หลังจากที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นั้นเปิดปาก เหยาชงเต้าเจ้าประมุขตระกูลเหยาก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไม่เสียแรงที่เป็นจั่วโย่ว ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำอะไรก็ง่ายที่จะทำให้คนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (ภาษาจีนใช้คำว่าจั่วโย่วเหวยหนัน) อยู่เสมอ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดของใต้หล้าไพศาลที่จิตแห่งกระบี่พังทลายลงไปเหล่านั้น คิดดูแล้วคงเข้าใจสภาพการณ์ของเหยาชงเต้าในเวลานี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเฉาจวิ้นผู้มีพรสวรรค์จากทักษินาตยทวีป ผู้ที่เคยมีภาพบรรยากาศของจิตแห่งกระบี่ดั่งดอกบัวที่ผลิบานเต็มสระซึ่งตอนออกกระบี่แรกๆ ไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย ทว่าจุดจบกลับอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด หลงเหลือเพียงซากดอกบัวแห้งเต็มทะเลสาบ หล่นร่วงจากแท่นบูชาเทพ กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งทักษินาตยทวีป สุดท้ายก็ได้แต่ออกเดินทางไกลมาเยือนแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนี้ต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงหนึ่งร้อยปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุสู่ขอบเขตหยกดิบได้ ต้องรู้ว่าปีนั้นเฉาจวิ้นก็คือผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งซึ่งคนทั้งทักษินาตยทวีปให้การยอมรับ
มีเซียนกระบี่ของที่แห่งอื่นสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้แล้ว แต่ละคนคลี่ยิ้ม คิดว่าจะรอชมเรื่องสนุกเสียหน่อย คนที่ชอบดื่มเหล้าก็เปิดกาเหล้าออกรอเรียบร้อยแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ไปชมศึกแถบถนนใหญ่แห่งนั้น คนที่มาปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่ผ่านศึกมาแล้วร้อยศึก แน่นอนว่าย่อมไม่ส่งเสียงโห่ร้องหรือผิวปากแซว แล้วก็เพราะกลัวว่าหากจั่วโย่วอารมณ์ไม่ดีจะเรียกให้พวกเขามาร่วมวงต่อสู้ด้วย
วิชากระบี่ของจั่วโย่วสูงเกินไป ปราณกระบี่โชติช่วงเกินไป ค่อนข้างจะไร้เหตุผล ไม่กลัวการที่ต้องสู้กับคนทั้งกลุ่มเพียงลำพังที่สุด
สีหน้าของเหยาชงเต้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง
ในฐานะเจ้าประมุขสกุลเหยา ไฟโทสะและความขุ่นเคืองที่อยู่ในใจเขาสะสมมานานหลายปีแล้ว
และในขณะที่เหยาชงเต้าคิดจะเรียกจั่วโย่วให้ไปตีกันที่ทางทิศใต้ของหัวเมืองนั้นเอง
เฉินผิงอันก็ฝืนใจทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ช่วยเป็นกาวประสานใจด้วยการวางหนิงเหยาลง เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านผู้เฒ่าเหยา จากนั้นก็บอกให้หนิงเหยาไปพูดคุยกับผู้อาวุโสของตัวเอง ส่วนเขาจะไปพบผู้อาวุโสจั่ว
หนิงเหยาพาท่านตาของตัวเองไปเดินเล่น
เฉินผิงอันไปหาจั่วโย่วด้วยร่างที่พุ่งไปราวกับลูกธนู
ไม่เหลือเจ้าคนหนุ่มที่ไม่รู้กฎรู้เกณฑ์คนนั้นอีก ข้างกายเหลือแค่หลานสาวของตน สีหน้าของเหยาชงเต้าก็ดีขึ้นจากเดิมเยอะมาก
สำหรับบุตรสาวและบุตรเขย บางทีอารมณ์ของผู้เฒ่าอาจจะซับซ้อน ทั้งเสียใจ เสียดาย ไม่พอใจ เดือดดาล ทุกข์ระทม…ยากที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับหนิงเหยาที่ห่างกันหนึ่งช่วงวัย ในใจผู้เฒ่ามีเพียงความภาคภูมิใจและรู้สึกผิด
หัวกำแพงฝั่งตรงข้าม เฉินผิงอันหยุดเท้าอยู่ห่างจากเซียนกระบี่วัยกลางคนที่หันหลังให้ตัวเองสิบก้าว ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ ช่องโพรงแทบทั้งหมดในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเขาล้วนเต็มล้นไปด้วยปราณกระบี่ ราวกับว่าเป็นศัตรูกับฟ้าดินใหญ่นอกร่างกายอยู่ทุกเวลานาที
ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปและผู้ฝึกลมปราณของสามลัทธิร้อยสำนัก ช่องโพรงลมปราณสำคัญที่วางวัตถุแห่งชะตาชีวิตไว้ด้านใน หากสามารถสะสมปราณวิญญาณไว้อย่างเปี่ยมล้นได้ จากนั้นบุกเบิกที่ดินอีกเล็กน้อย ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ได้พบจั่วโย่ว เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสจั่ว”
จั่วโย่วยังคงนิ่งเฉย
เฉินผิงอันจึงเดินอ้อมไปเล็กน้อย กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง หันตัวกลับมา หันหน้าเข้าหาจั่วโย่ว แล้วนั่งขัดสมาธิ
ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัดสลับกัน กรีดผ่าความว่างเปล่า นี่หมายความว่าปณิธานกระบี่ที่แฝงอยู่ในปราณกระบี่ทุกเส้นล้วนอยู่ในขอบเขตที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดอย่างในตำนานแล้ว ถึงได้สามารถแหวกผ่าฟ้าดินขนาดเล็กได้อย่างกำเริบเสิบสาน ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อไปถึงจุดเชื่อมต่อที่คล้ายคลึงจุดเชื่อมระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับหุบเขาผีร้าย จั่วโย่วไม่จำเป็นต้องออกกระบี่ ถึงขั้นที่ไม่ต้องบังคับปราณกระบี่ ประตูใหญ่ของฟ้าดินขนาดเล็กก็จะเปิดออกด้วยตัวเองราวกับได้เข้าสู่ขอบเขตไร้ผู้คน
เฉินผิงอันเห็นว่าจั่วโย่วไม่ยินดีจะพูดคุย แต่จะให้ตนจากไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่ได้ แบบนั้นออกจะไม่มีมารยาทเกินไปสักหน่อย เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เขาก็เลยสงบจิตใจ เพ่งสายตามองการไหลเวียนของปราณกระบี่เหล่านั้น หวังว่าจะหา ‘กฎเกณฑ์’ บางอย่างให้พบ
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันที่สองตาเมื่อยล้าจิตก็ขยับเล็กน้อย เพียงแต่ว่าไม่นานสภาพจิตใจของเขาก็สงบราวกับน้ำนิ่ง
เมื่อครู่นี้เห็นปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งคล้ายจะออกมาแต่ก็ไม่ออก ราวกับว่ากำลังจะหลุดพ้นจากพันธนาการของจั่วโย่ว ความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดในชั่วขณะนั้นก็ราวกับว่ามีคนถือภูเขาลูกหนึ่งไว้ในมือแล้วเตรียมจะทุ่มใส่ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ทำให้เฉินผิงอันอกสั่นขวัญผวา
จั่วโย่วยังคงไม่ลืมตา เพียงแต่ว่าในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดคุย “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่ใด? วันหน้าหากข้ามีโอกาสเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ควรจะตามหาเขาอย่างไร?”
สีหน้าของจั่วโย่วดีขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างเฉยเมยว่า “อาจารย์ออกจากภูเขาสุ้ยซานแล้ว เดินทางไปบุกเบิกสถานที่ในยุคบรรพกาลที่อริยะปราชญ์แต่ละยุคสมัยของลัทธิขงจื๊อไม่เคยเปิดภูเขาฝ่าด่านไปได้ มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งของแผ่นดินกลางคอยถือกระบี่เปิดทางให้ ส่วนอาจารย์ก็รับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทาง จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณผู้อาวุโสจั่วที่ช่วยไขข้อข้องใจให้ผู้น้อย”
จั่วโย่วถาม “เรื่องการเรียนเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “เรื่องอ่านตำรา ไม่เคยเกียจคร้าน คอยถามใจตัวเองไม่หยุด”
จั่วโย่วกล่าว “ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบอีกว่า “การศึกษาเล่าเรียนคือเรื่องที่ยาวไกล เร็วและมาก คุณสมบัติของผู้น้อยไม่ได้ความ ย่อมหลีกเลี่ยงความตื้นเขินไม่ได้ ไม่สู้ช้าแต่ถูกต้อง แสวงหาคำว่าลึกล้ำและหนาแน่น”
จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไรอีก
บนหัวกำแพงฝั่งตรงข้าม เหยาชงเต้าที่เกิดใจริษยาเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างจนใจว่า “ตรงนั้นไม่มีอะไรน่าดู ขอบเขตต่างกันมากขนาดนั้น สองฝ่ายสู้กันไม่ได้หรอก”
หนิงเหยาทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันและจั่วโย่ว คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่รู้เรื่องมีอยู่น้อยมาก ต่อให้จะเป็นป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน หนิงเหยาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ
นี่ก็คือจุดที่น่าสนใจที่สุด หากเฉินผิงอันไม่มีความเกี่ยวข้องกับจั่วโย่ว ด้วยนิสัยของจั่วโย่ว บางทีคงคร้านจะลืมตามอง ยิ่งไม่มีทางเปิดปากพูดกับเฉินผิงอัน
ดังนั้นอันที่จริงตอนนี้เหยาชงเต้าก็ฉงนสนเท่ห์มากเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านั้นผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากกระบี่อย่างจั่วโย่ว ถึงได้ทำท่าจะหาเรื่องตน เรื่องในบ้านของเหยา หนิงสองตระกูล เจ้าจั่วโย่วให้ความสนใจเกินขอบเขตไปหน่อยไหม? ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเจ้าเด็กแซ่เฉินนั่นทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์โดยไม่จำเป็น ป่านนี้เขาเหยาชงเต้าก็คงไปอยู่ที่สนามรบอันกว้างขวางทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมืองเพื่อขอความรู้ด้านวิชากระบี่จากจั่วโย่วว่าสูงส่งจริงหรือไม่ไปนานแล้ว
ส่วนแพ้ชนะนั้น ไม่สำคัญ
เพราะอย่างไรก็ต้องแพ้อยู่ดี
แม้ว่าหยางชงเต้าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง แต่อายุมากแล้วจึงไม่มีหวังที่จะฝ่าทะลุขอบเขตมานานแล้ว หลายร้อยปีที่ผ่านมามีสงครามเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน โรคร้ายจึงสะสมมายาวนานและลึกล้ำ ตัวหยางชงเต้าเองก็ยอมรับว่า เซียนกระบี่ใหญ่อย่างเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่สมชื่อแล้ว ทุกครั้งที่เห็นพวกเด็กของแต่ละแซ่ที่อายุน้อยๆ ก็ได้เป็นเซียนดิน ได้เห็นพวกคนรุ่นหลังขอบเขตหยกดิบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หลายๆ ครั้งเหยาชงเต้าก็จะทั้งปลาบปลื้ม แล้วก็ทั้งเสียใจ มีเพียงมองหลานสาวของตัวเองอยู่ไกลๆ หลานสาวที่เป็นผู้นำของกลุ่มคนหนุ่มสาวได้อย่างสมศักดิ์ศรี ผู้เฒ่าที่ถูกอาเหลียงตั้งฉายาให้ว่าหน้ามะระ (เปรียบว่าหน้าตาบึ้งตึงไม่เบิกบาน) ผู้นี้ถึงพอจะมีรอยยิ้มได้บ้าง เคยมีคนคนหนึ่งที่พอดื่มเหล้าจนเมามายก็หลุดปากบอกว่า พอเขาได้เห็นใบหน้ามะระของตาเฒ่าเหยาที่ราวกับสลักสี่คำว่า ‘ติดหนี้คืนเงิน’ ไว้ผู้นั้น มโนธรรมในใจก็จะบังเกิด นึกถึงค่าเหล้าที่ตัวเองติดหนี้ไว้นานหลายปีขึ้นมาได้
หลังจากนั้นมาร้านเหล้าเหลาสุราทั้งหมดในนามของตระกูลเหยาก็ไม่เคยขายเหล้าให้เจ้าหมอนั่นอีกแม้แต่ครึ่งกา เงินค่าเหล้าที่ติดไว้ก็ไม่ต้องให้เขาคืน
เหยาชงเต้าถามชวนคุย “ดูจากท่าทางแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาสองคนเคยรู้จักกัน?”
หนิงเหยาเล่าเพียงเรื่องเดียวว่า “ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรือข้ามทวีปถูกขวางไว้ที่ร่องเจียวหลง เป็นจั่วโย่วที่ออกกระบี่เปิดทางให้”
เรื่องนี้คนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยได้ยิน เพียงแต่ว่าข่าวที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนนัก หนึ่งเพราะทางฝั่งของภูเขาห้อยหัวเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะว่าหลังจากเกิดเหตุพลิกผันขึ้นที่ร่องเจียวหลง จั่วโย่วกับเทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาห้อยหัวที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเต๋าเหล้าเอ้อร์ก็ไปตีกันบนมหาสมุทรอย่างสาแก่ใจอีกครั้ง นอกจากนี้ก็เป็นเพราะว่าการออกกระบี่ของจั่วโย่วผู้นี้คล้ายจะไม่เคยมีเหตุผลมาก่อน
อันที่จริงผู้เฒ่ากับหนิงเหยาพบเจอกันไม่บ่อยนัก พูดคุยกันก็ยิ่งน้อย
ดังนั้นเมื่อเทียบจั่วโย่วกับเฉินผิงอันแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสจั่วออกกระบี่สังหารเจียวหลงในจุดที่เจียวหลงรวมตัวกัน พระคุณช่วยชีวิต ตลอดหลายปีมานี้ผู้น้อยจดจำได้ขึ้นใจอยู่เสมอ”
จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “สืบสาวไปถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าอันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้ถูกผู้อาวุโสจั่วมองเป็นผู้น้อย”
จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ คน เรื่องราวและทัศนียภาพในใต้หล้าที่เข้าตาข้า มีน้อยจนนับนิ้วได้”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผู้อาวุโสจั่วเป็นศิษย์พี่ใหญ่”
จั่วโย่วยิ้ม ลืมตาขึ้น แต่สายตากลับมองไปยังทิศไกล “อ้อ?”
เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ ขยับตัวหันหลังกลับ มองไปยังทิศไกลเช่นกัน “ไม่ใช่ว่าปีนั้นยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ ตอนนี้เป็นคนหนุ่มกำลังวังชาเปี่ยมล้นอะไร นี่เป็นเพียงแค่ความในใจเท่านั้น”
จั่วโย่วยังคงไม่แสดงอาการขุ่นเคือง กลับกันยังเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันเลย “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก นอกจากยืนยันให้แน่ใจว่าโลกใบนี้เป็นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล หรือเล็กเท่าเมล็ดงากันแน่แล้ว เรื่องหลักที่สำคัญที่สุดก็คือพิสูจน์ความจริงแท้ของตัวเอง”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะขอพูดความจริงในใจเพิ่มอีกสักสองสามประโยค อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรนัก แต่หากไม่พูดก็คงไม่ได้ ตลอดชีวิตของผู้อาวุโสจั่ว ทั้งเรื่องศึกษาหาความรู้และเรื่องการฝึกกระบี่ล้วนไม่มีความผิดพลาด สุดท้ายค่อยๆ สะสมให้มากแล้วนำมาใช้ทีละน้อย มีขึ้นมีลง เต็มไปด้วยสีสันตระการตา เคยทำให้ตัวอ่อนเซียนกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนต้องก้มหัวให้ ภายหลังยังออกมหาสมุทรไปเยี่ยมเยียนเซียน หนึ่งคนอาศัยหนึ่งกระบี่ไปถามกระบี่ที่อุตรกุรุทวีป สุดท้ายยังไปถามกระบี่ที่ใบถงทวีป สังหารตู้เม่า ขัดขวางการบินทะยานของเขา ทำเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่เหตุใดไม่ยอมไปเยือนแจกันสมบัติทวีปดูสักครั้ง อาจารย์ฉีคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของอาจารย์ฉี ศิษย์พี่ใหญ่ควรทำอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องที่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งควรจะทำ”
จั่วโย่วเงียบงัน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “นี่ก็คือประโยคเดียวที่ข้าต้องการพูดหลังจากมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้ยินว่าผู้อาวุโสจั่วก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เฉินผิงอันเตรียมจะขอตัวลาจากไป
จั่วโย่วกลับเอ่ยว่า “คุยกับผู้ใหญ่ อย่ายืนสูงขนาดนั้น”
เฉินผิงอันจึงได้แต่กลืนคำบอกลากลับลงท้อง แล้วนั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย
บอกตามตรง เฉินผิงอันมาเยือนหัวกำแพงครั้งนี้ก็เตรียมใจมาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องโดนซ้อมรอบหนึ่ง อย่างมากก็แค่นอนอยู่ที่จวนเหยาสักเดือนหนึ่ง
คนทั้งสองต่างก็พากันเงียบ
เฉินผิงอันถาม “ผู้อาวุโสจั่วมีเรื่องจะพูดหรือ?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “คร้านจะอธิบายเหตุผล นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด ดังนั้นจึงกำลังสองจิตสองใจเรื่องพละกำลังในการออกกระบี่ ขอบเขตของเจ้าต่ำเกินไป นี่กลับกลายจะเป็นปัญหา”
เฉินผิงอันไม่รู้สึกเลยว่าจั่วโย่วกำลังล้อเล่น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งชอบดื่มเหล้า แล้วก็ชอบท่องไปทั่วทิศ แต่ไม่เคยมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่บ้างเลยหรือ? อันที่จริงเหล้าของที่นี่ก็ไม่เลวเลย”
จั่วโย่วมีท่าทางอัดอั้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไสหัวไปเลย!”
ผู้อาวุโสสั่ง ผู้น้อยก็ต้องทำตาม เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยเรียกหนิงเหยาแล้วก็เรียกเรือยันต์ออกมาจอดลอยอยู่นอกหัวกำแพงเมือง
เหยาชงเต้าพยักหน้าให้หนิงเหยา หนิงเหยาจึงทะยานลมเข้าไปในเรือยันต์ กลับไปยังนครที่ยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรองอยู่ท่ามกลางม่านตรีพร้อมกับเฉินผิงอันที่แสร้งทำเป็นสุขุม
จั่วโย่วชำเลืองตามองคนหนุ่มชุดเขียวที่อยู่บนเรือยันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิ่นหยกสีขาวที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดชิ้นนั้น
จั่วโย่วหลับตาลงอีกครั้ง ขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองต่อไป
ชิงฟ้องอาจารย์ก่อน
ใครฟ้องก่อนก็ได้เปรียบ แล้วยังเป็นฝ่ายมีเหตุผลด้วย
ปีนั้นในขณะที่ทุกคนอายุยังน้อย ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เรื่องแบบนี้ใครที่ถนัดที่สุด?
เหยาชงเต้าเดินมาใกล้จั่วโย่ว มองไปยังเรือยันต์ลำน้อยและนครขนาดใหญ่แล้วถามว่า “จั่วโย่ว เจ้าให้ความสำคัญกับคนหนุ่มคนนี้มากหรือ?”
จั่วโย่วกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ความประทับใจที่ข้ามีต่อตระกูลเหยานั้นธรรมดามาก ดังนั้นอย่าได้อาศัยว่าตัวเองอายุมากมาพูดจาไร้สาระกับข้า”
ไฟโทสะของเหยาชงเต้าเกือบจะพุ่งขึ้นสามจั้ง คิดว่าตนเป็นพระโพธิสัตว์ที่ไร้อารมณ์จริงๆ หรือไร?
ตีก็ตีกันเลยสิ ใครกลัวกันเล่า
เจ้าจั่วโย่วจะฆ่าข้าให้ตายได้จริงๆ หรือ?
ผลคือผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่คนนั้นยิ้มเดินออกมาจากกระท่อม มายืนอยู่ตรงหน้าประตู แหงนหน้าขึ้นเอ่ยเบาๆ “แขกที่หาได้ยาก”
แต่เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อม ในเมื่อผู้ที่มาเยือนเป็นแขกไม่ใช่ศัตรู ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เฉินชิงตูเพียงแค่กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ตราผนึกก็ถูกร่ายขึ้นทันที ตลอดทั้งหัวกำแพงล้วนถูกสกัดกั้นออกจากฟ้าดินขนาดเล็ก หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการลอบสังเกตการณ์ที่เกินความจำเป็น
นอกจากเฉินชิงตูที่สัมผัสได้ถึงเบาะแสเล็กน้อยนั่นก่อนใครแล้ว อริยะทั้งหลายที่เฝ้าพิทักษ์ที่นี่และใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นต่างก็ทยอยกันตระหนักได้ถึงความผิดปกตินี้
ไม่มีใครที่ไม่ต้องเดินผ่านประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว แล้วยังสามารถทะลุพันธนาการม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดใหญ่สองแห่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้โดยตรงอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
ไม่เพียงแต่เทียนจวินใหญ่ลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาห้อยหัวท่านนั้นที่ทำไม่ได้
เกรงว่าแม้แต่อริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นซึ่งรับผิดชอบดูแลอาณาบริเวณของทวีปหนึ่งในใต้หล้าไพศาลที่มีแผ่นหยกอยู่ในมือก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน
เซียนกระบี่มากมายที่ปักหลักเฝ้าอยู่บนหัวกำแพงก็ยังตระหนักไม่ได้ว่ามีคนลอบเข้ามาบนหัวกำแพง คนที่อยู่นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
รอจนเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดขึ้นบนหัวกำแพง คิดจะตรวจสอบอีกครั้ง นั่นก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม เซียนกระบี่ทั้งหลายจึงตั้งใจฝึกตนของตัวเองต่อไป
จั่วโย่วอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็เตรียมจะลุกขึ้นยืน
ผลคือเขาถูกฝ่ามือหนึ่งตบลงมาบนศีรษะ “พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้หรือ? กฎเกณฑ์อยู่ที่ไหน?”
จั่วโย่วลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคิดจะลุกขึ้น อาจารย์มาเยือนขนาดนี้ จะอย่างไรก็ควรต้องลุกขึ้นคารวะ ผลกลับต้องถูกตบหัวอีกรอบ “ยังไม่ยอมเชื่อฟังอีกใช่ไหม? คิดจะเถียงข้าใช่ไหม? สามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคาใช่ไหม?”
จั่วโย่วจึงได้แต่หยุดอยู่ตรงนั้น จะยืนก็ไม่ยืน จะนั่งก็ไม่นั่ง เขาพูดกับเหยาชงเต้าว่า “เป็นผู้น้อยที่เสียมารยาทแล้ว ต้องขอโทษผู้อาวุโสเหยาด้วย”
จากนั้นเหยาชงเต้าก็ได้เห็นผู้เฒ่ายากจนลักษณะเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งยื่นมือมาประคองจั่วโย่วที่ค้างอยู่ในท่าชวนอึดอัดพลางหันมายิ้มกว้างเอ่ยกับตนว่า “เจ้าประมุขตระกูลเหยา เซียนกระบี่ใหญ่เหยาใช่ไหม เลื่อมใสมานานๆ ให้กำเนิดบุตรสาวที่ดี ช่วยหาลูกเขยที่ดี แล้วลูกสาวที่ดีลูกเขยที่ดีก็ให้กำเนิดหลานสาวที่ดีมากๆ ผลคือหลานสาวที่ดีก็ยังช่วยหาหลานเขยที่ดีที่สุดมาให้อีก เซียนกระบี่ใหญ่เหยา ช่างโชคดีจริงๆ เลยนะ ข้าอิจฉายังแทบไม่ทัน ก็มีแค่ลูกศิษย์ไม่กี่คนที่อบรมสั่งสอนมานี่แหละที่พอจะถูไถอยู่บ้าง”
ในที่สุดจั่วโย่วก็สามารถยืนพูดได้แล้ว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ “อาจารย์!”
ปราณกระบี่น่าตะลึงพรึงเพริดที่อยู่รอบกายจั่วโย่วไม่ส่งผลใดๆ ต่อผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่งคนนั้นได้เลย
เหยาชงเต้ามีสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์เหวินเซิ่ง?”
ซิ่วไฉเฒ่ามีสีหน้าลำบากใจ “เหวินเซิ่งไม่เหวินเซิ่งอะไรกัน ไม่มีมาตั้งนานแล้ว ข้าอายุน้อย รับคำเรียกขานว่าอาจารย์ไม่ได้หรอก ก็แค่โชคดีที่เคยมีความรุ่งเรืองในอดีตอันน้อยนิดนั่นอยู่บ้าง ตอนนี้อย่าพูดถึงเลยดีกว่า ข้าอายุไม่มากเท่าเจ้าประมุขตระกูลเหยา เรียกข้าว่าน้องชายก็พอแล้ว”
เหยาชงเต้ามึนงงไปเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับเหวินเซิ่งลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้อย่างไรดี
ลัทธิขงจื๊อใต้หล้าไพศาลมีพิธีการยิบย่อย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนที่สุดพอดี
ซิ่วไฉเฒ่ากวาดตามองไปรอบด้านแล้วพูดอย่างรีบร้อนว่า “ข้ารีบมา แล้วก็ต้องรีบไป จะอยู่นานไม่ได้ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนั้น พวกเรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
เฉินชิงตูที่นั่งอยู่ในกระท่อมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็คุยกัน”
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่มาปรากฏตัวด้วยตัวเอง แล้วประสานมือคารวะ “คารวะเหวินเซิ่ง”
อริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเช่นกัน เวลาสั้นยาวไม่แน่นอน
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนี้เคยได้รับการขนานนามว่าพระใหญ่แห่งใต้หล้า พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากมีวิชาอภินิหารและความรู้ควบสองลัทธิ เวทคาถาสูงมาก จึงเป็นบุคคลที่ขนาดใต้เท้าอิ่นกวานก็ยังไม่ค่อยยินดีจะไปมีเรื่องด้วย