เฉินผิงอันปล่อยมือออกเบาๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองประเมินนางอย่างละเอียด
นางยังคงสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้ม ตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มาก ตอนนี้สูงไม่เท่าเขาแล้ว
นางหน้าแดงน้อยๆ ขุนเขาสายน้ำของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลรวมกันก็ยังไม่งดงามน่ามองเท่าคิ้วตาคู่นั้นของนาง เฉินผิงอันถึงขั้นมองเห็นตัวเองจากในดวงตาของนาง
นางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เฉินผิงอัน ได้ดิบได้ดีแล้วรึ?”
เฉินผิงอันตอบเสียงเบาไม่ตรงคำถามว่า “ตลอดหลายปีมานี้ไม่ค่อยกล้าคิดถึงเจ้ามากนัก”
หนิงเหยากำลังจะพูด
ตรงกำแพงบังตาด้านหลังกลับมีเสียงผิวปากดังขึ้นมาเสียก่อน คือเจ้าอ้วนคนหนึ่งที่นั่งยองอยู่บนพื้น ด้านหลังของเจ้าอ้วนซ่อนศีรษะไว้มากมาย มองดูคล้ายนกยูงที่รำแพนหาง แต่ละคนเบิกตากว้างมองมาทางประตูใหญ่
หนิงเหยากำลังจะขยับ แต่กลับถูกเฉินผิงอันคว้ามือข้างหนึ่งแล้วกุมไว้หนักๆ “มาครั้งนี้จะอยู่นานหน่อย ไล่อย่างไรข้าก็ไม่ไป”
มีเสียงสตรีเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พี่หญิงหนิงหูแดงแล้ว”
หนิงเหยาพลันกระชากเฉินผิงอันมาด้านหน้า เอาข้อศอกถองเข้าที่หน้าอกของเขา สลัดมือของเฉินผิงอันออก ตัวนางเองหมุนตัวกลับเดินก้าวยาวๆ ไปทางกำแพงบังตา ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ข้าไม่รับปากหรอกนะ”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว ศอกนี้ถองมาหนักจริงๆ เขานวดคลึงตรงหัวใจ ก้าวเร็วๆ เดินตามไป ไม่จำเป็นต้องให้เขาปิดประตู เพราะบ่าวรับใช้เฒ่าดวงตาขุ่นมัวคนหนึ่งผงกศีรษะให้เขาแล้วปิดประตูใหญ่ของจวนลงอย่างเงียบเชียบ
ทุกคนที่อยู่ตรงหัวเลี้ยวของกำแพงบังตาพากันลุกขึ้นยืนแล้ว
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหนิงเหยา ยิ้มพลางเอ่ยทักทายกับคนเหล่านั้น “เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว สวัสดีทุกคน”
เจ้าอ้วนที่มีร่างกายบึกบึนคนนั้นชื่อว่าเยี่ยนจั๋ว คือทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยน ฐานะของตระกูลเยี่ยนในกำแพงเมืองปราณกระบี่เทียบเท่าได้กับกรมการคลังของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากไม่นับรวมช่องทางส่วนตัวของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ตระกูลเยี่ยนก็ดูแลการขนส่งทรัพยากรเกือบครึ่งหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือตระกูลเยี่ยนมีเงิน มีเงินมากๆ
ต่งฮว่าฝู แซ่สกุลนี้มากพอจะอธิบายทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว เขาคือคนหนุ่มผิวดำเกรียมเรือนกายแกร่งกำยำ ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล สีหน้าเฉยชา ไม่ชอบพูดคุย ชอบดื่มเหล้าอย่างเดียว ทว่ากระบี่ที่พกติดกายกลับเป็นกระบี่หงจวงที่มีกลิ่นอายของสตรีอย่างเข้มข้น เขามีพี่สาวแท้ๆ อยู่คนหนึ่งที่ชื่อประหลาดยิ่งกว่า ชื่อว่าต่งปู้เต๋อ ทว่านางกลับเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อกำเนิดที่มีอยู่ไม่มากของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองดูเหมือนบอบบางอ่อนแอ แต่เมื่อเปิดฉากเข่นฆ่าขึ้นมากลับเป็นคนบ้าคนหนึ่ง ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางต่อสู้จนเลือดขึ้นตา ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นถึงกับต้องตีนางให้สลบแล้วลากกลับเข้ากำแพงเมืองปราณกระบี่ไปโดยตรง
สตรีแขนเดียวรูปร่างบอบบางสะพายกระบี่ใหญ่ชื่อว่าเจิ้นเยว่
นางมีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีแซ่ มีแค่ชื่อว่าเตี๋ยจ้าง ตอนเด็กถูกอาเหลียงมาพบเข้า อาเหลียงจึงมักจะใช้ให้นางไปซื้อเหล้าให้บ่อยๆ ไปๆ มาๆ คนทั้งสองก็สนิทกัน ภายหลังจึงค่อยๆ ได้รู้จักกับสหายอย่างพวกหนิงเหยา ตอนนี้ยังช่วยใช้หนี้ค่าเหล้าบานเบอะแทนอาเหลียงด้วย
คนสุดท้ายคือคุณชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลามาก มีนามว่าเฉินซานชิว เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่อย่างสมชื่อเช่นเดียวกัน หลงรักต่งปู้เต๋อพี่สาวของต่งฮว่าฝูมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนใจ ตรงเอวซ้ายขวาของเฉินซานชิวพกกระบี่ด้านละเล่ม เพียงแต่ว่ากระบี่เล่มหนึ่งไร้ฝัก ตัวกระบี่สลักอักษรเก่าแก่คำว่า ‘อวิ๋นเหวิน’ ส่วนกระบี่ที่มีฝักชื่อว่าจิงซู
เจ้าอ้วนที่เป็นตัวนำบีบลูกกระเดือกดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพูดเลียนแบบหนิงเหยา “เจ้าเป็นใครกัน?”
หนิงเหยาหยุดเดิน ชำเลืองตามองเจ้าอ้วนโดยไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันถามหนิงเหยาเบาๆ “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง?”
หนิงเหยายังคงไม่ทันได้พูดอะไร เฉินซานจวินก็ยิ้มตาหยีชิงตอบแทนก่อนว่า “ถึงอย่างไรเจ้าอ้วนเยี่ยนก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่โง่เง่านั่นด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูถูกข้าไม่เป็นไร แต่ดูถูกสายตาของหนิงเหยา ไม่ได้”
เจ้าอ้วนเยี่ยนนั่งแปะลงไปกับพื้นจนชนเข้ากับต่งถ่านดำที่อยู่ด้านหลัง “ได้ยินหรือไม่ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธที่ปีนั้นตอนอยู่บนกำแพงเมืองก็เป็นขอบเขตสี่แล้วจะไม่พอใจแล้วล่ะ”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ”
เจ้าอ้วนเยี่ยนชูสองมือขึ้น เหลือบตามองชายแขนเสื้อสองข้างของชายหนุ่มชุดเขียวเร็วๆ แล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “เป็นเฉินซานชิวที่ยุให้ข้าเป็นแนวหน้า ข้าไม่มีอคติใดๆ ต่อเฉินผิงอันทั้งนั้น มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักกี่คนที่อายุน้อยๆ ก็สามารถต่อสู้กับเฉาสือได้ถึงสามครั้งติดบ้าง ข้านับถือเขายังแทบไม่ทัน แต่ข้าก็ต้องพูดอย่างเป็นธรรมสักหน่อย อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ผู้ฝึกตนพรรคยันต์คือผู้ฝึกตนพรรคนอกรีตที่ถูกดูแคลนมากที่สุดตามหลังผู้ฝึกยุทธ เฉินผิงอัน ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อย่าพกยันต์มากมายขนาดนั้นมาไว้ในชายแขนเสื้อเลย พวกเราที่นี่ไม่มีใครซื้อของเล่นพวกนี้หรอกนะ ช่วยไม่ได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราเป็นพื้นที่กันดารยากจน ไม่เคยเห็นโลกกว้างกันมาก่อน”
หนิงเหยาเริ่มมีโทสะให้เห็นแล้ว
เจ้าอ้วนเยี่ยนรีบหดคอที่เดิมทีก็แทบมองไม่เห็นทันที
อันที่จริงภาพความทรงจำที่พวกเขามีต่อเฉินผิงอันไม่ดีและไม่เลว ไม่ถึงขั้นที่ต้องอาศัยว่าตัวเองมีคนมากกว่ามารังแกอีกฝ่ายจริงๆ
เพียงแต่ว่าหนิงเหยาที่อยู่ในใจของพวกเขาพิเศษเกินไป
อีกทั้งระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับใต้หล้าไพศาลก็มีอคติระหว่างกันกั้นขวางอยู่
แม้แต่เยี่ยนจั๋วและพวกเฉินซานชิวสามคนก็ยังรู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่มีอะไรที่ผิด ไม่มีอะไรที่ไม่ดี แต่คนวัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคน รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนิง เหยาสองแซ่ ต่างก็ไม่เห็นดีว่าหนิงเหยาจะมีอนาคตอะไรกับคนต่างถิ่น แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องราวที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเด็กหนุ่มที่ฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงทิ้งไว้ในปีนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเฉาสือถึงสามครั้งติดกัน นอกจากนี้ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาล เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีทางโลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ถือว่าสงบสุขมั่นคงอย่างมาก การเติบโตของหนิงเหยานั้นรวดเร็วอย่างถึงที่สุด คนที่คู่ควรกับนางในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงคนประเภทเดียว นั่นคือระหว่างชายและหญิง ขอบเขตใกล้เคียงกัน พลังพิฆาตเท่าเทียมกัน!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีโอกาสก็มาประลองฝีมือกันได้”
เยี่ยนจั๋วมองหนิงเหยาแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “มิกล้าๆ”
หนิงเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเพิ่งจะขอบเขตหก ไม่ต้องสนใจพวกเขา เจ้าคนพวกนี้กินอิ่มก็เลยว่างงาน”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “แสร้งทำเป็นขอบเขตเดินทางไกลค่อนข้างยาก แต่แสร้งทำเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกจะมีอะไรยาก”
ผลกลับถูกหนิงเหยาใช้ศอกถองเข้าที่เอวอีกรอบ แล้วพูดอย่างเดือดดาลว่า “หลอกข้าสนุกนักหรือ?”
คราวนี้นางโกรธจริงๆ แล้ว
พวกเยี่ยนจั๋วเงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว
เฉินผิงอันคว้ามือของนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ยามที่ออกนอกบ้าน ข้าเคยชินที่จะกดขอบเขตไว้อยู่แล้ว หากอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ตอนนี้ข้าก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า ขอบเขตเดินทางไกลทั่วไปล้วนมองจริงเท็จไม่ออก สัญญาสิบปี ตกลงกันไว้แล้วว่าข้าต้องเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองก่อนถึงจะมาพบเจ้าได้ เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้งั้นหรือ? ข้าโกรธมากนะ”
หนิงเหยามองเขา เจ้าเฉินผิงอันโกรธ? ถ้าอย่างนั้นรอยยิ้มเจ้าที่คลี่เต็มใบหน้าของเจ้านี่คืออะไร? คนเลวชิงฟ้องก่อนแล้วยังคิดว่าตัวเองมีเหตุผลอีกใช่ไหม? หนิงเหยาเหม่อมองเฉินผิงอันที่คล้ายจะแปลกหน้าแต่ก็คุ้นเคยอย่างมากตรงหน้า ไม่ได้พบกันเกือบสิบปี เขาปักปิ่นหยกบนมวยผม สวมชุดสีเขียว และยังคงสะพายกระบี่เล่มหนึ่ง ยามมองเขา แม้แต่ตนก็ยังต้องแหงนหน้านิดๆ ขนบธรรมเนียมประจำใต้หล้าไพศาล นางหนิงเหยาจะไม่รู้เชียวหรือ? ปีนั้นนางเดินทางเพียงลำพังก็ท่องเที่ยวไปเกินครึ่งของอาณาเขตเก้าทวีปใหญ่ นางหรือจะไม่รู้ว่าบุรุษที่พอจะหน้าตาดีหน่อย เดินทางอยู่ในยุทธภพได้ไกลหน่อย มักจะต้องเจอสตรีคนรู้ใจที่ไม่เป็นแบบนี้ก็แบบนั้นอยู่เสมอ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ยังหนุ่มขนาดนี้ ในใต้หล้าไพศาลก็มีให้พบเห็นได้ไม่มาก ด้วยนิสัยดื้อรั้นดึงดันของเขาเฉินผิงอัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของสตรีหน้าไม่อายบางคนเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าในใจของหนิงเหยาคิดอะไรอยู่ แต่ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่า หากตนไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่พูดอะไรสักหน่อย ชีวิตน้อยๆ นี่ก็อาจจะรักษาไว้ไม่อยู่
แต่เมื่อเฉินผิงอันมองดวงตาคู่นั้นของนางอย่างละเอียดก็ไม่เหลือคำพูดใดๆ อีก เขาเพียงแค่ก้มหน้าลง เอาหน้าผากของตัวเองชนกับหน้าผากของนางเบาๆ พลางเรียกเสียงแผ่ว “หนิงเหยา หนิงเหยา”
ระหว่างฟ้าดินไม่เหลือผู้ใด
เหลือเพียงหนิงเหยาคนเดียวเท่านั้น
หนิงเหยาเบี่ยงหน้าหลบ เอามือผลักหัวเฉินผิงอันออก ถลึงตาใส่ “เฉินผิงอัน ผีสิงร่างเจ้าหรือไง”
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
เยี่ยนจั๋วหันหน้าไปพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ข้าผู้อาวุโสยอมแพ้แล้ว รับไม่ไหว รับไม่ไหวจริงๆ”
เฉินซานชิวเหลือกตามองบน พึมพำว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ร้ายอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าเจ้าอาเหลียงชาติสุนัขนั่นจะกลับมาอีกแล้ว”
ต่งฮว่าฝูเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก “ชอบก็คือชอบ ขอบเขตสูงไม่สูงมาเกี่ยวอะไรด้วย”
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่เลว เหมาะสมกับพี่หญิงหนิงอย่างมาก แต่วันหน้าหากพวกเขาสองคนออกจากบ้านจะทำอย่างไร ตอนนี้ไม่มีสงครามให้รบ คนหลายคนอยู่ว่างจนกระสับกระส่าย ง่ายที่จะหาความยุ่งยากมาให้ หรือพี่หญิงหนิงจะต้องพาเขาหลบอยู่ในเรือนตลอด หรือไม่ก็แอบไปอยู่บนหัวกำแพง? แบบนั้นคงไม่ดีหรอกกระมัง”
เฉินผิงอันพลันหันมาพูดกับพวกเขาว่า “ขอบใจพวกเจ้าที่คอยอยู่เคียงข้างหนิงเหยามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันกุมหมัดแทนคำขอบคุณ ดวงตาใสกระจ่าง คลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ปีนั้นตอนอยู่บนหัวกำแพงก็ควรเอ่ยคำนี้แล้ว ติดค้างพวกเจ้ามาเกือบสิบปี”
เตี๋ยจ้างเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เฉินซานชิวอืมรับหนึ่งที “น่าเสียดายที่ตั้งแต่เล็กจนโตหนิงเหยาก็ไม่เคยชอบข้า ไม่อย่างนั้นป่านนี้เจ้าคงต้องนอนร้องไห้อยู่นอกประตูแล้ว”
เยี่ยนจั๋วยกสองมือขึ้นตบแก้มของตัวเองเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “นับว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง”
ต่งฮว่าฝูถาม “ดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
หนิงเหยาตอบ “ดื่มเหล้าอะไรกัน!?”
ต่งฮว่าฝูจึงบอกว่า “เขาไม่ดื่ม ข้าดื่มเอง”
หนิงเหยาพาเฉินผิงอันมาที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง จึงได้เห็นหน้าผาหินแท่นสังหารมังกรที่ใหญ่ราวกับเรือนหลังหนึ่งแห่งนั้น
มีบันไดทอดยาวเส้นหนึ่งที่เซียนกระบี่เป็นผู้บุกเบิกเองกับมือ ทุกคนเดินตามกันขึ้นสู่ที่สูง ด้านบนมีศาลาขนาดเล็กที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายอยู่หนึ่งหลัง
หนิงเหยามองเด็กสาวแขนเดียวที่สะพายกระบี่ใหญ่เจิ้นเยว่อยู่ด้านหลัง
เตี๋ยจ้างกะพริบตาปริบๆ เพิ่งจะนั่งลงก็ลุกขึ้นยืน บอกว่ามีธุระต้องไปทำ
เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วต่างก็หาข้ออ้างเช่นกัน มีเพียงต่งฮว่าฝูที่นั่งทื่อไม่ยอมขยับอยู่ตรงนั้น บอกว่าเขาไม่มีธุระอะไร
ผลคือถูกพวกเฉินซานชิวกระชากคอพาเดินออกไป
เหลือเพียงคนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
เฉินผิงอันกุมหมัดสองข้างวางบนหัวเข่าเบาๆ
ไม่มีพวกเยี่ยนจั๋วอยู่แล้ว หนิงเหยาจึงเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
หนิงเหยาถาม “หลายปีมานี้มีแม่นางที่มาชอบเจ้าบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มี แต่ข้าไม่เคยหวั่นไหว เมื่อก่อนใช่ หลังจากนี้ก็ยังจะเป็นอย่างนั้น”
หนิงเหยาถามอีก “มีกี่คน?”
เฉินผิงอันอึ้งงันราวกับไก่ไม้
หนิงเหยากล่าวต่อ “มีใครบ้าง?”
เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจหรอก”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
หนิงเหยาหันหน้ามองไปยังเบื้องล่างของแท่นสังหารมังกร “ป๋ายหมัวมัว เจ้าหมอนี่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองจริงๆ หรือ?”
จุดที่สายตาของหนิงเหยามองไป นอกจากบ่าวรับใช้เฒ่าที่ปิดประตูให้คนนั้นแล้ว ยังมีหญิงชราร่างสูงใหญ่อยู่อีกคน ผู้เฒ่าทั้งสองยืนเคียงบ่ากัน
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเฉินคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดจริงแท้แน่นอน อีกทั้งรากฐานยังดีเยี่ยม เหนือกว่าที่คาดคิดไว้มาก”
เฉินผิงอันกล่าวเบาๆ “ไม่ได้โกหกเจ้าใช่ไหมล่ะ?”
หนิงเหยาไม่ได้สนใจเฉินผิงอัน นางพูดกับผู้อาวุโสทั้งสองว่า “ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน ไปทำธุระของพวกท่านเถอะ”
หญิงชราลังเลเล็กน้อย ในดวงตาที่แฝงด้วยรอยยิ้มคล้ายมีความนัยของการสอบถาม หนิงเหยากลับส่ายหน้าให้เบาๆ หญิงชราถึงได้ยิ้มพยักหน้ารับ แล้วจากไปพร้อมกับผู้เฒ่าที่เดินขากะเผลกผู้นั้น
เฉินผิงอันถาม “ป๋ายหมัวมัวคือปรมาจารย์ขอบเขตยอดเขา?”
หนิงเหยาพยักหน้า “เมื่อก่อนเป็นขอบเขตปลายทาง ภายหลังขอบเขตต้องถดถอยลงก็เพราะข้า”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ที่นี่มีคนวัยเดียวกันอายุพอๆ กับเจ้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดบ้างหรือไม่?”
หนิงเหยาหลุดหัวเราะพรืด “ขนาดข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด แล้วใครจะเป็นได้?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
คำตอบนี้ หนิงเหยามาก
หนิงเหยาขมวดคิ้วถาม “ถามเรื่องนี้ทำไม?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีอะไร”
หนิงเหยาเอ่ยเตือน “ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่ผู้ที่ใต้หล้าไพศาลจะเปรียบเทียบด้วยได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าก็พอจะรู้อยู่ เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าอุตรกุรุทวีปควรค่าแก่การไปเยือน ก่อนจะมาที่นี่ ข้าก็เพิ่งไปที่นั่นมา ได้เห็นความสามารถและฝีมือของผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นแล้ว”
หนิงเหยาร้องอ้อหนึ่งที หัวคิ้วค่อยๆ คลายออก เมื่ออยู่ในสายตาของคนบางคนก็ไม่ต่างจากทัศนียภาพยามที่ดวงจันทร์ลอยสูงเหนือกิ่งหลิว
เฉินผิงอันบิดข้อมือหนึ่งครั้ง หยิบเอาตำราหนาๆ เล่มหนึ่งที่เขารวมเล่มเองออกมา ลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปนั่งข้างหนิงเหยา
หนิงเหยากลับกล่าวว่า “เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ”
เฉินผิงอันยกมือเกาหัว อีกมือหนึ่งโยนหนังสือเล่มนั้นออกไปเบาๆ “ปีนั้นสะพายกระบี่ของผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เดินทางไปที่ใบถงทวีป ผู้อาวุโสเคยเตือนข้าว่า ทางที่ดีควรอดทนข่มกลั้น อย่าได้เขียนจดหมายส่งมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ง่ายๆ เพราะจะทำให้เจ้าเสียสมาธิ ยิ่งกังวลว่าหากไม่ทันระวัง จะทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนเพราะข้า ข้าก็เลยจำเอาไว้แม่น เพราะฉะนั้นพอมีเวลาว่างข้าจึงเขียนสิ่งที่พบเจอมาระหว่างขุนเขาและสายน้ำตลอดหลายปีมานี้ลงไป เจ้าลองอ่านดู เรื่องราวน้อยใหญ่ข้าล้วนเขียนไว้หมด บันทึกบางส่วนค่อนข้างจะละเอียด บางส่วนก็เขียนแค่คร่าวๆ”
เฉินผิงอันนั่งอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าหนิงเหยาตั้งใจอ่านมากก็เลยทิ้งตัวลงนอนแล้วหลับตาลง
ในศาลาเล็กๆ มีเพียงเสียงเปิดหน้าหนังสือ
แรกเริ่มยังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ภายหลังโดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันกลับหลับไปจริงๆ
หนิงเหยาเงยหน้าขึ้นเป็นบางครั้งเพื่อมองคนที่คุ้นเคยคนนั้น หลังจากอ่านจบนางก็วางหนังสือเล่มนั้นไว้บนม้านั่งยาวต่างหมอน ทิ้งตัวลงนอนหนุนมันเบาๆ แต่ลืมตาอยู่ตลอดเวลา
ท่ามกลางม่านราตรี สุดท้ายนางพลิกตัวนอนตะแคงหันมาจ้องมองเขา
หนิงเหยาผงกหัวขึ้นเล็กน้อย ประกบสองมือเข้าด้วยกันแล้วสอดวางไว้บนหนังสือเล่มนั้น ใบหน้าด้านหนึ่งแนบติดหลังมือ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ปีนั้นหลังจากเจ้าจากไป ข้าก็ไปหาท่านปู่เฉิน ขอให้เขาสะบั้นเส้นด้ายวาสนาครองคู่ของเจ้าและข้าที่ถูกคนอื่นจัดวางไว้ ท่านปู่เฉินถามข้าว่าจะทำแบบนี้จริงๆ หรือ? หากไม่ชอบขึ้นมาจริงๆ ล่ะ? หากเปลี่ยนมาเป็นข้าหนิงเหยาไม่ชอบเจ้า และเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่ชอบข้า แบบนั้นจะทำอย่างไร? ข้าบอกว่า ไม่มีทาง ข้าหนิงเหยาไม่ชอบใคร ใครก็ห้ามไม่ได้ ชอบคนคนหนึ่ง ใครก็ขวางไม่อยู่ ท่านปู่เฉินถามอีกว่า แล้วเฉินผิงอันล่ะ? หากไม่มีด้ายแห่งบุพเพเชื่อมโยงไว้ อีกทั้งเจ้ายังอยู่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ จะยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล ไม่กลับมาอีกหรือไม่? ข้าก็เลยตอบแทนเจ้าไปว่า ไม่มีทาง เฉินผิงอันจะต้องกลับมาหาข้า ต่อให้ไม่ชอบข้าแล้วก็จะต้องมาบอกกับข้าด้วยตัวเอง แต่อันที่จริงข้ากลัวมาก กลัวว่าข้าจะชอบเจ้ามากกว่าเดิม แต่เจ้ากลับไม่ชอบข้าแล้ว”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก นางค่อยๆ ม่อยหลับไป
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่งเบาๆ แล้วขยับมานั่งข้างกายหนิงเหยา
เงยหน้าขึ้น คือดวงจันทร์สามดวงที่อยู่บนฟ้า ก้มหน้าลง คือคนคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจ