ผังหยวนจี้อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น
กล้าพูดกับเขาผังหยวนจี้เช่นนี้ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อย่างอื่นล้วนมีไม่มาก มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่มากที่สุดแห่งนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดขึ้นไปเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาผังหยวนจี้ดูแคลนคนต่างถิ่นที่เอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันได้ถึงสองครั้งผู้นี้
แต่เป็นเพราะเดิมทีผังหยวนจี้ก็ดูแคลนใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว
เมื่อเทียบกับการดูแคลนแล้ว อารมณ์ที่มากกว่านั้นคือเกลียดชัง และยังเจือปนด้วยความอาฆาตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเสี้ยวหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะมีบุคคลอย่างผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป หรืออย่างอาเหลียง จั่วโย่วอยู่ในใต้หล้าไพศาล ผังหยวนจี้ก็ถึงขั้นเคียดแค้นชิงชังใต้หล้าที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ร่ำรวยและสงบสุขมั่นคงแห่งนี้ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มองว่าเหมาะสมกับหนิงเหยาที่สุดผู้นี้จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะสุรา มุ่งหน้าไปบนถนนช้าๆ
ชายฉกรรจ์เคราดกที่มีดวงตาข้างเดียวมีสีหน้าเป็นปกติ แค่ดื่มเหล้าต่อเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องรักชายหญิง ผังหยวนจี้ไม่สนใจ หนิงเหยาผู้นั้นจะชอบใคร เขาผังหยวนจี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่ผังหยวนจี้สนใจมีเพียงสถานะผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และสถานะลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานเท่านั้น
ความเหมือนร่วมกันที่ใหญ่ที่สุดของสถานะสองอย่างนี้ ก็คือเป็นนักโทษอาญา เป็นประชากรพลัดถิ่นของใต้หล้าไพศาล นี่คือตราประทับที่นาบติดตัวมานานนับหมื่นปี ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มาสร้างกระท่อมอยู่อาศัยเพียงลำพังบนหัวกำแพงเมืองผู้นั้นไม่เคยส่งเสียงใด แต่คนรุ่นเยาว์ในช่วงหมื่นปีให้หลังล้วนมีแต่ความไม่พอใจ!
ผังหยวนจี้เดินขึ้นไปบนถนนแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือคนหนุ่มที่เพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเท่านั้น “เฉินผิงอัน ข้าไม่มีอคติต่อเจ้า แต่ข้ามีอคติต่อใต้หล้าไพศาลอย่างมาก”
บางทีหากอยู่บนภูเขาของใต้หล้าไพศาล อายุเท่านี้ ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต หรือขอบเขตชมมหาสมุทรก็คงถือว่าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาตระกูลเซียนที่ถูกห้อมล้อมดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาวแล้ว
หรือหากอยู่ด้านล่างภูเขาของที่นั่น บางทีก็อาจเป็นคนหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถที่ได้ติดอันดับกระดานคนดัง ได้เสวยสุขอยู่กับความรุ่งโรจน์มีเกียรติ เส้นทางอนาคตยาวไกล เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม
ทว่าอยู่ที่นี่ ที่บ้านเกิดของผังหยวนจี้ เคยมีคนบอกว่าที่นี่ก็คือสถานที่ที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ เพราะปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป แม้แต่นกที่บินผ่านสักตัวยังหาได้ยาก น่าสงสารจริงๆ จากนั้นชายฉกรรจ์เมามายที่รอบกายมีเด็กเล็กและเด็กหนุ่มมากมายห้อมล้อมก็เอ่ยอีกว่า ในอนาคตหากพวกเจ้ามีโอกาสจะต้องไปที่ภูเขาห้อยหัว แล้วก็ไปยังสถานที่ที่ไกลกว่าภูเขาห้อยหัว ลองไปเยี่ยมเยือนดู ไม่ว่าทวีปใดของที่นั่นก็ล้วนมีสตรีหน้าตางดงามอยู่มากมาก รับรองว่าไม่ว่าใครก็ไม่ต้องเป็นชายโสดอย่างแน่นอน
อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเด็กคนใด ขอแค่ตาไม่บอด ถ้าอย่างนั้นจำนวนของเซียนกระบี่ที่เขาได้เห็นมาชั่วชีวิตก็ย่อมมากกว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใต้หล้าไพศาลเสียอีก
เพราะว่าที่นี่แค่เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็สามารถเจอกับเซียนกระบี่บางคนที่มาซื้อเหล้า มาดื่มเหล้าบนถนนได้แล้ว แล้วก็มักจะเจอเซียนกระบี่หลายท่านที่ขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่มีอคติต่อเจ้าผังหยวนจี้ แต่กับคำพูดบางอย่าง ข้ามีอคติอย่างมาก”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหอสุราและร้านเหล้าที่อยู่สองข้างทางของถนนใหญ่ยิ่งดังเซ็งแซ่มากขึ้น
ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ตอนอยู่บ้านเกิดอย่างอุตรกุรุทวีปจะมีสายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร แต่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ไม่เคยมีคนหน้าใหม่คนใดกล้าพูดจาเช่นนี้
บางทีเวลาผ่านไปนานเข้า อาจมีสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หรือยังคงเป็นคนที่เกลียดขี้หน้ากัน แค่พูดจาไม่เข้าหูก็นัดต่อสู้ แต่ร้อยปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยมีคนหนุ่มคนใดที่ทึ่มทื่อขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
อุตรกุรุทวีปคือทวีปใหญ่ที่คบค้าสมาคมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แต่คนหนุ่มสาวที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ก่อนจะมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ต้องถูกผู้อาวุโสในสำนักหรือในตระกูลของตนเอ่ยเตือนมาก่อนแล้วว่า คนต่างน้ำเสียงแตกต่าง ทว่าความหมายกลับไม่ค่อยจะต่างกันนัก เว้นเสียแต่ว่าเมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะสำรวมตัว เก็บนิสัยแย่ๆ เอาไว้ เวลาเจอเรื่องอะไรก็อดทนให้มาก หากไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกใหญ่ ก็ห้ามพูดจาล่วงเกินใคร ยิ่งห้ามออกกระบี่ตามใจชอบ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีกฎเกณฑ์น้อยมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อเรื่องกลับจะยิ่งเป็นปัญหายุ่งยาก
สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีประมัดระวังได้ขนาดนี้ คาดว่าก็คงมีแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหมือนเป็นเส้นแบ่งสอดแทรกระหว่างสองทวีปแห่งนี้แล้ว
ต่งปู้เต๋อที่ใบหน้ากลมดิกยืนอยู่บนชั้นสอง ข้างกายห้อมล้อมด้วยสตรีที่อายุพอๆ กันกลุ่มใหญ่ และยังมีเด็กสาวที่เรือนกายยังไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ยังแฝงความเดียงสาของเด็กหญิงอยู่อีกบางส่วน ส่วนใหญ่ดวงตาที่เป็นประกายของพวกนางล้วนมองไปยังผังหยวนจี้ที่ถึงอย่างไรพี่หญิงหนิงก็ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นพวกนางไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสผู้นั้น
อันที่จริงต่งปู้เต๋อเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าน้องชายที่ดื้อดึงของตนจะถูกลากเข้าไปในการต่อสู้วุ่นวายที่อยู่ดีๆ อาจเกิดขึ้นนี้ด้วย
ทางฝั่งของฉีโซ่วก็มีภูเขาลูกเล็กของตนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลของตระกูลที่ช่วยหนุนหลังให้กับคนหนุ่ม หรือพลังการต่อสู้ที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสะสมมาก็ล้วนไม่เป็นรองทางฝั่งของหนิงเหยา ถึงขั้นยังเหนือกว่าด้วย ก็แค่เริ่นอี้ที่หนีไปด้วยความขุ่นเคืองคนเดียวเท่านั้น หากมีเรื่องกันขึ้นมา คงได้ตะลุมบอนกันแน่
ดังนั้นนอกจากความเป็นกังวลแล้ว ต่งปู้เต๋อยังคันไม้คันมือ อยากลงมือเต็มที่แล้วเหมือนกัน
นางเป็นถึงพี่สาวแท้ๆ ของต่งฮว่าฝูเชียวนะ
เด็กสาวคนหนึ่งที่แก้มกลมย้อยเขย่งปลายเท้าฟุบตัวลงบนกรอบหน้าต่าง พยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาจริงๆ นะ แต่พวกเจ้าเชิญชอบเจ้าหมอนี่กันตามสบายเถอะ ข้าน่ะ นับจากวันนี้ไปจะชอบเจ้าคนที่ชื่อเฉินผิงอันนั่นแล้ว พี่หญิงต่ง หากวันใดพี่หนิงเหยาไม่ต้องการเขาแล้ว จำไว้ว่ารีบมาบอกข้าทันทีเลยนะ ข้าจะได้รีบลงมือ รีบๆ แต่งงานให้เสร็จสิ้นกันไป ชุดแต่งงานในร้านของหอเจี่ยวซานนั่นสวยมากจริงๆ ลูบแล้วลื่นมือดีนัก”
ต่งปู้เต๋อยกเท้าเตะก้นของแม่นางน้อยหนึ่งที ยิ้มกล่าวว่า “สตรีทั่วไปที่สมองไม่สมประดี มักจะคิดถึงบุรุษจนเสียสติ แต่เจ้ากลับดีนัก ดันคิดถึงชุดแต่งงานจนเสียสติซะนี่”
เด็กสาวคลึงก้นตัวเอง ใช้ไหล่เล็กบางดันคนวัยเดียวกันข้างกายที่แอบหัวเราะออกไปไกลๆ พลางโวยวายว่า “พี่หญิงต่ง ท่านแม่ข้าบอกแล้วว่า ท่านต่างหากที่เป็นสาวเทื้อสมองไม่สมประดีที่สุด!”
ใบหน้าต่งปู้เต๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่าแบบนี้เองหรือ จากนั้นก็ยื่นมือมากดศีรษะของแม่หนูน้อยกระแทกลงบนขอบหน้าต่างดังตึงๆ “สาวเทื้อใช่ไหม?”
พอต่งปู้เต๋อหยุดมือ เด็กสาวก็นวดคลึงหน้าผาก หันหน้ามายิ้มแยกเขี้ยว “แม่นางน้อย แม่นางน้อย พี่หญิงต่งที่อายุสิบแปดตลอดกาล” แล้วเด็กสาวก็นินทาอยู่ในใจว่า สาวเทื้ออายุแปดสิบตลอดกาลมากกว่ากระมัง
ผลคือต่งปู้เต๋อกลับยื่นมือมาจับหัวแม่นางน้อยผู้นี้โขกกับขอบหน้าต่างอีกครั้ง “อายุแปดสิบใช่ไหม? ความคิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นของเจ้า ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนไว้บนใบหน้าเท่านั้น”
แล้วต่งปู้เต๋อก็พลันปล่อยมือ “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ฉีโซ่วอุตส่าห์เปลืองแรงขนาดนี้ ย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่ตัวเองจะได้มีหน้ามีตาให้แก่ผังหยวนจี้ไปเปล่าๆ แน่”
เด็กสาวคนนั้นไม่มีเวลามามัวงัดข้อกับต่งปู้เต๋ออีก นางกดหัวคนวัยเดียวกันที่บังอยู่ด้านหน้าตัวเองลง ส่วนนางยื่นคอยืดยาวออกไป พูดเหมือนคนแก่ว่า “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นฉีโซ่ว ป่านนี้ก็คว่ำโต๊ะต่อยตีกันไปนานแล้ว”
ตรงร้านเหล้าที่อยู่สุดปลายของถนน มีคนปรากฏตัวบนถนนเส้นใหญ่ ก็คือฉีโซ่ว
เรือนกายสูงใหญ่ องอาจผึ่งผาย สวมชุดตัวยาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง สะอาดสะอ้านคล่องตัว
ฉีโซ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยวนจี้ นี่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องในบ้านของข้าแล้วนะ ให้ข้าจัดการเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะถูกคนมองว่าเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง”
ผังหยวนจี้หันหน้าไปคล้ายจะลำบากใจเล็กน้อย
สายตาของฉีโซ่วมองผ่านผังหยวนจี้ไปยังผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นที่มือเปล่าเท้าเปลือย อายุไม่มาก ว่ากันว่ามาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป เมื่อประมาณสิบปีก่อนเคยมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่คอยหลบอยู่บนหัวกำแพงเพื่อฝึกซ้อมหมัดอยู่ตลอดเวลา ผลคือแพ้ให้กับเฉาสือถึงสามครั้งติด นี่ก็คือหนึ่งในสองเรื่องราวที่ควรค่าให้คนเอามาพูดถึง อีกเรื่องหนึ่งนั้นแพร่สะพัดในหมู่ของสตรีมากกว่า คือเรื่องตลกที่แพร่ออกมาจากตระกูลต่ง หนิงเหยาบอกว่ามือหนึ่งของนางสามารถจัดการเฉินผิงอันได้ร้อยคน
แพ้ให้เฉาสือก็ดี ถูกหนิงเหยาสัพยอกก็ช่าง อันที่จริงล้วนไม่ถือว่าเป็นเรื่องขายหน้า
เพียงแต่ว่าฉีโซ่วได้ยินแล้ว ในใจไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ระหว่างเจ้าและข้ามีคนลงมือได้แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่สู้เจ้าและข้าอาศัยโอกาสนี้มาตัดสินแพ้ชนะกันก่อน จะได้รู้ว่าใครควรจะเป็นคนรับรองแขกดีไหม?”
ฉีโซ่วรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เสียงผิวปากดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้ชมยุยงให้คนทั้งสองสู้กันรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็เริ่มมีคนคิดจะตั้งตัวเป็นเจ้ามือให้คนมาลงเดิมพันแพ้ชนะ รวมไปถึงเดิมพันว่าใครจะแพ้ชนะได้ในกี่กระบวนท่า วิธีการพวกนี้ล้วนเรียนรู้มาจากอาเหลียงทั้งสิ้น เจ้ามือคนหนึ่งสามารถใช้วิธีเดิมพันได้สิบกว่ารูปแบบ หากเอ่ยตามคำพูดของอาเหลียงก็คือลองเดิมพันดู กระดาษชำระเปลี่ยนเป็นผ้าไหม ลองเดิมพันดู คนหัวโล้นกลายเป็นมีเส้นผม
ก่อนหน้านี้การลงเดิมพันของพวกเจ้ามือหนุ่มโสดทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะลงพนันขันต่อกันว่าคนหนุ่มต่างถิ่นแซ่เฉินคนนี้จะออกจากบ้านมาหรือไม่ เรื่องที่มากกว่านั้นพวกเขากลับไม่ได้คาดหวังมากนัก ไหนเลยจะคิดได้ว่าไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่ออกจากบ้านมาเท่านั้น ยังประมือกับผู้อื่นถึงสองครั้ง แล้วยังชนะทั้งสองครั้งด้วย ทุกคนถึงได้ค้นพบว่าพออาเหลียงไม่อยู่เป็นเจ้ามือ การเดิมพันของทุกคนถึงได้ไร้รสชาติเช่นนี้ ในอดีตพออาเหลียงเป็นเจ้ามือ คนที่ลงเงินเดิมพัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนเล่นอย่างติดลม เพียงแต่ว่าท่าทียามเดิมพันออกจะไม่น่าดูเท่าไร ปีนั้นอาเหลียงกับนักพนันเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นความหวังของทุกคนร่วมมือกันหลอกทุกคน แรกเริ่มนักพนันเฒ่าผู้นั้นใช้การเดิมพันทีละเล็กละน้อยไปก่อนหลายครั้ง แล้วเมื่อชนะมากก็ค่อยลงเดิมพันมาก ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ลงเดิมพันตามตาเฒ่านักพนัน สาบานว่าจะทำให้อาเหลียงแพ้จนต้องถอดกางเกงทิ้งไว้บนโต๊ะให้จงได้ ทว่าไม่เพียงแต่ปล่อยให้อาเหลียงได้ทุนคืนทั้งหมดในรวดเดียว เขายังได้เงินค่าเหล้าที่พอให้ดื่มได้เกินครึ่งปีไปอีกด้วย
หลังจบเรื่องทุกคนถึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ชายชราน่าสงสารที่ ‘หมดสติทรุดฮวบไปนอนอยู่ใต้โต๊ะพนัน’ นักพนันเฒ่าที่เดิมทีมองดูเหมือนหมดตัวล้มละลายคนนั้น กลับได้เงินส่วนแบ่งก้อนใหญ่ รับเงินฝนธัญพืชหลายสิบเหรียญมาแล้วก็ไปซ่อนตัวก่อน จากนั้นกลางดึกที่ผู้คนพากันเข้านอนถึงได้ถูกอาเหลียงแอบคุ้มกันไปส่งถึงประตูใหญ่ ก่อนที่คนทั้งสองจะเอ่ยอำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ หากไม่เป็นเพราะหญิงชราของเรือนซือเตาทนมองต่อไปไม่ไหวจึงแฉเรื่องนี้ออกมา คาดว่าจนถึงทุกวันนี้เหล่านักพนันเด็กแก่ทั้งหลายที่ตอนนั้นได้ร่วมทุกข์ ร่วมกันพ่ายแพ้หมดตัวก็คงยังถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนเดิม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกชายฉกรรจ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังคงรู้สึกว่าเมื่อขาดเจ้าคนที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นั้นไป เวลาปกติที่ดื่มเหล้าก็ขาดเรื่องสนุกสนานไปไม่น้อย
เฉินผิงอันได้เห็นช่วงระยะทางการเดินสั้นๆ สองช่วงของผังหยวนจี้และฉีโซ่ว ขนาดเล็กใหญ่ของฝีเท้าทั้งสองฝ่าย ความหนักเบาในการเหยียบลงพื้น กล้ามเนื้อที่ยืดขยาย ริ้วคลื่นลมปราณ ลมหายใจช้าเร็ว
คือเรื่องเล็กๆ จากการมองประเมินไม่กี่ครั้ง
หากพูดถึงแค่เรื่องที่มองเห็นอยู่ในสายตา ไม่พูดถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ผังหยวนจี้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่า มองออกถึงความตื้นลึกหนาบางได้ยากกว่า แน่นอนว่าก็อาจเป็นเพราะฉีโซ่วดูแคลนที่จะแสแสร้งปิดบัง หรือไม่ก็แสแสร้งได้ดียิ่งกว่า
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเฉินผิงอัน เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ต้องหาเรื่องให้ตัวเองทำสักหน่อย
เฉินผิงอันไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เขาบิดข้อมือของตัวเองเบาๆ
ปล่อยให้ผังหยวนจี้กับฉีโซ่วปรึกษากันจนได้ผลลัพธ์เสียก่อน
ใครมาก่อนใครมาหลัง ล้วนไม่สำคัญ
ก็หนีไม่พ้นว่าต้องเลือกแผนที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่สุดจากแผนสิบกว่าอย่างที่กำหนดเอาไว้แล้ว เรียบง่ายเพียงแค่นี้เท่านั้น
คนที่อยู่สองฝั่งของถนนใหญ่ต่างก็สังเกตเห็นว่าคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นั้นเริ่มหลับตาพักผ่อนเสียได้
มือข้างหนึ่งแบออกไพล่หลัง มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางแนบติดหน้าท้อง
สวมชุดเขียว ปักปิ่นหยกบนมวยผม เรือนกายสูงเพรียว
ดังนั้นจึงมีกลิ่นอายของคำกล่าวที่ว่าต้นไม้หยกลู่ลมอยู่ไม่น้อย
รอบด้านเริ่มมีเสียงก่นด่าดังขึ้น แต่เสียงตะโกนโห่ร้องให้กำลังใจกลับดังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในสายตาของหนิงเหยามองไม่เห็นใคร
เตี๋ยจ้างกระตุกชายแขนเสื้อของหนิงเหยาเบาๆ นางสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้มตัวนั้น
ตอนที่พี่หญิงหนิงออกมาจากใต้หล้าไพศาลก็แต่งตัวเช่นนี้ พอกลับมาแล้วก็ยังแต่งกายเช่นนี้ แม้จะบอกว่าชุดคลุมอาคมมีข้อดีของชุดคลุมอาคม ทว่าแต่งกายเช่นนี้ทำให้นางเกือบจะดูไม่เหมือนสตรีแล้ว
หนิงเหยาหันหน้ามาถาม “มีอะไรหรือ?”
เตี๋ยจ้างกระดกปลายคางชี้ไปยังเงาร่างที่อยู่ห่างไปไกลนั้น แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมาข้างหนึ่ง
หนิงเหยาตีหน้าเคร่ง เลิกคิ้วสูง
ราวกับว่าทุกการกระทำทุกคำพูดของคนที่อยู่บนถนนใหญ่ผู้นั้น ก็คือเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
ข้าหนิงเหยาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
พวกเจ้ารู้สึกแปลกใจก็เพียงแค่เพราะพวกเจ้าไม่ใช่ข้าหนิงเหยา
เฉินซานชิวยื่นมือมาตบข้างแก้มของเจ้าอ้วนเยี่ยน “ก่อนหน้านี้ใครกันนะที่แสดงวิชาหมัดร้ายกาจบนสนามประลองยุทธ”
เยี่ยนจั๋วปัดมือของเฉินซานชิวทิ้ง พูดอย่างลำพองใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าอย่างไรแล้วนะ ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ชื่อเสียงโด่งดัง สายตาของข้านี่มัน จุ๊ๆๆ”
ต่งฮว่าฝูกล่าวอย่างอัดอั้นว่า “เริ่นอี้กับผู่อวี๋ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ฉีโซ่วจงใจจัดหามา ทำให้คนหาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร เริ่นอี้คือคนที่อายุน้อยและกระบี่บินก็ว่องไว หากเฉินผิงอันแพ้ แน่นอนว่าย่อมไม่เหลือหน้าตาอะไรอีก หากชนะเริ่นอี้ ผู่อวี๋ก็คือคนที่มีลูกไม้มากที่สุดในบรรดาโอสถทอง ชนะผู่อวี๋ได้ ก็ง่ายที่จะประมาท และเฉินผิงอันก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างแล้ว แล้วจากนั้นฉีโซ่วที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้องผู้นี้ก็ค่อยมาจัดการกับเฉินผิงอัน ทำแบบนี้ฉีโซ่วจะได้รับผลประโยชน์ที่สุด ดังนั้นนี่คือแผนการที่ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่”
เยี่ยนจั๋วเหลือกตามองบน “ขนาดเจ้าต่งถ่านดำยังรู้ แล้วพวกเราจะไม่รู้หรือไร?”
ต่งฮว่าฝูกล่าว “ข้ากลัวว่าฉีโซ่วจะเสียสติลงมืออย่างอำมหิตต่างหาก”
เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่ตรงนี้”
เพราะคนสามคนบนถนน หากไม่นับรวมผังหยวนจี้ที่เปลี่ยนจากดูเรื่องครึกครื้นมาเป็นสร้างความครึกครื้นให้คนอื่นดู พูดถึงแค่เฉินผิงอันกับฉีโซ่ว นี่ก็ไม่ใช่คนหนุ่มที่อายุพอๆ กันมาต่อสู้กันเพราะอารมณ์ฮึกเหิมอะไรอีกแล้ว เฉินผิงอันไม่ควรพูดถึงหนิงเหยาและแท่นสังหารมังกรจริงๆ นี่ก็คือข้ออ้างที่จะทำให้ฉีโซ่วลงมือโดยไม่สนกฎเกณฑ์ได้ เพราะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องระหว่างชายหญิง แล้วยังเกี่ยวพันไปถึงตระกูล หากครั้งนี้ฉีโซ่วลงมืออย่างอำมหิต พวกตาแก่ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายอาจไม่พอใจ แต่หากฉีโซ่วออกกระบี่อย่างเหยาะแหยะ กลับจะยิ่งไม่เป็นที่พอใจมากกว่า ขอแค่ใครก็ตามที่เป็นคนก็ล้วนรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร