เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงพากันนั่งลง แล้วเฉินผิงอันก็เล่าเรื่องหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่ได้ยินมาจากหลี่หลิ่วของยอดเขาสิงโตให้เจิ้งต้าเฟิงฟัง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “มีเรื่องนี้อยู่จริง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจมันแล้ว”
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยถาม “ทำไม รู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วขาดคนที่ต่อสู้ได้ ก็เลยจะให้ข้าเก็บไปใส่ใจสักหน่อย? จะได้ช่วยทำให้ภูเขาลั่วพั่วมีหน้ามีตา?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่มีทางคิดแบบนี้”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “รู้ว่าไม่คิด ถึงได้ถามแบบนี้ นี่เรียกว่าไม่มีเรื่องหาเรื่อง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็คงไปนั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่เรือนหลังเก่านานแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ครั้งนี้ที่มาหาเจ้า เพราะคิดว่าหากเจ้าอยากจะไปผ่อนคลายอารมณ์ ก็สามารถไปเดินดูที่พื้นที่มงคลรากบัวบ่อยๆ ได้ แต่ก็ต้องดูที่ความต้องการของเจ้าเอง ข้าก็แค่บอกไว้”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “โชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของผู้เฒ่าชุย เขาจงใจทิ้งไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัว บวกกับที่มันได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว ปราณวิญญาณก็เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ที่นั่นจึงค่อนข้างจะน่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ”
ดูเหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะสนใจ เขาลูบคลำปลายคางพลางเอ่ยว่า “ข้าจะลองพิจารณาดู”
ยกตัวอย่างเช่นไปเปิดหอโคมเขียวให้กิจการรุ่งเรืองอยู่ที่นั่น?
เจิ้งต้าเฟิงแสยะปากยิ้มกว้าง แล้วก็โบกมือโบกไม้อยู่กับตัวเอง เรื่องขาดศีลธรรมแบบนี้ไม่ควรทำ หากคิดจะเปิดร้านเหล้าในตลาดก็ยังพอว่า จ้างสตรีรินสุรารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นมาสักคนสองคน แต่บางทีพวกนางอาจจะหน้าบาง ไม่รู้จักเรียกลูกค้า ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องจ้างสตรีออกเรือนแล้วที่รูปร่างอวบอิ่มมา พวกนางรู้จักพูดคุย วันหน้าลูกค้าจะได้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่ที่นั่นแล้วหาเงินได้แค่ไม่กี่แดง คงรู้สึกผิดต่อภูเขาลั่วพั่วแย่ ‘สตรีขายเหล้าในเจียงหนันหน้าตางดงาม ยามยกมือขายเหล้าเผยให้เห็นเนื้อขาวนวลดุจหิมะ’ ถ้าเป็นอย่างคำกลอนประโยคนี้ก็คงจะเพลินหูเพลินตาดีไม่น้อย ตนที่เป็นเถ้าแก่ก็สามารถนั่งไขว่ห้างรอรับเงินได้ทุกวัน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเจิ้งต้าเฟิงกำลังดีดลูกคิดวางแผนการอะไรอยู่ แต่พอเห็นใบหน้าเขาเปื้อนยิ้ม คอยยกมือมาเช็ดปากอยู่เป็นระยะ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เฉินผิงอันจึงเอ่ยขอตัวไป
เจิ้งต้าเฟิงเดินมาส่งถึงประตูใหญ่ หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันปฏิเสธ คาดว่าเขาคงเดินไปส่งถึงเมืองเล็กเป็นแน่
เฉินผิงอันเดินเท้าจากไปพร้อมกับชุยตงซาน
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ ก่อนหน้านี้จงใจพูดเรื่องชะตาบู๊ของชุยเฉิง เฉินผิงอันมีสีหน้าเป็นปกติ
ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่กลับไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
ช่วยไม่ได้
คนแบบใดก็มีความทุกข์ความสุขแบบนั้น
ส่วนชุยตงซานผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมด้วยมากเกินความจำเป็น เพราะอีกฝ่ายเล่นหมากล้อมเก่งเกินไป
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้กลับไปนอน แต่เปิดประตูออกมา เรือนกายงองุ้มเดินอยู่ใต้แสงจันทร์ มุ่งหน้าไปยังประตูภูเขา แล้วเอนตัวพิงเสาหยกขาวอยู่อย่างนั้น
ภูเขาลั่วพั่วไม่มีภูเขาลูกเล็กที่เด่นชัด แต่หากจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง อันที่จริงกลับมีอยู่
ล้อมวนอยู่รอบกายชุยตงซานก็มีอยู่หนึ่งลูก
หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกภูเขา มี
สือโหรวที่ตรอกฉีหลง ก็ใช่
ขอแค่ตัวชุยตงซานเองยินดี ภูเขาลูกนี้ก็จะกลายเป็นค่ายขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วภายในค่ำคืนเดียว จะมีคนหน้าใหม่ปรากฏขึ้นมากมาย
แต่เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองคือบุคคลที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะบุคคลที่ห้อมล้อมชุยตงซานดุจกลุ่มดาวล้อมดวงเดือนเหล่านั้น หากคิดจะเข้ามาในภูเขาลั่วพั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตคิดจะมีชื่ออยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านประตูภูเขามาก่อน
บังเอิญยิ่งนัก เขาเจิ้งต้าเฟิงก็คือคนเฝ้าประตูภูเขาพอดี
พอเจิ้งต้าเฟิงคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตนช่างเป็นบุคคลที่ร้ายกาจจริงๆ ภูเขาลั่วพั่วขาดเขาไปไม่ได้เลย เขารอเงียบๆ อยู่นาน แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็พลันกระทืบเท้า เหตุใดคืนนี้แม่นางเฉินฝึกหมัดไปถึงบนภูเขาแล้วไม่ลงมาข้างล่างเสียทีนะ?!
……
สือโหรวเปิดประตูใหญ่ของร้าน เห็นว่าทั้งเฉินผิงอันและชุยตงซานก็อยู่ด้วย จึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
หากมีเพียงแค่เจ้าขุนเขาหนุ่ม กลับยังดีหน่อย แต่มีชุยตงซานอยู่ข้างกายด้วย สือโหรวจึงรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย
ไปถึงที่เรือนด้านหลัง เฉิงหลิงจวินกำลังอ้าปากหาวยืนอยู่ข้างหลังคาที่เปิดอ้า
เฉินผิงอันให้สือโหรวเปิดห้องด้านข้างให้ห้องหนึ่ง แล้วเขาก็จุดตะเกียง หยิบบันทึกปึกใหญ่ หรือไม่ก็ภาพแผนที่ขุนเขาสายน้ำที่บ้างก็เป็นของทางการ บ้างก็วาดเองออกมา แล้วเริ่มอธิบายถึงเรื่องการเดินเลียบลำน้ำจี้ตู๋ ขณะเดียวกันก็หยิบเม็ดหมากขาวดำที่แกะสลักชื่อแซ่ของบุคคลและชื่อของสำนักออกมา ยกตัวอย่างเช่นหลี่หยวนแห่งลำน้ำจี้ตู๋สำนักมังกรน้ำ กับเหนียงเนียงเทพวารีตำหนักหนานซวินคือหมากสีขาว และยังมีพวกผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของลำน้ำจี้ตู๋อย่างถานหลิง ถังสี่ ซ่งหลันเฉียว ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีนครเหนือเมฆ จวนไชว่เฉวี่ย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่อยู่ค่อนไปทางภาคกลางของอุตรกุรุทวีป เป็นต้น ส่วนเม็ดหมากสีดำที่มีจำนวนน้อยกว่านั้น หลักๆ แล้วก็เป็นสกุลหยางหน่วยฉงเสวียน เกี่ยวกับเม็ดหมากที่วางอยู่บนตำแหน่งที่แตกต่างกันบนโต๊ะเหล่านี้ เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่าเม็ดหมากเป็นเช่นนี้ แต่นิสัยใจคอของบุคคลไม่ได้บอกว่าเป็นขาวหรือดำ ข้าแค่บอกถึงความเข้าใจคร่าวๆ ของตัวเอง รอให้เจ้าเดินลงน้ำด้วยตัวเองเมื่อไหร่ก็ห้ามใช้วิธีการที่ตายตัวอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่
มองเส้นสีขาวหิมะที่เกิดจากเม็ดหมากสีขาวเชื่อมโยงต่อกัน
เฉินหลิงจวินอัดอั้นอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เลยยิ้มพูดสัพยอกว่า “ดึกดื่นขนาดนี้ พระอาทิตย์ยังขึ้นจากทิศตะวันตกได้ด้วยหรือไร?”
เฉินหลิงจวินอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ถึงอย่างไรข้าก็ขอบคุณไปแล้ว จะรับไว้หรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ คิดว่าจะช่วยอธิบายเรื่องที่ต้องระวังในการเดินทางเลียบลำน้ำจี้ตู๋สายนี้ให้เฉินหลิงจวินฟังอย่างละเอียด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องค่อยๆ อธิบายไป คาดว่าคงต้องคุยกันจนถึงฟ้าสว่าง
ชุยตงซานหรี่ตาเอ่ยว่า “รบกวนนายท่านใหญ่อย่างเจ้าตั้งใจหน่อย นี่เป็นเส้นทางที่นายท่านของเจ้าแลกมาด้วยชีวิต ใต้หล้านี้ไม่มีใครเดินลงน้ำด้วยการเตรียมการที่พรั่งพร้อมเหมาะสมได้อย่างเจ้าอีกแล้ว”
สีหน้าของเฉินหลิงจวินตึงเครียดเล็กน้อย กำกระดาษปึกที่อยู่ในมือแน่น
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป ท่องเที่ยวหาประสบการณ์คือเรื่องหลัก เดินเลียบลำน้ำคือเรื่องรอง ไม่ต้องขอบคุณข้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่า นี่คือรากฐานมหามรรคาของเจ้า หากไม่ใส่ใจ ก็เท่ากับว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ในอดีตยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าและเฉินหรูชูต่างก็เป็นเผ่าพันธ์เจียวหลง อยากจะก้มหน้าก้มตาฝึกตน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำ ข้าก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรเจ้า ถูกไหม? แต่ครั้งนี้เจ้าต้องเปลี่ยนนิสัยเกียจคร้านของตัวเองในอดีตซะ หากภายหลังข้ารู้เรื่องว่าเจ้ากล้ามองการเดินเลียบลำน้ำจี้ตู๋เป็นเรื่องเล่น ข้าก็ยอมให้คนลากเจ้ากลับมาโยนไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ดีกว่าปล่อยให้เจ้าไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกส่งเดช”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันที่มีสีหน้าจริงจังก็พูดด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เพราะเจ้าจะต้องตายอยู่ที่นั่น”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับ “ข้ารู้หนักเบาดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”
เฉินหลิงจวินมองเฉินผิงอัน สายตาของอีกฝ่ายใสกระจ่าง รอยยิ้มอบอุ่น
จิตใจของเฉินหลิงจวินจึงสงบลงได้
เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบกระดาษ หมึกและพู่กันออกมาวางไว้บนโต๊ะ “ความจำดีไม่สู้จดบันทึกให้คล่อง ข้าอาจจะพูดอย่างละเอียดและหลากหลายหน่อย หากเจ้ารู้สึกว่าเป็นบุคคลและเรื่องราวที่สำคัญมากก็จดลงไป วันหน้าเมื่อออกเดินทางก็สามารถเอาออกมาเปิดอ่านได้บ่อยๆ”
ชุยตงซานกล่าว “ขาดก็แค่ไม่ได้เดินลงน้ำแทนนายท่านใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเองก็เท่านั้น”
เฉินหลิงจวินเพิ่งจะนั่งลง พอได้ยินประโยคนี้ร่างก็ชะงัก ก้มหน้าลง กำกระดาษในมือไว้แน่น
เฉินผิงอันเหลือบมองชุยตงซานแวบหนึ่ง
ชุยตงซานจึงชูมือสองข้างขึ้น เอ่ยว่า “ข้าจะออกไปนั่งข้างนอกเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบชุยตงซานก็ออกจากห้องแล้วปิดประตูให้ จากนั้นก็ยกม้านั่งไปนั่งตรงหลังคาเหลี่ยมที่เปิดอ้า ยกขาไขว่ห้าง สอดสองมือรองใต้ท้ายทอย แล้วจู่ๆ ก็คำรามดังลั่นอย่างเดือดดาล “แม่นางสือโหรว เมล็ดแตงเล่า!”
สือโหรวตอบรับอย่างขลาดๆ “จะเอาไปให้เดี๋ยวนี้”
นางถึงขั้นลืมปกปิดเสียงสตรีของตน
เดิมทีอยู่ในตรอกฉีหลงมานานจนนางเกือบจะลืมตัวตนที่เป็นสตรีของตัวเองแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพอเจอกับชุยตงซาน นางก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที
เฉินผิงอันตบไหล่เฉินหลิงจวิน “ชุยตงซานพูดจาไม่น่าฟัง ข้าจึงไม่ช่วยพูดถึงเขาในแง่ดีอะไรอีกแล้ว เพราะคำพูดของเขามันไม่น่าฟังจริงๆ แต่เจ้าก็ลองฟังดูได้ นอกจากเวลาที่กวนอารมณ์ชวนให้คนโมโหแล้ว ทุกประโยคที่เรารู้สึกว่าไม่น่าฟัง คำพูดที่ส่วนใหญ่มักจะทิ่มแทงใจ สีหน้าของพวกเราอาจแสดงความไม่ใส่ใจ แต่ในใจควรขบคิดให้มาก หวงเหลียนมีรสขม แต่สามารถดับร้อนทำให้จิตใจสงบได้ หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ข้าคงพูดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากแยกกันคราวนี้ ต่อให้ข้าอยากพูด เจ้าอยากฟัง ก็ยังไม่มีโอกาสไปชั่วขณะหนึ่ง”
เฉินหลิงจวินจดจำไว้ในใจเงียบๆ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “จะไปไหนอีก?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาห้อยหัว กำแพงเมืองปราณกระบี่”
เดิมทีเขาอยากบอกว่าทำไมไม่รีบกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วให้เร็วกว่านี้ เพียงแต่ว่าสุดท้ายก็อดทนไว้ได้ ไม่พูดออกมา
เพราะตัวเขาเองก็รู้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถพูดประโยคนี้ได้ทั้งนั้น มีเพียงเขาเฉินหลิงจวินที่ไม่มีสิทธิ์จะพูดมากที่สุด
เฉินผิงอันพยักหน้า “รับคำวิจารณ์ได้ ยังไม่ต้องเปลี่ยนแปลง”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง
เฉินหลิงจวินนั่งตัวตรงถือพู่กัน คลี่กระดาษออกแล้วเริ่มรับฟังเฉินผิงอันเล่าถึงประเพณีท้องถิ่น กองกำลังสำนักในแต่ละพื้นที่
หลังจากที่เฉินหลิงจวินเขียนเรื่องสำคัญที่ต้องระวังเรื่องหนึ่งลงไปบนกระดาษ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นถามว่า “นายท่าน วันหน้าท่านจะยังเป็นแบบนี้อยู่ไหม?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินหลิงจวินกล่าว “วันหน้าภูเขาลั่วพั่วมีคนมาอยู่มากขึ้นแล้ว นายท่านก็จะยังทำแบบนี้กับทุกคนหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มตอบว่า “ยากมากแล้วล่ะ คำว่ามาก่อนมาหลังอะไรนั่น ย่อมทำให้เกิดการแบ่งแยกความใกล้ชิดห่างเหินอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่คือด้านหนึ่ง แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่งก็เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องให้ใส่ใจดูแล ไม่ใช่ว่าทำทุกเรื่องด้วยตัวเองแล้วจะต้องดีเสมอไป วันหน้าภูเขาลั่วพั่วยิ่งมีคนมาก จิตใจคนและเรื่องราวทางโลกก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่อาจลงมือลงแรงทำเองได้ทุกเรื่อง คงได้แต่พยายามรักษาสภาพแวดล้อมที่ไม่เลวไว้ให้กับภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นว่า ไม่ใช่ว่าชุยตงซานที่อยู่นอกสำนักมีตบะสูง มีความสามารถมาก แล้วทุกเรื่องที่เขาทำจะต้องถูกไปทั้งหมด เจ้าจะต้องฟังเขาทุกเรื่องเสมอไป หากเจ้าไม่อาจใช้เหตุผลกับเขาได้ อีกทั้งยังรู้สึกไม่ยินยอม ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมาเล่าให้ข้าฟัง ข้าจะตั้งใจฟังแน่นอน”
เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที
ชุยตงซานที่อยู่ด้านนอกบ่นขึ้นมา “อาจารย์ ศิษย์ถนัดใช้คุณธรรมสยบใจคนมากที่สุดแล้ว”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน
เฉินผิงอันเล่าเรื่องการเดินเลียบลำน้ำให้เฉินหลิงจวินฟังต่อไป
การพร่ำพูดครั้งนี้ยาวไปถึงฟ้าสว่างอย่างที่คาดไว้จริงๆ
เฉินหลิงจวินเองก็จดเรื่องสำคัญด้วยตัวอักษรบูดเบี้ยวไว้สิบกว่าข้อ
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “เฉินหลิงจวิน ตัวอักษรของเจ้าเขียนได้…ห่างชั้นจากเผยเฉียนไกลโขนัก”
เฉินหลิงจวินหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้คัดตัวอักษรทุกวันเสียหน่อย! หากข้าคัดตัวอักษรมานานขนาดนั้น ตัวอักษรที่เขียนออกมา เทียบอักษรแผ่นหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย…หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง
ถึงอย่างไรก็ยังหน้าบาง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว เขาหลับตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไตร่ตรองดูว่ามีเรื่องใดที่ตกหล่นไปหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าหลังจากนี้หากคิดอะไรออกค่อยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้เฉินหลิงจวิน
พอลืมตาขึ้น เฉินผิงอันก็ถามชวนคุยว่า “พี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเจ้าคนนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินหลิงจวินส่ายหน้า “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”