หลูป๋ายเซี่ยงนำทางพาเฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนวัตถุใหญ่มโหฬารอย่างเรือมังกร เรือลำนี้สูงสามชั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ขนาดของมันใหญ่อย่างถึงที่สุด มีขนาดใหญ่ถึงครึ่งหนึ่งของเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมา สามารถบรรจุคนได้พันกว่าคน แต่หากบรรทุกสิ่งของสินค้าเต็มลำเรือกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่วได้เรือข้ามฟากบรรพกาลที่มีขนาดใหญ่และทนทานผิดปกติเช่นนี้มา เรื่องที่สามารถทำได้จึงมีมากขึ้น เฉินผิงอันอดไม่ได้กระทืบเท้าเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ปกปิดไม่มิด
เมื่อครู่นี้พอเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ได้ยินว่านับตั้งแต่วันนี้ไป เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำใหญ่ขนาดนี้ก็คือของในบ้านของภูเขาลั่วพั่ว ต่างก็พากันเบิกตากว้าง เผยเฉียนหยิกแก้มของโจวหมี่ลี่แล้วบิดแรงๆ หนึ่งที แม่นางน้อยร้องโอ้ยด้วยความเจ็บ เผยเฉียนจึงอืมหนึ่งที ดูท่าจะไม่ได้ฝันไปจริงๆ โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง บอกว่าไม่ใช่ๆ เผยเฉียนจึงตบหัวโจวหมี่ลี่ พูดว่าหมี่ลี่เอ๋ย เจ้าเป็นดาวนำโชคตัวน้อยจริงๆ ข้าหยิกเจ้าเจ็บหรือไม่? โจวหมี่ลี่ยิ้มกว้าง บอกว่าเจ็บอะไรกัน เผยเฉียนเอามืออุดปากนาง กำชับเสียงเบาว่า เหตุใดถึงได้ลืมอีกแล้ว ออกมาอยู่ข้างนอก ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นภูตน้ำใหญ่ตนหนึ่งง่ายๆ มันน่าตกใจเกินไป สรปุก็คือจะกลายเป็นพวกเราที่ไม่มีเหตุผล ทำเอาแม่นางน้อยชุดดำที่ฟังแล้วทั้งกลัดกลุ้มทั้งชอบใจ
ไล่เดินไปทีละชั้นของเรือ บางครั้งก็ผลักประตูห้องที่แม้จะจมอยู่ในน้ำหลายร้อยปีก็ยังมีกลิ่นหอมของไม้โชยมาออกเป็นระยะ เนื่องจากเครื่องประดับในตัวเรือถูกเคลื่อนย้ายออกไปนานแล้ว และถูกแทนที่มาด้วยของจำเป็นที่ใช้ในการทำสงครามของแคว้น จึงเป็นเหตุให้ห้องน้อยใหญ่ในตอนนี้มีสภาพการณ์ที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเดินไปถึงชั้นบนสุดของหอเรือน ยืนอยู่ในห้องที่ใหญ่ที่สุด หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่ก็คือห้องอักษรตัวเทียนของเรือข้ามฟาก ‘ฟานโม่’ ลำนี้ในวันหน้าแล้ว เฉินผิงอันพลันดึงสีหน้าทุกอย่างกลับคืน เดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เรื่องที่เรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงในราชวงศ์จูอิ๋งเป็นดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง
ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากล้วนเป็นเม็ดหมาก เพียงแต่ว่าบางคนก็รอดชีวิต บางคนก็ตายไปแล้ว ส่วนเจี้ยนเวิงเซียนเซิงที่ลงมือโจมตีให้เรือข้ามฟากร่วงลงมา สรุปแล้วว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ เป็นบุญคุณความแค้นแบบใดถึงทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญเลย
เฉินผิงอันกำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง ตอนนี้ตบะของตนต่ำ กำลังทรัพย์บางเบา หากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกก็คือการเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้นจึงสามารถอดทนไว้ก่อนชั่วขณะได้
แต่หากตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาของสำนักอักษรจง และตนก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด หรืออาจเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว ก็คงสามารถพูดเพื่อระบายความอัดอั้นในใจของตัวเอง เพื่อสภาพการณ์ที่ชุนสุ่ยชิวสือต้องพบเจอ สามารถพูดได้ แต่กลับจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นตนกับราชสำนักต้าหลีจะต้องแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง ต้องผูกปมแค้นกับเทียนจวินเซี่ยสือ คนสี่คนในภาพวาดพากันรบตาย ลมและฝนของภูเขาลั่วพั่วสั่นคลอน ทุกคนที่อยู่บนภูเขาต่างก็กลายเป็นหนูที่วิ่งข้ามถนนของแจกันสมบัติทวีป เฉินหลิงจวินไปอุตรกุรุทวีปก็คือการไปตาย เฉินหรูชูไม่อาจไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนได้อีก นักรบเดนตายต้าหลีที่อยู่ในร้านตรอกฉีหลงเปลี่ยนจากผู้ที่ให้การพิทักษ์อย่างลับๆ เป็นผู้ที่มาลอบฆ่า ความเป็นความตายของคนบนภูเขาลั่วพั่วไม่แน่นอน อยู่ๆ นึกจะตายก็ตาย และหากภูเขาลั่วพั่วต้องเสียใครไปอีก ถึงเวลานั้นความถูกและความผิดจะตกเป็นของใคร?
เขาเฉินผิงอันควรจะเลือกอย่างไร?
หากตอนนี้เฉินผิงอันเป็นเซียนกระบี่สมชื่อแล้ว ก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้มาก
หนึ่งไหล่แบก หนึ่งกระบี่หาม
แต่กลายเป็นเซียนกระบี่นั้นยากแค่ไหน อยู่ห่างไกลจนแทบมองไม่เห็น ความหวังเลือนรางเต็มที
นอกเหนือจากความเป็นความตาย ก็ยังมีหายนะและความลำบากมากมายรายล้อม
เฉินผิงอันเองก็เลียนแบบเป่าผิงน้อย เผยเฉียนและหลี่ไหว ที่พอได้อ่านนิยายในยุทธภพทั้งหลายก็รู้สึกชื่นชอบเลื่อมใสพวกจอมยุทธพเนจร พวกวีรบุรุษที่มีมาดองอาจบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ มีความเด็ดเดี่ยวแกร่งกล้า มองความเป็นความตายเป็นเรื่องนอกตัว ยอมสละชีพเพื่อคุณธรรมได้อย่างไม่ลังเล
วิถีทางโลกนี้ไม่เพียงแต่ต้องการเรื่องราวในหนังสือที่เป็นเช่นนี้ นอกตำราก็ยังต้องการคนมากมายที่เป็นเช่นเดียวกัน เรื่องที่ทำอาจมีความต่างด้านความเล็กใหญ่ แต่ก็ต้องแบ่งแยกความดีเลวอย่างชัดเจน
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเผยเฉียนที่เลือกบทเร้าใจที่จอมยุทธใหญ่ชำระแค้นอย่างสาแก่ใจมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งผู้อาวุโสในยุทธภพที่มีวรยุทธเลิศล้ำได้เจอกับสหายที่น่าสนใจ แล้วร่วมกันผดุงคุณธรรมสังหารปีศาจใหญ่ทั้งหลาย…และนางยังชอบกระโดดข้ามบทที่เป็นการขัดเกลาวิชาอย่างยากลำบากแล้ว เฉินผิงอันกลับจะหยุดอ่านในช่วงเริ่มต้นเสมอ เพราะคนที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้ครอบครองโชควาสนาและโอกาสมากมายนั้น ส่วนใหญ่แรกเริ่มจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย แบกหนี้แค้นลึกล้ำดั่งมหาสมุทรเลือดเอาไว้ จากนั้นในนิยาย อยู่ดีๆ พวกเขาก็เติบใหญ่ขึ้นมา
เฉินผิงอันรู้สึกไม่ชินสักเท่าไร
บางทีเรื่องราวในยุทธภพที่ตื่นตาตื่นใจเหล่านั้นอาจจะดึงดูดคนได้มากก็จริง ทำเอาเผยเฉียนและหลี่ไหวที่อ่านหน้าชื่นตาบาน แต่เฉินผิงอันกลับยากที่จะมีความรู้สึกร่วมด้วย
คงเป็นเพราะชีวิตคนที่แท้จริงไม่ใช่ตัวอักษรดำบนกระดาษขาวที่เขียนบอกไว้อย่างชัดเจนพวกนั้น
เผยเฉียนที่อยู่ในห้องเอ่ยถาม “อาจารย์ เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงเรื่องบางอย่างในอดีต”
หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า ยินดีด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเองก็รีบหน่อยล่ะ”
หลูป๋ายเซี่ยงมีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “กำลังลังเลว่าควรจะหาโอกาสต่อสู้กับจูเหลี่ยนสักครั้งดีหรือไม่”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าคิดว่าทำได้ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง”
หลูป๋ายเซี่ยงหันมามองเฉินผิงอัน “ตอนอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ถูกซ้อมมาไม่น้อยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสองคนทยอยกันช่วยป้อนหมัด ทำเอาข้าอยู่ไม่สู้ตาย อิจฉาหรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ “พูดอย่างนี้ ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “อย่าลืมล่ะว่า ดาบแคบหยุดหิมะเล่มนี้แค่ให้เจ้ายืมเท่านั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยหยอกเย้า “ข้าก็ไม่ได้ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาต้นกล้าดีๆ มาสองต้นหรอกหรือ? ยังไม่พอกับดาบหนึ่งเล่มอีกหรือไร?”
เฉินผิงอันไม่ต่อคำ เพียงเอ่ยว่า “หยวนเป่าหยวนไหล เป็นชื่อที่ไม่เลว”
หลูป๋ายเซี่ยงถาม “เคยเจอแล้ว?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “พอข้าเห็นหน้าพวกเขาก็เอ่ยชมว่าชื่อพวกเขาเพราะทันที ผลกลับกลายเป็นว่าสายตาที่แม่นางน้อยคนนั้นมองข้า ระแวดระวังราวกับข้าเป็นขโมยเหมือนเฉินยวนจีตอนแรกๆ ไม่มีผิดเพี้ยน ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ออกท่องยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ ดันมีแค่ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเองเท่านั้นที่ถูกคนเข้าใจผิด”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่!”
เผยเฉียนเดินวนเตร่ไปรอบกายเว่ยเซี่ยน สองนิ้วประกบกันคอยร่ายเวทกักตัวใส่เว่ยเซี่ยนอย่างต่อเนื่อง เว่ยเซี่ยนยืนเอนพิงกรอบประตู ไม่ได้สนใจนาง
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง ถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่าในจดหมายบอกว่าเฉินยวนจีฝึกหมัดแล้วสะดุดล้มเอง เรื่องเป็นมายังไงกันแน่?”
เผยเฉียนเหมือนโดนเวทกักร่าง ร่างกายแข็งทื่อหยุดอยู่กับที่ เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผาก ได้แต่หันไปส่งสายตาให้โจวหมี่ลี่
จะโกหกอาจารย์ไม่ได้เด็ดขาด แต่จะให้บอกกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมาก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ไม่เสียแรงที่โจวหมี่ลี่คือแม่ทัพใหญ่ผู้รู้ใจที่นางเสนอเลื่อนขั้นให้เองกับมือ จึงเข้าใจสัญญาณที่เผยเฉียนส่งมาให้ได้ทันที นางพูดเสียงดังว่า “กลางคืนค่ำมืดขนาดนั้น แม้แต่ผีก็ยังมองไม่เห็น พี่หญิงเฉินไม่ทันระวังก็เลยสะดุดล้มน่ะสิ”
เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที
เผยเฉียนเอาสองมืออ้อมไปด้านหลัง ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้โจวหมี่ลี่
เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “มีเรือมังกรลำนี้ กับการทำการค้าร่วมกับสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ ภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งมีความมั่นใจแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ภูเขาลั่วพั่วยังมีพื้นที่เหลือให้ถอยกลับได้มากขึ้น”
หลูป๋ายเซี่ยงกล่าว “การประดับตกแต่งเรือมังกรสามารถทำให้เรียบง่ายหน่อย ถึงอย่างไรก็เอาตามความต้องการของเจ้า เรือมังกรบรรทุกสินค้าเป็นหลัก แต่พวกคนที่จะช่วยประคับประคองให้เรือข้ามฟากโคจรได้ตามปกติล่ะ จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้จูเหลี่ยนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ให้เขาปวดหัวไปเถอะ หากไม่ได้จริงๆ ชุยตงซานมีเส้นสายกว้างขวาง ก็ให้เขาช่วยภูเขาลั่วพั่วจ่ายเงินจ้างคนขึ้นเรือข้ามฟากมาทำงานก็แล้วกัน”
ครั้งนี้หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ซ้ำเติม เขาเอ่ยว่า “ข้าเองก็จะพยายามช่วยหาคนที่เหมาะสมมาให้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือยังต้องเลือกผู้ดูแลเรือที่มีน้ำหนักมากพอมาคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะเกิดเรื่องวุ่นวาย”
เฉินผิงอันกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงข้าพอจะมีความคิดอยู่บ้าง แต่จะสำเร็จหรือไม่ ยังต้องรอให้สร้างศาลบรรพจารย์ก่อนถึงจะได้”
ที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วถูกเลือกไว้นานแล้ว มีเว่ยป้ออยู่ นี่คือเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก
หลังจากที่เฉินผิงอันส่งกระบี่บินจากภูเขามู่อีมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็เริ่มลงมือเตรียมการเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ต้องการขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร อีกอย่างก็ไม่อาจทุ่มกำลังคนและทรัพยากรได้มากนัก และการก่อสร้างในแถบภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนตลอดหลายปีมานี้ บวกกับการก่อสร้างเขตการปกครองแห่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สะสมประสบการณ์ได้มากมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเฉินผิงอันเสนอว่าศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่จำเป็นต้องจัดวางค่ายกลอะไรเป็นพิเศษ หากเอ่ยตามคำพูดของเขาก็คือ หากภูเขาลั่วพั่วถูกคนทำลายค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำแล้วขึ้นเขามารื้อถอนศาลบรรพจารย์ได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพจารย์จะมีค่ายกลปกป้องหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ถ่วงเวลาธุระหลายอย่างของเจ้าเลย”
หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้ม “ถือเสียว่าแม้ลับมีดต้องใช้เวลา แต่ไม่ถ่วงรั้งการผ่าฟืนก็แล้วกัน สำนักแห่งนั้นของข้าเป็นแค่สำนักใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว หากสร้างสำเร็จย่อมดีที่สุด แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่ถึงขั้นทำให้ภูเขาลั่วพั่วเสียหายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก การกะความหนักเบาของเรื่องนี้ ข้าย่อมจัดการให้ดี แต่เรื่องไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน มีหลายๆ เรื่องที่วิธีการของข้าอาจไม่สะอาดมากนัก แต่ก็รับรองว่าจะไม่มากเกินกว่าเหตุ”
เฉินผิงอันกล่าว “พยายามอย่าให้ข้าได้มีโอกาสนินทาก็แล้วกัน”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะ
……
ในฐานะเจ้าขุนเขา หลังจากที่เฉินผิงอันจุดธูปกราบไหว้ฟ้าดินสี่ทิศด้วยตัวเองแล้ว การก่อสร้างศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ศาลบรรพจารย์ตั้งอยู่บนยอดเขาจี้เซ่อที่เป็นรองจากยอดเขาหลักของภูเขาลั่วพั่ว เพราะว่าสถานการณ์ของยอดเขาหลักที่มีเรือนไม้ไผ่แห่งนี้ค่อนข้างจะน่ากระอักกระอ่วน บนยอดของยอดเขาจี๋หลิงแห่งนี้มีศาลเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งตามระบบสืบทอดดั้งเดิมของราชสำนักต้าหลีอยู่แห่งหนึ่ง
อีกทั้งอันที่จริงเฉินผิงอันเองก็รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับยอดเขาจี้เซ่อแห่งนี้อยู่มาก
วันนี้ในเรือนพักของจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงกำลังเล่นหมากล้อมกับเว่ยป้อ ชุยตงซานนั่งดูอยู่ด้านข้าง
เฉินหลิงจวินคอยให้คำชี้แนะ บอกกับเจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อว่าควรจะวางเม็ดหมากอย่างไร
สองวันมานี้เอวของเฉินหลิงจวินแข็งเป็นพิเศษ เพราะตลอดหลายปีมานี้เขาคอยไปเดินเตร็ดเตร่อยู่แถบภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกบ่อยครั้ง จึงรู้จักผู้ฝึกตนที่มาบุกเบิกเปิดจวนอยู่ที่นี่ไม่น้อย คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มาจากภูเขาหวงหู เมื่อก่อนทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยสนิทกันมากนัก ถึงขั้นเกลียดขี้หน้ากันด้วยซ้ำ เพราะภูเขาหวงหูมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในมีงูเหลือมยักษ์อยู่หนึ่งตัว ซึ่งทั้งเฉินหลิงจวินและงูดำตัวนั้นต่างก็น้ำลายสอกันอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าช่วงที่ฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงผลัดเปลี่ยนกันของปีนี้ อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายมาแสดงความเป็นมิตรด้วย ไปๆ มาๆ จึงได้ดื่มเหล้าด้วยกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานขอบเขตประตูมังกรผู้เฒ่าคนนั้นพลันเปิดปากบอกว่าคิดจะขายทอดภูเขาหวงหู พูดอยู่บนโต๊ะเหล้าว่าพี่น้องเฉินมีสหายกว้างขวาง มีคนรู้จักอยู่มาก เป็นแขกผู้มีเกียรติในงานเลี้ยงเทพท่องราตรีของซานจวินใหญ่เว่ย จะช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ตามหาคนซื้อที่เหมาะสมให้ได้หรือไม่
เฉินหลิงจวินดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ตบอกรับรอง แต่พอลงมาจากภูเขาหวงหู อารมณ์กลับหนักอึ้งเล็กน้อย กังวลว่านี่จะเป็นหลุมพรางสำหรับภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นจึงไปหาเฉินผิงอันแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง จากนั้นชุยตงซานก็บอกว่าซื้อสิ ผลประโยชน์ยื่นมาถึงมือ ไม่ซื้อจะเสียเปล่า พวกเรามีภูเขาพีอวิ๋นที่สูงขนาดนั้นเป็นที่พึ่ง จะต้องกลัวอะไร เฉินผิงอันจึงให้เฉินหลิงจวินไปใคร่ครวญรายละเอียดเอาเอง เงินเทพเซียน เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ราคาเท่าไรล้วนสามารถพูดคุยได้ หากคุยกันไม่สบอารมณ์ก็ลากเอาเทพภูเขาใหญ่เว่ยไปคุยด้วย
ใจของเฉินหลิงจวินเต้นรัวเหมือนตีกลอง ไปดื่มเหล้าที่ภูเขาหวงหูด้วยความมึนงง เพราะถึงอย่างไรก็เคยชินกับการดื่มเหล้าพลางคุยธุระไปด้วยแล้ว สุดท้ายกลับถูกเขาหั่นราคาจนเหลือแค่เงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ
ตอนนั้นเฉินหลิงจวินมึนงงเล็กน้อย นายท่านอย่างข้าแค่เรียกราคาไปอย่างนั้นเอง นี่ก็เพื่อจะได้หั่นราคาต่อรองกับเจ้ากลับไปกลับมา ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเหมือนคนโง่เง่าที่นั่งบื้อไม่ขยับ ปล่อยให้ตัวเองโดนแทงเต็มๆ ไปทั้งอย่างนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เฉินหลิงจวินขึ้นเขาไปอย่างมึนงง ลงจากเขามาด้วยความสับสนยิ่งกว่า
และทางฝ่ายเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาหวงหูจึงทำการแลกเปลี่ยนโฉนดที่ดินและเงินเทพเซียนกัน โดยผ่านการตรวจสอบและบันทึกคดีโดยกรมผู้ว่าจังหวัดหลงโจว กรมพิธีการต้าหลีและกรมการคลัง ดังนั้นการค้าครั้งนี้จึงเสร็จสิ้นลงด้วยความรวดเร็ว
เฉินผิงอันสอบถามชุยตงซานเป็นการส่วนตัว ชุยตงซานยิ้มเอ่ยว่าเจ้าตะพาบเฒ่ายอมแสดงความใจดีอย่างที่หาได้ยาก ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นกับดักอะไรทั้งนั้น ถือว่าเฉินหลิงจวินได้ช่วยภูเขาลั่วพั่วทำเรื่องเป็นการเป็นงานได้บ้างแล้ว หลังจากที่ศาลบรรพจารย์ก่อตั้งสำเร็จ ในสมุดบันทึกคุณความชอบของทำเนียบศาลบรรพจารย์ก็สามารถจดบันทึกคุณูปการให้กับงูน้ำน้อยตัวนี้ได้
ดังนั้นเฉินหลิงจวินในเวลานี้จึงเดินเชิดจมูกชี้ฟ้า
บวกกับที่เผยเฉียน เฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่เด็กหญิงสามคนนี้ที่ต่างก็มองเขาในมุมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยเฉียนยังพาโจวหมี่ลี่มาเอ่ยประจบยกยอเขาอย่างไม่ขี้เหนียว หากไม่เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งชุยตงซานกดศีรษะเฉินหลิงจวินแล้วพูดว่าหมู่นี้นายท่านใหญ่เฉินเดินตัวลอยไปสักหน่อย เขาถึงได้เก็บอาการได้บ้าง ไม่อย่างนั้นเฉินหลิงจวินอาจจะตัวลอยไปยิ่งกว่านี้เสียอีก