กระบี่จงมา – ตอนที่ 551 น่าเสียดายที่ฝนตก เงินไม่ตก

เฉินผิงอันอยู่บนเกาะเป็ดน้ำมาเกือบสิบวันแล้ว ในช่วงเวลาระหว่างนี้             เขาได้ขอให้หลี่หยวนช่วยทำเรื่องสองเรื่อง นอกจากงานพิธียันต์ทองสุ่ยกวาน         ขจัดเภทภัยนั่นแล้ว ก็ยังขอให้เขาช่วยเอาจดหมายส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันเดาสถานะของคนผู้นี้ไม่ออก ใบหน้าเป็นเด็กหนุ่ม ทว่ามองดูแล้วเหนื่อยล้าอ่อนแรง ท่าทางไม่กระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าการฝึกตนพบเจอกับคอขวด เป็นภาพปรากฎการณ์ที่จิตวิญญาณแห้งเหี่ยวโรยรา ความฮึกเหิมร่วงดิ่งลงซึ่ง         เฉินผิงอันเคยพบเห็นมาจากบนร่างของผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่ไร้ความหวังบนมหามรรคา นอกจากจะสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของค่ายกลเกาะเป็ดน้ำแล้ว หลี่หยวนก็ไม่มีทางขึ้นเกาะมาโดยพลการ เฉินผิงอันจึงยิ่งไม่เข้าใจว่าการฝึกตนของหลี่หยวนตลอด    หลายปีที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมานี้มีสภาพแบบใดกันแน่ ทว่าบนรายงานภูเขามากมายพวกนั้นกลับไม่เคยมีบันทึกใดๆ เกี่ยวกับเขา

ช่วงที่ผ่านมานี้นอกจากจะหล่อหลอมปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำอย่าง             ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทุกวันแล้ว ก็ยังสร้างความมั่นคงและขยับขยายพื้นที่ให้กับ       ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญสองแห่งอย่างจวนน้ำและศาลภูเขา รวมไปถึงชูอีกับสืออู่   ที่แยกกันขัดกลึงปลายกระบี่อยู่บนแท่นสังหารมังกร สะเก็ดไฟแตกกระเซ็นไปสี่ทิศ เหมือนห้องหลอมกระบี่ของช่างหร่วนที่บ้านเกิดที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง     เต็มห้อง

สี่ฤดูกาลของถ้ำสวรรค์มังกรเหมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา ฤดูหนาวไม่เหน็บหนาว ฤดูร้อนอากาศไม่แผดเผา มักจะมีฝนตกบ่อยๆ มีทั้งฝนโปรยปรายเม็ดเล็กๆ แล้วก็มีฝนที่กระหน่ำตกหนัก ทุกครั้งที่ฝนตก เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าเกาะที่อยู่ใกล้เคียงจะมี  ผู้ฝึกตน ซึ่งส่วนใหญ่คือผู้ฝึกตนเซียนดิน บ้างก็ออกมาอาบน้ำฝนรสหวานชุ่มฉ่ำ        ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์

เปิดประตูจวนอ้ากว้าง ดูดซับปราณวิญญาณไอน้ำมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็เรียกเอาสมบัติบนภูเขาที่ลักษณะคล้ายคลึงกับกาหยก แจกัน ฯลฯ ออกมารองรับน้ำฝน     ไม่ให้หยดลงบนพื้นดินของเกาะแม้แต่หยดเดียว

ช่วงที่หยุดพักก็จะเปิดรวมเล่มเรื่องเล่าที่สุดท้ายแล้วทุกคนในเรื่องราวล้วน     ตายกันหมด ขั้นตอนแตกต่างกันออกไป นิสัยส่วนใหญ่ก็ไม่คล้ายคลึง วิธีการตาย       มีร้อยพันรูปแบบ สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของใครก็ยิ่งหลากหลายไม่ซ้ำวิธี

ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาของซากปรักจวนเซียน ท่ามกลางแม่น้ำกาลเวลา          ที่หยุดชะงัก หนังสือเล่มนี้ร่วงลงมาตอนที่ปีศาจใหญ่ตายไป แล้วนักพรตซุนก็นำมามอบให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเจอร่มกระดาษน้ำมันที่ด้ามร่มทำจากไม้ไผ่คันหนึ่งบนเกาะเป็ดน้ำ     ขอแค่เป็นเวลาที่ไม่ได้ฝึกตน ทุกครั้งที่ฝนตกลงมา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน      เขาก็จะต้องออกไปเดินเล่นข้างนอก เดินถือร่มเพียงลำพังวนรอบเกาะเป็ดน้ำไป    หนึ่งรอบ เป็นระยะทางที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกันประมาณสามสิบลี้

แผ่นป้ายทั้งสามแผ่น แผ่นหยกชือหลงที่สลักคำว่า ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ของหลี่หลิ่ว   ได้ถูกเฉินผิงอันปลดลงมาเก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ของหลี่หยวนที่ใช้ควบคุมค่ายกลภูเขาสายน้ำ กับ ‘พักผ่อน’ แผ่นไม้ข้ามสะพานของสำนักมังกรน้ำยังคงแขวนไว้ที่เอว ตอนที่เดินอยู่ท่ามกลาง    สายฝน บางครั้งที่สาวเท้าก้าวยาวๆ ก็จะมีเสียงตีกระทบกันดังเบาๆ

ท่ามกลางสายฝนในค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันยังคงกางร่มเดินออกมาจากเรือน          คิดคำนวณเวลา จดหมายตอบกลับของจูเหลี่ยนก็น่าจะใกล้มาถึงแล้ว

เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งไม่เดินหน้า ทอดสายตามองไประหว่างเกาะป๋ายเจี่ยกับ    เกาะชางหรานที่อยู่ห่างไปไกล พลันมีรถม้าหรูหรางดงามคันหนึ่งแหวกทะลุผิวน้ำทะเลสาบออกมา รถม้าคันใหญ่เหมือนหอเรือน สี่มุมหลังคาเหมือนชายคาตวัดงอน    ที่ห้อยกระดิ่งเงินเอาไว้ ตอนที่ม้าสีขาวหิมะทั้งสี่ตัววิ่งตะบึง เสียงกระดิ่งก็ดังกรุ้งกริ้ง ประหนึ่งเสียงสวรรค์ท่ามกลางสายฝน ด้านหลังรถม้ามีสาวใช้สวมชุดสีสันสดใส       ดั่งกลุ่มบุปผาชูช่อ และกลุ่มคนลักษณะเหมือนขุนนางที่สวมชุดคลุมสีม่วงสีแดงสดเหยียบน้ำติดตามมาด้านหลังรถม้าเป็นขบวนใหญ่

บทรถม้า ไม่มีสารถีคอยบังคับม้า มีเพียงเด็กหนุ่มหลี่หยวนกับสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งที่มวยผมเหมือนพวงดอกไม้ สวมเสื้ออ่าว    ตัวสั้นผ่าหน้าที่มีการปักลายอย่างละเอียดประณีต ชุดคลุมด้านนอกเป็นผ้าโปร่งบาง   ที่ล่องลอยประดุจหมอกควัน

เด็กหนุ่มหลี่หยวนเปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวคอกลมสีเหลือง ตรงเอวรัดเข็มขัดหยกขาว สวมรองเท้าหุ้มแข้งสีดำ

เมื่อขบวนนี้ปรากฏตัว เฉินผิงอันก็สัมผัสได้ว่าบนสองเกาะใหญ่อย่างเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหรานเกิดภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติ ไอน้ำบริเวณโดยรอบแผ่อบอวลขึ้นมาบนเกาะ ปกคลุมเกาะทั้งสองไว้ภายใน เพียงไม่นานก็มองเห็นเพียงแค่เค้าโครงคร่าวๆ ของพวกมัน แต่เฉินผิงอันไม่แน่ใจว่าสาเหตุเป็นเพราะผู้ฝึกตนเปิดค่ายกล   ภูเขาสายน้ำ หรือเป็นเพราะในขบวนรถม้ามีคนร่ายใช้วิชาน้ำกันแน่ถึงได้ทำให้ผู้ฝึกตนไม่อาจลอบมองภาพปรากฎการณ์บนเกาะได้

รถม้าขับตรงมาหาเฉินผิงอัน ไม่ได้ตรงขึ้นไปบนเกาะ แต่หยุดอยู่ห่างจากเกาะ  เป็ดน้ำไปหนึ่งลี้ มีเพียงหลี่หยวนและสตรีมวยผมสูงคนนั้นที่เดินลงจากรถม้า มุ่งหน้ามาทางเกาะ

ดูเหมือนว่าสตรีที่ออกเรือนแล้วคนนั้นจะสลายเวทอำพรางตาทิ้งไป จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่เดิมทีพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัด นางมีดวงตาสีทองคู่หนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำในพื้นที่อย่างแน่นอน

หลี่หยวนกับสตรีคนนั้นพากันเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเฉินผิงอัน หลี่หยวนยิ้มพลางอธิบายว่า “ท่านผู้นี้คือเหนียงเนียงแห่งตำหนักน้ำหนานซวินที่รับผิดชอบดูแลการไหลเวียนของลมและฝนในถ้ำสวรรค์วังมังกร คุณชายเฉินสามารถเรียกนางว่า  เสิ่นฮูหยินก็ได้”

แม้ว่าฝนจะตกลงมาไม่เบา แต่เฉินผิงอันก็ยังรีบหุบร่มกระดาษน้ำมันทันที       เอ่ยเรียกหนึ่งคำว่าเสิ่นฮูหยิน

เหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นั้นยอบตัวคารวะด้วยพิธีการใหญ่ “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักหนานซวิน คารวะคุณชายเฉิน”

หลังจากที่นางยืดเอวขึ้นตรง ก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กลางอากาศเหนือ     เกาะเป็ดน้ำไม่มีฝนตกลงมาอีก

เฉินผิงอันเคยชินกับการมองสบตาคนที่ตัวเองพูดคุยด้วย จึงสังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าใบหน้าที่แท้จริงของเหนียงเนียงตำหนักวารีท่านนี้ สีหน้าเหมือน      กระเบื้องเคลือบ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ‘ผิวกระเบื้อง’ บนใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยแตกถี่ยิบตัดสลับกันไปมา หากจ้องมองให้ชัดเจนจะต้องทำให้คนหวาดผวาได้อย่างแน่นอน เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจได้แล้ว เขาไม่ได้แสร้งทำเป็นว่าตัวเองมองไม่เห็น แต่เอา            ร่มกระดาษน้ำมันหนีบไว้ใต้รักแร้ กุมหมัดขออภัยเหนียงเนียงตำหนักวารีที่ร่างทอง  ตกอยู่ในสภาวะอันตรายล่อแหลมผู้นี้

เสิ่นหลินคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายเฉิน             ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ หากรูปโฉมของเทพน้อยอย่างข้าทำให้คุณชายเฉินตกใจ ทำลายบรรยากาศอันดี นั่นต่างหากจึงจะเป็นโทษมหันต์อย่างแท้จริง”

หลี่หยวนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ราวกับรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างจะน่าสนใจ

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ได้หัวเราะ หลี่หยวนจึงได้แต่หยุดเสียงหัวเราะลง       อย่างขลาดๆ หาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว หากเจ้าพวกที่ในอดีตได้นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของ   ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรกลุ่มนั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ตอนนี้คงพากันหัวเราะครืน      ไปแล้ว

มือหนึ่งของเฉินผิงอันถือร่มกระดาษน้ำมัน จากนั้นก็เบี่ยงตัวผายมือข้างหนึ่ง      ไปด้านหน้า

เสิ่นหลินมองหลี่หยวนแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังรีบขยิบตาให้ นางถึงได้ไปเดินเคียงไหล่กับคุณชายเฉิน จากนั้นจึงเป็นหลี่หยวนที่เดินเอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอยตามมาด้านหลังคนทั้งสองอย่างเนิบช้า

ตำหนักวารีหนานซวินคือผู้นำของเทพวารีมากมายในถ้ำสวรรค์วังมังกร ส่วน    เทพภูเขานั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เมื่อมาอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้ก็ไม่มีตำแหน่งที่สุด ก็เหมือนองค์เทพภูเขาเล็กๆ ที่ถูกสายน้ำใหญ่ล้อมรอบกักขังไว้ในกรงขัง วิญญาณวีรบุรุษบางส่วนของราชวงศ์ต้าหยวนที่รอให้ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์สกุลหลู หรือไม่ก็ขุนนางผู้มีชื่อเสียงของแคว้นเล็กแห่งอื่นที่พอตายไปจิตวิญญาณ     ไม่สลายหายไปไหน หากได้ยินว่าต้องถูกโยนเข้ามาในถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้วได้รับ      การแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ก็อาจเกิดใจนึกอยากตายขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่มีใจ         ที่เห็นแก่ตัว ยังกลัวว่าเมื่อเข้ามาในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้แล้วจะมีพันธนาการ  เยอะเกินไป ธูปภูเขาจะเปรียบเทียบกับธูปสายน้ำได้อย่างไ? ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็ก มาอยู่ต่างที่ต่างถิ่น ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะย้อนกลับไป    หล่อเลี้ยงโชคชะตาภูเขาสายน้ำของแคว้นตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ว่า         วิญญาณวีรบุรุษตนใดก็ตาม ต่างก็มองว่าการที่ได้มาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาใน      ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กล้วนเป็นการถูกเนรเทศถูกลดตำแหน่งในวงการขุนนางอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงยอมเป็นเทพอภิบาลเมืองของอำเภอเล็กๆ แต่ไม่ยอมเป็นเทพภูเขาของถ้ำสวรรค์

และการที่เสิ่นหลินบอกว่าตัวเองเป็นอดีตคนของตำหนักหนานซวินก็เป็นคำกล่าวที่ชวนให้ขบคิดอย่างหนึ่ง เพราะถ้ำสวรรค์วังมังกรที่กินรัศมีแปดพันลี้ มีเกาะน้อยใหญ่พันกว่าแห่ง มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นเป็นอันดับหนึ่งในทวีป เทพวารี เจ้าแห่งทะเลสาบ พ่อปู่แม่ย่าลำคลองในทุกวันนี้รวมๆ กันแล้วก็มีมากถึงสามสิบสองท่าน                 เกาะใหญ่สิบสองแห่งซึ่งรวมถึงเกาะของนครหลักเป็นหนึ่งในนั้น รวมเทพภูเขา      เทพอภิบาลเมือง เทพประจำศาลบุ๋นบู๊แล้ว เมื่อเทียบกับเทพวารี จำนวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ก็ยังมีมากกว่า

หลี่หยวนมอง ‘สตรีออกเรือนแล้ว’ ที่อยู่ห่างไปด้านหน้าไม่ไกลคนนั้น ในใจก็  ทอดถอนใจไม่หยุด

เห็นใจในชะตากรรมของกันและกัน

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทางสำนักมังกรน้ำสามารถทำได้ก็ยังคงเป็นอาศัยงานพิธียันต์ทองที่จัดขึ้นปีแล้วปีเล่ามาเพิ่มควันธูป แม้ว่าจะช่วยตำหนักหนานซวินได้เหมือนกัน   เพราะคล้ายคลึงกับการซ่อมแซมบ้านเรือนในหมู่ชาวบ้าน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ทำให้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงเหมือนกับการที่สุ่ยเจิ้งอย่างเขาดูดซับควันธูป             ชำระหล่อหลอมแก่นควันธูป จะว่าไปแล้วนี่ก็คือจุดที่ถ้ำสวรรค์สู้พื้นที่มงคลไม่ได้      ถ้ำสวรรค์เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น หากคิดจะจับกลุ่มสองสามคนฝึกตนอยู่ในสถานที่เงียบสงบ ไม่ต้องแย่งชิงกับวิถีโลก เป็นเรื่องที่ยากมาก ทว่าพื้นที่มงคลกลับมีอาณาบริเวณกว้างขวางมากกว่า ส่งผลดีต่อการรวบรวมควันธูปของชาวบ้าน นี่ต่างหากจึงจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เฉินผิงอันพูดคุยกับเสิ่นฮูหยินอย่างถูกคอ

น่าเสียดายที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรไม่เหมือนกับภูเขาตระกูลเซียนอย่างพวก      ตำหนักน้ำค้างวสันต์หรือจวนไชว่เฉวี่ยที่มีการจัดทำหนังสือรวมเล่มไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมของพื้นที่

ในความเป็นจริงแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินชื่อตำหนักหนานซวิน

แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ครอบครองตำหนักวารี ส่วนใหญ่มักจะมีประวัติความเป็นมา  ที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

ตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะจูไชที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย ในฐานะองค์หญิงแคว้นล่มสลาย แคว้นบ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวจ้งรุ่นก็มีตำหนักวารีแห่งหนึ่งในตำนานอยู่เหมือนกัน นี่ถึงได้ดึงดูดให้พวกผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งจับจ้องมองไปด้วยสายตาละโมบ แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เป็นคนของเชื้อพระวงศ์จูอิ๋งผู้นั้นยังคิดอยากจะได้ทั้งเงินทั้งสาวงาม เฉินผิงอันเคยเห็นความมหัศจรรย์ของโอสถที่    เก็บรักษาไว้ในตำหนักวารีมาก่อน ขนาดเซียนดินยังน้ำลายสอ ตามคำกล่าวของหลิวจ้งรุ่น โอสถวารีที่ล้ำค่าที่สุด หากโยนออกไปหนึ่งเม็ดก็สามารถทำให้ทะเลสาบ     ซูเจี่ยนเกิดลูกคลื่นสูงร้อยจั้ง ผู้คนแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกได้แล้ว

ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นยังคุยเรื่องการย้ายถิ่นฐานกับจูเหลี่ยนได้ไม่สำเร็จ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดหลิวจ้งรุ่นถึงได้  ดึงดันจะแบ่งผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชออกเป็นสองส่วน นอกจากศาลบรรพจารย์ที่ทิ้งไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ส่วนใหญ่ล้วน      ถูกส่งมาฝึกตนที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ในเมื่อทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้         มีกฎเกณฑ์แล้ว อีกทั้งยังมีสำนักเจินจิ้งของเจียงซ่างเจินเป็นผู้บัญชาการณ์            เมื่อเทียบกับทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีตที่ไร้ขื่อไร้แปก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน   พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยทรัพย์สมบัติน้อยนิดแค่นั้นของหลิวจ้งรุ่น สำนักเจินจิ้งคงไม่คิดจะอยากได้จริงๆ

ย้ายมาอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังต้องมาพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ เงินเทพเซียนที่เฉินผิงอันควรจะเก็บเอาจากเกาะจูไชก็ไม่มีทางน้อยลง     แม้แต่เหรียญเดียว เกาะจูไชระดมกำลังใหญ่โต อีกทั้งหลิวจ้งรุ่นยังต้องสิ้นเปลือง    เงินทอง เฉินผิงอันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลิวจ้งรุ่นทำการค้าอย่างไรกันแน่

ก็เหมือนที่เฉินผิงอันไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของหลี่หลิ่วกับหลี่หยวน แล้วก็     ไม่เข้าใจว่าเสิ่นหลินเกี่ยวข้องกับหลี่หยวนอย่างไร ดังนั้นตลอดทางมานี้เขาจึงพูดคุยกับเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินผู้นี้อย่างมีมารยาท

เนื่องจากตอนอยู่เกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนทำเรื่องนี้มาจนชินแล้ว เฉินผิงอัน  จึงคล่องแคล่วคุ้นเคยเป็นอย่างดี สามารถรับมือได้อย่างรอบคอบรัดกุม ถ้อยคำที่ใช้   มีมารยาท แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกถึงความห่างเหินเย็นชา ยกตัวอย่างเช่นเขาได้      ขอความรู้เรื่องความเป็นมาของป้ายศิลาองค์หญิงเซิงเซียนบนเกาะเป็ดน้ำจาก       เสิ่นหลินอย่างจริงใจ แน่นอนว่าเสิ่นหลินเองก็ย่อมบอกเล่าทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณที่มีวัยวุฒิสูงที่สุดในถ้ำสวรรค์วังมังกรเหมือนกับสุ่ยเจิ้งหลี่หยวน นางจึงรู้เรื่องราวในเขตอิทธิพลของตัวเองเหมือนสมบัติในบ้านตัวเอง

หลี่หยวนได้ยินว่าคนสองคนด้านหน้าที่เพิ่งพบเจอกันกำลังคุยกันอย่างถูกคอ

ก็รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย

เพียงแต่ว่านอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังรู้สึกถึงความเศร้าอาลัยด้วย

ผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบ* ที่สูงส่งเหนือผู้ใดท่านนั้น เวลาผ่านมานานไม่รู้กี่ปี กว่าที่นางจะมาเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรซึ่งเป็นตำหนักหลบร้อนบนลำน้ำจี้ตู๋ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย    ผลล่ะเป็นอย่างไร? แม้แต่ตำหนักวารีหนานซวินก็ยังคร้านจะกลับไปดู จะถามไถ่ถึงเสิ่นหลินที่ต่อให้ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยากสักคำก็ยังคร้านจะพูด

หลี่หยวนถึงขั้นมั่นใจได้เลยว่า หากไม่เป็นเพราะ ‘ท่านเฉิน’ ผู้นี้เดินทางมาเยือน ผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้นก็คงไม่คิดจะชายตาแลสุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ที่ดูแลตำหนัก  พักร้อนมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนอย่างเขาด้วยซ้ำ

ช่างไร้ความรู้สึกเสียจริง

หลี่หยวนมักจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเขาก็ดี หรือจะเป็นเสิ่นหลินก็ช่าง ต่างก็ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับขั้นไม่ต่ำแล้ว มากพอจะมองเมินความรู้สึกความผูกพันของ  คนบนโลกได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับท่านเทพใหญ่ยุคบรรพกาลที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย   ผู้นั้น พวกเขากลับกลายเป็นเหมือนคนในโลกมนุษย์ที่ยึดติดหมกมุ่นในรักอย่างไรอย่างนั้น

*ข้อความจากผู้แปล : ตอนก่อนๆ ผู้แปล แปลให้หลี่หลิ่วเป็นผู้ครองยุทธภพ     ซึ่งคิดว่าน่าจะแปลผิดค่ะ เพราะคำนี้คือคำว่าเจียงหู แปลได้สองอย่างคือยุทธภพ      กับแปลตรงตัวคือแม่น้ำทะเลสาบ หลี่หลิ่วฝึกธาตุน้ำ ภพก่อนเป็นองค์เทพฝ่ายน้ำ    ยุคโบราณ จึงน่าจะต้องแปลเป็นผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบ/เจ้าแห่งแม่น้ำทะเลสาบมากกว่า ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ ตอนก่อนหน้าผู้แปลจะไปไล่แก้ไขให้นะคะ

ดูเหมือนว่าเสิ่นหลินจะพูดคุยด้วยความอารมณ์ดี จึงเป็นฝ่ายแนะนำถึงขนบธรรมเนียมของถ้ำสวรรค์วังมังกรให้คุณชายเฉินผู้นั้นฟัง

นี่คือสิ่งที่เฉินผิงอันยินดีฟังมากที่สุด

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

ขึ้นเขาถามนายพราน ลงน้ำถามคนพายเรือ เข้าเมืองก็ต้องสอบถามเอาจากชาวบ้านในพื้นที่ ปีนั้นล้วนเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือทำด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นหลี่เป่าผิง    ที่ครุ่นคิดเรื่องราวและลงมือทำทุกเรื่องจริงจังที่สุดคิดอยากจะแบ่งเบาภาระให้อาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

หลังจากนั้นมา ต้องออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้

ไม่ว่าดินน้ำที่แปลกที่แปลกถิ่นแห่งใด ขอแค่เขาเฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างรอบด้าน มองเส้นสายไม่ทะลุปรุโปร่ง ในใจก็ยากที่จะสงบลงได้

นี่คงมีความเกี่ยวข้องกับมรสุมหลากหลายในอดีตที่มาเยือนเป็นชุดนับตั้งแต่ผีสาวสวมชุดแต่งงานมาขวางทาง เหตุการณ์พลิกผันที่ป้อมอินทรีบิน พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว รวมไปถึงผ่านปราณสังหารที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังตอนอยู่ในหุบเขาผีร้าย ฯลฯ อยู่มาก

เฉินผิงอันรู้ว่าในเรื่องนี้ หากสภาพจิตใจเดินไปบนเส้นทางแห่งความสุดโต่ง       ไม่เกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลง ก็จะกลายมาเป็นด่านอุปสรรคด่านหนึ่งบนเส้นทางของการฝึกตน

ความคิดนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะตระหนักถึงตอนที่ได้พบเจอกับหลี่หลิ่ว

เพราะเฉินผิงอันสังเกตจากคำพูดและการกระทำตอนที่หลี่หลิ่วอยู่ที่นี่แล้ว         ก็ค้นพบว่าต่อให้ตนที่ได้หวนกลับบ้านเกิด นอกจากบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง        ที่สามารถนั่งอยู่เพียงลำพังโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องใดให้มากความแล้ว ต่อให้อยู่ใน   เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว อยู่ในร้านตรอกฉีหลง ก็ยังเคยชินที่จะให้ตนเองจมอยู่ในสภาพจิตใจแห่งการดึงดันที่ ‘ข้ารู้ทุกเรื่อง เรื่องยิบย่อยแค่ไหนก็ไม่ปล่อยให้          หลุดรอดไป’ ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้อิจฉาคนที่เป็นวิชาย่อพื้นที่พันลี้ และวิชาเทพ     มองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออย่างยิ่ง

โดยเฉพาะประโยคนั้นที่หลี่หลิ่วพูดเหมือนหลุดปากบอกว่า ‘สภาพจิตใจไม่มั่นคง ต่อให้เดินทางไปไกลแค่ไหนก็เหมือนถูกผีบังตาอยู่ดี’ ประโยคนั้นเหมือนเป็นการ   ปลุกให้คนที่อยู่ในความฝันอย่างเฉินผิงอันสะดุ้งตื่นได้อย่างแท้จริง

เฉินผิงอันกล้าพูดว่าตัวเองรู้มาโดยตลอดว่าตนเองต้องการอะไร ต้องการไปที่ใด ต้องกลายเป็นคนแบบใด

ทว่าตลอดเส้นทางของการฝึกตนนี้ ที่แท้ก็มีแต่หลุมแต่บ่อ มีอุปสรรคคอยขัดขวาง ไม่ได้มีแต่บุพเพวาสนาของฟ้าดินที่นำพาไปเสียทั้งหมด เขาเฉิงผิงอันเอง      ก็มี ‘โชคและเคราะห์ที่เรียกหามาด้วยตัวเอง’ อยู่มากมายเช่นกัน

ดังนั้นวันนั้นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนหลังคาถึงได้รู้สึกว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล      ไม่รู้ว่าก้าวถัดไปควรจะเหยียบย่างลงที่ใด

สัญญาสิบปี กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ย้อนกลับไปที่ภูเขาห้อยหัว

สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ หลอมวัตถุดิบแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นให้สำเร็จ

กลายมาเป็นมือกระบี่ที่แท้จริงดั่งที่ใจคิดคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีอิสระเสรีให้ได้

ทว่ากำลังคนนั้นมีจำกัด กำลังใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ความมากมายและห่างไกลของเรื่องราวที่เขาเฉินผิงอันต้องครุ่นคิดในเวลานี้ ความละเอียดและซับซ้อนของการชั่งน้ำหนักเรื่องต่างๆ มีเพียงแค่เรื่องใหญ่สามเรื่องนี้เสียที่ไหน? แล้วไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเพียงแค่ติดหนี้ไม่กี่พันเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น? แล้วเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ใช่ว่ามีแต่เรื่องในบ้านพวกนี้เสียเมื่อไหร่?

เรื่องราวบนโลกมากมายดุจเมล็ดงา น้อยใหญ่ไม่เท่ากัน

ควรจะแยกก่อนหลังอย่างไร เรี่ยวแรง ความคิดจิตใจและเวลาในทุกๆ วันควรจะเอาไปใช้ในเรื่องที่เป็นรูปธรรมตามหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างไร

เฉินผิงอันหยุดเดินตามจิตใต้สำนึก

หลี่หยวนที่เดินว่างงานอยู่ด้านหลังคนทั้งสองกำลังตั้งใจนับว่าบนชุดคลุมอาคมเบาบางที่อย่างมากที่สุดก็หนักสามสี่ตำลึงบนร่างของเสิ่นหลินตัวนั้นสลักไข่มุกที่    ผลิตขึ้นเป็นพิเศษของสำนักมังกรน้ำซึ่งถูกหล่อหลอมให้เล็กเท่าเมล็ดงามีกี่เม็ดกันแน่

ครั้งนี้เสิ่นหลินเดินทางมาเยี่ยมเยือน หาใช่เป็นหลี่หยวนที่ตัดสินใจเองโดยพลการไม่ แต่เป็นเพราะการปรากฎตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้น ทำให้จิตวิญญาณของอดีตคนของตำหนักหนานซวินท่านนี้สัมผัสได้ถึง แต่ก็ไม่กล้าปรากฏตัวโดยพลการ จึงได้แต่รอให้ความเชื่อมโยงเสี้ยวนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิงเสียก่อน ถึงได้สืบสาวตามเบาะแสจนไปพบกับสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่เช่นเขา แล้วก็ยังไม่กล้าถามตรงๆ ได้แต่เลียบๆ เคียงๆ ถาม ทำเอาหลี่หยวนที่ฟังอยู่รู้สึกปวดหัว       แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำได้แค่แกล้งโง่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เขาจะสงสารเจ้าแม่     เทพวารีผู้นี้มากแค่ไหน ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยความลับสวรรค์ง่ายๆ

เพียงแต่ว่าทนการตอแยจากเสิ่นหลินไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ใช้วิธีพบกันครึ่งทาง   ที่ไม่ถึงขั้นผิดหลักจรรยาบรรณเกินไปพานางมาเยือนเกาะเป็ดน้ำ ถึงอย่างไรในฐานะผู้นำองค์เทพของฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง การขับรถลาดตระเวนขุนเขาสายน้ำรอบด้าน  ก็เป็นหน้าที่ของนางเสิ่นหลินอยู่แล้ว น่าเสียดายก็แต่ตรงเอวของ ‘ท่านเฉิน’ ที่ถูก    หลี่หยวนเรียกว่าคุณชายเฉินนั้นไม่ได้ห้อยป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เอาไว้         อายุไม่มาก แต่มีประสบการณ์โชกโชนเกินกว่าอายุ คำพูดคำจาระมัดระวังรอบคอบ คาดว่าเสิ่นหลินคงได้แต่กลับไปมือเปล่าแล้ว

อันที่จริงตำหนักวารีหนานซวินที่เป็นผู้นำของขุนเขาสายน้ำของที่แห่งนี้ถือว่าได้ตำแหน่งมาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมสักเท่าไรนัก เพราะการแต่งตั้งผู้ติดสอยห้อยตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในตำหนักวารี ไม่ว่าราชวงศ์ใดก็ไม่สามารถ    สอดมือเข้าแทรกได้ แม้แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแต่ละรุ่นก็ยังไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โจวมี่อริยะของสำนักศึกษาในทุกวันนี้เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็ได้ให้วิญญูชนท่านหนึ่งเดินทางนำม้วนเอกสารการแต่งตั้งสิบฉบับไปส่งที่ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ

ล้วนเกี่ยวกับตำแหน่งเทพน้อยใหญ่ในตำหนักวารีหนานซวินทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตรงตำแหน่งชื่อแซ่กลับปล่อยว่างเอาไว้ บอกให้ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมอบให้กับตำหนักวารีหนานซวินที่ตั้งอยู่ใจกลางของถ้ำสวรรค์ ความหมายนั้นเรียบง่ายมาก ให้เสิ่นหลินที่อันที่จริง ‘ราชสำนักขนาดเล็ก’ ของนางได้กลายเป็นองค์กรบริหารขนาดใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้วไปจัดการเอาเอง เขาโจวมี่มาอยู่ที่อุตรกุรุทวีปก็เพื่อทำวิชาความรู้         คร้านจะสนใจดูแลเรื่องรกรุงรังพวกนี้

และไม่นานเสิ่นหลินก็ผลมอบหลีตอบแทนผลท้อ นอกจากตำแหน่งเทพใหญ่ที่สำคัญสี่ห้าตำแหน่งที่เก็บไว้ไม่ไปแตะต้องแล้ว นางก็ได้ถอนตำแหน่งว่างเปล่า    จำนวนมากที่ตั้งตามกฎโบราณไปรวดเดียว สุดท้ายแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางตามหนังสือแต่งตั้งของอริยะโจวมี่ ในตำหนักวารีหนานซวินที่เดิมทีมีเทพผู้ควบคุมชะตาน้ำ      ยี่สิบกว่าตำแหน่งจึงเหลือแค่ตำแหน่งเทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องซึ่งได้รับการยอมรับจากลัทธิขงจื๊อแค่สิบท่านเท่านั้น

แรกเริ่มเส้าจิ้งจือเจ้าสำนักใต้ที่สนิทสนมกับตำหนักวารีหนานซวินยังมาพูดคุยกับเสิ่นฮูหยินเป็นการส่วนตัวว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อยู่ดีๆ เสียตำแหน่งเทพไปตั้งสิบกว่าตำแหน่ง ถึงอย่างไรอริยะโจวมี่ของสำนักศึกษาก็วางท่าทีชัดเจนแล้วว่า        จะไม่สนใจการจัดการของตำหนักวารีหนานซวิน แล้วเหตุใดยังต้องทำสิ่งที่เกิน     ความจำเป็นเช่นนี้ ทว่าพอภายหลังโจวมี่หาเวลาว่างออกมาจากสำนักศึกษาได้      แล้วซ้อมพวกผู้ฝึกตนใหญ่ที่เอ่ยถ้อยคำเลวทรามพวกนั้นพลางด่าว่า ‘เข้าใจทะลุ      ปรุโปร่งกับผายลมสุนัขอะไร’ เส้าจิ้งจือถึงได้มาเยือนตำหนักวารีหนานซวินอีกครั้ง ยอมรับว่าตัวเองเกือบจะทำร้ายเสิ่นฮูหยินเข้าให้แล้ว

เสิ่นหลินสัมผัสได้ถึงอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของคนหนุ่มที่อยู่ข้างกาย

นางไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้มารยาทอะไร ผู้ฝึกตนสามารถมีสภาพจิตใจที่         ผ่อนคลายหละหลวมเช่นนี้ได้ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นความเชื่อใจที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง

ทว่าเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดความคิดวุ่นวายทั้งหลายลง เอ่ยขออภัยว่า     “เสิ่นฮูหยิน ขอโทษด้วย เมื่อกี้ข้าเหม่อไปหน่อย”

เสิ่นหลินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

แต่นางคิดว่าตัวเองควรจะจากไปได้แล้ว ดังนั้นจึงเปิดปากเอ่ยชวนคนหนุ่มว่า  หากมีเวลาว่างก็ให้ไปเป็นแขกที่ตำหนักวารีหนานซวิน

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง จากนั้นก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย หลี่หลิ่วบอกว่า   นางจะไปที่นครหลักรอบหนึ่ง แล้วจะกลับมาที่เกาะเป็ดน้ำอีกครั้ง นี่กลายเป็นว่า     พอนางจากไปแล้ว คาดว่าก็คงออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรและสำนักมังกรน้ำโดยตรงเลย

พอสอบถามหลี่หยวน หลี่หยวนก็บอกแค่ว่าไม่รู้

เสิ่นหลินขอตัวลากลับไป นางเดินไปตรงท่าเรือ ไอน้ำใต้ฝ่าเท้าก็ลอยอวลขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลับไปถึงรถม้าคันนั้น รถม้าหันหัวกลับแล้วพุ่งจากไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ พอห่างไปได้หลายลี้แล้วก็เหมือนว่าจะควบตะบึงเข้าสู่เส้นทางน้ำที่อยู่   ใต้พื้นผิวของทะเลสาบ ทั้งรถม้า พวกเทพบุ๋นบู๊ และขบวนข้ารับใช้ที่ติดตามมา      ล้วนหายวับไป

หลี่หยวนถอนสายตากลับมาช้าๆ อันที่จริงในใจเขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

หากคนหนุ่มผู้นี้ฉลาดสักหน่อย หรือไม่ก็ไม่ฉลาดมากขนาดนั้น อันที่จริงเสิ่นหลินก็ไม่เพียงแต่จะเชื้อเชิญเขาไปเยือนตำหนักวารีหนานซวินเท่านั้น นางยังจะต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้เขาอย่างแน่นอน เป็นของขวัญประเภทที่ว่าหากไม่รับไว้ก็ไม่ได้ อีกทั้งยังจะต้องเป็นการมอบให้ที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน อย่างน้อยที่สุด           ก็ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในตำหนักวารีหนานซวิน สมบัติล้ำค่าวิชาน้ำอันดับหนึ่งระดับขั้นก็เข้าใกล้อาวุธกึ่งเซียนแล้ว เพราะแท้จริงแล้วของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้มอบให้      คนหนุ่มผู้นี้

แต่มอบให้กับเจ้าของแผ่นหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เหมือนขุนนางในพื้นที่          ที่จัดเตรียมของบรรณาการอย่างตั้งใจนำมามอบให้เพื่อแสดงความเคารพ หาก       ‘คุณชายเฉิน’ ยินดีรับไว้ เสิ่นหลินก็ไม่เพียงแต่ไม่เสียดาย ยังจะยิ่งซาบซึ้งที่เขารับของขวัญเอาไว้ ขอแค่เขาแสดงความต้องการออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้ตำหนักวารีหนานซวินจะต้องถูกรื้อถอนไปครึ่งหนึ่ง เสิ่นหลินก็ยังต้องยินดีมอบของขวัญ     ชิ้นใหญ่ให้อีกอย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ ‘ท่านเฉิน’ กลับพลาดโชควาสนาครั้งนี้ไปอย่างเงียบเชียบ

ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนที่รังเกียจว่าสมบัติหนักตระกูลเซียนมีมากพอด้วยหรือ?          ก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำอย่างพวกเขาที่มีใครรังเกียจแก่นควันธูป      ที่เพิ่มมากี่จินกี่ตำลึงบ้างเล่า?

คงจะไม่มีกระมัง

ที่ยิ่งน่าเสียดายก็คือเขาหลี่หยวนไม่อาจเปิดปากเอ่ยเตือนได้เลย ไม่อย่างนั้น     หากไม่ระวังจะกลายเป็นว่าวาดงูเติมขา มีแต่จะทำร้ายเสิ่นหลินที่เดิมทีร่างทอง         ก็ทรุดโทรมเหมือนไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งอยู่แล้ว จะกลายเป็นว่าสุ่ยเจิ้งตัวเล็กๆ อย่างตนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่งแล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ

เฉินผิงอันมองส่งขบวนรถม้าจากไปไกลอยู่เช่นกัน สีหน้าซับซ้อนที่วูบผ่านไป  แวบหนึ่งของเด็กหนุ่มที่สวมชุดเหลือง รัดเข็มขัดหยก สวมรองเท้าหุ้มแข้งสีดำซึ่งยืนอยู่ข้างกายปรากฏชัดในสายตาของเฉินผิงอัน

หลี่หยวนหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านเฉิน นี่คือจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดของท่าน นับตั้งแต่ส่งจดหมายจนถึงรับจดหมาย สำนักมังกรน้ำไม่มีทางรับรู้แน่นอน”

อันที่จริงจดหมายฉบับนี้ เมื่อถืออยู่ในมือแล้วก็มีน้ำหนักเล็กน้อย

นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าภูเขาสายน้ำมีความต่าง

เพราะบนจดหมายได้ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่มหัศจรรย์ขององค์เทพแห่งขุนเขาท่านหนึ่ง

ในฐานะสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่ ถือจดหมายฉบับนี้ไว้ ย่อมรู้สึก ‘ร้อนลวกมือ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้

เฉินผิงอันรับจดหมายมาแล้วเห็นตัวอักษรใหญ่สี่คำบนซองจดหมายก็ยิ้มอย่างเข้าใจ

สี่คำนั้นคือ ‘อาจารย์โปรดเปิดอ่านเอง’

แค่มองก็รู้ว่าเป็นลายมือของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน ลายมือเหมือนเขา    ที่เป็นอาจารย์ เป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าตอนที่จรดพู่กันเขียนนั้นตั้งใจมาก

เฉินผิงอันเก็บจดหมายลับใส่ชายแขนเสื้อก่อน

หลี่หยวนจึงเตรียมจะขอตัวลา เพราะถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็เคยบอกว่าท่านเฉินต้องการฝึกตนอยู่ที่นี่อย่างสงบ ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักวารีหนานซวินลาดตระเวนตรวจตรามาถึงที่นี่ ขึ้นฝั่งมาครู่หนึ่ง อันที่จริงหลี่หยวนก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เพียงแต่พอคิดว่าคนหนุ่มผู้นี้กำลังถือร่ม      เดินเล่น ก็คงไม่ถือว่ากำลัง ‘ฝึกตนอย่างสงบ’ หรอกกระมัง?

พอเสิ่นหลินจากไป เพียงไม่นานกลางอากาศเหนือเกาะเป็ดน้ำก็มีม่านฝนพรมลงมาอีกครั้ง

เฉินผิงอันกางร่ม หลี่หยวนยิ้มกล่าว “ท่านเฉินไม่ต้องสนใจข้า”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพราะเขาล้มเลิกความคิดที่จะถามเรื่องบางอย่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว

รู้ถึงความสูงต่ำของตำแหน่งเสิ่นฮูหยินในถ้ำสวรรค์วังมังกรคร่าวๆ จะมีความหมายที่ตรงไหน? จำเป็นต้องดึงต้นสายของเส้นเส้นหนึ่งขึ้นมาจริงๆ หรือ?

ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ความแก่ชราเสื่อมสภาพที่ยากจะปกปิดบนร่างของหลี่หยวน ร่างทองที่ใกล้จะแหลกสลายของเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวิน เขาเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึงได้       ไม่นาน ดึงต้นสายของเส้นสองเส้นที่ฝังลึกอยู่กลางน้ำขึ้นมาจนได้รู้ความจริง         หากสอดคล้องหรือละเมิดหลักการเหตุผลบางอย่างของตัวเอง ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรือไม่? เรื่องนอกตัวหลายอย่าง ในยามที่จะรู้หรือไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ดันไปหาเรื่องหงุดหงิดใส่ตัว จะเป็นอีกขั้วหนึ่งที่ผู้ฝึกตนไม่สนใจเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยหรือไม่?

เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนต้องเรียบเรียงเส้นสายอันเป็นรากฐานเส้นนี้ให้ดี           เพราะสำหรับตนแล้วนี่ก็คือการฝึกจิตใจครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

พอคิดเช่นนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันก็เริ่มอิจฉาพวกคนที่ยึดมั่นใน ‘จิตของการ        ถามหามรรคา’ มาตั้งแต่แรกเริ่มบ้างแล้ว

หากไม่พูดถึงถูกผิดดีชั่ว พูดแค่จิตใจดั้งเดิม

ยกตัวอย่างเช่นหลินโส่วอีที่แค่มองปราดเดียวก็ถูกใจตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’

รวมไปถึงเด็กสาวจูลู่ที่เป้าหมายชัดเจน ลงมือทำอะไรเด็ดขาดผู้นั้น

และยังมีคนมากมายที่ได้พบเจอมา

ในเรื่องของการฝึกจิตใจ พวกเขาล้วนไม่อืดอาดชักช้า เชี่ยวชาญการทำเรื่องซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย

หลี่หยวนถาม “ท่านเฉินเหมือนจะมีเรื่องให้กังวล?”

นี่เป็นคำพูดที่เปลืองน้ำลายเปล่า

ผู้ฝึกตนที่ไม่มีเรื่องให้ทุกข์ให้กังวลย่อมไม่มีทางกินอิ่มว่างงาน พอฝนตกก็ออกจากเรือนมาถือร่มเดินเล่นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเดินๆ หยุดๆ ใจลอยไม่หยุดยิ่ง บางครั้งยังหยิบเอาไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งมาเขียนตัวอักษรหรือวาดยันต์อะไร           บนพื้นด้วย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่ร้อนใจเพราะรอจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดเท่านั้น ไม่มีอะไร”

หลี่หยวนจึงไม่ถามให้มากความอีก

เฉินผิงอันแยกกับหลี่หยวน กลับมาที่เรือน หุบร่มกระดาษน้ำมันวางพิงไว้นอกประตู ฝนใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

เขาสะบัดรอยน้ำบนร่างออกเบาๆ แล้วจึงเข้ามานั่งในห้อง

เชื่อว่าจูเหลี่ยนคงจะต้องเขียนบอกเล่าสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาลั่วพั่วและบริเวณโดยรอบเขตการปกครองมาในจดหมายอย่างละเอียด

แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลรากบัวจาก       พื้นที่มงคลระดับล่างสู่พื้นที่มงคลระดับกลาง

อันที่จริงตอนที่ได้รับจดหมายตอบกลับฉบับนี้ เฉินผิงอันก็รู้ข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าข่าวหนึ่งแล้ว

เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว

ไม่อย่างนั้นบนจดหมายลับก็ไม่มีทางถูกร่ายตราผนึกภูเขาสายน้ำเฉพาะตัวของภูเขาพีอวิ๋น

เฉินผิงอันไม่ได้เปิดจดหมายลับฉบับนี้อ่านทันที แต่กลับลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้อง   ไปหยุดอยู่ใต้ชายคา มองม่านฝนที่พร่างพรมอยู่ระหว่างฟ้าดิน

ฝนตกลงมาในโลกมนุษย์ หลบฝนอยู่ในบ้าน หลบฝนอยู่ต่างถิ่น หากไม่ถือร่มเดิน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่เปียกปอน

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองร่มกระดาษน้ำมันที่วางเอียงไว้ริมผนังคันนั้น

บางทีหลักการเหตุผลบางอย่างก็เหมือนกับร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น ยามที่ฟ้าสว่างสดใสก็ไม่จำเป็นต้องเอาออกมา

ยามฝนตกก็ค่อยกางร่มอีกครั้ง

ทว่าในหมู่ชาวบ้าน ไม่มีใครที่รู้ได้ว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ ถ้าอย่างนั้นควรจะพกร่ม  ติดตัวไว้ตลอดเวลาหรือไม่จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ทำให้คนปวดหัว พกไว้กับตัวย่อมเพิ่มภาระน้ำหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้ บนเส้นทางที่ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ถือไว้ในมือแล้วคนอื่นเห็นเข้าก็ยิ่งไม่เข้าท่า

และผู้ฝึกตนที่เดินอยู่บนภูเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องกางร่มหลบฝน

เฉินผิงอันยกมือเกาหัว รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

คิดไปคิดมา ความคิดสุดท้ายตอนที่เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องก็คือ         คิดว่าหากที่ตกลงมาในฝนใหญ่ครั้งนี้เป็นเงินฝนธัญพืชก็ดีน่ะสิ หากไม่ได้จริงๆ เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ยังดี

……

หลี่หยวนเพิ่งจะไปถึงที่ทะเลเมฆได้ไม่นานเท่าไร เสิ่นหลินเหนียงเนียงเทพวารีก็มาหา

ร่องรอยของคนทั้งสองในถ้ำสวรรค์วังมังกร ขอแค่ตั้งใจปิดบัง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดสองคนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ก็ยังไม่อาจค้นพบเบาะแสใดๆ

ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักมังกรน้ำต่างก็ไม่ได้เลือกจะปักหลัก     เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสำนักตลอดทั้งปี

นี่ก็คือการแสดงความเคารพอย่างไร้คำพูดที่มีต่อสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนและเทพวารีเสิ่นหลินอย่างหนึ่ง

ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักที่นอกจากจะเข้าร่วมงานพิธีกรรมยันต์ทองที่จัดขึ้นยิ่งใหญ่สุด    ในทุกครั้งแล้ว งานพิธีกรรมยันต์หยก ยันต์เหลือง เขาล้วนไม่เข้ามาที่นี่

เมื่อเทียบกับสำนักเหนือแล้ว สำนักใต้ของเส้าจิ้งจือสนิทกับกับตำหนักวารีหนานซวินมากกว่า ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องมาพบเสิ่นหลินหนึ่งครั้ง

เสิ่นหลินพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “หลี่หยวน เจ้าพูดออกมาง่ายๆ สักคำไม่ได้หรือ?”

หลี่หยวนเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

ต่อให้คำตอบจะเป็นคำว่า ‘ไม่ได้’ ก็มากพอจะทำให้เสิ่นหลินเดาทิศทางของคำตอบที่ถูกต้องได้แล้ว

แต่หลี่หยวนกลับไม่พูดอะไรสักอย่าง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แม้แต่ท่านเฉินคนนั้นก็ยังพูดแค่ว่าเขาคือหนึ่งในลูกหลานของสหายสนิทสองคน เสิ่นหลินแค่เรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ ก็พอ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่อาจมั่นใจในความจริงได้

ขอแค่ยืนยันความจริงไม่ได้ ไม่ว่าอดีตคนของตำหนักวารีหนานซวินท่านนี้จะทำเรื่องที่เกินความจำเป็นแบบใด ก็ล้วนเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตทั้งสิ้น

เสิ่นหลินเปลี่ยนวิธีการใหม่มาลองถามหยั่งเชิงว่า “ข้าจะไปถามเส้าจิ้งจือนะ?”

หลี่หยวนยิ้มตอบ “ตามสบาย”

ดวงตาสีทองคู่นั้นของเสิ่นหลินมีประกายแสงเป็นเส้นๆ ไหลเอ่อออกมา          จากดวงตา จ้องสุ่ยเจิ้งที่เป็นเพื่อนร่วมงานผู้นี้เขม็ง

หลี่หยวนมีสีหน้าเป็นปกติ

สุ่ยเจิ้งลำน้ำใหญ่ท่านหนึ่ง กับเทพหญิงผู้รับใช้ในพระราชวังพักร้อนท่านหนึ่ง

ระดับตำแหน่งเทพของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน ก็เหมือนในครอบครัวใหญ่ด้านล่างภูเขา คนหนึ่งเป็นข้ารับใช้คอยดูแลควันธูปในศาลบรรพชน อีกคนหนึ่งคือสาวใช้ที่ดูแลงานจุกจิกในเรือน

ใครก็ไม่อาจเจ้ากี้เจ้าการกับใครได้ และทั้งคู่ต่างก็ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ขาดหายไปไม่ได้

หากเสิ่นหลินไปสอบถามจากเส้าจิ้งจือจริงๆ หากจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก            ก็เล็กกว่าเมล็ดงา เล็กกว่าเมล็ดถั่วเขียว แต่หากจะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคนผู้นั้น    รู้การกระทำนี้ของเสิ่นหลิน แล้วเกิดไม่ชอบใจ นั่นก็คือโทษประหารที่ลอบสืบเสาะร่องรอยของคนผู้นั้นโดยพลการ ถ้าอย่างนั้นเสิ่นหลินที่ร่างทองยังพอจะอยู่รอดไปได้อีกสองสามร้อยปีก็ไม่ต้องกังวลว่าร่างทองของตนจะเปื่อยแหลกเละไปแล้ว         เพราะเพียงแค่ฝ่ามือเดียว ร่างทองก็หายวับไปได้ทันที

ไม่ใช่ว่าหลี่หยวนไม่อยากช่วยให้เสิ่นหลินข้ามพ้นหายนะครั้งนี้ แต่เป็นเพราะเขาไม่กล้า ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ยอมให้นางขึ้นเกาะเป็ดน้ำมาก็เหมือนหลี่หยวนเอาดีหมีหัวใจเสือหลายดวงยัดใส่ร่างทองของตัวเอง ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว

เสิ่นหลินยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ต่างก็พูดกันว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง   เจ้าและข้าเป็นเพื่อนบ้านกันมานานขนาดนี้…”

หลี่หยวนสีหน้ามืดทะมึน ขมวดคิ้วพูดว่า “เสิ่นหลินเทพหญิงแห่งตำหนักวารีพระราชวังพักร้อน ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดเมื่อพอสมควร!”

ในใจเสิ่นหลินตกตะลึง แล้วก็ได้แต่คารวะขออภัย

หลี่หยวนสะบัดชายแขนเสื้อจากไป

เสิ่นหลินออกมาจากทะเลเมฆอย่างหม่นหมอง นางร่ายวิชาอภินิหารเลี่ยงน้ำของเทพวารีย้อนกลับไปที่จวนในทะเลสาบ

พอมาถึงตำหนักวารีโอ่อ่าโอฬารใต้ทะเลสาบที่ใหญ่เหมือนนครสำคัญในราชวงศ์ใหญ่แห่งนั้น นางก็ไม่กลับไปที่พักของตัวเองโดยตรง ทุกครั้งที่เข้าออกจะต้องผ่าน       ประตูใหญ่ที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ลมโชยฝนพรม’ อีกทั้งยังได้แต่เดินผ่าน         ประตูด้านข้างเท่านั้น

ประตูใหญ่บานนั้นไม่เคยเปิดออก ต่อให้เจ้าสำนักมังกรน้ำมาเยือน หรือแม้แต่   เจ้าประมุขสกุลหยางของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนของแต่ละรุ่น รวมไปถึงลี่ไฉ่เซียนกระบี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มาเยือนจวนน้ำอันโอฬารแห่งนี้ ก็ยังได้แต่      เดินผ่านประตูด้านข้างเท่านั้น

หลังจากที่เดินผ่านประตูด้านข้างมาแล้ว ร่างของเสิ่นหลินก็พุ่งวูบหายไป มาหยุดอยู่ข้างสวนดอกไม้ในจวนตัวเอง ด้านในปลูกต้นไม้ดอกไม้แปลกตาหลากหลายชนิด     นกล้ำค่าหายากที่บินลอดไปตามพุ่มดอกไม้ บ้างก็เกาะกิ่งไม้ส่งเสียงร้องพวกนั้น         ก็ยิ่งเป็นเผ่าพันธ์ที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาล

มีเทพหญิงองค์หนึ่งเผยกายมารายงานว่า “เหนียงเนียง เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้  มาเยี่ยมเยือน ท่านจะพบนางหรือไม่เจ้าคะ?”

เสิ่นหลินลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บอกไปว่าข้าปิดด่าน ไม่รับแขก”

ในขณะที่เสิ่นหลินปฏิเสธการเข้าพบของเส้าจิ้งจือนั้น

หลี่หยวนก็ยิ่งมีอิสระเสรีมากกว่า เขาร่ายเวทอำพรางตา เปลี่ยนแปลงรูปโฉมกลายมาเป็นเด็กหนุ่มชุดเหลืองที่หน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง มาปรากฏตัวอยู่บนขั้นบันไดหยกขาวเส้นนั้นแล้วเดินลงจากเขาไปเรื่อยๆ ผ่านประตูเมือง ไปดื่มเหล้าที่หอสุรา    บนสะพาน

ไม่ไปที่ชั้นห้า แต่เลือกที่นั่งง่ายๆ ในห้องโถงใหญ่ เพราะว่าบรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่า เนื่องจากงานพิธีกรรมทั้งสองครั้งล้วนสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้คนแออัด ยากจะหาโต๊ะนั่ง อีกทั้งยังต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นอย่างตอนที่เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าในเหลาสุราก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้ที่ว่างจึงมีเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ระหว่างถ้ำสวรรค์      วังมังกรกับสะพานของลำน้ำใหญ่ หลี่หยวนไปมาได้ตามใจปรารถนา เพราะถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นอาณาเขตของลำน้ำใหญ่ เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่สำนักมังกรน้ำเปิดภูเขาและหลอมเล็กศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋เป็นต้นมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset