หลังจากที่จั่วโย่วจากไปโดยที่ไม่ได้ออกกระบี่ เฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็เท่ากับหลอกตัวเอง เขารีบเก็บเก้าอี้กลับไปไว้ในร้าน ตัวเองมานั่งอยู่บนธรณีประตู รอให้หนิงเหยากับเตี๋ยจ้างกลับมา
ตอนที่จั่วโย่วมาเยือน เขามาอย่างเงียบเชียบ ทว่าตอนจากไปกลับไม่ได้จงใจปกปิดร่องรอยของปราณกระบี่
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็น่าจะรู้ชัดเจนถึงการที่จั่วโย่วออกมาจากหัวกำแพงในครั้งนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้จั่วโย่วยังมานั่งอยู่หน้าประตูร้านอย่างเปิดเผย เดิมทีนั่นก็เป็นคำพูดที่ไร้เสียงอย่างหนึ่ง
ก่อนที่ลูกศิษย์อย่างจั่วโย่วจะปรากฏตัว อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าได้ร่ายวิชาอภินิหาร ปิดบังฟ้าดิน มีเพียงคนในร้านเท่านั้นที่รู้
พอจั่วโย่วมาถึง ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ถอนเวทอาคมออก
สายของเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมามักจะคิดมากชอบไตร่ตรองให้มากอยู่เสมอ และการกระทำหลังจากผ่านการคิดการไตร่ตรองมาแล้วก็เด็ดขาดมาโดยตลอด เป็นเหตุให้มองดูเหมือนเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลที่สุด
หนิงเหยากลับมาที่ร้านพร้อมกับเตี๋ยจ้าง เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ข้ารับรองแขกอยู่ที่นี่ รบกวนแม่นางเตี๋ยจ้างแล้ว”
เตี๋ยจ้างยิ้มถาม “สถานะของท่านผู้เฒ่า ข้าจะไม่ถาม แต่เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่วถึงได้มาดื่มเหล้ากับเจ้าที่นี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องถาม หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าอยู่ดีๆ ทรัพย์สินในร้านของตัวเองหายไป ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะไปร้องทุกข์เอากับใคร”
เฉินผิงอันกล่าว “จั่วโย่วคือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า ก่อนหน้านี้คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคืออาจารย์ของพวกเราสองคน เหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล”
ถึงอย่างไรอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่พึ่งอะไรล้วนมีความหมายไม่มาก การต่อสู้ที่ควรเกิดขึ้นก็ไม่เคยลดน้อยลง สนามรบที่ควรไปออกศึก จะอย่างไรก็ยังต้องไป
อีกอย่างชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ก็พูดถูกแล้ว อาจารย์และศิษย์พี่ที่อาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
เตี๋ยจ้างเดินเข้าร้านไปเงียบๆ
ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว
หนิงเหยานั่งอยู่บนธรณีประตูกับเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “โชคดีที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จับตามองหัวกำแพงเมืองด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครใช้ข้ออ้างใดๆ ไปทางทิศใต้ ไม่อย่างนั้นศึกใหญ่ครั้งถัดไป เจ้าจะอันตรายมาก พวกเผ่าปีศาจมีอุบายกันไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ?”
เฉินผิงอันตอบ “มานะฝึกตน หลอมลมปราณให้เยอะ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววัน หลอมใหญ่ชูอีสืออู่ให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จสิ้น ขณะเดียวกันก็ต้องขัดเกลาขอบเขตร่างทอง หากเลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลเมื่อไหร่ ยามที่เปิดฉากเข่นฆ่าจะมีประโยชน์มากกว่าเดิม แต่สองเรื่องนี้ล้วนยากที่จะทำให้สำเร็จได้โดยเร็ว ลำพังเพียงแค่รวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุให้ครบก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว วัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างทอง ไฟนั้น ได้แต่พานพบมิอาจเรียกร้อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องเรียกร้องให้ระดับขั้นสูงนัก ถึงอย่างไรก็ควรต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาเพื่อรับศึกใหญ่ครั้งต่อไปเสียก่อน หนิงเหยา เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ตอนนี้ระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสามชิ้น หากไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ บนเส้นทางของการฝึกตน พูดถึงแค่วัตถุแห่งชะตาชีวิต อันที่จริงก็มากพอจะประคับประคองให้ข้าเดินไปถึงเซียนดิน หรือแม้กระทั่งขอบเขตหยกดิบแล้ว เรื่องนี้จะแสวงหาความสมบูรณ์แบบมากเกินไปไม่ได้ บนเส้นทางการฝึกตนจะเดินช้าเกินไปไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นหากไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางได้เสียที ปราณวิญญาณย่อมสลายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าขอบเขตของผู้ฝึกยุทธกลับมาถึงขอบเขตเจ็ดแล้ว ยามที่โคจรปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับปราณวิญญาณไม่มากก็น้อย ซึ่งจะถ่วงพลังการต่อสู้ ช่วงเวลาระหว่างนี้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจ “ยังต้องเรียนกระบี่กับศิษย์พี่ด้วย”
หนิงเหยากล่าว “ก็ดีมากนี่นา เดิมทีผู้อาวุโสจั่วก็เป็นคนที่เหมาะที่สุดแล้วก็มีคุณสมบัติมากที่สุดที่จะสอนวิชากระบี่ให้แก่เจ้า อย่าลืมล่ะว่า ตัวของศิษย์พี่เจ้าเองก็ไม่ได้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอะไร”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แต่จะให้นอนดื่มยาอยู่ในจวนหนิงทุกๆ สามวันห้าวันก็คงไม่ดีกระมัง”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เรียนรู้วิธีการต้มยามาจากเจ้าแล้ว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสนำมาใช้สักที”
เฉินผิงอันอดทนแล้วอดทนอีก แต่สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นฝีมือการต้มยาของเจ้าสักหน่อย เจ้ากล้าต้ม ข้าก็ไม่กล้าดื่มหรอก”
หนิงเหยาจุ๊ปากพูด “รับศิษย์พี่แล้ว คำพูดคำจาก็แข็งข้อขึ้นเยอะเลย”
เฉินผิงอันรีบพูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะดื่ม ดื่มแทนเหล้า”
เตี๋ยจ้างมองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าประตูแล้วก็ส่ายหน้า ไม่เห็นใจคนโสดบ้างเลย
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง ขอแค่ข้าสามารถช่วยทางร้านหาเงินได้ พวกเรามาแบ่งกำไรกันสี่ต่อหกเป็นอย่างไร?”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “เจ้าได้น้อยเกินไปหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แค่สามต่อเจ็ดแล้วสินะ? แม่นางเตี๋ยจ้าง เจ้าทำการค้าเสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยจริงๆ นะ มิน่าเล่ากิจการถึงได้…ดีขนาดนี้”
เตี๋ยจ้างโมโหจนพูดไม่ออก
หนิงเหยาทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ร้านขายของเบ็ดเตล็ดแห่งนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะหาเงินมาเพิ่มได้ ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองต้องมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นาน ก็เลยเอาเหล้าธรรมดาของบ้านเกิดมาด้วยมากหน่อย ไม่สู้พวกเรามาร่วมกันเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ดีไหม แค่เอาโต๊ะเอาม้านั่งไปวางไว้นอกร้านให้มากหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าหากลูกค้าเยอะแล้วจะไม่มีที่นั่ง ขอแค่สุราดี นั่งยองดื่มบนพื้นก็รสชาติดี”
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างประหลาดใจ “ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าเป็นแค่เหล้าธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน ต่อให้ที่นี่จะมีผีขี้เหล้าเยอะ และต่อให้ร้านขายเหล้าออกไปได้ ก็ยังต้องมีช่วงเวลาที่ขายหมด อีกอย่างหากขายราคาสูง ก็ง่ายที่จะทำให้เสียชื่อ ข้าไม่หน้าหนาพอจะหลอกลวงคนอื่นหรอกนะ”
เฉินผิงอันคีบใบไผ่สีเขียวมรกตออกมาใบหนึ่ง ด้านในมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เป็นสีเขียวมรกตราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ “ใส่ลงไปในกาเหล้า ราคาก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดเลยล่ะ แต่นี่คือเหล้าชั้นหนึ่งที่ร้านเราจะขาย ชั้นรองจะขายเป็นเหล้าถังใหญ่ ใส่ใบไผ่ลงไปหลายใบหน่อย และข้ายังมีเจ้านี่”
เฉินผิงอันแบมือออก คือแมลงสุราตัวหนึ่งที่ยืมมาจากเว่ยป้อ พูดเรื่องการค้า จะไม่เป็นการทำร้ายความรู้สึกกันหรอกหรือ วัตถุอย่างแมลงสุรานี้ ต่อให้เป็นในใต้หล้าไพศาลก็ยังถือว่าเป็นของหายากที่ได้แต่พานพบมิอาจเรียกร้องได้มาครอง แล้วก็เป็นเพราะเว่ยป้อจัดงานเลี้ยงเทพท่องราตรีสามครั้ง บวกกับเคยมีการบอกเป็นนัย ในที่สุดถึงได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำบางท่านยอมตัดใจสละของรัก บวกกับที่เว่ยป้อได้บอกเป็นนัยอีกครั้ง เพื่อเป็นการชดเชยที่เทพองค์นี้ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สี่ เขาถึงได้ยอมตัดใจมอบแมลงสุราตัวหนึ่งให้เป็นของบรรณาการ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้าเคยลองมาแล้ว ลำพังเพียงแค่แมลงสุรา ยังไม่ถือว่าเป็นการหมักที่ดีได้สักเท่าไร เทียบกับเหล้าตระกูลเซียนที่ราคาแพงหูฉี่แล้วก็ยังด้อยกว่ามาก แต่หากเพิ่มใบไผ่นี่เข้าไป รสชาติของเหล้าจะต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย ดังนั้นก่อนที่ร้านของเราจะเปิดกิจการต้องพยายามรวบรวมเหล้าที่ธรรมดาที่สุดซึ่งมีราคาถูกมาให้มากสักหน่อย ยิ่งมากก็ยิ่งดี กักตุนเอาไว้ก่อน รอให้ปริมาณมากพอสมควรแล้วค่อยเปิดร้านต้อนรับลูกค้า พวกเราซื้อเหล้ากันเอง คาดว่าคงต่อรองราคาไม่ได้มาก ซื้อมากไปยังจะทำให้คนสงสัยอีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถแบ่งส่วนแบ่งให้พวกเยี่ยนจั๋วกับเฉินซานชิวได้อีกเล็กน้อย แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็พอ ไม่ต้องให้ส่วนแบ่งพวกเขามากเกินไป พวกเขามีเงิน พวกเราสองคนต่างหากถึงจะเป็นคนที่ในกระเป๋าไม่มีเงิน”
หนิงเหยาเอนหลังพิงกรอบประตูใหญ่ มองเจ้าคนที่พอพูดคุยเรื่องการค้าแล้วมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษผู้นั้น
เตี๋ยจ้างลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ลังเลว่าควรจะขายเหล้าดีหรือไม่ เรื่องนี้นางไม่จำเป็นต้องกังขาแล้ว ต้องหาเงินได้แน่นอน ก็แค่จะได้มากหรือน้อยเท่านั้น อีกอย่างยังเป็นเงินที่มาจากเซียนกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ด้วย นางเตี๋ยจ้างไม่รู้สึกไม่สบายใจแม้แต่น้อย ดื่มเหล้าที่ไหนไม่ใช่เหล้าบ้างล่ะ เรื่องที่ทำให้เตี๋ยจ้างลังเลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าอ้วนเยี่ยนกับเฉินซานชิว ตามความตั้งใจเดิมของเตี๋ยจ้าง นางยินดีได้กำไรน้อย ต้นทุนสูงมากกว่าจะให้เพื่อนมาช่วย หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันที่เป็นคนเสนอว่าสามารถแบ่งส่วนแบ่งให้พวกเขา เตี๋ยจ้างย่อมต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเองก็ไม่รีบร้อน เก็บแมลงสุราเข้ามาในชายแขนเสื้อ เอาใบไผ่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ใบไผ่กับกิ่งไผ่กองใหญ่ เขาล้วนเอามาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง ขอข้าพูดล่วงเกินสักคำนะ นิสัยการทำการค้าของเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้วจริงๆ ในเรื่องการพูดคุยภาษาการค้านี้ หากตัวเจ้าเองรู้สึกว่านั่นเป็นการค้าขายที่ผลกำไรไม่แน่นอน ทางที่ดีที่สุดก็อย่าลากเพื่อนมาเกี่ยวข้องด้วย นี่ก็ถูกต้องแล้ว แต่การค้าที่ได้ผลกำไรไม่มีขาดทุนเช่นนี้ ยังไม่เรียกเพื่อนมาร่วมด้วย ก็คือพวกเราไม่มีคุณธรรมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร หากแม่นางเตี๋ยจ้างรู้สึกว่าไม่เหมาะจริงๆ พวกเราก็เปิดร้านให้เล็กสักหน่อย ก็หนีไม่พ้นว่าต้นทุนจะค่อนข้างสูง เหล้าที่กักตุนมาไว้ก่อนหน้านี้ได้กำไรน้อย รอจนเงินก้อนใหญ่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าจนสบายใจแล้ว พวกเราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันใหม่ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย”
เตี๋ยจ้างคล้ายมีเรื่องใหม่ให้คิดไม่ตกอีกครั้ง กังวลว่าหากตัวเองปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายไป ในใจเฉินผิงอันจะเกิดยอกแสลง
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว ส่วนแบ่งสามต่อเจ็ด?”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ห้าต่อห้า ทั้งเหล้าและร้าน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้าแบกโต๊ะแบกม้านั่งไปวางไว้บนที่ว่างบนถนนง่ายๆ ก็ถือว่าเป็นร้านเหล้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
เตี๋ยจ้างเอ่ย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหนิงเหยาจะยอมเสียหน้าเรื่องนี้ ต่อให้หนิงเหยาไม่ถือสา เจ้าเฉินผิงอันจะตัดใจทำได้ลงจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออก
หนิงเหยากำลังจะเปิดปาก
เตี๋ยจ้างกลับรีบพูดขึ้นว่า “หนิงเหยา! พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีแล้ว มีผู้ชายแล้วห้ามลืมเพื่อนเด็ดขาดเชียว!”
เดิมทีหนิงเหยาอยากบอกว่า ขนาดจะให้ข้าช่วยร้องเรียกลูกค้า ข้าก็ยังไม่คิดมาก แล้วยังจะถือสาเรื่องนี้ด้วยหรือ?
เพียงแต่ว่าเตี๋ยจ้างพูดขนาดนี้แล้ว หนิงเหยาเลยตัดใจพูดไม่ลง
ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงหั่นราคาเหลือที่สี่ต่อหก
เหตุผลก็เพราะเฉินผิงอันบอกว่าตัวเองชนะสี่ครั้งติด เป็นเหตุให้ถนนใหญ่เส้นนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไกล เขามาขายเหล้า นั่นก็คือป้ายอักษรทองที่สามารถเรียกลูกค้าได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว
เตี๋ยจ้างนับถือวิธีการและความหน้าหนาในการหาเงินของเจ้าหมอนี่จริงๆ
แต่สุดท้ายเตี๋ยจ้างก็ยังถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ถือสาจริงๆ หรือว่า ตัวเองมาขายเหล้าหาเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แล้วจะทำให้ผู้อาวุโสในจวนหนิง จวนเหยาขายหน้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันย้อนถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเตี๋ยจ้าง ลืมชาติกำเนิดของข้าไปแล้วหรือ? ไม่ได้ขโมย ไม่ได้แย่งชิงใครมา ไม่ได้ไปหลอกลวงใคร เงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่หามาได้ก็ล้วนถือเป็นความสามารถทั้งสิ้น”
หนิงเหยากลั้นยิ้ม
คาดว่าหากเปิดร้านมาแล้วไม่มีช่องทางการขาย ไม่มีใครที่ยินดีมาซื้อเหล้า เจ้าคนที่ในดวงตามีแต่เงินผู้นี้ ก็คงจะเอาไปขายได้ถึงผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่โน่นแหละ
เตี๋ยจ้างเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าร้านเหล้าของพวกเราหลอกลวงคนอื่นมากเลย”
เฉินผิงอันโบกมือ พูดอย่างไม่ละอายว่า “ราคาเขียนไว้ชัดเจน อยากซื้อก็ซื้อ ถึงเวลานั้นไม่ต้องกลุ้มเรื่องช่องทางการขาย อยากจะขายหรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของพวกเราสองคนแล้ว!”
เตี๋ยจ้างถึงพอจะสบายใจได้บ้าง
หาเงินมาซื้อบ้าน เป็นความปรารถนาของเตี๋ยจ้างมาโดยตลอด เพียงแต่ตัวเตี๋ยจ้างเองก็รู้ดีว่า จะหาเงินอย่างไร ตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
เดิมทีเตี๋ยจ้างนึกว่าคุยกันเสร็จแล้ว และเฉินผิงอันก็จะกลับไปที่จวนหนิงพร้อมกับหนิงเหยา คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะไปยืนอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน หยิบเอาลูกคิดออกมา เตี๋ยจ้างพูดอย่างสงสัยว่า “ก็แค่ไปซื้อเหล้ามาตุนไม่ใช่หรือ? เรื่องง่ายจะตายไป ข้ายังพอจะทำได้”
เฉินผิงอันมีสีหน้าอึ้งตะลึง คราวนี้เขาไม่ได้เสแสร้ง ยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ปนขันว่า “ใต้หล้านี้มีการค้าที่ทำกันได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ?! แม่นางเตี๋ยจ้าง ข้าเริ่มเสียใจแล้วที่มาทำการค้ากับเจ้า! เจ้าคิดดูนะ จะซื้อเหล้ามาจากใคร ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกร้านเหล้าที่กิจการซบเซาใช่ไหมล่ะ? ถึงเวลานั้นจะหั่นราคาอย่างไร พวกเราซื้อเยอะแล้วจะลดให้เท่าไร เจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เรื่องพวกนี้ไม่ควรต้องคิดไว้ก่อนหรอกหรือ? ควรจะกำหนดสัญญาตายตัวอย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เห็นว่ากิจการของพวกเราดีแล้ว อีกฝ่ายเปลี่ยนใจไม่ขายเหล้าให้ ต่อให้ไม่ขาย แล้วจะชดใช้ให้ร้านของพวกเราตามสัญญาอย่างไร มีเรื่องจุกจิกมากมายจะตายไป ข้าคาดว่าเจ้าคนเดียวคงคุยไม่รู้เรื่อง ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะสวมหน้ากาก เจ้าก็คอยดูอยู่ด้านข้างแล้วกัน ข้าจะแสดงให้เจ้าดูก่อนรอบหนึ่ง อีกอย่างเรื่องพวกนี้ยังเป็นงานง่ายๆ ที่แค่ต้องไปซื้อเหล้าจากคนอื่น มาพูดถึงเรื่องการเปิดร้าน เราต้องเชิญพวกนักดื่มที่มองดูเหมือนผ่านทางมามาช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้ร้าน เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตอะไร ก็ยังต้องหามาสักสามคนห้าคน ในทางส่วนตัวก็สัญญากับพวกเขาว่าจะยกเหล้าใบไผ่ชั้นดีที่มีค่าดุจทองพันชั่งให้เขากี่กา ให้เซียนกระบี่คนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำหน้าที่ตะโกนในร้านว่าจะเหมาเหล้าของทั้งร้านด้วย แบบนี้ถึงจะค่อนข้างเหมาะสม ไม่ทิ้งร่องรอยให้จับได้ ไม่เหมือนว่าเป็นหน้าม้าที่จ้างมา เรื่องพวกนี้ต้องคิดให้รอบคอบนะ อีกอย่างหลังจากหาเงินมาได้แล้วจะคิดบัญชีกับเพื่อนที่เป็นผีขี้เหล้าอย่างพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนกับเฉินซานชิวให้ชัดเจนอย่างไร พวกเราทำการค้าที่มีทุนน้อย จะมาลงบัญชีเชื่อไว้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ก็ต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ใช่หรือ…”
เตี๋ยจ้างไม่เหลือท่าทางเปี่ยมอำนาจอะไรอีกเลย ยิ่งนานก็ยิ่งเหมือนวัวสันหลังหวะ ฟังเฉินผิงอันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะคิดเงินพูดจ้อไม่หยุด เตี๋ยจ้างก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตนไม่เหมาะจะทำการค้าจริงๆ หรือเปล่า
เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้รู้สึกว่านี่ยากยิ่งกว่าฝึกกระบี่อีกนะ?