กระบี่จงมา – ตอนที่ 570.2 เจ้าขุนเขาต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว

เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “เงินเทพเซียน เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง จักรพรรดิราชวงศ์โลกมนุษย์”

นี่คือต้องการจะสรุปจุดสำคัญที่ควรจะมีในการจัดการพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งให้ดีแล้ว

ผู้ฝึกตนบนภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขา การสนับสนุนและการต่อต้านของจิตใจคนด้านล่างภูเขา

ไม่ว่าจะขั้นตอนใดที่เกิดช่องโหว่ก็จะเกิดเป็นปัญหาที่สืบเนื่องต่อกันไปดั่งลูกโซ่ ข้อเสียสะสมถือกำเนิด ถ้าอย่างนั้นพื้นที่มงคลก็จะไม่ใช่อ่างรวมสมบัติอะไรอีกต่อไป แต่เป็นก้นไร้หลุมที่กินเงินจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้นบั่นทำลายให้รากฐานของสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งอ่อนแอลง

เว่ยป้อได้พูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวว่า “ได้พื้นที่มงคลรากบัวที่มีคนอยู่ชั่วคราวสี่พันล้านคนแห่งนี้มา ก็ต้องระวังจิตดั้งเดิมของตัวเองแล้ว”

เฉินผิงอันบอกให้เว่ยป้อวางใจ

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “แรกเริ่มเป็นเพียงแค่เรื่องน่าเสียดายที่ต้องทุ่มเงิน ต้องคอยจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งบนและล่างภูเขา รอให้ดำเนินการไปนานวันเข้า นั่นถึงจะมีเรื่องยุ่งยากใจที่รอคอยเจ้าอยู่อย่างแท้จริง เจ้าขุนเขาต้องเตรียมใจให้พร้อม”

เงินเทพเซียนมากน้อยที่ทุ่มลงไปในพื้นที่มงคลจะตัดสินจำนวนของผู้ฝึกตน รวมไปถึงระดับสูงของคอขวดในการฝึกตน หากเป็นพื้นที่มงคลระดับล่าง ต่อให้เจ้าจะมีผู้คนที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมอยู่มากมาย แต่ก็ยังยากที่จะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้ หากเอาคนอย่างอวี๋เจินอี้พรรคหูซานมาวางไว้ในใต้หล้าไพศาล ก็ถือเป็นคนมหัศจรรย์ด้านการฝึกตนที่ต้องได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน แต่ปีนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เขาก็ยังต้องติดค้างอยู่ในคอขวดขอบเขตประตูมังกรอยู่ดี เมื่อเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนจึงจะมีความหวังที่จะได้เป็นเซียนดิน ส่วนหายนะใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ก็คือครั้งที่เจียงซ่างเจินถูกผู้ฝึกตนที่แอบฝ่าทะลุขอบเขตเป็นหยกดิบลอบสมคบคิดกับเซียนดินหลายคน พวกเขาละทิ้งความแค้นที่เคยมีต่อกัน ร่วมกันล้อมสังหารเจียงซ่างเจิน ‘เทพเทวา’ แห่งพื้นที่มงคลที่ปลอมตัวออกไปเยี่ยมเยียนประชาชน พยายามที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของสกุลเจียงให้ได้อย่างสัมบูรณ์ จึงสร้างสถานการณ์ที่ ‘ฟ้าและคนแยกจาก’ ซึ่งไม่เคยมีมาเลยนับแต่โบราณกาลขึ้นมา

ในเรื่องคราวนี้ แน่นอนว่าก็มีการวางแผนอย่างลับๆ ของกองกำลังบางแห่งที่เป็นศัตรูกับสำนักกุยหยกด้วย ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนของพื้นที่มงคลย่อมไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่นอน

เจียงซ่างเจินเริ่มพูดจ้อถึงความลับในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานี้อย่างละเอียด

แล้วเจียงซ่างเจินก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่หายนะในครั้งนั้นว่า “แม้จะบอกว่าหลังจบเรื่องข้าพาคนบุกเข้าไปสังหารในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาด้วยความเดือดดาลปานอสนีบาต แต่ในความเป็นจริงแล้วข้าไม่ได้เคียดแค้นพวกผู้ฝึกตนชั้นสูงที่แผนการล้มเหลวในท้ายที่สุดเหล่านั้น ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาน่าเศร้า น่าเคารพแล้วก็น่าสงสาร น่าสงสารที่พวกเขาฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายร้อยปี บางคนยังฝึกตนจนกลายเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ด้วย แต่กลับต้องตายไปทั้งอย่างนั้น น่าเคารพก็ตรงที่ความกล้าหาญของพวกเขา ส่วนน่าเศร้าก็คือ พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว เมื่อพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไม่มีเจียงซ่างเจิน นับแต่นี้ไปพวกเขาก็สามารถเป็นอิสระ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง เจ้าประมุขสกุลเจียงสามารถเปลี่ยนคนได้ ยิ่งสามารถถูกคนข่มขู่ให้ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้ รอให้ขุนนางใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งแสดงความไฟแรงออกมา ในฐานะค่าตอบแทนของการได้กลายเป็นเจ้าประมุขสกุลเจียง จะคืนน้ำใจให้ก็ดี คืนเป็นเงินก็ช่าง ล้วนหมายความว่าพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเจอกับหายนะนานถึงร้อยปี”

เจียงซ่างเจินพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่หลักการเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ขอแค่ข้าเจียงซ่างเจินเป็นคนกล่าว ก็กลายเป็นว่าคำพูดไม่มีน้ำหนักพอมาตั้งแต่แรก ถูกกำหนดมาแล้วว่าพูดไปก็ไม่มีใครฟัง และข้าเองก็รู้สึกว่าพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่หยิ่งทระนงพวกนั้นไม่ผิด หากเปลี่ยนข้ามาเป็นพวกเขาก็จะทำแบบเดียวกันนี้ ความต่างเพียงอย่างเดียวก็หนีไม่พ้นว่าข้ามีความอดทนมากกว่า วางแผนได้รัดกุมมากกว่า และการค้าที่ทำกับผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังก็จะช่วยให้พื้นที่มงคลได้ผลประโยชน์มากกว่า ก็เท่านั้น”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าวกับเฉินผิงอันว่า “เรื่องราวทางโลกนั้นแปลกประหลาด เรื่องดีไม่แน่เสมอไปว่าจะมา แต่เรื่องร้ายต้องมาหาอย่างแน่นอน หาใช่ว่าข้าจงใจพูดจาอัปมงคล แต่เป็นเพราะตอนนี้เจ้าขุนเขาสามารถลองคิดถึงกลยุทธรับมือไว้เผื่อในอนาคตได้แล้ว คนเราหากไม่มีเรื่องกังวลห่างไกลก็ยากที่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้”

เฉินผิงอันกล่าว “ทำเรื่องอะไรต้องคิดถึงความผิดพลาดก่อน นี่คือนิสัยดีๆ ที่มีอยู่ไม่มากของข้า”

เจียงซ่างเจินยิ้มพยักหน้ารับ ดื่มเหล้าเสร็จก็เตรียมจะทะยานลมจากไป

ยันต์กระบี่วัตถุแทนตัวที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนสร้างขึ้น ช่วงนี้เจียงซ่างเจินได้อาศัยช่องทางต่างๆ กวาดรวบมาได้หลายสิบเล่มแล้ว ล้วนซื้อมาในราคาสูงทั้งสิ้น

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของหร่วนฉงอย่างต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวเกือบจะวางแผนเปิดเตาหลอมสร้างยันต์กระบี่กองใหญ่ให้กับผู้ถวายงานผู้ฝึกตนอิสระที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้อยู่แล้ว แต่กลับถูกหร่วนฉงที่แทบจะไม่เคยดุด่าลูกศิษย์ด่าเสียจนสาดเสียเทเสีย

เฉินผิงอันรั้งเจียงซ่างเจินเอาไว้ แล้วหยิบป้ายถือศีลของลัทธิเต๋าแผ่นนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ

เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างตกตะลึง “นี่ก็คือข้อดีของการได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือของขวัญที่มอบให้เด็กคนนั้น”

เจียงซ่างเจินรับป้ายถือศีลที่ค่อนข้างจะเก่าแก่แผ่นนั้นมาแล้วจุ๊ปากพูด “ของหนึ่งชิ้นน้ำใจสองส่วน ขอบเขตการทำการค้าของเจ้าขุนเขา ข้าโจวเฝยละอายใจที่สู้ไม่ได้”

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าได้สั่งสอนให้เขากลายเป็นพญามารเสียล่ะ”

เจียงซ่างเจินกล่าว “ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนไม่มีพื้นที่ให้กู้ช่านคนต่อไปได้เติบโตแล้ว”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ เอ่ยว่า “คนที่ว่างงานคือโจวเฝยผู้ฝึกตนอิสระ แต่เจ้าสำนักเจินจิ้งและเจ้าประมุขสกุลเจียงกลับยุ่งมาก ดังนั้นกลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ การพบหน้ากันของพันธมิตร ข้าอาจจะให้คนเบื้องล่างเป็นตัวแทนออกหน้าให้ อาจเป็นหลิวเหล่าเฉิง หรือไม่ก็หลี่ฝูฉวี ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สกัดคงคาเจินจวินของสำนักเจินจิ้งเราก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มพยักหน้ารับ “ได้ทั้งสองคน”

ต่อจากนี้เฉินผิงอันจะนั่งเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่เดินทางลงใต้ในครั้งหน้าจากท่าเรือหนิวเจี่ยวตรงไปที่นครมังกรเฒ่า ระหว่างที่ลงใต้นี้ เขาต้องไปพบคนสองกลุ่ม คนกลุ่มแรกก็คือสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ ทั้งสามฝ่ายร่วมกันปรึกษารายละเอียดที่เป็นรูปธรรม กลุ่มที่สองก็คือพันธมิตรที่โอบล้อมอยู่รอบพื้นที่มงคลรากบัวอันได้แก่ฟ่านเอ้อร์ ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า แล้วก็รวมถึงตัวเจียงซ่างเจินเองด้วย ในเมื่อตอนนี้พื้นที่มงคลได้เลื่อนขั้นเป็นระดับกลางแล้ว ก็มีเรื่องอีกไม่น้อยที่ต้องพูดคุยกันใหม่อีกรอบ

ระหว่างที่รอให้เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาเดินทางลงใต้อีกครั้ง รอให้เว่ยเซี่ยนและเผยเฉียนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว ชุยตงซานก็จะพาเว่ยเซี่ยนออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียน เฉินผิงอันคิดว่าจะนั่งเรือมังกรของบ้านตัวเองพาเผยเฉียนไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยด้วยกัน

จำเป็นต้องไป

เพราะการก่อสร้างศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันหวังอย่างยิ่งว่าคนที่จะปรากฏตัวในเวลานั้นจะมีหลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย

คนเรายากจะสมหวังได้ดั่งใจคิด เรื่องราวยากจะสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง

และเฉินผิงอันก็เคยบอกถึงความคาดหวังของตัวเองให้ลู่ไถฟัง นั่นก็คือหวังว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง พวกเขาที่ปีนั้นตนเดินทีละก้าวเคียงข้างพวกเขาไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษา จะมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือไม่ก็ภูเขาลูกใดลูกหนึ่งของบ้านตัวเองในเขตการปกครองหลงเฉวียน พวกเขาไม่ใช่คนของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ได้บันทึกชื่ออยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล แต่ภูเขาลั่วพั่วก็มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ภูเขาเขียวน้ำใส มีตำราเก็บซ่อนไว้มากมาย ทุกครั้งที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะมีต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ มีนกโบยบินอยู่เหนือต้นหญ้าดอกไม้ ให้ในช่วงเวลาบางช่วงบนเส้นทางชีวิตของพวกเขาทั้งห้าคนในอนาคตที่ต่อจะให้เป็นเวลาแสนสั้นแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถมีสถานที่ที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของเมืองเล็กให้พวกเขาได้แวะมาเยือน จากนั้นหากพวกเขาอยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลก็ไปท่องเที่ยว หากอยากออกไปหาประสบการณ์ก็ลงจากภูเขาไป เพียงแค่นี้เท่านั้น

แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้น เป็นเพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนต้องเติบโตทั้งนั้น

ปีนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่แบกกิ่งไหวแต่ละกิ่งวิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนถนน หลี่ไหวที่ร้องชักดิ้นชักงออยู่ในดินโคลนของเส้นทางภูเขาเพื่อจะเอาหีบไม้ไผ่ใบเล็ก หลินโส่วอีที่ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของแคว้นหวงถิงหวังดี แต่กลับไม่เคยพูดจาดีๆ อวี๋ลู่รัชทยาทแคว้นล่มสลายที่ชอบเฝ้ายามครึ่งคืนหลังแทนเฉินผิงอัน เซี่ยเซี่ยที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับหวาดกลัวทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นเหมือนกันหมด

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนโต๊ะหนังสือชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ ทำหน้าทะเล้นหลอกผี คนจิ๋วดอกบัวที่นอนฟุบผิวโต๊ะเลียนแบบเขาหัวเราะคิกๆ ชอบใจ

……

บนภูเขาหลังอ๋าวที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไช่ที่ยังไม่ได้ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนเดินเล่นอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง

นับตั้งแต่นาทีที่นางตัดสินใจว่าจะหลอมตำหนักวารีอยู่บนภูเขาหลังอ๋าว อันที่จริงคำเรียกขานว่า ‘เกาะจูไช’ นี้ ก็เหลือเพียงแค่ชื่อแล้ว

หลิวจ้งรุ่นกลับมายังที่พัก บนโต๊ะวางแผนที่ที่นางวาดด้วยตัวเองหนึ่งแผ่น เป็นพื้นที่ของภูเขาหกสิบสองลูกในเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งรวมภูเขาพีอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียน กับยอดเขาเที่ยวเติง ยอดเขาเหิงซั่ว เรียงตัวกันเป็นลักษณะเหมือนรูปเขาสัตว์ นอกจากนี้ยอดเขาไฉ่อวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าว ภูเขาเป่าลู่สามลูกที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนภูเขาหลังอ๋าวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ภูเขาทั้งหกลูกนี้เชื่อมโยงติดกันเป็นสาย บวกกับภูเขาอีกมากมายที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้มาอยู่ในมือภายหลัง แม้ว่าในด้านจำนวนภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะพอๆ กันกับภูเขาลั่วพั่ว ขนาดภูเขาไม่ใหญ่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้วอาณาเขตกลับกว้างใหญ่มากกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังได้ยินมาว่าราชวงศ์ต้าหลียังตั้งใจจะยกพื้นที่ขนาดใหญ่จากทางเหนือของเมืองหลวงยาวมาถึงอดีตขุนเขากลางให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนอีกด้วย

นอกจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนของหร่วนฉงและภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันแล้ว กองกำลังแต่ละฝ่ายที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรแล้ว ต่อให้จะรวมกลุ่มกันอย่างสามัคคี สามารถขมวดรวมกลายเป็นเชือกเส้นเดียวกันได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจต้านทานกองกำลังยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้นได้

ภูเขาหลงจี๋ ภูเขาคูเฉวียน ภูเขาเซียงฮว่อ ยอดเขาหย่วนมู่ ภูเขาตี้เจิน…

หลิวจ้งรุ่นก้มหน้าจ้องมองการกระจายตัวของกลุ่มอิทธิพลทั้งสามฝ่ายบนแผนที่ เห็นได้ชัดว่าภูเขาหลังอ๋าวถือเป็นฝ่ายที่สามที่อยู่นอกการคุมเชิงของสองผู้ทรงอิทธิพล เพียงแต่ว่าตระกูลเซียนบนภูเขาของต้าหลีได้แบ่งเกาะจูไชให้อยู่ในขอบเขตกลุ่มอิทธิพลใต้อาณัติของยอดเขาลั่วพั่วไปโดยอัตโนมัติแล้ว ก่อนที่หลิวจ้งรุ่นจะนำของขวัญไปร่วมงานพิธี ใช่ว่าในใจจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรเลย เพราะหลิวจ้งรุ่นไม่เคยอยากให้เกาะจูไชของตัวเองต้องตกเป็นที่พึ่งของใคร ทว่าหลังจากการร่วมพิธีการก่อตั้งศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วครั้งนั้น อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นก็หม่นหมองเล็กน้อย

ที่แท้โดยไม่ทันรู้ตัวคนหนุ่มที่เป็นนักบัญชีอยู่บนเกาะชิงเสียมาหลายปีผู้นั้นก็ได้รวบรวมกำลังทรัพย์ให้ตัวเองได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว

ซานจวินขุนเขาเหนือที่สนิทสนมกับภูเขาลั่วพั่วจนแทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันได้อยู่แล้ว ประเด็นก็คือเว่ยป้อคร้านที่จะปกปิดเรื่องนี้มาโดยตลอด งานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสามครั้งก็เหมือนน้ำฝนในวันหวงเหมย (ช่วงเวลาเดือนสี่เดือนห้าของปฏิทินจันทรคติของจีนจะมีฝนตกชุกมากเป็นพิเศษ) ที่ตกลงมาอย่างถี่กระชั้นจนคนตั้งตัวไม่ทัน ช่วงก่อนและหลังงานเลี้ยงท่องราตรี แต่ละคนที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋นคลี่ยิ้มกว้างสดใส ทว่าในใจมีใครบ้างที่ไม่ร้องโอดครวญ ลำพังเพียงแค่ของขวัญกราบภูเขาทั้งสามครั้งนั้นก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่จะมีหรือไม่มีก็ได้แล้ว หากไม่มีเงินทุนสักหน่อย คาดว่าคงต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดให้แน่นกันแล้ว

และยังมีผู้ถวายงานอย่างเป็นทางการที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่ง นี่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คนตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแท้จริง มีตระกูลเซียนที่ไม่มีอักษรจงแห่งใดบ้างที่มีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนอยู่บนภูเขาของตัวเอง? ไม่กลัวว่าแขกจะวางอำนาจบาตรใหญ่จนรังแกเจ้าบ้านได้จริงๆ หรือ?

บวกกับผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อีจากสำนักพีหมาอุตรกุรุทวีปอีกสองคนที่มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานซึ่งได้รับการบันทึกชื่อ นี่เป็นเรื่องที่สำนักไหนมีกันบ้าง?

ส่วนชุยตงซานเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ในแถวที่สองผู้นั้น หลิวจ้งรุ่นรู้สึกว่าเขาไม่ได้พูดง่ายไปกว่า ‘ผู้ฝึกตนอิสระโจวเฝย’ คนนั้นเลย

ชายหญิงสี่คนที่ยืนอยู่ในแถวที่สามเวลานั้น จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน มีใครที่ธรรมดาบ้าง? สามคนในนั้น หลิวจ้งรุ่นล้วนรู้จัก การงมเอาเรือมังกรและตำหนักวารีขึ้นมา วันเวลาที่อยู่ร่วมกับคนทั้งสามไม่ถือว่าสั้น รัศมีบรรยากาศรอบกายของแต่ละคนล้วนชวนตกตะลึง เพียงแต่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใน ส่วนสตรีอีกคนหนึ่งที่มีพลังอำนาจไม่แพ้ให้กับปรมาจารย์วิถีวรยุทธทั้งสามคนผู้นั้น นางกลับยังมองรากฐานไม่ออก แต่ในเมื่อสามารถยืนอยู่กับคนทั้งสามได้ นั่นก็หมายความว่าพลังการต่อสู้ของสุยโย่วเปียนย่อมไม่อ่อนด้อยกว่าเป็นแน่ คนทั้งสี่ที่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็เป็นคนของทำเนียบวงศ์ตระกูลภูเขาลั่วพั่วด้วย?

ในแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งใหญ่นี้ จะไปหาที่ไหนได้อีก?

แต่เรื่องที่ทำให้หลิวจ้งรุ่นจำต้องยอมรับชะตากรรมมากที่สุดนั้นอยู่ที่ เด็กรุ่นหนุ่มสาวที่ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วสร้างออกมาเป็นคนประเภทเผยเฉียนที่ได้พบกันบ่อยๆ เฉาฉิงหล่างเด็กหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา เฉินยวนจี คู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่า…

เพราะลูกศิษย์รุ่นที่สองซึ่งอายุยังไม่มากของภูเขาลั่วพั่วนี้ จะเป็นผู้ตัดสินระดับความลึกล้ำแข็งแกร่งของรากฐาน รวมไปถึงระดับความสูงส่งของภูเขาลั่วพั่วในอนาคต

ทว่าเรื่องที่ทำให้หลิวจ้งรุ่นตื่นตะลึงมากที่สุดยังคงไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นเรื่องสองเรื่อง

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset