หม่าขู่เสวียนเอียงศีรษะ “ไม่เชื่อ ใช่ไหม?”
หม่าขู่เสวียนยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รอดูไปเถอะ ตอนนี้ข้าเองก็เปลี่ยนใจแล้ว อีกไม่นานสักวันหนึ่งข้าจะให้ไทเฮาออกพระราชโองการด้วยตัวเอง ให้นำมามอบถึงมือเจ้า ให้เจ้าไปรับหน้าที่เป็นเทพวารีแม่น้ำใหญ่ในอาณาเขตของภูเขาเจินอู่ ถึงเวลานั้นข้าค่อยเป็นแขกไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง หวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แล้วข้าก็จะได้แสดงมารยาทกลับคืน เชื้อเชิญให้เจ้าไปเป็นแขกบนภูเขาบ้าง”
หยางฮวามีสีหน้าเครียดขรึม
หม่าขู่เสวียนส่ายหน้า “ขอโทษที สายไปแล้ว”
หยางฮวาหรี่ตาลง
ผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่งของภูเขาเจินอู่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหม่าขู่เสวียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าแม่เทพวารีฆ่าคนโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์”
หยางฮวาหัวเราะเสียงเย็น “หม่าขู่เสวียนเป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาเจินอู่พวกเจ้าแล้วรึ?”
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารท่านนั้นส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าคำพูดของหม่าขู่เสวียนคล้ายจะได้ผลกว่าเจ้าขุนเขาของพวกเรา ข้าเองก็ไม่พอใจมานานแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา”
หยางฮวาสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกตนคนนั้นแอบส่งสายตามาให้ตน
หยางฮวาจึงถอนหายใจ พูดกับหม่าขู่เสวียนว่า “อีกไม่นานหม่าหลันฮวาก็จะได้มีศาลเทพลำคลองเป็นของตัวเอง”
หม่าหลันฮวาแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวี ปีนั้นได้เลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลอง แต่กลับไม่เคยได้สร้างศาลเป็นของตัวเอง
หากเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูยอมเปิดปาก เรื่องสร้างศาลรับควันธูปก็ย่อมสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการในพื้นที่ของจังหวัดหลงโจว หรือทางฝั่งของกรมพิธีการในราชสำนักต้าหลีก็ล้วนไม่รู้สึกลำบากใจ
หม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืน ปัดมือ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าหม่าขู่เสวียนก็จะกลับคำสักครั้ง วันหน้าเหนียงเนียงเทพวารีก็คือแขกผู้มีเกียรติของข้าหม่าขู่เสวียน”
จากนั้นหม่าขู่เสวียนที่เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดดำรัดเข็มขัดหยกสีขาวก็คล้ายคุณชายเจ้าสำราญตระกูลชนชั้นสูงคนหนึ่งที่ออกมาท่องเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำ เขาเดินอยู่ริมตลิ่งของลำคลองหลงซวี เมื่อเขาไม่ปกปิดลมปราณอีกต่อไป จงใจเปิดเผยลมปราณออกมา เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร กลางลำคลองก็มีพืชน้ำลอยขึ้นมาแล้วส่ายสะบัดอยู่ในสายน้ำคล้ายกำลังลอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวบนชายฝั่ง
ราวกับไม่กล้าทักทายหม่าขู่เสวียน สตรีโตเต็มวัยที่ไม่ได้มีรูปโฉมแก่ชราอีกต่อไปคนนั้นโผล่ศีรษะออกมาพ้นผิวน้ำ นางมองคนหนุ่มที่อยู่บนชายฝั่ง เทพวารีแห่งสายน้ำลำคลองหลั่งน้ำตาไม่ได้ แต่สตรีกลับยื่นมือมาเช็ดใบหน้าตามจิตใต้สำนึก
นั่นเป็นครั้งแรกที่สาวใช้ ‘ซู่เตี่ยน’ ได้เห็นมารร้ายหนุ่มอย่างหม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง นางยังสังเกตเห็นว่าเจ้าคนชั่วที่ใจดำอำมหิตก็รู้จักหลั่งน้ำตาเหมือนกัน
วันนั้นหม่าขู่เสวียนนั่งอยู่ริมลำคลองเคียงบ่ากับนาง สตรีโตเต็มวัยจับมือของหม่าขู่เสวียนขึ้นมากุมเบาๆ พึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานก็ไม่พูดอะไร เขามองใบหน้าที่ค่อนข้างแปลกตา แต่กลับเป็นคำพร่ำบ่นที่ชีวิตนี้เขาคุ้นเคยมากที่สุด
ท่านย่าเล่าเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยมากมาย ด่าคนไปหลายคน แต่สุดท้ายกลับบอกเขาว่าไม่ต้องสนใจอะไร
สุดท้ายนางบอกให้หลานชายรอสักครู่ จากนั้นก็ไปยังจวนกลางน้ำที่แร้นแค้นของตัวเอง ขนเอาสมบัติทั้งหมดที่สะสมมาได้ออกมาวางไว้ข้างกายคนทั้งสองอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสมบัติแต่ละชิ้น สุดท้ายบอกให้หม่าขู่เสวียนเก็บเอาไปทั้งหมด บอกว่าของพวกนี้เป็นสินสอดที่นางเก็บสะสมไว้ให้หลานชาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขามีแม่นางที่ชื่นชอบบ้างหรือไม่ ถึงอย่างไรจื้อกุยผู้นั้นก็เป็นปีศาจจิ้งจอกมาตั้งแต่เกิด เป็นสตรีที่ไม่สามารถแต่งเข้าบ้านได้จริงๆ นอกจากนางแล้ว ไม่ว่าสตรีคนใดที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ของนาง นางล้วนยอมรับได้ทั้งสิ้น
หม่าขู่เสวียนบอกว่าก็คือจื้อกุยนั่นแหละ
สตรีโตเต็มวัยจึงยื่นนิ้วชี้ออกมาจิ้มหน้าผากหลานชายตามความเคยชิน ด่าเขาว่าถูกภูตผีบดบังจิตใจ ไม่รักดีแม้แต่น้อย เป็นคนลุ่มหลงในรักที่พ่อไม่สอนแม่ไม่ดูแล สมควรแล้วที่ต้องมีชีวิตลำบาก
สุดท้ายสตรีพูดไปพูดมาก็ร้องไห้ บอกว่าปีนั้นเพื่อให้ได้เป็นแม่ย่าลำคลอง ตนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานมามาก หากไม่เป็นเพราะคิดว่ายังมีเขาที่เป็นหลานชายอยู่อีกคน หากเขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนดูแล นางคงทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
หม่าขู่เสวียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยกมือขึ้นเช็ดหน้า
สตรีบอกว่าหม่าขู่เสวียนต้องรับปากนางเรื่องหนึ่ง หม่าขู่เสวียนบอกว่าไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ หากสืบสาวเบาะแสมาจนเจอตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาจริงๆ แล้วเฉินผิงอันผู้นั้นกล้าฆ่าคนคนหนึ่ง เขาก็จะฆ่าคนสองคนที่เฉินผิงอันห่วงใยที่สุด มีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า ทว่าสตรีกลับส่ายหน้า ยืนกรานให้หม่าขู่เสวียนรับปากนาง นางพูดด้วยเสียงสะอื้น บอกว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่เจ้า จะคิดบัญชีกันแบบนี้ได้อย่างไร
แต่หม่าขู่เสวียนกลับเงียบงันไม่พูดจา
สุดท้ายสตรีจึงใช้ท่าไม้ตาย บอกว่าหากเขาไม่รับปาก วันหน้านางก็จะคิดว่าไม่มีหลานชายคนนี้อยู่อีกแล้ว
หม่าขู่เสวียนจึงได้แต่รับปากไปก่อน ทว่าส่วนลึกในใจกลับมีแผนการเป็นของตัวเอง ดังนั้นหลังจากแยกจากกัน หม่าขู่เสวียนจึงยังคงไม่ได้ไปหาพ่อแม่ แต่ไปที่ร้านยาตระกูลหยางมารอบหนึ่ง หลังจากรู้ว่าท่านย่าของตนต้องอยู่ที่ลำคลองหลงซวีเท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากัน หม่าขู่เสวียนถึงจำต้องเปลี่ยนความคิด บอกให้พ่อแม่ขายเตามังกรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไปในราคาสูง แล้วย้ายบ้านออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียน สุดท้ายจึงมีการเดินทางไกลจากบ้านเกิดที่เชื่องช้าครั้งนี้
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ซู่เตี่ยนสังเกตเห็นเรื่องประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างหม่าขู่เสวียนกับพ่อแม่จะธรรมดา ไม่ได้ห่างเหินเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างคนและเซียน แต่กลับเหมือนว่าไม่เคยมีความผูกพันอะไรกันมาตั้งแต่เด็ก พอไปฝึกตนบนภูเขา ทั้งสองฝ่ายจึงยิ่งห่างไกลและไม่สนิทสนมกัน และสามีภรรยาคู่นั้นก็คล้ายว่าจะจมจ่อมอยู่แต่กับความปิติยินดีอันใหญ่หลวง สำหรับบุตรชายที่สร้างเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูลซึ่งเงียบขรึมพูดน้อยจนแทบไม่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มให้เห็น คู่สามีภรรยาไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ราวกับว่าการที่บุตรชายของตัวเองอยู่สูงส่งเกินใครก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
สองสามีภรรยา บุรุษธรรมดาที่สวมอาภรณ์หรูหราเผยให้เห็นกลิ่นอายของความปราดเปรื่องเฉียบแหลมของพ่อค้าใหญ่ ส่วนสตรีนั้นมีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง รูปโฉมหน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่นมากนัก สายตาที่มองคน ต่อให้จะมีรอยยิ้มประดับใบหน้า แต่ก็ยังเผยความเย็นชาออกมาให้เห็น
ตลอดทาง มีพวกคนและภูตที่ตาไม่แวว ทั้งยังโชคไม่ดีทะเล่อทะล่าเข้ามาก็ล้วนตายกันไปหมด
ดูเหมือนว่าหม่าขู่เสวียนจะจงใจเลือกเส้นทางภูเขาสายน้ำที่มีทางให้เดิน แต่ลักษณะชัยภูมิอันตราย ด้วยคิดสังหารพวกโจรหรือภูตผีทั้งหลายเพื่อระบายความอัดอั้นหงุดหงิดที่อยู่ในใจ
ระหว่างนี้ผู้ฝึกตนสำนักเดียวกับนางได้มาช่วยเหลือนางเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกบรรพจารย์พาคนมาซักไซ้เอาผิดหม่าขู่เสวียนด้วยตัวเอง ถูกหม่าขู่เสวียนสังหารคนไปสิบกว่าคน ราวกับว่ากำลังขยี้มดให้ตายต่อหน้าต่อตานาง
ก่อนที่หม่าขู่เสวียนจะลงมือได้มอบทางเลือกสองอย่างให้กับนาง ตัวเองรอด หรือพวกคนที่มาช่วยนางต้องตาย
หากตอบผิด นางก็ต้องตาย
ซู่เตี่ยนตอบถูกแล้ว ดังนั้นคนพวกนั้นจึงตาย
คราวนี้ศิษย์พี่ร่วมสำนักที่มีหวังว่าจะได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับนางกับสหายบนภูเขาของเขาพากันไล่ตามมา หวังจะช่วยนางออกไปจากบ่อลึกหลุมเพลิงแห่งนี้
หม่าขู่เสวียนจึงให้นางเลือกอีกครั้ง จะเป็นคู่ยวนยางสิ้นลม หรือจะมีชีวิตรอดอยู่เพียงลำพัง
ซู่เตี่ยนยังคงอยากมีชีวิตรอด
ดังนั้นศิษย์พี่ที่นางคิดมาตลอดว่าตนเองรักเขาอย่างลึกซึ้งและสหายของเขาจึงตายกันหมด ตายอย่างไม่มีข้อสงสัย
ตอนนั้นฝนใหญ่ตกกระหน่ำลงมา ซู่เตี่ยนจิตใจแหลกสลาย นางนั่งอยู่บนพื้นถามเสียงดังว่าเหตุใดตอนที่ตนเองขอความตาย หม่าขู่เสวียนถึงไม่ตอบตกลง แต่สองครั้งหลังกลับยอมทำตามปรารถนาของนาง
ตอนนั้นหม่าขู่เสวียนที่ชุดคลุมตัวยาวไม่เปียกน้ำฝนแม้สักหยดยิ้มพูดกับนางว่า “เดิมทีก็ต้องการให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายอยู่แล้ว ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก ความไม่เข้าใจของเจ้าก็คือสาเหตุที่เป็นเทพธิดาคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ท่ามกลางดินโคลน เมื่อไหร่ที่เข้าใจแล้วเจ้าก็จะมีชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย เรื่องราวทั้งหลายที่ผ่านมาในอดีตล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หม่าขู่เซียนกระชากหัวของนาง เหวี่ยงตัวนางขึ้นหลังม้า “เป็นสาวใช้ หากวันหน้ากล้าทำตัวไม่เคารพอีกจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งซะ อย่าให้มีครั้งถัดไป”
ขบวนรถม้าออกเดินทางต่อท่ามกลางม่านฝน
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอบอุ่น
หม่าขู่เสวียนขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ร่างของเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าโคลงเคลงไปมา ในใจคิดคำนวณว่าในแจกันสมบัติทวีปยังมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนใดบ้างที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้
ราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ชุยฉาน ไม่นับ อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้คู่ควรจะทำเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง
จวี้จื่อสายรองของสำนักโม่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี สามารถทรมานผู้ฝึกตนสกุลลู่สำนักหยินหยางให้ตายได้ ก็นับว่ามีความสามารถ
เรือข้ามฟากขุนเขาสมชื่อสิบสองลำนั้น หม่าขู่เสวียนเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แหงนหน้ามองไป มืดฟ้ามัวดิน อาณาเขตโลกมนุษย์ในรัศมีร้อยลี้ด้านล่างเรือประหนึ่งตกอยู่ในรัตติกาลมืดมิด นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีสามารถลงใต้ได้อย่างรวดเร็ว การสร้างเรือยักษ์ทุกลำล้วนเท่ากับว่าราชวงศ์ต้าหลีและฮ่องเต้สกุลซ่งเฉือนเนื้อก้อนใหญ่ออกมาจากร่างของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างหนี้นอกก้อนใหญ่กับสำนักโม่สายหลักในแผ่นดินกลางและพวกนายท่านใหญ่สำนักการค้าของแผ่นดินกลางด้วย การขุดดินลึกสามฉื่อระหว่างทางที่กรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็คือการชดใช้หนี้อย่างลับๆ ส่วนข้อที่ว่าเมื่อไหร่จะชดใช้หนี้สินได้หมดก็บอกได้ยากแล้ว
จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ที่ชื่อว่าสวี่รั่วผู้นั้น ไม่อาจดูแคลน
เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปได้ย้อนกลับมายังทวีปของตัวเองแล้ว หากอยู่ต่อที่แจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีความหมายอะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังได้ยินมาว่าภายในบ้านของเทียนจวินท่านนี้น่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น หากยังไม่กลับอุตรกุรุทวีป ย่อมต้องกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน
ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นบุคคลประเภทที่ว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ ตายไป ปราณวิญญาณกลับคืนสู่ฟ้าดิน มีชีวิตต่อก็คือพวกโจรบนภูเขาที่เป็นวิชาเซียนบางอย่าง คือพวกทาสเฝ้าทรัพย์ที่กินเข้าไปแล้วไม่ยอมคายออกมา
ฉีเจินเทียนจวินของสำนักโองการเทพ แม้แต่ลูกศิษย์ในสำนักที่มีโชควาสนาลึกล้ำอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังรั้งไว้ไม่อยู่ ตัดมือตัดเท้านางแล้วเก็บไว้ในสำนักโองการเทพให้เป็นอ่างเก็บสมบัติใบหนึ่งไม่ดีหรอกหรือ?
สำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างที่ย้ายมาจากสำนักกุยหยก หลังจากฮุบกลืนทะเลสาบซูเจี่ยนในรวดเดียวแล้วก็กำลังเป็นช่วงขาขึ้นมีหน้ามีตา แต่เจียงซ่างเจินผู้นั้นวางตัวได้ดีมาก เป็นถึงเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับยินดีเก็บหางเจียมตัว ไม่ว่าลูกศิษย์ในสำนักจะไปมีความขัดแย้งอะไรกับภายนอกก็ไม่คิดจะสอบถามหาสาเหตุ ล้วนถือว่าเป็นความผิดของบ้านตัวเอง ยามลงทัณฑ์ตามกฎบ้านของศาลบรรพจารย์ มีอยู่หลายครั้งที่เป็นฝ่ายส่งหัวคนไปให้แก่สำนักที่ผูกปมแค้นกัน นี่ถึงทำให้หลีกเลี่ยงปัญหาและภัยแฝงมากมายไปได้
หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระของเกาะกงหลิ่วคือขอบเขตหยกดิบ หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนอันดับที่สอง แน่นอนว่าตอนนี้ต่างก็ถือว่าเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งแล้ว
บรรพจารย์เฒ่าที่หน้าตาเหมือนเด็กของศาลลมหิมะไม่ได้ลงจากภูเขามาหลายร้อยปีแล้ว แต่ตอนที่ภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเข่นฆ่ากันกลับเคยปรากฏตัวหนึ่งครั้ง
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งของภูเขาเจินอู่ เมื่อเทียบกับบรรพจารย์ศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปแล้ว ยังเก็บตัวเงียบมากกว่า แต่ว่าลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ในกองทัพของต้าหลีกลับมีชีวิตชีวากันมากนัก
เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง
องค์เทพห้าขอบเขตบนองค์แรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแห่งราชวงศ์จูอิ๋งที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏตัว ไม่รู้ว่าปิดด่านตายไปแล้ว หรือว่าเลือกที่จะเก็บอำพรางตัวต่อไป
ส่วนนักเล่านิทานของราชวงศ์ต้าสุยคนนั้น ตอนนี้เป็นนักโทษอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น คอยคุ้มครององค์ชายสกุลเกาคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนดูแคลนตาเฒ่าผู้นี้ แต่นอกจากขอบเขตหยกดิบแล้วเขาจะยังเหลืออะไรอีก?
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนนึกถึงเจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนตรอกหนีผิงคนนั้น
หม่าขู่เสวียนที่อยู่บนหลังม้าลืมตาขึ้น นิ้วทั้งสิบสอดประสานกันแล้วกดลงเบาๆ รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย หลังออกมาจากเมืองเล็กแล้วก็ดูเหมือนว่าคนวัยเดียวกันทุกคนที่พบเจอล้วนเป็นพวกเศษสวะ กลับกลายเป็นเจ้าคนของบ้านเกิดผู้นี้ที่พอจะถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงที่ทำให้เขาเกิดความสนใจได้บ้าง
ไม่รู้ว่าการประมือกันครั้งถัดไป ตนจะจำเป็นต้องลงแรงเต็มกำลังหรือไม่?
คาดว่าคงไม่ต้องเหมือนเดิม
แบบนี้ก็ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย
หม่าขู่เสวียนหลับตาลง เริ่มคิดถึงพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกนั้น
ส่วนสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังนั่น สักวันหนึ่งนางจะต้องค้นพบด้วยความเศร้ารันทดว่า จิตใจที่จะคิดแก้แค้นของตนไม่เหลืออยู่แล้วโดยที่ตัวนางไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นว่าสักวันหนึ่งนางจะรู้สึกจากใจจริงว่าการอยู่ข้างกายหม่าขู่เสวียนก็คือความปลอดภัยเดียวในใต้หล้านี้ของนาง
พอไปถึงช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นางสมควรตายได้แล้ว
หม่าขู่เสวียนยังเก็บจิตวิญญาณและความทรงจำส่วนหนึ่งของนางเอาไว้ อาศัยวิชาลับที่สาบสูญไปแล้วซึ่งแม้แต่บรรพจารย์ของภูเขาเจินอู่บางท่านก็ยังไม่รู้วิธีควบคุมมาสืบสาวเบาะแสจนไปเจอการจุติกลับมาเกิดใหม่ของนาง พอถึงช่วงเวลาเหมาะสมก็ค่อยคืนความทรงจำให้แก่นาง ให้นางไม่อาจหลุดพ้นได้ทุกชาติทุกภพ ทุกครั้งที่กลับไปเกิดเป็นคนใหม่ก็จะต้องอยู่ไม่สู้ตายทุกครั้ง
ส่วนเฉินผิงอันผู้นั้น ขอแค่กล้าแก้แค้นก็มีแต่จะมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่านาง
แต่ก่อนที่เฉินผิงอันจะตามมาแก้แค้น เขาหม่าขู่เสวียนจะไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็น เพราะถึงอย่างไรปีนั้นตระกูลหม่าของพวกเขาก็ทำผิดก่อน
ต่อให้เขาหม่าขู่เสวียนจะโหดเหี้ยมอำมหิตมากแค่ไหนก็ยังไม่ถึงขั้นฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องพร่ำเพื่อ เพียงแต่ว่าบนโลกมีคนที่เรียกร้องหาความตายมากเกินไป แล้วบังเอิญดันมาเจอเข้ากับเขาหม่าขู่เสวียนพอดี เขาก็เลยช่วยส่งให้พวกเขาออกเดินทางไปเท่านั้น
……
บนภูเขาลั่วพั่ว เพิ่งจะเป็นยามเช้าตรู่ เผยเฉียนก็เตรียมทรัพย์สมบัติน้อยใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวนางจะได้ออกเดินทางไกลแล้ว!
เพราะเมื่อวานตาเฒ่าบอกกับนางว่า “สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าให้ดี เอาไม้เท้าเดินป่าไปด้วย ไปบ้านเกิดของเจ้า ไปทัศนาจรด้วยกัน ไม่ต้องกังวล ถือเสียว่าออกไปผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโส เรื่องฝึกวิชาหมัดก็เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”
ตอนนั้นเผยเฉียนเพิ่งจะตะโกนออกไปว่า “ตาเฒ่าชุย วันนี้ได้กินข้าวหรือยัง” จากนั้นก็ผลักประตูไม้ไผ่ชั้นสอง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องถูกซ้อมอีกรอบ
ถึงอย่างไรไม่ว่าจะทิ้งถ้อยคำห้าวเหิมไว้หรือไม่ก็ล้วนต้องถูกซ้อมอยู่ดี ก็ไม่สู้ฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าตัวเองได้เงินเหรียญทองแดงเปล่าๆ มาหลายเหรียญ ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าที่สวมชุดเขียวและไม่ได้เปลือยเท้าอีกแล้วกลับเอ่ยประโยคนั้นออกมา
เผยเฉียนยังรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก จึงถามไปอีกประโยคว่า “พ่อครัวเฒ่าไปแล้ว แต่บนภูเขายังมีแม่หนูหน่วนซู่ดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเรา อีกอย่าง บนโต๊ะข้าก็ไม่ได้แย่งข้าวชามนั้นของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ชุยเฉิงเกือบจะอดไม่ไหวป้อนหมัดหนักๆ เน้นๆ ให้นังหนูนี่อีกรอบ