ไปถึงห้องหนังสือ คนทั้งสองก็พากันนั่งลง เหมาเสี่ยวตงพูดเข้าประเด็นทันที “หลายปีมานี้อ่านตำราเล่มใดบ้าง ข้าจะทดสอบเจ้าสักหน่อย ดูสิว่าเอาแต่ฝึกตนจนไม่สนใจความรู้ในการอบรมบ่มเพาะตนหรือไม่”
เฉินผิงอันหยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ วางทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็ร่ายชื่อตำรายาวเหยียด หนังสือที่เขาเอาออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือหนังสือที่ตอนนั้นชุยตงซานยืมไปจากสำนักศึกษาซานหยา พออ่านจบแล้ว แน่นอนว่าต้องคืนให้กับสำนักศึกษา เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วได้อิงตามชื่อของตำราเหล่านี้ซื้อตามมาเก็บไว้แล้วสองชุด ชุดหนึ่งเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อีกชุดหนึ่งเฉินผิงอันจะขีดเส้นวาดวงกลม เขียนคำอธิบายไว้ตรงพื้นที่ว่างด้านข้าง แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “หลากหลายขนาดนี้เชียว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ด่านในใจยากจะผ่านไปได้ บางครั้งทักษะอย่างหนึ่งที่ฝึกปรือจนชำนาญซึ่งในอดีตเอามาใช้ได้อย่างสบายใจทุกครั้ง กลับดูเหมือนว่าจะไม่อาจช่วยให้ผ่านด่านไปได้ สุดท้ายถึงค้นพบว่าไม่ใช่ความรู้ที่ติดกายไม่ดีพอ ไม่พอใช้ แต่เป็นเพราะตนเรียนรู้มาอย่างตื้นเขินเกินไป”
หัวคิ้วของเหมาเสี่ยวตงค่อยๆ คลายออก “ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบแล้ว”
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องการเรียนช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ของพวกหลี่เป่าผิง เหมาเสี่ยวตงเล่าอย่างกระชับเรียบง่าย แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกว่าโดยภาพรวมแล้วเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างจะพึงพอใจ แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกถึงคำบ่นเล็กๆ เหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัวที่มีต่อเด็กรุ่นหลังของตน รวมไปถึงความนัยนอกเหนือจากคำพูดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นนิสัยของหลี่เป่าผิงต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นจะอัดอั้นแย่ ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กแล้ว การฝึกตนของหลินโส่วอีราบรื่นเกินไป กลัวก็แต่ว่าวันใดจะละทิ้งตำราไปเป็นเทพเซียนบนภูเขาเอาได้ อวี๋ลู่อ่านบทความอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกในใจกลับไม่ได้รู้สึกยอมรับและเลื่อมใสลัทธิขงจื๊ออย่างที่เขามีต่อสำนักนิติธรรม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร ในด้านความรู้ เซี่ยเซี่ยไม่เคยมีความปรารถนาใดๆ นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว เอาแต่สนใจเรื่องการฝ่าทะลุคอขวดของการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ฝึกตนทั้งวันทั้งคืนไม่เคยเกียจคร้าน ตอนอยู่ในห้องเรียน ความคิดจิตใจก็ยังอยู่กับการฝึกตน ราวกับว่าจะชดเชยเอาวันเวลาของเมื่อหลายปีก่อนที่ตัวเองคิดว่าใช้ไปอย่างสิ้นเชิงกลับคืนมาให้ได้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรหากยิ่งรีบก็จะยิ่งช้า ง่ายที่จะสะสมภัยแฝงมากมายเอาไว้ การฝึกตนในวันนี้หากเน้นย้ำในด้านความเร็วเพียงอย่างเดียว ก็มีแต่จะกลายเป็นปมของปัญหาที่ทำให้การฝึกตนในอนาคตหยุดชะงักไม่เดินหน้า
ส่วนหลี่ไหว กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่เหมาเสี่ยวตงรู้สึกวางใจมากที่สุด บอกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เลว
เฉินผิงอันยื่นมือมาวางทับบนตำราเบาๆ แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “การอบรมสั่งสอนผู้คนของอาจารย์เหมา มีมาดของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”
เหมาเสี่ยวตงโบกมือ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ห่างไกลจนเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางหอบตำราลุกขึ้นยืน เตรียมจะวางตำราแล้วจากไป เหมาเสี่ยวตงเองก็ลุกขึ้น แต่กลับไม่ได้รับตำราเหล่านั้นเอาไว้ “เจ้าเก็บไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะควักเงินซื้อหนังสือไปชดเชยให้กับหอเก็บตำราของสำนักศึกษาเอง ตำราเหล่านี้ถือเป็นของขวัญร่วมพิธีที่ข้ามอบให้ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่ก่อสร้างสำเร็จก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ครั้นจึงเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินจากไป เหมาเสี่ยวตงก็พยายามกดมุมปากของตัวเองลงไม่ให้รอยยิ้มของตนฉีกกว้างเกินไป
ฤดูหนาวที่เหน็บหนาวนี้ คำพูดบางอย่างชวนให้อบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันเดินไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงหอพักของหลี่เป่าผิง แล้วจึงเห็นว่าเผยเฉียนกำลังแหงนหน้าคุยกับหลี่เป่าผิงอย่างเบิกบาน
แม่นางที่ใช้คำว่าน้อยไม่ได้แล้วสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่เดิมทีมีแต่จะทำให้พวกสตรีรู้สึกถึงความบ้านนอกคอกนา ทว่าเมื่ออยู่บนร่างของนางกลับไม่มีกลิ่นอายความบ้านๆ แบบนั้นอยู่เลย
เรือนกายของนางสูงเพรียว คางแหลมเล็ก สีหน้าสงบนิ่งไม่ยินดียินร้าย เพียงแต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงคุ้นตาดังเดิม ดวงตาที่ยังคงงดงามคู่นั้น นอกจากจะพูดได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้ด้วย
พอเห็นเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ทำไมไม่เรียกอาจารย์อาน้อยแล้วล่ะ”
เหตุใดแม่นางน้อยที่หน้ากลมตาโตในปีนั้นถึงได้โตเร็วขนาดนี้นะ?
หลี่เป่าผิงพลันยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”
ในที่สุดก็กลับมาเป็นแม่นางน้อยของปีนั้นเสียที
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้กับอาจารย์อาน้อย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”
สีหน้าของหลี่เป่าผิงสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา
เฉินผิงอันจึงเสนอให้ทุกคนไปนั่งเล่นที่หอพักแขก เผยเฉียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใดอาจารย์ถึงสละสิ่งที่อยู่ใกล้ เรียกร้องสิ่งที่อยู่ห่างไกล หอพักของพี่หญิงเป่าผิงก็อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หรือ?
หลี่เป่าผิงกลับไม่ได้พูดอะไร นางเอื้อมสองมือไปไพล่หลัง สิบนิ้วสอดผสานเข้าด้วยกัน เดินถอยหลังอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์อาน้อย รู้หรือไม่ว่าพวกเราไม่ได้เจอกันมากี่วันแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “หลายปีมากแล้ว”
เผยเฉียนตะโกนบอกตัวเลขที่ชัดเจนออกมาเสียงดัง
นี่เป็นเรื่องที่นางถนัดที่สุด
ท่องตำรา จำเส้นทาง จดจำเรื่องราว
พอไปถึงหอพักแขก เผยเฉียนก็บอกว่าจะไปเรียกหลี่ไหวมา เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แต่กลับบอกให้เผยเฉียนพาหลี่ไหวไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ยได้เลย
ที่นั่นสถานที่กว้างขวาง
เผยเฉียนวิ่งตะบึงไปตลอดทางเพื่อไปรายงานข่าว
หลี่เป่าผิงถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย มีเหล้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “เจ้าจะดื่มหรือ?”
หลี่เป่าผิงยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ “อยากลองแอบดื่มสักเล็กน้อย”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาเหล้าหมักข้าวเหนียวที่ต่งสุ่ยจิ่งเป็นคนหมักออกมากาหนึ่ง รินใส่ชามเล็กๆ สองใบ “ใช่ว่าจะดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ต้องดื่มให้น้อยหน่อย”
หลี่เป่าผิงยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบคำเล็กๆ “เป็นรสชาติของบ้านเกิด”
เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็ก เล่าให้หลี่เป่าผิงฟังว่าเขาได้ไปพบกับพี่ชายใหญ่ของนางที่แคว้นชิงเฮาของอุตรกุรุทวีป
หลี่เป่าผิงฟังจบแล้วก็ใช้สองมือประคองถ้วยขาว พยักหน้าเอ่ยว่า “เขียนจดหมายหาพี่ชายใหญ่ยุ่งยากจริงๆ นั่นแหละ หากข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับก็ยังต้องให้ทางสำนักศึกษาส่งไปที่บ้านก่อน แล้วค่อยให้ท่านปู่ช่วยส่งข้ามทวีปไปยังภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แล้วค่อยส่งไปถึงถนนถ้ำเซียนของแคว้นชิงเฮาแห่งนั้น”
เฉินผิงอันถาม “เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา ไม่มีความสุขหรือ?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้ามึนงง “ไม่ใช่ไม่มีความสุขสักหน่อย อาจารย์อาน้อย เจ้าขุนเขาเหมาพูดอะไรกับท่านหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าขุนเขาเหมารู้สึกว่าตอนอยู่ในสำนักศึกษาเจ้าไม่ค่อยชอบพูดคุย ก็เลยเป็นกังวลเล็กน้อย”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างกังขา “ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็ชอบเล่นคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเป็นตอนอยู่สำนักศึกษาเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าคุย ก็เลยไม่ได้พูดคุยอะไร”
ลงน้ำไปจับปูเพียงลำพัง วิ่งไปดูเทพทวารบาลตามตรอกเล็กใหญ่อยู่เพียงลำพัง กระโดดช่องสี่เหลี่ยมบนพื้นหินเขียวของถนนฝูลวี่เพียงลำพัง รอให้ดอกท้อผลิบานอยู่ในตรอกเถาเย่เพียงลำพัง ไปเลือกเศษแผ่นกระเบื้องที่ภูเขากระเบื้องเพียงคนเดียว ก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอดนี่นา
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ
หลี่เป่าผิงยิ้มตาม “อาจารย์อาน้อยยิ้มอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกัน เห็นเจ้าที่ตัวเล็กแค่นั้นแบกกิ่งต้นไหววิ่งไปวิ่งกลับจนเหงื่อแตกท่วมเต็มหัว ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็รู้สึกนับถือเจ้าจริงๆ”
หลี่เป่าผิงมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่หาได้ยาก นางยกถ้วยเหล้าขึ้นปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งและดวงตาของตัวเองไว้ แต่กลับปกปิดรอยยิ้มไม่มิด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไปกันเถอะ ไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ยกัน”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป ล้วนเป็นหลี่เป่าผิงที่เอ่ยถาม เป็นเฉินผิงอันที่ตอบไปทีละข้อ
ไปเจอกับพวกเผยเฉียนกลางทาง นอกจากหลี่ไหวที่ดีอกดีใจแล้ว หลินโส่วอีกับอวี๋ลู่ก็อยู่ด้วย
เซี่ยเซี่ยสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอกจึงเปิดประตูออกมา พอเห็นกลุ่มคนที่พากันเดินมาเป็นขบวน ใบหน้าก็มีรอยยิ้มน้อยๆ
เรือนหลังนี้ที่ชุยตงซานทิ้งไว้ให้นาง นอกจากหลินโส่วอีที่จะมาฝึกหลอมลมปราณเป็นบางครั้งแล้ว ก็แทบจะไม่มีแขกคนใดอีก
เผยเฉียนกับหลี่ไหวที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเหมือนกัน พอเข้าไปนั่งในลานบ้านก็เริ่มประลองวิชากันทันที
เฉินผิงอันยืนคุยกับหลินโส่วอีและอวี๋ลู่ หลี่เป่าผิงกับเซี่ยเซี่ยนั่งอยู่บนขั้นบันได
สุดท้ายเฉินผิงอันปรบมือเบาๆ ทุกคนพากันหันมามองที่เขา เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “มีเรื่องบางอย่างที่จำเป็นต้องบอกกล่าวแก่พวกเจ้าเสียหน่อย นั่นก็คือที่ภูเขาลั่วพั่วของข้าได้มีศาลบรรพจารย์เป็นของตัวเองแล้ว ที่ไม่ได้เชิญให้พวกเจ้าไปร่วมงานพิธี ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะเวลานี้ยังไม่เหมาะ วันหน้าพวกเจ้าสามารถไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วได้ทุกเมื่อ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้วยังมภูเขาที่ว่างอยู่อีกไม่น้อย หากพวกเจ้าชอบก็ไปเลือกเอาเองได้เลย ข้าสามารถช่วยสร้างเรือนไว้สำหรับอ่านหนังสือให้กับพวกเจ้าได้ ส่วนข้อเรียกร้องอื่นๆ ก็สามารถบอกกับเผยเฉียนได้ตามตรง ไม่ต้องเกรงใจ”
หลี่เป่าผิงรู้เรื่องนี้จากเผยเฉียนแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร
แต่เซี่ยเซี่ยกลับเป็นคนที่ตกตะลึงมากที่สุด
นางเคยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตระกูลเซียนลำดับสูงสุดของราชวงศ์สกุลหลู ดังนั้นจึงรู้ชัดเจนดีว่าการปรากฏขึ้นของศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งหมายถึงอะไร
อวี๋ลู่เอ่ยแสดงความยินดี
หลินโส่วอีเองก็ยิ้มเอ่ยคำอวยพร
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวกับหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยว่า “พวกเจ้าเป็นเทพเซียนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาแล้ว ปราณวิญญาณของภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนนับว่าเปี่ยมล้น ดังนั้นพวกเจ้าสองคนอย่าได้หน้าบางเด็ดขาด ได้ภูเขามาเปล่าๆ มีสถานที่ฝึกตนเพิ่มเติมมา ไม่เอาก็เสียเปล่า”
จากนั้นก็หันไปพูดกับอวี๋ลู่ว่า “ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธอยู่มากมาย อวี๋ลู่ เจ้าสามารถไปหาคนที่ชื่อจูเหลี่ยนได้ ตอนนี้เขาคือขอบเขตเดินทางไกล พวกเจ้าลองประลองฝีมือกัน ให้เขาช่วยเจ้าป้อนหมัด จูเหลี่ยนเขาออกหมัดรู้จักหนักเบาดี”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉินผิงอันจริงใจอย่างยิ่ง
อวี๋ลู่ไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ แต่กล่าวว่า “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ นะ”
หลี่ไหวกำลังง่วนอยู่กับการอาศัยขุนพลใหญ่ใต้บังคับบัญชามากมายมา ‘ประลองบุ๋น’ กับเผยเฉียนบนโต๊ะ พอได้ยินก็คำรามอย่างเดือดดาลว่า “เฉินผิงอัน! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกพวกเป่าผิงก็ช่างเถิด ขนาดข้าเจ้าก็ยังปิดบังด้วยหรือ? เสียแรงที่พวกเราเป็นพี่น้องต่างแซ่ที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกัน…เป็นเพราะดูแคลนข้าหลี่ไหวใช่หรือไม่ บอกมา ภูเขาลั่วพั่วขาดผู้ถวายงานลำดับหนึ่งหรือไม่ หากขาดล่ะก็ อยู่ไกลสุดขอบฟ้าใกล้แค่ตรงหน้า ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีก เจ้าเฉินผิงอันก็คงได้แต่เชื้อเชิญข้าออกจากภูเขาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไปเล่นที่อื่นเลยไป”
หลี่ไหวมองสิ่งของเต็มแน่นที่ตัวเองกับเผยเฉียนจัดวางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร สีหน้าเศร้าโศกปานจะขาดใจ “ไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรแล้ว ฟ้าหนาวดินเยียบเย็น แต่หัวใจกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่า…ไม่ได้เป็นน้องเขยก็พอทำเนา ตอนนี้แม้แต่พี่น้องร่วมสาบานก็ยังเป็นไม่ได้ ชีวิตช่างไร้รสชาติ ต่อให้ข้าหลี่ไหวได้ครอบครองกองกำลังทหารที่มากที่สุดในใต้หล้า มีขุนพลผู้แกล้วกล้ามากมายดุจก้อนเมฆ แล้วจะมีความหมายอะไร? ไม่มีความหมายเลย…”
เผยเฉียนตบโต๊ะ ข้าวของทั้งหลายที่วางอยู่บนโต๊ะหินพากันสะเทือน นางคำรามเดือดว่า “หลี่ไหว! เจ้าไปตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมกับอาจารย์ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้านับลำดับศักดิ์ของเจ้าอย่างไร?!”
หลี่ไหวหดคอ “ก็แค่พูดเล่น ตอนเด็กเคยเล่นดึงหญ้ากับเฉินผิงอัน ก็เลยคิดว่าเป็นการตัดหัวไก่แล้ว จะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”
อวี๋ลู่ที่มองเห็นภาพนี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อดไม่ไหวต้องมองเผยเฉียนอยู่หลายที
อวี๋ลู่รู้สึกเพียงความเหลือเชื่อ จำได้ว่าครั้งแรกที่พบหน้ากัน แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านยังไม่ได้เริ่มฝึกวรยุทธอย่างจริงจังเลยไม่ใช่หรือ?
นี่เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง?
ในเรือนแห่งนี้มีอุปกรณ์เล่นหมากล้อมที่ชุยตงซานทิ้งไว้ เฉินผิงอันจึงหาเรื่องน่าอายใส่ตัวด้วยการเป็นฝ่ายขอเล่นหมากล้อมกับอวี๋ลู่หนึ่งตา หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนนั่งขนาบฝั่งซ้ายขวาของเฉินผิงอัน หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยจึงได้แต่นั่งอยู่ข้างอวี๋ลู่ หลี่ไหวโมโหหนัก เหตุใดเขาถึงกลายเป็นส่วนเกินไปได้ เขานั่งอยู่ข้างหนึ่งของกระดานหมาก เตรียมจะถอดรองเท้า ผลกลับถูกเซี่ยเซี่ยชำเลืองตามามอง หลี่ไหวจึงยื่นมือมาลูบพื้นไม้ไผ่เขียวแล้วเอ่ยว่า ก็ข้ากลัวว่าจะทำให้เรือนของเจ้าสกปรกไม่ใช่หรือไงล่ะ
ไม่มีข้อพิถีพิถันที่ว่า ผู้ที่ชมการเล่นหมากล้อมอย่างสงบคือวิญญูชนที่แท้จริงอะไร
ผลคือถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยและหลินโส่วอีสามคนร่วมแรงร่วมใจกันคุมเชิงอยู่กับหลี่เป่าผิงเพียงคนเดียว เนื่องจากฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนทั้งสามต่างก็ไม่เลว การวางหมากจึงไม่ถือว่าช้า