บนเรือข้ามฟาก
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงข้ามกับกระดานหมากล้อมที่วางไว้เบื้องหน้า ไม่ได้เล่นหมาก เพียงแค่มองสถานการณ์หมากที่เป็นของตนเท่านั้น
ตัวของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว หมากแต่ละเม็ดได้รวมตัวกันกลายเป็นสถานการณ์หมากอย่างหนึ่ง ก็คือรากฐานกำลังทรัพย์ที่แท้จริงของเฉินผิงอัน
เส้นสายมากมายของแจกันสมบัติทวีปก็คือสถานการณ์มากอีกกระดานที่กระจัดกระจายมากกว่า ตอนนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร อีกอย่างสำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็หวังแค่ว่าจะปล่อยไปตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น
ความสัมพันธ์ของอุตรกุรุทวีปคือกระดานที่สาม เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าชัดเจนมากกว่า เฉินผิงอันจะทุ่มเทแรงใจและแรงกายไปวางแผนจัดการ ยกตัวอย่างเช่นสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆ จวนไช่เฉวี่ย รวมไปถึงสำนักมังกรน้ำและถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ซ่อนแฝงอยู่ หากมีโอกาสก็ล้วนสามารถทำการค้ากันได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็สามารถร้อยเข็มสนด้ายจากตรงกลาง เพื่อมอบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งให้แก่กองกำลังฝ่ายต่างๆ แล้วค่อยให้แต่ละสำนัก แต่ละภูเขาไปช่างน้ำหนักผลได้ผลเสียกันเอาเอง หากทุกคนรู้สึกว่ามีประโยชน์มีผลกำไร ก็สามารถพูดคุยกันด้วยภาษาทางการค้าได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นการทำลายมิตรภาพระหว่างสหาย หากรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถ่วงรั้งการพบเจอกันครั้งถัดไปแล้วนั่งลงดื่มเหล้าพูดคุยเรื่องน่าสนใจกันในอนาคต
ก่อนที่ชุยตงซานจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันตรงริมหน้าผาได้ดื่มเหล้าพลางพูดคุยกันไปด้วย จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า เขากับอาจารย์คือคนบนเส้นทางเดียวกัน ต่างก็กำลังถักทอตาข่าย ข้อนี้เขาชุยตงซานจำต้องยอมรับว่าซิ่วไฉเฒ่ามีสายตาที่ดีกว่าจริงๆ
ภายหลังชุยตงซานก็เริ่มปลอบใจตัวเอง บอกว่าสายตาในการรับลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่านั้นดีจริงๆ น่าเสียดายที่ความสามารถในการกราบไหว้อาจารย์ห่างชั้นกับตนมาก
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามว่าอาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งคือใคร
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ บอกว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาอย่างจริงจัง มีแค่อาจารย์ในโรงเรียนชนบทที่ความรู้ธรรมดาเท่านั้น ในเมื่อซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยกราบไหว้อาจารย์ แล้วจะเทียบกับตนได้อย่างไร?
เฉินผิงอันเก็บเม็ดหมากใส่กลับเข้าไปในโถสีขาวทีละเม็ด
แล้วจึงหยิบเม็ดหมากสีดำออกมาจากโถอีกใบหนึ่ง เม็ดหมากมากมายที่สลักชื่อผู้คน ชื่อภูเขาตัดสลับกันวุ่นวาย เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบขึ้นมาแล้ววางลงตามตำแหน่งต่างๆ โดยที่ไม่ต้องมอง
เฉินผิงอันมองเม็ดหมากที่ตัดสลับกันอยู่บนกระดานซึ่งค่อนข้างจะเกาะกลุ่มกัน ชื่อมากมายบนนั้นเขาเพียงแค่เคยได้ยินมาก่อนจึงบันทึกเอาไว้ ไม่ใช่ว่าชื่อของพวกเขาถูกเฉินผิงอันแกะสลักไว้บนเม็ดหมากสีดำแล้วจะต้องเป็นคู่ต่อสู้หรือเป็นศัตรูของเขาเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นพวกบรรพจารย์ ‘เซียนกระบี่’ ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูกหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าใช้กำลังของคนคนเดียวกดข่มมาหลายร้อยปี ยกตัวอย่างเช่นผู้ถวายงานและเค่อชิงมากมายของสกุลสวี่นครลมเย็น รวมไปถึงญาติที่ผ่านการดองทางการแต่งงานที่สกุลสวี่ไปแอบอ้างพึ่งพา อย่างสกุลหยวนเสาคานค้ำยันแคว้นของต้าหลี
ใช้แรงฆ่าคน ใช้เหตุผลฆ่าคน ใช้ใจสังหารใจ
คือวิธีการสามอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เพราะบนเส้นทางของการเดินทางไกล ความขัดแย้งและมรสุมน้อยใหญ่ เขาล้วนเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า เพ่งมองสถานการณ์บนกระดานหมากอย่างละเอียด
คิดทำการใหญ่ ต้องค่อยๆ วางแผนแล้วลงมือปฏิบัติจริง นี่คือประโยคที่เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาโดยตลอด คือหลักการข้อหนึ่งที่ถูกเฉินผิงอันฝังลึกไว้ในใจ
แต่ความมั่นคงและความช้าในการวางแผน ก็เพื่อความเร็วในการรวบแห เมื่อหนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของตนถูกปล่อยออกไป ก็ต้องไม่มีภัยแฝงใดๆ ทิ้งไว้เบื้องหลัง
ช่วงเวลาระหว่างนี้ล้วนจำเป็นต้องใช้เรื่องเล็กยิบย่อยทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ใหญ่ที่ฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีให้สำเร็จ
ปีนั้นตอนที่อยู่ในระเบียงเมืองหงจู๋ อาเหลียงไม่มีทางสังหารจูลู่
ส่วนจั่วโย่วที่ไปถามกระบี่สำนักใบถง ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ถ้าอย่างนั้นภายหลังที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมเยือนศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงเพื่ออวี๋เวิงเซียนเซิง จ้าวหลวนและจ้าวซู่เซี่ย เขาก็ได้เรียนรู้ถึงแก่นสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน พ่อลูกบนภูเขาอย่างลวี่อวิ๋นไต้และลวี่ทิงเจียวกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น ผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือหลังจากเฉินผิงอันกลับจากอุตรกุรุทวีปมายังภูเขาลั่วพั่ว ก็ได้ยินข่าวข่าวหนึ่ง ลวี่ทิงเจียวที่ถูกกักขังอยู่บนภูเขาเหมิงหลงได้แอบสมคบคิดกับแม่ทัพบู๊ในค่ายทหารของต้าหลี แล้วยังดึงพวกเค่อชิงผู้ถวายงานบนภูเขาอีกหลายคนมาเป็นพรรคพวก หมายจะยึดตำแหน่งชิงอำนาจ แต่ถูกลวี่อวิ๋นไต้สังหารอย่างเดือดดาล เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป พลังต้นกำเนิดของภูเขาเหมิงหลงก็เสียหายอย่างหนัก จนต้องประกาศปิดภูเขาร้อยปี
บนโลกนี้มีวิธีการอยู่มากมาย อีกทั้งต่อให้ดูเหมือนว่าจะหยุดมือแล้ว ทั้งๆ ที่ดาบและกระบี่กลับคืนสู่ฝักแล้ว ทว่าคมดาบคมกระบี่กลับถูกทิ้งอยู่บนใจคนอย่างยาวนาน ผ่านไปสิบปีร้อยปีต่อจากนี้ แค่ใจคนขยับเล็กน้อยก็ยังต้องเจอกับความเจ็บปวด
เฉินผิงอันเก็บเม็ดหมากสีดำทุกเม็ดบนกระดาน
คีบเม็ดหมากสีขาวเม็ดหนึ่งที่ยังไม่ได้สลักชื่อขึ้นมาแล้ววางหมากอย่างง่ายๆ
แม้ว่าจะเป็นคนที่เล่นหมากล้อมได้แย่ แต่เขากลับชอบฟังเสียงที่เม็ดหมากกระทบกับกระดานมาก
เฉินผิงอันอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเล่นหมากกับตัวเองหนึ่งตา ฝีมือสูสีกัน เขาพึงพอใจมาก รู้สึกว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นการเล่นหมากล้อม การยอมต่อให้จะนับเป็นอะไรได้ หากแพ้ชนะเห็นได้ชัดเจนเกินไปก็ไม่มีความหมายแล้ว
เฉินผิงอันทิ้งตัวลงนอนหงายหลัง ไม่ได้รีบร้อนเก็บเม็ดหมาก
หวนนึกถึงในอดีต ได้เห็นคนต่างถิ่นกลุ่มนั้นครั้งแรกที่ประตูใหญ่ของเมืองเล็ก เวลาสิบกว่าปี เพียงดีดนิ้วก็ผ่านพ้นไป ทุกคนต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
ตอนนี้ฝูหนันหัวก็คือเจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไปอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากแต่งงานกับทายาทสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคง ได้ยินมาว่าตอนนี้ฝูหนันหัวกับอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่าอย่างซ่งจี๋ซินสนิทสนมกันไม่น้อย
ไช่จินเจี่ยนหลายปีมานี้นอกจากการฝ่าทะลุขอบเขตของการฝึกตนที่ค่อนข้างไวแล้ว ก็ยังได้บุกเบิกภูเขาก่อตั้งจวนเป็นของตัวเอง น้อยมากที่จะออกมาข้างนอก ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียว
ระหว่างที่เดินทางไปยังแคว้นชิงหลวนของปีนั้น ในตรอกที่มีชื่อเสียงของท่าเรือหางผึ้ง เขาได้พบกับเจียงอวิ้นคนหนุ่มชุดดำอีกครั้ง แรกเริ่มสุดอีกฝ่ายได้โชควาสนาใหญ่อย่างโซ่เหล็กของเมืองเล็กไปครอง คนผู้นี้คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบรับมาตอนอยู่นอกเกาะกงหลิ่ว เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ไม่เลวต่อเจียงอวิ้น ภายหลังตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วกล้าขึ้นเกาะกงหลิ่วไปพบหลิวเหล่าเฉิง นอกจากบนร่างมีแผ่นหยกของอริยะเป็นยันต์คุ้มกันชีวิตแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหลิวเหล่าเฉิงรับคนอย่างเจียงอวิ้นเป็นลูกศิษย์
เกาเซวียนองค์ชายต้าสุย ปีนั้น ‘สกัดเอา’ ปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรไปจากมือของหลี่เอ้อร์ แต่เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกขัดเคืองใจเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่สกุลเกาต้าสุยกับสกุลซ่งต้าหลีลงนามพันธมิตรภูเขาซึ่งมีกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว เกาเซวียนก็มารับหน้าที่เป็นตัวประกัน เดินทางมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นต้าหลี เกาเซวียนไม่ได้จงใจปิดบังชื่อแซ่ ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันพาพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็เคยพบเจอกับเกาเซวียนมาก่อน ภายหลังที่เกาเซวียนมาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใจตรงกัน ไม่ได้จงใจมาพบหน้ากัน ยิ่งไม่เคยมีการไปมาหาสู่ ไม่อย่างนั้นหากละเมิดข้อห้าม สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องดี
แม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นได้เสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางไป เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก อาศัยสิ่งนี้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกลุ่มน้อยที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดของแจกันสมบัติทวีป ไม่เพียงแต่ถอนรากถอนโคนศัตรู กุมอำนาจไว้ในมืออย่างมั่นคงได้สำเร็จ ยังส่งบุตรสาวสายตรงสกุลสวี่แต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวงต้าหลี แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลี นอกจากที่สกุลสวี่จะมีรากฐานกำลังทรัพย์ที่แน่นหนาแล้ว ตบะของตัวเจ้าประมุขสกุลสวี่เองก็ยังเป็นกุญแจสำคัญด้วย หลายปีที่ผ่านมานี้ หากไม่นับรวมการตรวจสอบสืบเสาะที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกันอย่างลับๆ แล้ว ความเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวระหว่างเฉินผิงอันกับสกุลสวี่นครลมเย็นก็คงจะเป็นยันต์หนังจิ้งจอกสาวงามพวกนั้นแล้ว
แรกเริ่มสกุลสวี่ได้ครอบครองภูเขาจูซาทางแถบกลุ่มภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด ลมและน้ำดีเยี่ยมที่สุด ภายหลังกองทัพม้าเหล็กสองกองของต้าหลีที่มีเฉาผิง ซูเกาซานเป็นผู้นำต่างถูกกองทัพชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งและแคว้นใต้อาณัติถ่วงรั้งไม่อาจเดินหน้า บวกกับที่มีเงาของเมธีร้อยสำนักอยู่เบื้องหลังอีกมากมาย สถานการณ์ของหนึ่งทวีปพลันเปลี่ยนมาซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ นครลมเย็นจึงกระทำการอย่างหนึ่งที่หลังจบเรื่องตัวเองต้องเสียใจจนไส้เขียว นั่นคือขายภูเขาจูซาลูกนั้นไปในราคาถูก ผู้ฝึกตนพากันย้ายออกจากต้าหลี หากไม่เป็นเพราะยอมเสียหน้าส่งตัวบุตรสาวสายตรงให้ไปแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวนเพื่อเป็นการล้อมคอกหลังวัวหาย เกรงว่าตอนนี้นครลมเย็นคงได้เปลี่ยนตัวเจ้าประมุขแล้ว
วานรย้ายภูเขาตัวนั้นยังคงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง หน้าที่เทียบได้กับโจวหมี่ลี่บนภูเขาลั่วพั่ว เด็กหญิงที่ปีนั้นมองดูหมือนหยกสีชมพูแกะสลัก แต่กลับมีจิตใจและอุบายลึกล้ำ นามว่าเถาจื่อ ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก่อนหน้านี้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต คนจากแปดทิศมาร่วมอวยพร วานรเฒ่าตัวนั้นก็ยิ่งไปย้ายขุนเขาเก่าของแคว้นเล็กๆ ที่ล่มสลายไปแล้วมาเป็นของขวัญอวยพรให้แก่นาง ได้ยินว่ามาปีนั้นตอนอยู่ในเมืองเล็ก เถาจื่อถูกชะตากับซ่งจี๋ซินอยู่มาก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน ความสัมพันธ์ก็ไม่เพียงแต่ไม่ห่างเหิน กลับยังยิ่งแนบแน่น บรรพบุรุษในตระกูลของนาง หนึ่งในเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่กุมอำนาจของภูเขาตะวันเที่ยงท่านนั้นย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้
ผู้ฝึกตนหญิงที่ท่านปู่คือผู้นำแห่งกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด เพราะปีนั้นนางสังหารผิดคน ไปฆ่าหญิงชราของตรอกซิ่งฮวาผู้นั้น จึงถูกหม่าขู่เสวียนอาฆาตมาจนถึงทุกวันนี้ หม่าขู่เสวียนใช้คุณความชอบทั้งหมดของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เขาสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนของราชวงศ์จูอิ๋ง บวกกับอาศัยคุณความชอบทางการทหารของผู้ฝึกตนภูเขาเจินอู่ส่วนหนึ่ง อิงตามกฎเกณฑ์บางอย่างที่ราชครูชุยฉานของต้าหลีเป็นผู้กำหนด แลกมาด้วยความแตกแยกของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉา ถูกต้าหลียึดอำนาจกลับคืน และผู้เฒ่าที่ลาออกจากตำแหน่งกลับคืนสู่บ้านเกิดคนนั้นก็ถูกหม่าขู่เสวียนสังหารด้วยตัวเองระหว่างทาง และยังตั้งชื่อที่เป็นการหมิ่นเกียรติว่า ‘ซู่เตี่ยน’ ให้แก่สตรีผู้นั้น บางทีในสายตาของคนนอกมากมายที่มองดูอยู่ เมื่อคนในตระกูลต้องตายกันหมด ตัวนางเองก็ทรยศออกจากสำนักเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปวันๆ หากไม่ใช่คนลืมกำพืดเนรคุณแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
คนเหล่านี้ต่างก็มาเยือนเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของเขา
และบ้านเกิดก็มีคนมากมายที่ทยอยกันเดินออกไปจากเมืองเล็กเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นเด็กในโรงเรียน หนึ่งในนั้นคือกลุ่มของพวกหลี่เป่าผิงที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยา สือชุนเจียแม่นางน้อยที่ปีนั้นมัดผมแกละได้ติดตามครอบครัวไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี ร้านค้าทั้งสองในตรอกฉีหลิงจึงมาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ต่อในเขตการปกครองหลงเฉวียน อาศัยการค้าของตัวเอง ยิ่งนานวันการค้าก็ยิ่งขยายใหญ่
หลี่ซีเซิ่งแห่งถนนฝูลวี่ไปที่อุตรกุรุทวีป พ่อลูกจูเหอจูลู่ เมื่อแยกจากกันที่เมืองหงจู๋ พวกเขาก็ไปที่เมืองหลวงต้าหลีก่อน หลังจากนั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีก
หลิวเสี้ยนหยาง ที่แท้บรรพบุรุษก็คือคนเฝ้าสุสานของสกุลเฉินสายหนึ่ง สกุลเฉินผู้รอบรู้เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตจึงให้สตรีเฉินตุ้ยพาหลิวเสี้ยนหยางไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีป มีข้อตกลงว่ายี่สิบปีให้หลังจะให้หลิวเสี้ยนหยางกลับคืนมาอยู่กับหร่วนฉง นี่ก็คือจุดที่เฉินผิงอันนับถือหลิวเสี้ยนหยางที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรหลิวเสี้ยนหยางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร หลิวเสี้ยนหยางก็ถูกผู้เฒ่าเหยารับเป็นลูกศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดของตัวเองให้แก่เขา ภายหลังคนทั้งสองไปทำงานเบ็ดเตล็ดที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีที่หร่วนฉงเป็นผู้สร้างด้วยกัน หร่วนฉงไม่ยินดีรับเขาเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ แต่กลับโปรดปรานหลิวเสี้ยนหยางมากเป็นพิเศษ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่เคยมีปมในใจใดๆ เขาแค่รู้สึกดีใจแทนหลิวเสี้ยนหยางเท่านั้น
สำหรับในใจของเฉินผิงอันแล้ว หลิวเสี้ยนหยางควรจะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าใครถึงจะถูก
ซ่งจี๋ซิน กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลวี่ และยังมีคนวัยเดียวกันในกลุ่มสี่ตระกูลสิบแซ่ใหญ่อีกมากมายที่เฉินผิงอันไม่เคยรู้จัก ก็น่าจะพากันออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เดินไปสู่ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ต่างคนต่างมีความสุขความทุกข์ การพบการพราก การช่วงชิงบนมหามรรคา
ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู แต่ละคนล้วนเป็นคนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งสิ้น
ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันมีความคิดเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งที่ไม่เคยบอกใคร
ในอนาคตไม่เพียงแค่แจกันสมบัติทวีป แต่เป็นคนของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ล้วนควรจะต้องหันกลับมาจดจำสี่คำว่า ‘ถ้ำสวรรค์หลีจู’ นี้ใหม่อีกครั้งเพราะเด็กรุ่นหลังที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนอย่างพวกเขา
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง กระบี่บินสี่เล่มพุ่งออกมาจากช่องโพรงทั้งสี่อย่างรวดเร็ว
ชูอีสืออู่ที่ถูกหล่อหลอมเป็นกระบี่ของผู้ฝึกลมปราณ แต่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง
อีกสองเล่มที่เหลือล้วนเป็นกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ เล่มหนึ่งเป็นหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนที่มอบให้ มีชื่อว่าซงเจิน
อีกเล่มหนึ่งไหว้วานฉีจิ่งหลงให้ซื้อมาให้ มีชื่อว่าต้านเหลย
เฉินผิงอันใช้จิตบังคับกระบี่บินทั้งสี่เล่ม ในห้องจึงเต็มไปด้วยแสงกระบี่พร่างพราว
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วกดลงไปบนกระดานหมากเบาๆ
เม็ดหมากขาวดำจำนวนมากที่ตัดสลับกันพลันเด้งกระดอนขึ้นมา
ขณะเดียวกันก็บังคับกระบี่บินทั้งสี่เล่มให้ดีดลงบนเม็ดหมากที่กำลังจะร่วงสู่กระดานเบาๆ ตวัดมันให้ลอยขึ้นสูง ในห้องจึงเกิดเสียงติ๊งตั๊งใสกังวานดุจเสียงจากสวรรค์ขึ้นเป็นระลอก
บนเส้นทางของการฝึกตน ทัศนียภาพงดงามชวนเพลิดเพลิน
แต่ทัศนียภาพที่ทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุดกลับยังคงเป็นแม่นางหนิง
น่าเสียดายที่เขาได้แต่กล้าคิดแบบนี้ ไม่กล้าพูดเช่นนี้