กระบี่จงมา – ตอนที่ 553 ไม่ได้มีแค่การบอกลากับคนอื่น

หลังจากสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันเดินมาหาตน จางซานเฟิงก็ลุกขึ้นยืน เก็บร่มกระดาษน้ำมัน เดินเข้าหาเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินถอยหลัง ถามอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่มีเรื่องแล้ว?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีเรื่อง แล้วก็ไม่มีเรื่อง”

จางซานเฟิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เล่าเรื่องที่ข้าฟังเข้าใจสักหน่อยสิ!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่อง”

จางซานเฟิงถามอีก “จริงหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “จริงยิ่งกว่าเงินเทพเซียนเสียอีก”

พอจางซานเฟิงนึกถึงเรื่องนี้ก็ให้ปวดหัว “สำนักมังกรน้ำแห่งนี้ไม่มีคุณธรรม      เอาเสียเลย ลำพังเพียงแค่เข้ามาในถ้ำสวรรค์วังมังกรก็ต้องเก็บเงินตั้งหนึ่งเหรียญ    เงินร้อนน้อย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้าติดหนี้ตั้งสองพันกว่าเหรียญเงินฝนธัญพืช”

จางซานเฟิงนับนิ้วคำนวณ เฉินผิงอันเพิ่งจะพูดว่าหยุดเลย จางซานเฟิงก็หลุดปาก   พูดออกมาแล้วว่า “เงินเกล็ดหิมะสองล้านกว่าเหรียญ?!”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นมาเช็ดหน้า

ในเรื่องของการหาเงินนั้น คนชอบหักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งให้เป็นเงิน     เกล็ดหิมะมากที่สุด แต่เวลาที่ติดหนี้กลับชื่นชอบไม่ลงเลยจริงๆ

จางซานเฟิงพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เรื่องบางอย่าง เพื่อนก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่อาศัยตัวเองให้ค่อยๆ คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง”

ลงจากเขามากำจัดปีศาจปราบมารฝึกประสบการณ์ครั้งแรก เทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นี้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากทรมานจนแทบจะผ่านพ้นไปไม่ได้ เขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด มุ่งหน้าตรงไปยังแจกันสมบัติทวีป ถึงได้รู้จักกับเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสีย ปมในใจถึงได้ค่อยๆ คลายออก และยังบรรลุวิชาหมัดหยาบๆ       ชุดหนึ่งที่ไม่อาจเอามาเป็นหน้าเป็นตาได้

เฉินผิงอันอืมรับเบาๆ

ส่วนลึกในใจที่ถูกเคาะถาม เจ็บปวดราวถูกคว้าน

สภาพจิตใจของเฉินผิงอันในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนอย่างสีหน้าและอย่างที่ปากเขาว่า

จางซานเฟิงควักขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “โอสถวารีขวดนี้ สหายที่ทะเลสาบเสิ้นเจ๋อแผ่นดินกลางของอาจารย์คนหนึ่งมอบให้ อาจารย์บอกว่าเจ้ามอบตราประทับเทียนซือและกระบี่เจินอู่ให้กับข้า ข้าก็ควรต้องมอบของตอบแทน”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แสดงความเกรงใจตามมารยาทอะไร    เขารับขวดกระเบื้องใบนั้นมา เมื่ออยู่ในฝ่ามือก็ไม่เพียงรู้สึกเย็นฉ่ำ จวนน้ำในร่างของตนก็ยังมีความเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นด้วย เขาจึงอดไม่ไหวถามอย่าง  ใคร่รู้ว่า “เทพวารีของทะเลสาบเสิ้นเจ๋อแผ่นดินกลางเป็นผู้มอบให้?”

เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็เคยมอบโอสถวารีให้เขาเหมือนกัน ในอดีตก่อนหน้านี้ เขาก็เคยได้สัมผัสกับโอสถของตำหนักวารีที่หลิวจ้งรุ่นเก็บรักษาไว้อย่างลับๆ           มาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับโอสถวารีทะเลสาบเสิ้นเจ๋อในมือตอนนี้              ก็ยังแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “คือโอสถวารีทะเลสาบเสิ้นเจ๋อ เพียงแต่อาจารย์บอกว่าระดับขั้นไม่สูงมากนัก อาจารย์ยังบอกอีกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทพวารีของแต่ละฝ่ายธรรมดา จึงไม่อาจขอโอสถวารีที่ดีที่สุดมาได้”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คำว่า ‘ดีที่สุด’ ของฮว่อหลงเจินเหริน   นั่นก็แสดงว่าต้องดีที่สุดในตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลแล้ว และคำว่า ‘ไม่สูงมาก’            ก็แสดงว่าต้องสูงมากๆ

ทะเลสาบเสิ้นเจ๋อมีชื่อเสียงในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาก อาณาเขตน่านน้ำกว้างขวาง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ จวนน้ำของ                       เจ้าแห่งทะเลสาบก็คือตำหนักเหมี่ยนฉือที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว เล่าลือกันว่า         วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะคือข้องราชามังกรใบหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ โบราณสถานของทะเลสาบเสิ้นเจ๋อมีเรื่องเล่ามหัศจรรย์สืบทอดต่อกันมามากมาย    เล่าลือกันว่าเคยมีนักพรตไม่ทราบนามท่านหนึ่งล่องเรือท่องทะเลสาบเสิ้นเจ๋อในค่ำคืนที่แสงจันทร์ใสกระจ่าง คืนนั้นมีเจียวหลงหลบหนีทัณฑ์สวรรค์เข้ามาในทะเลสาบ    เสิ้นเจ๋อ สายฟ้าที่เป็นดั่งโซ่ตรวนแลบปลาบบดบังไปทั่วฟ้าดิน เจียวหลงตัวนั้นจึงหนีเข้าไปในชายแขนเสื้อของนักพรตเต๋า นักพรตเต๋าเล่นงานให้ทัณฑ์สวรรค์ถอยร่นไปได้อย่างง่ายๆ ช่วยให้เจียวหลงข้ามพ้นหายนะมาได้ ภายหลังจึงมีบทกลอนงดงามที่  กล่าวว่า ‘ตรวนสายฟ้าไร้ที่ให้หลบเลี่ยง หนีเข้าไปในชายแขนเสื้อของท่านอาจารย์’

เฉินผิงอันกุมโอสถวารีที่หนักอึ้งขวดนั้นเอาไว้ หันหน้าไปมองแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “จางซานเฟิง เจ้ามีอาจารย์ที่ดี”

จางซานเฟิงอารมณ์ดีโดยพลัน “ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจินเหรินผู้เฒ่าก็มีลูกศิษย์ที่ดี”

จางซานเฟิงส่ายหน้า “ลูกศิษย์อย่างข้า ที่ยอดเขาพาตี้มีเยอะนักล่ะ”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าว่าไม่เยอะหรอก”

จางซานเฟิงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง “เชิญพูดความจริงที่เหลวไหลได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันกอดไหล่นักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงงอตัว หมายจะเป็นฝ่ายกลับไป    กอดคอเฉินผิงอัน

เล่นสนุกต่อยตีกันไปตลอดทาง

เฉินผิงอันพาจานซานเฟิงเข้ามาในเรือน เดินเข้าไปในห้อง

จางซานเฟิงชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวและเจี้ยนเซียนที่อยู่บนผนัง    แล้วยิ้มกล่าวว่า “เหมือนเดิมเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันยกเก้าอี้มาให้เขา คนทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

แล้วจางซานเฟิงก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองพบเห็นมาระหว่างเดินทางผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและทักษินาตยทวีปพร้อมกับอาจารย์ให้เขาฟัง สุดท้ายจึงพูดถึง        หลิวเสี้ยนหยางที่ไปขอศึกษาต่ออยู่ในสกุลเฉินผู้รอบรู้

เฉินผิงอันรับฟังเรื่องเล่าของจางซานเฟิงเงียบๆ จิตใจสงบสุข ระลอกคลื่นในหัวใจเริ่มสงบลง

แล้วจางซานเฟิงก็เริ่มพูดคุยถึงเส้นทางการเดินทางกลับบ้านเกิดของตนเอง      อีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า เจ้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฟังไปฟังมากลับหลับไปเสียอย่างนั้น

จางซานเฟิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเบามือเบาเท้า แอบออกจากห้องไปเงียบๆ หลังจากปิดประตูลงเบาๆ แล้วก็ไปนั่งอยู่ใต้ชายคา เริ่มเหม่อลอย

วิถีทางโลกนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก คนบางคนเอาแต่จับจ้องว่าคนอื่น        มีอะไร แต่ไม่คิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจารย์บอกว่านี่เรียกว่าใบไม้บังตา และยังบอกอีกว่าจุดที่ยิ่งแปลกประหลาดของวิถีทางโลกก็คือ คิดเช่นนี้กลับไม่แน่เสมอไปว่า      จะเป็นเรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด

จางซานเฟิงรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเข้ากับวิถีทางโลกไม่ได้เลย นี่ไม่ได้เกี่ยว   กับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ

มีเพียงอยู่บนภูเขาพาตี้แล้วฝึกตนไปช้าๆ หรือไม่ก็ออกเดินทางท่องยุทธภพร่วมกับเฉินผิงอัน สวีหย่วนเสีย หรือไม่ก็อยู่เพียงลำพังคนเดียว เผชิญหน้ากับ        ภูเขาสายน้ำฟ้าดินที่เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ห่างไกลจากเรื่องครึกครื้น เขาก็ไม่มีทางทำความผิดที่เป็นการทำร้ายคนอื่น ฟ้าดินก็ไม่ทำร้ายเขา จางซานเฟิงถึงจะได้    รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

จางซานเฟิงจึงถามอาจารย์ว่า จิตถามมรรคาของตนเกิดปัญหาใหญ่ใช่หรือไม่

อาจารย์กลับบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังบอกอีกว่าลัทธิขงจื๊อกำลังทำเรื่องที่เป็นการบวกเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ฝึกตน ปกครองบ้านเรือน ปกครองแคว้น ใต้หล้าสงบสุข    ล้วนเอามายกยอดรวมไว้ที่ตัวเองทั้งสิ้น หากแบกรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ก็จะได้เข้าไปอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ทว่าลัทธิเต๋ากลับกำลังลบให้น้อยลง แต่ละเรื่องล้วนสามารถขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน ตัดขาดความสัมพันธ์ หากลืมทั้งตัวตนและวัตถุนอกกายได้   ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล สุดท้ายเจ้าก็จะได้เดินไปถึงสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์       ลัทธิพุทธใช้หีนยานพาตัวเองข้ามผ่านนทีแห่งทุกข์ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นมหายาน       ที่นำพาทุกคนไปสู่พุทธภูมิ ค่อยๆ ตระหนักจนบรรลุธรรมกระจ่างแจ้ง ธงโบกสะบัดจิตใจก็ส่ายไหว ศีล สมาธิ ปัญญา ขาดไม่ได้ทั้งสามสิ่ง อันที่จริงก็ล้วนเป็น           ลำดับขั้นตอนของการเพิ่มๆ ลดๆ มองดูเหมือนว่ารากฐานของทั้งสามฝ่ายแตกต่างกันอย่างมาก ทิศทางของเส้นทางก็ต่างกันนับพันนับหมื่น ทว่าแท้จริงแล้วการฝึกตน      ก็คือคนเดินอยู่บนเส้นทาง ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างใกล้เคียงกัน

จางซานเฟิงนั่งอยู่บนขั้นบันได หันหน้าไปมองประตูห้องที่ปิดอยู่

อาจารย์พูดถูกแล้ว ทุกคนล้วนเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อปิดประตูแล้ว คนนอกก็มองไม่เห็นภาพบรรยากาศแท้จริงที่อยู่ในห้องอีกแล้ว

และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงเฉินผิงอันเรียกหาจางซานเฟิงดังมาจากในห้องเบาๆ

จางซานเฟิงรีบตอบ “อยู่นี่ ข้าอยู่ข้างนอก”

เฉินผิงอันถึงได้พูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างนั้นข้าขอนอนต่ออีกหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองค่อนข้างเหนื่อย”

จางซานเฟิงกล่าว “พักผ่อนให้ดี”

จางซานเฟิงเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ที่เดิม โยกตัวไปด้านหน้าด้านหลังเบาๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ด้านล่างภูเขามีเด็กบางคนที่เฉลียวฉลาดเกินวัย สุดท้ายจะได้เป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือไม่ อันที่จริงล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก

เรื่องที่น่าแปลกอย่างแท้จริง ก็คือสามารถรองรับความรู้และจิตใจสองขั้ว           ที่แตกต่างกันอย่างถึงที่สุดเอาไว้ได้ แล้วยังตีกันเองอยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าใครก็ตี  ใครตายไม่ได้ ในสายตาของฮว่อหลงเจินเหริน นี่ต่างหากถึงจะเป็นการขัดเกลา      เป็นการฝึกตนที่แท้จริง

จิตใจที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ยากตรงที่จะปกป้องรักษาเอาไว้ไม่ให้หายไปได้อย่างไร ความจริงใจหลังกำเนิด ยากตรงที่การตามหาให้เจอ คนที่จริงใจ จะมี      ความจริงใจที่แท้จริง และความจริงใจที่แท้จริงจะสาดแสงส่องประกายดุจดวงตะวัน ทั้งยังสุกสกาวดุจแสงจันทรา

จางซานเฟิงลูกศิษย์ของตน กับเฉินผิงอันเพื่อนของเขา นิสัยสองอย่าง              ก็จำเป็นต้องถ่ายทอดวิชาสองอย่าง

อันที่จริงฮว่อหลงเจินเหรินอยากจะตำหนิอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและฉีจิ้งชุนผู้นั้นสักหน่อย เหตุใดในเมื่อยอมรับลูกศิษย์และศิษย์น้องเล็กของตนผู้นี้แล้ว ถึงได้ไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้สักหน่อย ทำไมถึงปล่อยให้เขาเฉินผิงอันเตร็ดเตร่เพียงลำพังมาไกล   ขนาดนี้? ไม่กลัวว่าเขานึกจะตายก็ตายไปจริงๆ หรือไร? แล้วก็ไม่กลัวว่าเขาจะ     เดินทางผิด หรือไม่ก็ตัดใจวางลงได้อย่างสิ้นเชิง หันไปเป็นภิกษุแทน หรือไม่ก็คิด     จนเข้าใจกระจ่างแล้วจึงเปลี่ยนไปเข้าลัทธิเต๋า? อันที่จริงนี่คือจุดที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย เหตุใดอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงได้ไม่เลือกพาเฉินผิงอันไปไว้ข้างกาย ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เขา แล้วก็แปลกใจที่ต่อให้ตอนนั้นฉีจิ้งชุนจำเป็นต้องตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยวิชาความรู้และความสามารถของฉีจิ้งชุน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำได้มากกว่านี้ แต่เหตุใดถึงไม่ยอมทำ

แต่ละคนใจกว้างไม่แพ้กันเลยจริงๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินคิดว่าตัวเองใจกว้างมากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับบัณฑิต      สองคนนี้ ดูเหมือนว่าจะยังเทียบไม่ได้เลย

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันร้องเอ๊ะหนึ่งที กวาดตามองไปรอบด้าน ดูเหมือนว่าเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกครั้ง แต่ฮว่อหลงเจินเหรินครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็คร้านจะถือสาให้มากความอีก

ใต้ทะเลสาบระหว่างเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหราน

รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่กลางน้ำ สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนกับเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินยืนเคียงบ่ากัน

เสิ่นหลินกล่าวอย่างตกตะลึง “คนผู้นี้รู้จักฮว่อหลงเจินเหรินด้วยหรือ?”

หลี่หยวนหัวเราะเสียงหยัน “ข้าเองก็รู้จักตาแก่นั่นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

เสิ่นหลินหัวเราะ ต้องรู้จักแน่อยู่แล้ว แล้วยังถูกฮว่อหลงเจินเหรินใช้วิชาน้ำ    สยบให้อยู่ใต้ลำน้ำจี้ตู๋ถึงเดือนกว่าๆ ด้วย

แม้จะบอกว่าคนทั้งอุตรกุรุทวีปต่างก็เชื่อมั่นว่าเจินเหรินผู้เฒ่าของยอดเขาพาตี้  คือผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญวิชาอัคคีที่สุดในโลก ไม่มีคำว่าหนึ่งใน แต่เรื่องที่แท้จริงแล้ว      ฮว่อหลงเจินเหรินเชี่ยวชาญวิชาน้ำ กลับมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

เสิ่นหลินใคร่ครวญอย่างจริงจังตั้งใจ

และเวลานี้เอง หลี่หยวนก็พลันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ที่แท้เจินเหรินที่อยู่บนฝั่งคนนั้นกำลังยิ้มตาหยีกวักมือมาทางรถม้า

หลี่หยวนที่กำลังจะกลายร่างเป็นแสงสีทองจึงหยุดความคิดนั้นลง เพราะ           ฮว่อหลงเจินเหรินมาปรากฎตัวอยู่ข้างรถม้าแล้ว โดยยืนอยู่บนหลังของม้าสีขาวหิมะตัวหนึ่ง

เสิ่นหลินรีบประสานมือคารวะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักวารีหนานซวินคารวะฮว่อหลงเจินเหริน!”

สำหรับเหนียงเนียงตำหนักวารีท่านนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินนับว่ายังเกรงใจ เขายิ้มกล่าวว่า “หมื่นคาถาเป็นธรรมชาติ ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาวาสนา น้ำมาคลองสำเร็จ”

เหนียงเนียงเทพวารีที่ใบหน้าเหมือนเครื่องกระเบื้องแตกร้าวจิตใจสั่นสะท้าน   เอ่ยเสียงสั่นว่า “ขอบพระคุณเจินเหรินที่สั่งสอน”

ฮว่อหลงเจินเหรินเพียงยิ้มไม่เอ่ยต่อคำ สายตาชำเลืองมองหลี่หยวน “โอ้ นี่ไม่ใช่นายท่านใหญ่หลี่สุ่ยเจิ้งของศาลกลางลำน้ำจี้ตู๋ของเราหรอกหรือ ไม่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้พบเจอนายท่านสุ่ยเจิ้ง ช่างสมกับคำว่าวาสนามาถึง                ไม่ว่าจะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่จริงๆ”

หลี่หยวนหน้าตึง แสร้งทำเป็นหูหนวก

ทำไม มรรคกถาสูงแล้วร้ายกาจนักหรือ คงไม่ใช่ว่าเห็นข้าขวางหูขวางตา        แล้วจะลงมือซ้อมคนทุกครั้งหรอกนะ?

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หลี่สุ่ยเจิ้ง ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ           มาคุยเล่นกับข้าผู้เป็นนักพรตหน่อยเป็นไง?”

หลี่หยวนพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ข้ายุ่งนะ ยุ่งมากเลยล่ะ”

ฮว่อหลงเจินเหรินสะบัดชายแขนเสื้อ “อ้อ?”

หลี่หยวนรีบพูดทันที “ยังไม่ต้องยุ่งก่อนก็ได้”

ดังนั้นนักพรตเฒ่าคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงออกจากรถม้า เดินเลี่ยงน้ำไปด้วยกัน

เสิ่นหลินร่ายใช้วิชาอภินิหาร ควบคุมรถม้าให้กลับไปยังตำหนักพักร้อนแห่งนั้น

รอจนเสิ่นหลินจากไปแล้ว หลี่หยวนก็รีบยิ้มประจบพูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่ใหญ่ฮว่อหลง เหตุใดมาเป็นแขกที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรถึงไม่บอกกันสักคำเลยเล่า? ทำตัวห่างเหินเช่นนี้ เป็นเพราะดูแคลนน้องชายที่มีชีวิตตกอับใช่หรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินอืมรับหนึ่งที

ใช่สิ ข้าผู้เป็นนักพรตดูแคลนเจ้าหลี่สุ่ยเจิ้ง

หลี่หยวนรู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดกันอีกแล้ว

สุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้อยู่ในน้ำแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงขัง ไม่มีอิสระเอาเสียเลย

เงียบงันกันไปนาน คนทั้งสองเดินกันอยู่ใต้สายน้ำ เรือนกายล่องลอยดุจควันเขียว ดุจไอเมฆหมอก

ในที่สุดฮว่อหงเจินเหรินก็ยอมเปิดปากเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ที่สำนักมังกรน้ำก่อตั้งสำนักมา พวกเขาคงปฏิบัติกับเจ้าหลี่หยวนไม่เลวกระมัง ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะยังวางมาดอะไรอีก จะยังต้องเอาเก้าอี้วางไว้บนตำแหน่งประธานในศาลบรรพจารย์ด้วยหรือ? คอยเตือนเจ้าสำนักมังกรน้ำแต่ละรุ่นอยู่ตลอดเวลาว่าศาลบรรพจารย์คือถิ่นของเจ้า? พวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่มาเช่าอยู่เท่านั้น? สุ่ยเจิ้งอย่างเจ้าน้ำเข้าสมองหรืออย่างไร? เห็นตัวเองเป็นผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้นจริงๆ หรือไร ถึงได้กล้าวางตัวเย่อหยิ่งโอหังขนาดนี้?”

หลี่หยวนกล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “อยากลงโทษหรือเล่นงานใครย่อมมีเหตุผลได้เสมอ เจินเหรินผู้เฒ่าท่านว่าอย่างไรก็คืออย่างนั้น ข้าล้วนยอมรับทั้งหมด”

ฮว่อหงเจินเหรินหัวเราะเสียงหยัน “ความสัมพันธ์ควันธูปที่ใหญ่เทียมฟ้าก็ยัง     ไม่อาจทนการเผาผลาญอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ของเจ้าได้ การจัดการกับลมฝนใน       ถ้ำสวรรค์วังมังกร โดยรวมแล้วไม่มีปัญหาอะไร นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ไม่ใช่       เสิ่นหลินที่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจหรอกหรือ ปีนั้นเซียนกระบี่ผู้นั้นขโมยสมบัติล้ำค่าชะตาน้ำของถ้ำสวรรค์ไปได้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดูดายอยู่เฉยๆ ? เขาหลอกเสิ่นหลินและตำหนักวารีหนานซวินที่ยุ่งจนหัวหมุนได้ แต่จะหลอกเจ้าที่วันๆ เอาแต่เดินเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่วได้หรือ?”

หลี่หยวนมุ่ยปาก “สำนักมังกรน้ำก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่หรือ”

ฮว่อหงเจินเหรินย่อมต้องรู้ว่าในเรื่องนี้มีเหตุพลิกผันอยู่มากมาย ไม่ใช่แค่   ความผิดถูก ดีเลวที่เรียบง่ายอะไร ทว่าเรื่องราวมากมายในโลกมนุษย์ ถึงอย่างไร       ก็พอจะมองเห็นผลลัพธ์คร่าวๆ ได้ และส่วนใหญ่ผลลัพธ์ก็มักจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของผลกรรมครั้งต่อไปเสมอ

ก็เหมือนริ้วคลื่นบนทะเลสาบ หากจะมองให้ทั่วผืนน้ำที่กว้างใหญ่ เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ทุกครั้งที่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นลง ในฐานะผู้ฝึกตน หากยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอีก ยังจะฝึกตนไปอีกทำไม?

เจินเหรินผู้เฒ่าพูดเสียงทุ้มหนัก “หากไม่เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสเคยมีอดีตเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสจะยินดีมาพูดให้เปลืองน้ำลายกับเจ้า        อยู่หรือ?”

หลี่หยวนถอนหายใจ แล้วก็ไม่แสร้งทำเป็นแกล้งโง่อีก เขาที่มีสีหน้าเคร่งขรึม    พูดอย่างจนใจว่า “ความรุ่งเรืองความตกอับ การเพิ่มการลดของควันธูปสำนัก      มังกรน้ำ ข้าเห็นมาแล้วหลายปี ความหวังก็ตายไปมากมาย ตอนนี้จึงไม่รู้สึกว่า          มีความหมายใดๆ แล้ว ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักรุ่นนี้ แม้ว่าจะนิสัยไม่เลว แต่แล้วจะ      อย่างไรเล่า? ใช่ว่าข้าจะไม่เคยคิดอยากให้สำนักมังกรน้ำหลอมกลางให้กับศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋เสียหน่อย แต่คนสองคนที่ข้าเคยให้ความสำคัญต่างก็ไม่ได้กลายเป็น      เจ้าสำนัก คนหนึ่งในนั้นยังถือว่าถูกข้าและสำนักมังกรน้ำร่วมมือกันเล่นงานจนตาย สำนักมังกรน้ำพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ถูกข้าทำให้สะอิดสะเอียนปีแล้วปีเล่า       ก็ล้วนเป็นพวกเขาที่หาเรื่องใส่ตัวเอง”

ดูเหมือนฮว่อหลงเจินเหรินจะรู้สึกสะท้อนใจในความโชคร้ายของอีกฝ่าย        แล้วก็โมโหในความไม่ได้เรื่องของเขา “เจ้าคนพยศดื้อดึง!”

บนภูเขา แต้มนัยน์ตามังกร ก้อนหินพยักหน้า สีซอให้ควายฟัง ไก่พูดกับเป็ด       คำกล่าวใดบ้างที่ไม่เป็นความรู้

มีเพียงความต่างของเทพเซียนที่ทำให้พูดคุยกันไม่รู้เรื่องมากที่สุด

ฮว่อหลงเจินเหรินจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองทำตัวเป็นคนดีๆ แล้วกัน”

หลี่หยวนอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ฮว่อหลงเจินเหริน อย่าได้อาศัยว่ามรรคกถาสูงกว่าแล้วจะมารังแกข้าได้นะ!”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอาฝ่ามือกดศีรษะของเด็กหนุ่มสุ่ยเจิ้งผู้นี้เอาไว้ ถามกลั้วหัวเราะว่า “จะรังแกเจ้า แล้วจะทำไม?”

หลี่หยวนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เขายู่หน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ฟังเจินเหรินผู้เฒ่า ยอมเป็นคนอย่างว่าง่ายก็แล้วกัน”

ฮว่อหลงเจินเหรินตบลงไปเบาๆ แต่กลับทำให้หลี่หยวนจมดิ่งลงไปในหลุมใหญ่   ใต้ทะเลสาบ เขาด่ายิ้มๆ ว่า “พูดดีๆ ไม่ฟัง ต้องให้ตบตีถึงจะฟัง”

หลี่หยวนแกล้งนอนตายอยู่ในหลุม

ฮว่อหลงเจินเหรินพลิ้วกายลงในหลุมใหญ่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เลิกเห็นตัวเองเป็นองค์เทพที่สูงส่งเหนือผู้ใดสักที”

หลี่หยวนลืมตาขึ้น “หากไม่ได้ผลทั้งสองด้าน จะไม่ยิ่งวุ่นวายใจกว่าเดิมหรอกหรือ”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “คิดไปเองว่าใช่ สอนยากจริงๆ เสียด้วย”

หลี่หยวนเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ “ก็ข้าเป็นแค่  กบใต้บ่อที่เงยหน้าไม่เห็นแสงตะวันตัวหนึ่งนี่นา”

ไม่รู้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินจากไปอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไหร่

หลี่หยวนทอดถอนใจหนึ่งที ข้าผู้อาวุโสโดนตบเปล่าๆ อีกทีหนึ่งแล้ว

……

ฮว่อหลงเจินเหรินเดินเข้ามาในจวนบนเกาะเป็ดน้ำช้าๆ

เฉินผิงอันตื่นแล้ว กำลังดูจางซานเฟิงต่อยหมัดอยู่ในลานบ้าน

เห็นเจินเหรินผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็เตรียมจะลุกขึ้นคารวะ ฮว่อหลงเจินเหริน       กลับโบกมือ “ไม่เหนื่อยหรือไง แค่มีใจก็พอแล้ว แววตาน้อยนิดแค่นี้ข้าผู้เป็นนักพรตยังพอมีอยู่บ้าง เขาไปในห้อง ไปดูวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามของเจ้า หากมีช่องโหว่  ก็จะได้รีบหลอมแต่เนิ่นๆ ฝึกตนอยู่บนภูเขา คิดมากเกินไป ย่อมไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาทำเรื่องอะไรแล้วจะต้องช้าเสมอไป นอกจากนี้การเดินช้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินอย่างเนิบนาบได้ทุกก้าวจริงๆ เฉินผิงอัน เจ้าลองไล่เรียง       ความแตกต่างของสองอย่างนี้ให้ชัดเจน”

เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ และเก็บเอาไปใส่ใจ

จางซานเฟิงหยุดท่าหมัด เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับอาจารย์และเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหยิบเอาเศษเทวรูปไม้ที่ตั้งบูชาอยู่ในอารามบนยอดเขาออกมาจาก    วัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง

ฮว่อหลงเจินเหรินโบกชายแขนเสื้อ ในห้องก็ปรากฏริ้วคลื่นลมปราณชั้นหนึ่ง   ราวกับผิวโต๊ะสีเขียวเข้มที่ทั้งราบเรียบและแวววาวเหมือนกระจก

แล้วเฉินผิงอันก็หยิบอิฐเขียวสามสิบหกก้อนที่ปูไว้บนพื้นของอารามเต๋าออกมาอีก

กระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่น

และยังมีกิ่งไม้กองใหญ่ กิ่งไผ่กองใหญ่ที่กวาดเอามาจากต้นไผ่เขียวต้นนั้น

ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “เดินทางผ่านถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมาหลายแห่ง นี่ก็คือสมบัติที่เก็บเล็กผสมน้อยมาได้?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ล้วนหามาได้จากสถานที่เดียวกัน”

ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าพูดว่า ‘เก็บตกมาได้’

สีหน้าของฮว่อหลงเจินเหรินปั้นยาก “เจ้าเป็นโจรหรือไร?”

เฉินผิงอันที่เตรียมจะหยิบสมบัติบนภูเขาอีกหลายชิ้นออกมา จึงได้แต่หยุดมือ

พัดกลมวาดภาพสตรีอันหนึ่ง และข้องราชามังกรคู่หนึ่งที่ซื้อมาจาก ‘นักพรตซุน’ และยังมีกระจกโบราณที่หวงซือมอบให้ในภายหลัง ป้ายฝึกจิตของลัทธิเต๋า รวมถึงกำไลที่สลักบทกลอนกับกาซู่อิงหนึ่งใบ

เดิมทีคิดจะเอาออกมาให้เจินเหรินผู้เฒ่าช่วยดูและประเมินราคาให้

ฮว่อหลงเจินเหรินเหลือบตามองเศษไม้กองนั้นอีกรอบหนึ่ง ไม่ได้รีบร้อน          พูดเปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่ชี้ไปที่อิฐเขียวพวกนั้น “ระดับความแข็งแกร่งทนทานไม่แพ้ให้กับแท่นสังหารมังกรที่ผู้ฝึกกระบี่บนโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน เพราะมีปณิธานแท้จริงของมรรคกถาให้ความชุ่มชื้นมานานหลายปี แก่นโชคชะตาน้ำที่ซ่อนแฝงอยู่ด้านในเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพที่แสดงออกให้เห็นภายนอกเท่านั้น หากทิ้งอิฐเขียวไว้ไม่สนใจ แล้วดึงเอามาแค่ชะตาน้ำ นั่นต่างหากจึงจะเป็นการย่ำยีวัตถุสวรรค์อย่างแท้จริง”

เฉินผิงอันจึงมองจางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้าง

ฮว่อหลองเจินเหรินยิ้มกล่าว “ยกให้อะไรกัน เก็บไว้เองนั่นแหละ! จำนวนดาวเทียนกังสามสิบหกดวง เดิมทีก็สอดคล้องกับการพิสูจน์มรรคาของวาสนาเต๋าอยู่แล้ว         หากขาดไปแม้แต่ก้อนเดียว ก็จะทำไม่สำเร็จ”

เจินเหรินผู้เฒ่าชี้ไปยังช่องโพรงที่สำคัญจุดหนึ่งของเฉินผิงอัน “ฟ้าดินขนาดเล็กร่างกายมนุษย์ พายุลมกรดสี่เที่ยงตรงคือลม ดึงเอาตรงกลางของสี่เที่ยงตรง นั่นคือ   ใจของข้า พายุบนท้องนภา แก่นหยินหยาง คือดินที่แท้จริง หนึ่งลวงหนึ่งจริง ล้วนเป็นคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ของลัทธิเต๋าเรา เจ้าไม่ได้จะหล่อหลอมดินห้าสีเป็นวัตถุแห่ง       ชะตาชีวิตห้าธาตุหรืออย่างไร? พอดีเลย หลอมกลางให้อิฐเขียวทั้งสามสิบหกก้อน     ให้เป็นฐานภูเขาของภูเขาที่อยู่ใจกลางลูกนั้น

และยังสามารถหล่อเลี้ยงปกป้องความคิดจิตใจของผู้ฝึกตนได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่การหล่อหลอมวัตถุชิ้นนี้จำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณมหาศาล การสร้างรากภูเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ วันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตจะถ่ายทอดคาถาบทหนึ่งให้เจ้า เส้นทางมังกรก็แบ่งขุนเขาสายน้ำเหมือนกัน วิธีการหลอมวัตถุของเจ้า           ไม่ค่อยเหมาะกับการสร้างภูเขาสักเท่าไร”

ฮว่อหลงเจินเหรินหยิบกระเบื้องแก้วมรกตใบหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่ากระเบื้องแก้วชิ้นนี้ หากขายให้คนที่ถูกต้อง จะมีมูลค่ากี่เหรียญเงินเทพเซียน?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “สิบเหรียญเงินร้อนน้อย?”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยสัพยอก “สิบเหรียญเงินร้อนน้อย? คู่ควรให้ข้า                 ผู้เป็นนักพรตส่ายมือหรือ?”

จางซานเฟิงเอ่ยเตือนเบาๆ “สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช เงินฝนธัญพืช!”

เฉินผิงอันถาม “ต้องขายให้กับหอแก้วของนครจักรพรรดิขาวในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงจะได้?”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ พูดคุยกับคนฉลาดก็ประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้เอง “หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตตระกูลเซียนทั่วไป กระเบื้องแก้วหนึ่งแผ่น อย่างมาก       ก็ขายได้ราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น คนที่มองของไม่เป็น ราคาแค่        ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็ยังไม่ยินดีซื้อไว้ เพราะของชนิดนี้ต้องเก็บสะสมให้มาก       ถึงจะแสดงประสิทธิผลที่มหัศจรรย์ได้ น้อยไป ก็เป็นได้แค่เครื่องประดับ                  ไม่มีประโยชน์อะไร”

เฉินผิงอันจึงรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ได้เอาสมบัติพวกนี้ไปขาย ไม่อย่างนั้นหากตนมารู้ความจริงในภายหลัง จิตแห่งมรรคาที่วุ่นวายอยู่แล้วจะไม่ยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก     หรอกหรือ?

ฮว่อหลงเจินเหรินคีบกิ่งไม้อันหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “คือลูกหลานของหนึ่งในสิบไม้ไผ่บรรพบุรุษของภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ สามารถเรียกได้ว่าเป็นหลานสาว     สายตรง เนื้อไผ่แข็งแกร่งดุจก้อนหิน สามารถนำมาทำเป็นภาชนะได้ มีคุณธรรม      ยืนหยัด ตัวของไม้ไผ่ยืดตรง ปล้องไม่ไผ่เติบโตงอกงามได้ดี จิตใจกว้างใหญ่ดุจขุนเขา บันทึกภาษาสืบทอดต่อไปหลายรุ่น ล้วนเป็นการประพฤติตัวอย่างมีคุณธรรม         เจ้าคิดว่าตัวเองพบเจอกับต้นไผ่ต้นนี้ เป็นเพราะมีคุณธรรมแบบใด? เจ้าถึงได้ไป      พบเจอมันโดยบังเอิญได้?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าก็เดาไม่ออก”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว”

อันที่จริงนี่ก็คือการให้การยอมรับหลังจากที่ปฏิเสธมามากมายหลังการถามใจของเฉินผิงอัน

หากการถามใจแสวงหาความจริงของผู้ฝึกตน ต้องการแค่จิตใจที่ตายแล้ว     อย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นร้อยสำนักนอกจากลัทธิเต๋า ผู้ฝึกตนมากมายขนาดนั้น          จะบำเพ็ญตนไปอีกทำไม

ไม่ว่าจะไปเจอต้นไผ่คุณธรรมต้นไหนพันธุ์ไหน อันที่จริงก็ล้วนไม่สำคัญ

ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกที่ตรงไหน

จางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอาจารย์พูดว่าถูกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถูกแล้ว

ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์เอาแต่ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจอยู่อย่างนี้ คงไม่ค่อยดี   สักเท่าไร

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันเอ่ยว่า “ซานเฟิง ไปฝึกวิชาหมัดของเจ้าในลานบ้านเถอะ”

จางซานเฟิงร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ออกจากห้องไปโดยไม่ถามอะไรสักคำ

ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นมือออกมาคว้าจับ เศษเทวรูปไม้ที่อยู่บนโต๊ะบ้างก็บินว่อน บ้างก็ลอยขึ้นกลางอากาศ มีการปะทะชนกันเบาๆ แกว่งส่ายไปมา สุดท้าย             มาประกอบกันเป็นเทวรูปของนักพรตวัยกลางคนหนึ่งอีกครั้ง

ประหนึ่งร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาแม่น้ำที่ถูกประกอบใหม่อีกครั้ง

มอง ‘นักพรตวัยกลางคน’ คนนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ถอนหายใจเบาๆ

จากนั้นฮว่อหลงเจินเหรินก็หยุดความคิดถึงความอาลัยทั้งหมดลง พูดเสียงทุ้มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เฉินผิงอัน เจ้าไปได้เทวรูปนี้มาจากที่ใด?”

เฉินผิงอันจึงเล่าประสบการณ์การเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติคราวนั้นคร่าวๆ ไปหนึ่งรอบ เกี่ยวกับเรื่องมากมายของนักพรตซุนที่อยู่ในซากปรักจวนเซียน           เขาล้วนละไว้

เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังดูแคลนความรู้และมรรคกถาของฮว่อหลงเจินเหริน      มากเกินไป

ฮว่อหลงเจินเหรินจ้องนิ่งไปที่เทวรูปไม้แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “คนผู้นี้ถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์       ที่สวมชุดคลุมอาคมพกกระบี่สังหาร ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมีคนหนึ่งที่ชื่อว่า      ซ่งเหมาหลู เป็นศิษย์ที่เก่งกว่าครู คือผู้มีพรสวรรค์ที่พันปีก็ยากจะปรากฏตัวสักครั้งของใต้หล้ามืดสลัว อาศัยเพียงแค่กำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถรวบรวมกองกำลังลัทธิเต๋านอกป๋ายอวี้จิงได้เกือบหกส่วน ลองจินตนาการดู ในใต้หล้าไพศาลของ      พวกเรา หากมีคนที่สามารถต่อกรกับลัทธิขงจื๊อได้ถึงครึ่งหนึ่ง จะเป็นภาพปรากฎการณ์แบบใด?”

เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการถึงเรื่องนี้ได้เลย

ฮว่อหลงเจินเหรินเปิดเผยความลับสวรรค์ของใต้หล้าแห่งอื่นต่อ เมื่ออยู่ในขอบเขตอย่างเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคุณธรรมประจำกายเรียกชื่ออริยะออกมา    ตามตรงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอะไรแล้ว เขาพูดต่อไปว่า “ส่วนเทวรูปองค์นี้ ไม่ใช่เทวรูปธรรมดาทั่วไปที่ตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าน้อยใหญ่สายเดียวกัน คือ    ตำแหน่งเทพที่สำคัญองค์หนึ่งที่เป็นรองแค่ร่างเดิมในสำนักเดิมเท่านั้น เจ้าสามารถเข้าใจได้ว่านี่คือจิตหยินที่ออกมาจากช่องโพรงของผู้ฝึกตนคนนี้ และไม้นี้ก็หล่อหลอมมาจากไม้ท้อบรรพบุรุษของอารามเสวียนตู”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “และเจ้าอารามของอารามเสวียนตูก็คือศิษย์พี่     ของเทวรูปไม้นี้ อยู่ในอันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวมาโดยตลอด ถูกทางฝั่งนั้น   ขนานนามให้เป็นอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า     สามารถพูดได้ว่าอาศัยเจ้าอารามท่านนี้เป็นผู้ประคับประคองบารมี”

พูดมาถึงตรงนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ถามว่า “แน่ใจหรือไม่ว่าจะไม่มีภัยร้ายซ่อนแฝง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่ใจ!”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ได้กำไรก้อนโตเลยทีเดียว”

หากเป็นผู้น้อยทั่วไป กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินคงต้อง          เกลี้ยกล่อมสักหน่อยว่าให้คิดทบทวนดูให้ดีก่อนค่อยลงมือ

แต่ในเมื่อเป็นเฉินผิงอัน ก็คงไม่ต้องพูดแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ที่บินทะยานกลับ    ใต้หล้ามืดสลัวไปแล้วผู้นั้นยินดีทิ้งวัตถุชิ้นนี้เอาไว้ เดิมทีนี่ก็เป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง  ที่มีต่อเฉินผิงอันอยู่แล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองเฉินผิงอัน จนกระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง พอจะเดาได้ถึงความหวังดีของฉีจิ้งชุนได้อย่างรางๆ แล้ว เพียงแต่     ไม่รู้ว่าเดาถูกหรือไม่

ฮว่อหลงเจินเหรินถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ได้เตรียมวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินทั่วไปที่เอาไว้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินไว้บ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เตรียมไว้แล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องวาดงูเติมขาอีก”

เฉินผิงอันเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะถึงอย่างไรโอกาสก็มีแค่ครั้งเดียว     ไม่เหมือนกับดินห้าสีสามส่วนที่ชุยตงซานเตรียมเอาไว้ เดิมทีคิดว่าจะพยายามแสวงหาความมั่นคง ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี เมื่อมีครบทั้งสามอย่างถึงจะลงมือ     หล่อหลอม นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมาถึงถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยัง    ลังเลว่าควรจะหลอมวัตถุชิ้นนี้ดีหรือไม่

ฮว่อหลงเจินเหรินมองคนหนุ่มที่ชอบใคร่ครวญซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา

หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา จะต้องสนผลลัพธ์กับมารดามันทำไม ได้มาแล้ว ข้าผู้อาวุโสก็รีบหลอมก่อนค่อยว่ากัน

หากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบ ป่านนี้      พวกผู้อาวุโสในสำนักก็คงช่วยวางแผนการไว้ให้นานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะใส่ใจยิ่งกว่าตัวลูกศิษย์เองด้วยซ้ำ

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยเตือนว่า “ก่อนจะหลอม ทำจิตใจให้สงบเสียก่อน”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยหยอกล้อ “ยังมีสมบัติอีกหรือไม่ เอาออกมาให้ดูหน่อยสิ?”

เฉินผิงอันจึงไม่เกรงใจ หยิบของต่างๆ ในวัตถุจื่อชื่อออกมาทันที

สุดท้ายแม้แต่กระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นคัมภีร์พุทธหนึ่งเล่มนั้นก็ยังเอาออกมาด้วย

ทีแรกฮว่อหลงเจินเหรินยังรู้สึกประหลาดใจ แต่พอเห็นคัมภีร์หน้านั้นก็เริ่มจะเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินช่วยวิจารณ์สมบัติบนภูเขาให้ทีละชิ้น ระหว่างนี้ได้หยิบพัดกลมที่ทำขึ้นอย่างประณีตอันนั้นขึ้นมาโบกเบาๆ เหมือนสะบัดฝุ่น แล้วจึงยิ้มพลางยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “ลองดูอีกที”

เฉินผิงอันรับพัดกลมอันนั้นมา ยังคงมีภาพสตรีถือพัดอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าบนพัดกลมอันเล็กในมือของสตรี ก็มีภาพวาดของ    สตรีถือพัดกลมอยู่อีก บนภาพวาดมีภาพวาด เฉินผิงอันมองอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหลับตาลง มือกำเป็นหมัดยันไว้ตรงหว่างคิ้วเบาๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เก็บเอาไว้เถอะ รักษาไว้ให้ดีๆ”

ฮว่อหลงเจินเหรินเก็บข้องราชามังกรที่ถักจากไม้ไผ่มาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “สภาพทรุดโทรมมากเกินไป ข้าผู้เป็นนักพรตจะช่วยซ่อมให้เจ้าเอง ไม่ใช่ว่าข้า          ผู้เป็นนักพรตหลงตัวเอง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เงินเทพเซียนไม่กี่เหรียญจะแก้ไขได้แล้ว      มีเพียงน้ำและไฟผสมผสาน หล่อหลอมอย่างละเอียด ถึงจะสามารถซ่อมแซมให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมทั้งยังไม่ทำลายรากฐานของพวกมัน ข้องราชามังกรเล็กคู่นี้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าก็ไม่ต้องเอาไปขาย ในอนาคตหากภูเขาของบ้านตัวเองมีสายน้ำใหญ่    ก็สามารถใช้วัตถุชิ้นนี้จับเผ่าพันธ์เจียวหลง เจ้าต้องรู้ให้ชัดเจน นอกจาก                ข้องราชามังกรจะมีประโยชน์ในการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะแล้ว ยังเป็นวังมังกรขนาดเล็กในใต้หล้าด้วย เมื่อผู้ฝึกตนนำมาใช้ก็คืออาวุธอย่างหนึ่ง เจียวหลงขดตัว     อยู่ด้านใน ก็คือจวนน้ำแต่กำเนิดของมัน”

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณ

หลังจากเฉินผิงอันเก็บวัตถุทั้งหมดไปแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินก็เห็นว่าเขาทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ฮว่อหลงเจินเหรินจึงยิ้มกล่าว “คงไม่ใช่เรื่องของบ้านตัวเอง เข้าใจแล้ว คงใคร่รู้ขนบธรรมเนียมในยอดเขาพาตี้ของข้าผู้เป็นนักพรตสินะ?”

เฉินผิงอันจึงแข็งใจเอ่ยว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า ข้าขอบังอาจพูดสักคำ สามารถสอนมรรคกถาบางอย่างที่สูงส่งและลึกล้ำให้จางซานเฟิงได้แล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

แม้จะบอกว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนก็คือเงินเทพเซียนที่จริงแท้แน่นอนที่สุดในใต้หล้านี้

แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ ยอดเขาพาตี้ของฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์คนใดยกเรื่องขอบเขตสูงต่ำมาพูดข่มกัน

สาเหตุนั้นไม่ควรจะเอามาพูดให้คนนอกฟัง

แต่คนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ถือว่าเป็นคนนอก

ดังนั้นฮว่อหลงเจินเหรินจึงยิ้มถามว่า “สงสัยมากใช่ไหมว่า เหตุใดข้า                 ผู้เป็นนักพรตถึงได้จงใจปิดบังซานเฟิง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ฮว่อหลงเจินเหรินหมุนตัวเดินไปอยู่ใกล้กับเจี้ยนเซียนที่แขวนไว้บนผนัง แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตรับลูกศิษย์ ดูแค่ที่นิสัยใจคอเท่านั้น ไม่ดูที่คุณสมบัติ ใครบอกว่าเพื่อรากฐานของภูเขาลูกหนึ่งแล้วจะต้องช่วงชิงเอาผู้มีพรสวรรค์มา     อย่างเดียวเท่านั้น? คนมีมโนธรรมห้าขอบเขตล่างมากมายที่อยู่บนภูเขาอย่างสุขสงบมั่นคง หรือตะพาบห้าขอบเขตบนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนภูเขา สองอย่างนี้ใครดี         ใครเลว?”

ฮว่อหลงเจินเหรินดึงสายตากลับมา คือกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง แต่อันที่จริงกลับกำลังต่อสู้กันเองอยู่

ไม่เสียแรงที่เป็นเฉินผิงอัน

ฮว่อหลงเจินเหรินหันหน้ามายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่ามีขอบเขตอย่างข้าผู้เป็นนักพรตแล้วถึงสามารถพูดแบบนี้ได้ แต่เป็นเพราะประพฤติปฏิบัติตามหลักการเหตุผลนี้      มาตลอด ยืนหยัดในการแสวงหามรรคา ฝึกกำลังฝึกจิตใจ ถึงได้มีขอบเขตอย่าง        ในทุกวันนี้ เข้าใจใช่ไหม?”

เฉินผิงอันตอบ “แน่นอน”

ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าว “ก็เหมือนข้าผู้เป็นนักพรตปลูกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไว้บนยอดเขาพาตี้ มันแตกกิ่งก้านสาขาไปมากมาย มีการแตกดอกออกผลที่ต่างกันไป        มีสูงมีต่ำ มีก่อนมีหลัง”

“บางคนที่มีขีดจำกัดด้านคุณสมบัติ กิ่งใบดอกผลจึงร่วงลงสู่พื้น ยกตัวอย่างเช่นพวกศิษย์พี่ที่ขึ้นเขามาฝึกตนก่อนจางซานเฟิง แต่ละคนที่ไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวด  ไปได้ก็ต้องพากันจากโลกนี้ไป ลูกศิษย์บางคนเกิดมาก็เหมาะแก่การฝึกตน           อย่างแท้จริง เมื่อกาลเวลายาวนานขึ้น ขอบเขตและมรรคกถาก็สูงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นภูเขาต่างๆ ซึ่งรวมถึงไท่เสีย เถาซาน จื่อเสวียนและป๋ายอวิ๋น ในสายตาของข้าผู้เป็นนักพรต ไม่ใช่ว่าขอบเขตของลูกศิษย์สูงแล้วจะเป็นอย่างไร มรรคกถา    สูงต่ำ ไม่ได้อยู่ที่หมัด แต่อยู่ที่ใจคน เพียงแต่ว่าเมื่อมรรคกถาสูงก็ใช้เหตุผลได้ง่าย เหตุผลเดียวกันกลับดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลมากกว่า อันที่จริงยอดเขาพาตี้คอย     หลบเลี่ยงการลุกลามของสถานการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด ในสายตาของข้า                 ผู้เป็นนักพรต ลูกศิษย์หลายคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าห้าขอบเขตบนของสายอื่นๆ อย่างพวกป๋ายอวิ๋นเลย ทุกคำพูดทุกการกระทำของพวกเขาล้วนอยู่     ในใจของข้าผู้เป็นนักพรตเสมอมา”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มเอ่ย “ลูกศิษย์ที่ฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้ก็ดี เดินออกจากยอดเขาพาตี้ไปเปิดขุนเขาเองก็ช่าง ข้าผู้เป็นนักพรตล้วนจะอิงตามนิสัยใจคอดั้งเดิมของพวกเขาถ่ายทอดมรรคกถาที่แตกต่างกันให้แก่พวกเขา บางคนจำเป็นต้องให้อาจารย์ดุด่าถึงจะดึงกลับมาสู่จุดเดิม เดินทางอ้อมทางผิดได้น้อยลง บางคนจำเป็นต้องให้อาจารย์ช่วยผลักถึงจะเดินได้เร็วขึ้น ใจกล้ามากขึ้น ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังคงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าอาจารย์พาเข้าสำนัก ฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง จางซานเฟิงนั้นไม่ค่อยเหมือนใคร ไม่ต้องให้อาจารย์อย่างข้าผู้เป็นนักพรตจงใจสั่งสอน อาจารย์ทั่วไปถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ ก็เพื่อให้ลูกศิษย์เข้าใจ แต่วิชาที่ข้าผู้เป็นนักพรตถ่ายทอดให้ซานเฟิง คือธรรมชาติมากที่สุด นั่นคือให้ซานเฟิงรับรู้ด้วยตัวเอง เรื่องอื่น            ไม่จำเป็นต้องรับรู้ นี่ถือเป็นใจที่เห็นแก่ตัวหรือไม่? ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่ร่วมสำนัก   ของจางซานเฟิงเห็นอยู่ในสายตาหรือไม่? เห็น แล้วก็ไม่เห็น นี่ก็คือยอดเขาพาตี้        ที่ฝึกตนเพื่อแสวงหาความจริงอย่างแท้จริง”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะ “ผู้ฝึกตนมองขอบเขต สมบัติและโชควาสนา           กับคนธรรมดาด้านล่างภูเขาที่มองเงินทอง อำนาจและโชคลาภ แก่นแท้แตกต่างกันหรือไม่? ผู้ฝึกตนคิดจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริง ก็ควรจะเอาความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกมาบ้าง ใช่ไหม? หมัดแข็ง อายุขัยยืนยาว วิชาอาคมมาก ก็คือเทพเซียนที่สูงส่งกว่าคนอื่นแล้ว? ถ้าอย่างนั้นนายท่านเทพเซียนใต้หล้านี้ก็มี           มากไปหน่อยจริงๆ”

เฉินผิงอันใคร่ครวญคำพูดของเจินเหรินผู้เฒ่าอย่างละเอียด

หลักการเหตุผลในถ้อยคำของเจินเหรินผู้เฒ่าวันนี้ บางอย่างสามารถนำมาใช้เป็นกฎของภูเขาลั่วพั่วในอนาคตได้โดยตรง

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “รอให้ตบะของเจ้าสูง มีชื่อเสียงแล้ว ก็จะยิ่งเจอกับ       คนนอกที่จะวิพากษ์วิจารณ์ อยากจะสอนเจ้าเฉินผิงอันว่าควรวางตัวอย่างไรมากขึ้นเรื่อยๆ”

ฮว่อหลงเจินเหรินคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จำไว้ว่า คนยุคปัจจุบันตำหนิคนยุคโบราณ คนเป็นตำหนิคนตาย ก็หนีไม่พ้นรังแกที่อีกฝ่ายเปิดปากพูดไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นข้อแรก เฉินผิงอันเจ้าอย่าตาย นอกจากนี้พวกคนชั่วร้ายที่แท้จริงในใต้หล้า แท้จริงแล้ว      ชอบพวกคนที่เป็นคนดีมากที่สุด มีเพียงคนโง่ที่จะเอาแต่รังเกียจคนดี วันๆ เอาแต่ตำหนิฟ้าตำหนิดิน ทำเรื่องดีได้ไม่ดีพอ ไม่มากพอ คนเหล่านี้ ฟังไม่เข้าใจ สอนยาก    ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ในสมองมีแต่แป้งเปียก บนร่างมีแต่ความดุร้ายไร้เหตุผล          ในสายตาของข้าผู้เป็นนักพรต พวกเขาถึงจะเป็นบุคคลที่ร้ายกาจที่สุดใน

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset