบี่ ไท่ฮุยได้หรือไม่?”
สวีซิ่งจิ่วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าเลื่อมใสท่านหลิวมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกเขาแทนเจ้าก่อนได้ แต่ไม่รับประกันว่าหลิวจิ่งหลงจะยอมพบเจ้าหรือไม่”
สวีซิ่งจิ่วดวงตาเป็นประกาย รีบลุกขึ้นยืนประสานมือขอบคุณ
เฉินผิงอันเอ่ย “จำเอาไว้ว่า ในอนาคตหากไปเยี่ยมเยือนหลิวจิ่งหลงที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย จะต้องเอาสุราดีๆ ไปด้วยหลายๆ กา หากพบหน้ากันแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพูด อะไรมาก แค่กระดกเหล้าอึกๆ ดื่มคารวะเขาก็พอ หลิวจิ่งหลงผู้นี้เป็นคนชอบดื่มเหล้ามาก แต่เวลาปกติไม่ยอมวางมาดลง จึงต้องมีคนเป็นผู้นำพา หากเขาบอกว่าตัวเขา ไม่ดื่มเหล้า เจ้าก็อย่าไปเชื่อเขา นั่นต้องเป็นเพราะเจ้าสวีซิ่งจิ่วยังดื่มได้ไม่มากพอ อย่างแน่นอน”
สวีซิ่งจิ่วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว! ท่านหลิวสมกับเป็นเจียวหลงบนบกในจินตนาการของผู้น้อยไม่มีผิดเพี้ยน! เป็นเซียนกระบี่ ที่ยินดีใช้เหตุผลสยบผู้อื่น ก็แสดงว่าจะต้องเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันมองไปยังภูเขาตี่ลี่ที่อยู่บนโต๊ะ โบกชายแขนเสื้อสองข้างหนึ่งครั้ง หินเขียวราบเรียบของภูเขาตี่ลี่ก็พลันขยายออกไปสี่ด้านแปดทิศ
เขากับสวีซิ่งจิ่วจึงเหมือน ‘ทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่สององค์’ ที่เยื้องกรายลงมาเยือนภูเขาตี่ลี่ด้วยตัวเอง
เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งขุนเขาสายน้ำ ตราผนึกก็ยิ่งใหญ่ และ ระดับขั้นสูงต่ำของวัตถุวิเศษที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสูง หรือต่ำก็จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการชมศึกเช่นกัน
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบใบนี้ของตน หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็คงได้แค่มองเห็นเงาร่างของหวงซีและซิ่วเหนียงที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น
เฉินผิงอันเคยถามฉีจิ่งหลงว่า ปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จะสามารถอาศัยโอกาสนี้สังหารคนบนภูเขาตี่ลี่ทั้งที่อยู่ห่างไปไกลเป็นหมื่นลี้ได้หรือไม่
ตอนนั้นฉีจิ่งหลงส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า บางทีขอบเขตเซียนเหรินอาจจะยังพอ มีโอกาสทำได้อยู่บ้าง แต่ขอบเขตหยกดิบนั้นอย่าได้เพ้อฝันเลย เพราะปราณกระบี่ ของผู้ฝึกกระบี่ให้ความสำคัญกับปณิธานกระบี่มากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนปราณวิญญาณของเงินเทพเซียนที่ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยแม้แต่น้อย และสิ่งเจือปนที่ว่านี้ก็จะทำให้วัตถุวิเศษที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้ำที่บอบบางระเบิดแตกคาที่ได้โดยตรง แต่ฉีจิ่งหลงเองก็บอกว่าบนภูเขา ก็มีวิชาอภินิหารเก่าแก่ และวิชานอกรีตบางอย่างที่ในประวัติศาสตร์เคยอาศัย สะพานเชื่อมอย่างบุปผาในคันฉ่องจันทราในน้ำนี้มาทำลายภูเขาลูกอื่นที่หวังช่วงชิงผลประโยชน์จากการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในน้ำนี้อยู่จริงๆ แต่ผู้ฝึกตนที่ใช้วิธีการเช่นนี้จะต้องอำพรางตัวตนอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะกลายเป็นศัตรูของคนทั้งทวีป ยกตัวอย่างเช่นอาจทำให้พวกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หรือแม้แต่ขอบเขตบินทะยานเกิดใจอยากรู้ว่าเป็นใคร
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูปกว่าจะถึงเที่ยงวัน
เฉินผิงอันพลันสังเกตเห็นว่าบนม่านฟ้าของภูเขาตี่ลี่มีริ้วคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมขึ้นมา
จากนั้นก็มีเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นว่า “ขอบเขตหยกดิบใต้หล้าไร้ศัตรูของสำนักฉงหลินผู้นั้น อยู่ที่ไหนเล่า?”
เพียงไม่นานบนม้วนภาพภูเขาตี่ลี่ก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาอีก แล้วก็มีคน ตอบรับว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีอะไรจะชี้แนะ”
เห็นได้ชัดว่าคนที่เปิดปากพูดก่อนได้โยนเงินเทพเซียนเข้ามาอีกเหรียญ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เสียใจที่ปีนั้นให้กำเนิดเจ้าน่ะสิ”
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ เจ้าสำนักฉงหลินผู้ยิ่งใหญ่ก็ใจเย็นยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ ไม่ด่ากลับไป กลับกันยังโยนเงินฝนธัญพืชอีกเหรียญหนึ่งเข้ามา แล้วตอบอย่าง นอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”
แล้วคนทั้งสองก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ พิจารณาเสร็จแล้วหรือยัง? หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ”
สวีซิ่งจิ่วเอ่ยเสียงเบา “ต้องเป็นสวีเซวี่ยนผู้นั้นแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลูกศิษย์ของป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งทิศเหนือ สวีเซวี่ยน อันดับที่สองในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทั้งสิบ ลำดับขั้นยังอยู่ก่อนหน้าฉีจิ่งหลงอีกด้วย
มีน้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น “โอ้โห จะได้ดื่มสุรามงคลของเจ้าสวีเซวี่ยนกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแล้วหรือ? คู่สร้างคู่สมเช่นนี้ สุรามงคลจอกนี้ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโส ก็ต้องดื่มให้ได้”
มีเสียงสตรีพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ข้ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว”
หินหนึ่งก้อนก่อให้เกิดลูกคลื่นพันชั้น
“ยินดีกับเจ้าสำนักเฮ้อด้วย”
“ขอถามเจ้าสำนักเฮ้อว่าคนที่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า คือเทพเซียนจากที่ใด?”
“เทพธิดาเฮ้อ จิตแห่งเต๋าของข้าแหลกสลายเสียแล้ว นับแต่วันนี้ไปคงขาดคน ให้หลงรักไปอีกหนึ่งคน”
สุดท้ายเป็นประโยคของสวีเซวี่ยนที่ทำให้เสียงฮือฮาทั้งหลายเงียบลงไป “ไม่เป็นไร พอเขาตาย เจ้าก็ไม่มีคู่รักเทพเซียนอีกแล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหัวเราะหยัน “ไม่สู้เจ้าและข้าสองคนนัดหมายเวลาไปพบกันที่ภูเขาตี่ลี่สักครั้งดีไหมเล่า? ขอแค่เจ้ากล้าฆ่าคนผู้นี้ ข้าก็จะทำให้ป๋ายฉางต้องควันธูปขาดสะบั้น”
สวีเซวี่ยนจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
สวีซิ่งจิ่วพูดอย่างเสียดายว่า “คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนอย่างเจ้าสำนักเฮ้อจะมี คู่บำเพ็ญเพียรอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นบุรุษคนใดที่โชคดีขนาดนี้”
แล้วสวีซิ่งจิ่วก็พลันสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก
เฉินผิงอันก้มหน้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ
กำลังจะถึงช่วงเที่ยงวัน
รุ้งยาวเส้นหนึ่งก็แหวกอากาศมาถึง ก่อนจะพลิ้วกายลงตรงตำแหน่งใจกลางของก้อนหินราบเรียบบนภูเขาตี่ลี่
ริมขอบของภูเขาตี่ลี่มีสตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้าคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนหินเขียว ตรงเอวของนางห้อยดาบยาวและกระบี่สั้น
เฉินผิงอันบังคับม้วนภาพภูเขาตี่ลี่ที่มีไอเมฆหมอกลอยอบอวลแห่งนี้ พยายามจะให้ ทั้งสองฝ่ายปรากฎตัวในม้วนภาพให้ได้มากที่สุด ส่วนข้อที่ว่าจะมองเห็นโฉมหน้าของคนทั้งสองชัดเจนหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ที่ใช้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ก็อาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าทั้งสองฝ่ายลงมืออย่างไรกันแน่ พวกเขาก็แค่มาชมเรื่องสนุกเท่านั้น
เพราะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางหลายคนล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมองเห็นบุคคลในม้วนภาพได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ได้เห็นประกายแสง พร่างพราวที่เกิดจากสมบัติอาคมโจมตีหรือปลดปล่อยมาจากวิชาเซียนเท่านั้น
ดังนั้นบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปจึงมีถ้อยคำหนึ่งสืบทอดกันมาตลอดว่า หากไม่ใช่เซียนดินโอสถทองก็ไม่ต้องหวังเลยว่าจะมองกลยุทธการจับคู่ต่อสู้ใดๆ บนภูเขา ตี่ลี่ออก
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้ โดยเฉพาะประวัติการเรียนวรยุทธของนาง ไม่ว่าจะเป็นรายงานภูเขาสายน้ำฉบับใดของอุตรกุรุทวีป ก็ล้วนไม่สามารถบอกกล่าวได้อย่างชัดเจน
เพียงไม่นานสวีซิ่งจิ่วก็รู้สึกว่าโชคดีที่ตัวเองมาที่นี่ ไม่ได้อยู่ชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ ข้างกายอาจารย์ ในอดีตเวลาชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ร่วมกับอาจารย์ เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็มักจะปรับมุมของม้วนภาพ ขยายหรือไม่ก็หดขนาดของม้วนภาพอยู่ตลอด แต่กระนั้น ก็ยังพลาดฉากที่สำคัญไปมากมาย ทว่าในสายตาของสวีซิ่งจิ่ว เขากลับรู้สึกว่า อาจารย์ไม่สามารถปรับให้เห็นฉากการต่อสู้ได้อย่างแม่นยำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้า ซิ่วเหนียงที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับ รวมไปถึงการออกหมัดของนาง และ การปล่อยวิชาคาถาและสมบัติโจมตีที่มืดฟ้ามัวดินของผู้ฝึกตนอิสระหวงซี แม้ว่าจะยังมีบางจุดที่พลาดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สวีซิ่งจิ่วก็เพิ่งค้นพบว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองเห็นศึกบนภูเขาตี่ลี่ได้ ‘สมจริง’ ขนาดนี้ แต่ละฉากร้อยเรียงต่อเนื่องกัน จะดีจะชั่ว ก็สามารถมองเห็นเส้นทางการเข่นฆ่าระหว่างสองฝ่ายได้คร่าวๆ
เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิ ขยับหมุนม้วนภาพอย่างต่อเนื่อง
ศักยภาพแท้จริงที่ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นแสดงออกมาในตอนนี้ คือขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงคนหนึ่ง นางออกหมัดเร็วมาก และเรือนกายก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด
นี่นางยังไม่ได้ชักดาบชักกระบี่ออกจากฝักเลยด้วยซ้ำ
ส่วนจะใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาหรือไม่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป
แม้ว่าใบหน้าและอายุของปรมาจารย์วิถีวรยุทธจะไม่ชวนให้คนคาดเดาได้ยากเหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขา แต่ยิ่งขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสูงเท่าไร ยิ่งเดินขึ้นเขา ได้เร็วเท่าไร สองอย่างนี้ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธหญิงที่คิดดูแล้วก็น่าจะยิ่งเป็นเช่นนี้ น่าจะชะลอ ความเสื่อมโทรมของรูปโฉมได้เหมือนกัน
หวงซีคือผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดที่หนุ่มมากคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับฉีจิ่งหลงแล้วยังอายุน้อยกว่าหลายปี อันดับที่สามและอันดับที่สี่บนกระดานต่างก็มีอายุไม่ถึงร้อยปี
ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเช่นนี้ เดิมทีก็คือแรงกดดันอย่างหนึ่งที่ทำให้ พวกเซียนดินโอสถทองที่อายุสองสามร้อยปีรู้สึกว่าเวลาส่วนใหญ่ของตนถูกหมา คาบไปกินหมดแล้วหรือไม่
แล้วทันใดนั้นม้วนภาพภูเขาสายน้ำก็เริ่มพร่าเลือน ส่ายไหวไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
สวีซิ่งจิ่วรีบโยนเงินเกล็ดหิมะหลายเหรียญเข้าไปด้วยท่าทางคุ้นเคย ม้วนภาพ จึงกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตระกูลเซียนคือการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำดีจริงๆ หากวันหน้าภูเขาลั่วพั่วก็มีกิจการเช่นนี้ จะหาเงินมาจากสิ่งใด? หรือว่าจะอาศัยการเล่านิทานของจูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิง? เฉินผิงอันกังวลจริงๆ ว่าวันหน้าชื่อเสียงของภูเขาลั่วพั่วจะฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนน ในอนาคตพอลูกศิษย์ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ บางทีหากเป็นสตรีคงดีหน่อย แต่หากเป็นบุรุษจะไม่ถูกผู้คนป้องกันราวกับพวกเขาเป็นโจรผู้ร้ายเลยหรอกหรือ?
ส่วนช่องทางอื่น เฉินผิงอันก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ หรือจะให้ลากฉีจิ่งหลงไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือบนภูเขาลั่วพั่ว ให้เขานั่งลงถกปัญหาสักครั้งสองครั้ง? ให้จูเหลี่ยนพ่อครัวผู้เฒ่าทำกับข้าวหลากหลายวางไว้เต็มโต๊ะ? หรือจะให้เผยเฉียนแสดงวิชา กระบี่มารคลั่ง? ให้เว่ยป้อเล่นหมากล้อมกับคนอื่น?
เฉินผิงอันกำจัดความคิดวุ่นวายทั้งหลายแล้วเพ่งสมาธิชมศึกต่ออีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไม ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะตัดสินเป็นตายกัน
สวีซิ่งจิ่วดูจนเริ่มเวียนหัวตาลาย ต้องดื่มเหล้าอึกหนึ่งระงับความตกใจ
เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งดุจขุนเขา และยังคอยขยับเคลื่อนม้วนภาพบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้นอย่างต่อเนื่อง
ทำเอาสวีซิ่งจิ่วที่มองดูยิ่งเลื่อมใสเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันถาม “ศึกใหญ่บนภูเขาตี่ลี่ครั้งที่ยาวนานที่สุด สู้กันนานแค่ไหน?”
สวีซิ่งจิ่วตอบ “ศึกใหญ่ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์คือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง คนหนึ่งทุ่มกำลังโจมตี อีกคนหนึ่งพยายามป้องกันอย่างสุดชีวิต ฝีมือทั้งสองฝ่ายสูสีกัน ดูเหมือนจะสู้กันอยู่เกือบเดือน”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว หากชมศึกจนถึงช่วงสุดท้ายจะต้องกินเงินเกล็ดหิมะไปกี่เหรียญกัน?
สวีซิ่งจิ่วเอ่ยอีกว่า “ในประวัติศาสตร์ยังมีการเข่นฆ่าของเซียนกระบี่สองท่าน ที่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็ทำให้ปราณวิญญาณของภูเขาตี่ลี่เหือดหาย ไม่ว่าผู้ฝึกตน ที่ชมศึกจะทุ่มเงินเทพเซียนอย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ล้วนเป็นดั่งน้ำถ้วยเดียวที่ไม่อาจ ดับไฟไหม้รถทั้งคันได้ ดังนั้นศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้นจึงมีเพียงภูเขา ที่อยู่ใกล้กับภูเขาตี่ลี่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นผลสรุปได้คร่าวๆ
แต่ก็ได้ยินมาว่ามีปราณกระบี่กระเพื่อมล้นออกมาจากภูเขาตี่ลี่ เพื่อปกป้องภูเขาไม่ให้ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย สำนักฉงหลินจึงได้แต่เปิดใช้ค่ายกลใหญ่ ผลาญเงินฝนธัญพืชไปรวดเดียวร้อยกว่าเหรียญ แล้วยังต้องขอยืมอีกสองร้อยเหรียญมาจากผู้ฝึกตนบนภูเขา หลังจบเรื่องค่อยมีการชดเชยให้ นับแต่นั้นมาบนภูเขาของสำนักฉงหลินจึงต้องมีเงินฝนธัญพืชเตรียมไว้สามร้อยเหรียญตลอด”
แล้วทันใดปราณวิญญาณก็แผ่ล้นไปทั่วร่างของสวีซิ่งจิ่ว เขาพลันลุกขึ้นยืน เตรียมจะบอกลาจากไป
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องดี เมื่อประตูถ้ำสถิตเปิดออกก็ขึ้นหอไปชมมหาสมุทร”
สวีซิ่งจิ่วทะยานลมจากไป ทางนครเหนือเมฆได้เตรียมสถานที่สำหรับฝ่าทะลุขอบเขตไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว
หลายวันมานี้เขาวนเวียนแตะอยู่ริมขอบของการฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ตลอดเวลา รอแค่โอกาสอันดีก็เท่านั้น
หลังจากสวีซิ่งจิ่วจากไป เสิ่นเจิ้นเจ๋อผู้เป็นอาจารย์ก็จะช่วยเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เขาเอง
ช้าสุดสามวันห้าวัน นานสุดคือสองสามปี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่ายิ่งฝ่าด่านเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่ายิ่งฝ่าด่านช้า แล้วจะยิ่งมั่นคง ยังคงต้องดูที่โชควาสนาของใครของมัน
โครงกระดูกและช่องโพรงลมปราณเกิดลมเย็นพัดโชยเป็นระลอก กลางบ่อน้ำ มืดลึกมองทะลุไปเห็นรูปโฉมที่แท้จริง
น่าเสียดายที่ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่เคยเห็นภาพปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามอย่างเขา เส้นทางที่เดินมานี้อ้อมไปไกลมาก แล้วก็มีอุปสรรคเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันชมศึกต่ออีกครั้ง
บนภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายที่ประมือกันต่างก็มีจิตสังหารเข้มข้น
เพียงแต่ว่าต่างก็กำลังหยั่งเชิงกันและกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังหาโอกาสโจมตีเอาชีวิตกันอยู่
เฉินผิงอันโยนเหรียญเกล็ดหิมะไปหลายเหรียญแล้ว
ดื่มเหล้าไปหลายอึก ก็มีแต่จะคีบกับแกล้มขึ้นมาจากจาน ไหนเลยจะมีหลักการ ที่โยนกับแกล้มลงจาน
การเข่นฆ่าของคนทั้งสองนี้ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไรเลย
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะหิน เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง ข้างมือมีเงิน เกล็ดหิมะที่กองกันเหมือนภูเขาลูกย่อม
ดูจากท่าทางของคนทั้งสองแล้วน่าจะยังสู้กันอีกนาน
ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม ยอดเขาเงินเกล็ดหิมะของเฉินผิงอันก็ถูกปาดเรียบไปแล้ว
มีคนทุ่มเงินฝนธัญพืชไปหนึ่งเหรียญ ด่าอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “หากคู่สุนัขชายหญิง ที่ทั้งรักทั้งแค้นกันอย่างพวกเจ้าคิดจะฆ่ากันจริงๆ เหตุใดต้องหลอกเอาเงินเทพเซียนของคนอื่นด้วย! หวงซี ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ หากไม่ตายอยู่บนภูเขาตี่ลี่ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องได้กินกระบี่จากข้า!”
ที่แท้หวงซีผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ที่อำพรางตัวตนอย่างลึกลับ
ส่วนซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจมากเหมือนกัน เพราะนางเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียนมากมาย
แม้จะบอกว่าดูเหมือนคนทั้งสองจะกำลังขัดเกลาตบะให้แก่กันและกัน แต่ยามที่ประมือกันก็มีปราณสังหารเข้มข้นทั้งคู่ เฉินผิงอันเริ่มใคร่รู้แล้วว่าระหว่างคนทั้งสอง มีความรักความแค้นแบบใดเกิดขึ้นกันแน่ ถึงได้คิดจะให้ทุกคนเป็นพยานในความเป็นความตายของพวกเขาบนภูเขาตี่ลี่แห่งนี้
ผ่านไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน บีบเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ให้สลายเป็นปราณวิญญาณไปโดยตรง พยายามประคับประคองม้วนภาพภูเขาสายน้ำที่ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบสร้างขึ้นเอาไว้
ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นจะเรียกอาวุธหนักบนภูเขาที่ระดับขั้นสูงมาก ชิ้นหนึ่งออกมา ประหนึ่งดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า กลบทับไปทั่วทั้งภูเขาตี่ลี่ ต่อให้จะเพียงแค่มองผ่านม้วนภาพภูเขาสายน้ำ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกแสบตา
เป็นเหตุให้โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ถูกก่อกวนจนกลายมาเป็นเหมือนบ่อน้ำขุ่นๆ ทำให้คนที่ชมศึกมองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน
เฉินผิงอันเห็นเพียงว่ามีเส้นสีดำบางๆ เส้นหนึ่งตัดผ่าแสงสว่างเจิดจ้าที่กลบทับ ฟ้าดินนั้น
ครู่หนึ่งต่อมา
บนหินราบเรียบของภูเขาตี่ลี่
หวงซีที่เลือดเนื้อสลายหายไปเกินครึ่งจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกครึ่งร่างกลับไม่ตาย กลับกลายเป็นซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงที่ลงมืออย่างน่าตะลึงผู้นั้น ที่ร่างหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนสลายหายไป หรือสามารถ หนีรอดไปได้ท่ามกลางเส้นแบ่งความเป็นความตายกันแน่
หวงซียืนโงนเงน หลังจากเดินออกมาได้สองสามก้าวก็ทะยานลมขึ้นสูง ไปจากภูเขาตี่ลี่
เฉินผิงอันทอดถอนใจไม่หยุด ขอแค่เป็นการจับคู่ต่อสู้ที่ขอบเขตไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ร้อยพันคาถาอาคม สุดท้ายก็สู้หนึ่งกระบี่ไม่ได้
หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม
เฉินผิงอันเก็บที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบและเงินเกล็ดหิมะกองนั้นมา
การชมศึกครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ยังมีผลเก็บเกี่ยว
วิธีการออกหมัดและปณิธานของซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธคนนั้น มีความหมายค่อนข้างมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งที่สุดโต่งต่างไปจากหมัดเขย่าขุนเขาของ กู้โย่วและวิชาหมัดของชุยเฉิงแห่งเรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันที่อยู่ในศาลาเดินนิ่งออกหมัดช้าๆ เลียนแบบกระบวนท่าหมัด อย่างหยาบๆ ของอีกฝ่าย รวมไปถึงวิธีการปล่อยหมัดและฝ่ามือของผู้ฝึกยุทธหญิง ผู้นั้น
ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันก็หยุดเดินแล้วเก็บหมัด เพราะเขาเรียนรู้ไม่เป็นแม้แต่น้อย ไม่มีปณิธานหมัดอยู่บนร่างเลยสักนิด
แต่เดิมทีผลเก็บเกี่ยวก็ไม่ได้อยู่ที่กระบวนท่าหมัด เฉินผิงอันคาดการณ์ได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ผลประโยชน์ที่แท้จริงอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อวิชาหมัด บนโลกนี้ที่กว้างมากขึ้น ในอนาคตเมื่อต้องนำมารับมือกับศัตรู ในใจก็จะยิ่งมี ความมั่นใจมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ พยายามจะจดจำปณิธานหมัดของนางให้มากขึ้น ต่อให้ตัวเองจะสามารถเลียนแบบได้เหมือนทางรูปลักษณ์แค่ไม่กี่ส่วน แต่จะดีจะชั่ว ก็นำมาทำเป็นเวทอำพรางตาได้
หลังจากลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็เริ่มสาวเท้าเดิน ฝึกฝนให้มาก เมื่อในใจพอจะมีความมั่นใจได้คร่าวๆ แล้ว อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องที่ชวนให้เสียใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
กระดาษยันต์สีทองพวกนั้นเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว
เหลืออยู่สิบแผ่นสุดท้าย
จำเป็นต้องคิดคำนวณอย่างละเอียด
ยันต์โบราณทั้งหลายที่บันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตอนนี้ เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม นอกจากยันต์ขั้นพื้นฐานอย่าง พวกยันต์ปราณหยางส่องไฟแล้ว เขาก็ไม่สามารถวาดได้เลย
ถึงขั้นที่ว่าเฉินผิงอันใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธไปวาดยันต์ยังง่ายกว่าใช้สถานะของ ผู้ฝึกลมปราณวาดยันต์ด้วยซ้ำ ยันต์ที่วาดออกมาได้ก็มีระดับขั้นสูงกว่า
น่าเสียดายที่ยันต์ที่ผู้ฝึกยุทธวาดไม่สามารถปิดประตูผนึกภูเขา แสงวิญญาณจิตแห่งยันต์จะไหลหายไปเร็วมาก
เฉินผิงอันหยิบเอายันต์สีทองสิบแผ่นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ พลิกไปพลิกมา เพื่อนับจำนวนของพวกมัน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเพิ่มขึ้นมาจากเดิม
ออกจากศาลา เดินไปนั่งบนเบาะในห้องแห่งนั้น ปลดเจี้ยนเซียนลงมาจากผนัง เอามาวางพาดไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา ควบคุมเศษซากปราณกระบี่กลุ่มนั้นออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นสิบวันเต็ม
ในตลาดนอกนครเหนือเมฆก็ไม่มีร่างของร้านผ้าห่อบุญหนุ่มที่เปิดแผงขายยันต์ปรากฏตัวอีกเลย
……
เมืองหลวงต้าหลี ฮ่องเต้หนุ่มอายุน้อยกำลังเปิดประชุมเล็กๆ ตามกำหนดการอยู่ในห้องทรงพระอักษร
ขุนนางยี่สิบกว่าคนมารวมตัวกัน ห้องทรงพระอักษรไม่ใหญ่นัก เมื่อมีคนเพิ่มขึ้นมา จึงดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด
คนที่มีอายุมากที่สุดก็คือนายท่านผู้เฒ่ากวนเจ้ากรมการคลัง ดูเหมือนว่า การประชุมใหญ่จะเผาผลาญจิงชี่เสินของผู้เฒ่ามากเกินไป เวลานี้เขาจึงกำลังนั่ง งีบหลับอยู่บนเก้าอี้ ในมือประคองเตาอุ่นมือข